แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราในที่นี้หลายคนคงเพิ่งมาวัดเพิ่งได้ใกล้ชิดกับการปฏิบัติธรรม อีกหลายคนก็มาวัดบ่อยหรือว่าอยู่วัดนาน ไม่เฉพาะที่วัดนี้เท่านั้น อาจจะหมายถึงวัดอื่นก็ได้ คนที่มาวัดบ่อย ๆ หรือว่ามาอยู่วัดนาน ๆ ลองสำรวจตัวเองดูบ้างเป็นระยะ ๆก็ดีว่า เราได้มีความเปลี่ยนแปลงขึ้น บ้างหรือเปล่า เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี เช่น จิตใจสงบขึ้น มีความว้าวุ่นน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง เอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นมากขึ้น นึกถึงคนอื่นบ่อยขึ้น พูดง่ายๆก็คือว่า กิเลสลดลง ความหลงน้อยลงไป ลองสำรวจดูว่า เรามีความเปลี่ยนแปลง หรือมีพัฒนาการที่ดีขึ้นหรือเปล่า
หลายคนมาวัดบ่อย มาอยู่วัดนาน ๆ เข้าคอร์สก็หลายครั้ง ก็สบายอกสบายใจเวลาอยู่วัด แต่เวลากลับไป ไม่ว่าอยู่ที่วัดหรือที่ทำงาน ก็ยังเหมือนเดิม คือพอมีอะไรมากระทบ เช่น คำพูด หรือเพียงแค่ลมปากเท่านั้น จิตใจก็หวั่นไหว โกรธ บางทีก็ถึงกับคุมตัวเองไม่อยู่ มันสั่งให้ด่าก็ด่า ความโกรธ มันสั่งให้ทำลายข้าวของก็ทำ มันสั่งให้เผาลนจิตใจตัวเองหมกมุ่นกลุ้มใจก็ยอมทำตามมัน หลายคนมาวัด หรือว่ามาอยู่วัดก็มีอาการแบบนี้คือว่า ถ้าไม่มีอะไรมากระทบก็สบายใจ แล้วก็เลยมาอยู่วัดบ่อยๆ เพราะว่าอยู่ห่างไกลจากคนที่ตัวเองขัดเคืองใจ เช่น อยู่ไกลจากลูก อยู่ไกลจากสามี ภรรยา หรือว่าไม่ต้องรับผิดชอบงานการที่บ้าน ไม่ต้องรับภาระในที่ทำงาน ห่างไกลจากเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่ารัก ที่ทำตัวน่าระอา จู้จี้ขี้บ่น เป็นต้น พอมาอยู่วัด ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ รู้สึกสบายใจ แต่พอกลับไปเหมือนเดิม ก็เลยต้องกลับมาวัดใหม่ เพราะว่าจำได้ว่าอยู่วัดแล้ว สบาย
การอยู่วัดหรือว่าการมาวัด ด้วยเหตุผลแบบนี้ แม้จะดี ดีกว่าไปหาเหล้าหายาเป็นทางออก หรือไปเที่ยวผับเที่ยวกลางคืน เพื่อลืมความทุกข์ชั่วคราว มาวัดแบบนี้เพื่อความสบายใจ มันก็ดีแต่ว่ามันไม่พอ เพราะว่ามาวัดแบบนี้ เหมือนกับมารับยากล่อมประสาทไป หลายคนเข้าวัดหรือเข้าหาธรรม ก็เพราะว่ามันเหมือนกับยากล่อมประสาทคลายเครียด เวลามาวัดก็สบายใจ วันสองวันก็ยังดี สิ่งแวดล้อมก็สงบ ผู้คนพูดจาไพเราะ ไม่มีการจ้องจับผิดหรือติฉินนินทา หรือที่จริงต่างคนต่างอยู่ ไม่พูดไม่จากันด้วยซ้ำ ก็สบายใจ แต่ว่าจิตใจไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เพราะว่ายังเป็นคนขี้โกรธเหมือนเดิม ยังเป็นคนที่ชอบฟุ้งซ่านเหมือนเดิม พอกลับไปบ้าน ไปที่ทำงาน ใครพูดอะไรที่ไม่ถูกใจ หรือใครทำอะไรที่ไม่ชอบ เจอเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น รถติดก็หงุดหงิดแล้ว บางคนไปธุระ ไปศูนย์การค้า หรือว่าจอดรถทิ้งไว้เพื่อจะไปทำกิจบางอย่าง พอออกมาปรากฎว่ารถออกไม่ได้เพราะว่ามีอีกคันจอดซ้อนอยู่ปิดทางเอาไว้ โกรธ ถึงขั้นสติแตกหลุดปากด่าออกไป บางคนที่ทำอย่างนี้เป็นคนวัดหรือคนที่มาวัดอยู่บ่อยๆ เพิ่งนั่งสมาธิเสร็จแล้วด้วยซ้ำ ตอนนั่งสมาธิเช้า กลางวันก็สบายใจ เพราะว่าบังคับจิตไม่ให้ไปนึกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ สิ่งแวดล้อมก็สบาย อากาศก็เย็นเพราะติดแอร์ ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีภาพอะไรที่จะมากระตุ้นให้จิตใจกระเพื่อม สบาย แต่พอออกจากสมาธิ จะกลับบ้าน เจอรถตัวเองออกไม่ได้ ด่าเลย หรือบางทีขณะที่ขับรถ มีรถบางคันปาดหน้า ก็ตะโกนด่า
อากัปกิริยามันไม่เหมือนตอนอยู่วัด ตอนอยู่วัดนี่สงบ แต่พอออกไปข้างนอก ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปเลย เป็นเพราะอะไร มาวัดไม่ได้มาฝึกจิตฝึกใจเท่าไร มาเพื่อเสพความสงบ มาเพื่อรับเอาความสงัดหรือว่าความสบาย อันนี้เรียกว่าใช้ประโยชน์จากธรรมหรือจากวัดน้อยไป เพราะว่าวัดไม่ใช่เป็นแค่ยากล่อมประสาท หรือแอสไพรินที่ทำให้สบายชั่วคราว วัดหรือธรรมสามารถจะให้เรามากกว่านั้น แต่เป็นเพราะว่าเราไม่ค่อยมีความเพียรพยายามเท่าไร หรือว่าประมาทก็ได้ พอมาวัด บรรยากาศสงบ ได้ฝึกจิตให้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่ สบายใจ เท่านั้นพอแล้ว แต่ที่จริงไม่ได้ฝึกให้ถูกต้องเท่าไรเลย โดยเฉพาะการฝึกให้มีสติ ความรู้สึกตัว
การมาที่ ๆสงบสงัดแล้ว จิตใจพลอยสบายผ่อนคลาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องปฏิบัติธรรมก็ได้ แค่มาอยู่วัด อยู่สบายๆ ตื่นเช้ามาก็ทำวัตร เสร็จแล้วก็ทำกิจส่วนตัวบ้าง ส่วนรวมบ้างนิดหน่อย ทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผน ไม่มีอะไรติดขัดราบรื่น ก็มีความสุข ความสบายใจ แบบนี้ยังไม่ใช่เครื่องวัดความก้าวหน้าของเรา จนกว่าเวลามีอะไรมากระทบ คนที่พูดไม่ถูกใจหรือว่าทำอะไรไม่ถูกใจ โดยเฉพาะคนที่อาจจะอยู่ในอำนาจของเรา เป็นลูกน้องเรา เป็นลูกของเรา หรือเป็นคนใกล้ตัว เรารู้สึกอย่างไร ใจกระเพื่อมไหม ขุ่นมัวไหม อันนั้นแหละเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของเราในการมาวัดหรือในการปฏิบัติ แค่เกิดความสบายอย่างเดียว ไม่พอหรอก อาจจะสบายเพราะทุกอย่างมันราบรื่นก็ได้
ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีนีคนหนึ่งชื่อนางเวเทหิกา นางก็เข้าวัดอยู่บ้าง พอกลับมาบ้านก็สุขสบาย วันหนึ่งนางทาสีหรือคนใช้อยากจะทดสอบว่า ที่นางคุยว่าสบาย สงบแล้วเพราะว่าปฏิบัติธรรมมานั้นจริงหรือเปล่า นางก็แกล้งนอนตื่นสาย พอนอนตื่นสายก็ไม่มีใครเอาน้ำมาให้ล้างหน้า แล้วก็ไม่มีใครจัดตระเตรียมอาหาร มันสะดุดไปหมด นางก็โกรธถึงขั้นโวยวายด่าทอ ด่าจิกหัวนางทาสีคนนั้นทันที นางทาสีคนนั้นก็เลยพูดให้ได้คิดว่า ที่ท่านจิตใจสงบสบายอะไร ไม่ใช่เพราะท่านปฏิบัติอะไรหรอก เป็นเพราะใครต่อใครทำตามท่าน หรือว่าทำให้ทุกอย่างราบรื่น ถ้าพอมีใครทำอะไร ไม่ถูกใจ เพียงแค่นอนตื่นสาย ท่านก็โกรธแล้ว อันนี้ก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า ทุกอย่างมันราบรื่นโอเคเลิศเลอเพอร์เฟคต่างหาก แต่ความเป็นจริงในชีวิตไม่ใช่ทุกอย่างจะเลอเลิศเสมอไป มันต้องมีสิ่งที่ไม่ถูกใจเราบ้าง
บางทีอยู่วัด ยังไม่ทันจะออกไปเลย เพียงแค่ได้ข่าวเกี่ยวกับบ้าน เกี่ยวกับครอบครัว เกี่ยวกับลูก เกี่ยวกับปัญหาที่ทำงาน อาจจะเห็นจากข้อความทางไลน์ทางเฟสบุ๊ค หรือว่ามีคนโทรศัพท์มาเล่าให้ฟัง ก็เสียศูนย์แล้ว จิตกระเพื่อม ใจปั่นป่วน ทั้งที่อยู่วัดมานาน เจอแบบนี้ ก็ต้องถามตัวเองว่า ทำไมใจเราจึงยังเป็นอย่างนี้อยู่ แทนที่จะไปบ่นว่า ลูกทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมทำอย่างนั้น คิดปรุงไปยืดยาว แปลก เรื่องพวกแบบนี้ พอเราได้ยินเราไม่สบายใจเลย แต่สุดท้าย เราก็หลงเพลินไปกับการคิดเรื่องนั้น คิดยาวเหยียดเลย เพียงแค่ได้ข่าวคราวว่าลูกไม่สบายเท่านั้นแหละ คิดยาวเหยียด ปรุงแต่งไปต่างๆนานา ถามว่าระหว่างที่คิดปรุงแต่ง ทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ก็ปรุงแต่งอย่างเพลิดเพลินมาก ลืมเวลาไปเลย บางทีเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่ง ยังไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลย เพราะอะไร เพราะจมอยู่กับการคิดเรื่องนั้น ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องที่คิดแล้วร้อนใจ แต่ก็อดคิดฝันฟุ้งปรุงแต่งไม่ได้
เวลาได้ข่าวว่ามีคนนินทาเราให้คนนั้นคนนี้ฟัง หรือมาด่าเราต่อหน้าต่อตา พอมาคิดถึงเรื่องนี้ ใจมันเข้าไปจมอยู่กับการโต้เถียง เป็นวรรคเป็นเวรอยู่ในหัวเลย นานเป็นชั่วโมงก็มี บางทีทำในขณะเดินจงกรมด้วยซ้ำ ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วอย่างนี้ ทั้งที่เรื่องที่คิดไม่ใช่เรื่องที่เราชอบเลย แต่ทำไมเราเพลินกับการคิด หลายคนเวลาคิดเรื่องพวกนี้แล้วไม่พอใจ ก็จะโทษคนนั้นคนนี้ โทษลูก โทษเพื่อนร่วมงาน โทษลูกน้อง ในระหว่างคิดในระหว่างฟุ้งปรุงแต่ง แต่ว่าลืมกลับไปมองว่า ทำไมเราถึงเพลิดเพลินกับการคิด ทำไมเราถึงคิดไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักหย่อน ยาวเหยียดไปเลย ทั้งที่คิดแล้วก็ทุกข์ คิดแล้วก็ร้อนใจ แต่ว่าก็วางความคิดไม่ได้
เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ถ้าถามตัวเองหรือสังเกตตัวเอง ก็จะคิดได้ว่าเป็นเพราะเราฟุ้ง ที่เราฟุ้งเพราะเราเผลอเราลืมตัว ทันทีที่เห็นตรงนี้ มันจะได้คำตอบว่า ทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น หลายคนไม่เคยถามตัวเองเลยว่าทำไมเราถึงทุกข์เพราะเรื่องนี้ มีแต่โกรธ มีแต่โมโหว่า ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น แต่เราไม่เคยถามตัวเราเองเลยว่าทำไมเราถึงทุกข์เพราะการกระทำของเขาเท่านั้น อย่างเวลาเจอรถติด หลายคนก็จะบ่นว่าทำไมมันติดอย่างนี้ นี่มันวันอาทิตย์แต่เช้าทำไมผู้คนไม่อยู่บ้านกัน ทำไมแห่ออกมาพร้อมๆกันเลย หลายคนบ่นอยู่ในใจ แต่ไม่เคยถามตัวเองเลยว่า ทำไมต้องทุกข์กับการที่รถมันติดเท่านั้น แค่รถติดเราก็ทุกข์แล้ว ถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ถ้าถามตัวเองก็จะพบว่า มันเป็นเพราะใจเรา รถติดมันก็เรื่องของมัน แต่เป็นเพราะว่าใจเราวางไม่ถูก มันก็เลยโมโหเป็นทุกข์เพราะเรื่องแค่นี้เท่านั้นแหละ และทั้งๆที่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วทุกข์ มันรุ่มร้อน แต่ก็ไม่ยอมวาง ทำไมถึงคิดเป็นวรรคเป็นเวร ก็จะได้คำตอบว่าเป็นเพราะเราลืมตัว ลืมตัวเพราะอะไร เพราะไม่มีสติ
เรามาอยู่วัด มาฝึกสติไม่ใช่หรือ ทำไมมาอยู่วัดเป็นเดือนเป็นปีแล้วสติยังไม่ก้าวหน้า เป็นเพราะเราทำความเพียรน้อยไปหรือเปล่า ลองถามตัวเองบ้าง ก็จะพบว่าปัญหาหรือสาเหตุ อยู่ที่ตัวเราเอง อยู่ที่เรายังทำความเพียรไม่พอ อยู่ที่เรายังปล่อยใจให้หลง อยู่ที่เรายังไม่รู้จักรู้ทันความฟุ้งซ่าน ถ้าเห็นตรงนี้ จะทำไห้เรารู้ ทำให้เราตระหนักว่า เรายังทำความเพียรไม่พอ ยังปฏิบัติไม่พอ ถ้าเรามองแบบนี้เห็นแบบนี้ได้แสดงว่าการมาวัดของเรามีประโยชน์แล้ว มันคุ้มค่าแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่เป็นปีหรือมาเป็นเดือนก็ยังเหมือนเดิม พอมีอะไรมากระทบไม่ว่าทางตา เช่น ข้อความที่เห็นทางไลน์ หรือการกระทำในบางคนที่ไม่ถูกใจเรา แค่ไม่ถูกใจ หรือคำพูดที่มากระทบหู หรือว่าแดดร้อนที่มาสัมผัสกาย พอเจอทีไรก็พลาดท่าเสียทีทุกที
ให้เราถามตัวเองว่า เรามาวัดทำไม มาวัดเพื่ออะไร มาวัดเพื่อการผ่อนคลายสุขสบายชั่วคราวหรือเปล่า แต่ว่าไม่ได้ทำความเพียรพยายามเท่าไร ถ้าหลายคนมาวัดเพื่อเหตุนี้ มาเพื่อความสบายชั่วคราว เช่น ได้มาทำบุญ ได้มาสะเดาะเคราะห์ ถวายสังฆทาน หรือบางทีก็มาบนบาน ทำแล้วสบายใจ อันนี้ก็ยังดีกว่าหาเหล้าหาบาร์เป็นที่พึ่ง บางคนมาวัดก็เพื่อจะได้ฟังธรรม ฟังแล้วสบายใจ บางคนมาวัดเพื่อจะได้สวดมนต์ สวดมนต์แล้วจิตใจมันสงบ แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ มาแบบนี้เรียกว่ามาเพื่อมาหาสิ่งกล่อมใจ มาหาสิ่งปลอบประโลม มันให้กำลังใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่พอกลับไปเจอของเดิมกลับไปเจอบรรยากาศเดิมก็เสียศูนย์ หรือว่าสติแตกเหมือนเดิม ปรี๊ดยังไงก็ยังปรี๊ดเหมือนเดิม ทั้งๆที่เข้าคอร์สมาหลายครั้งแล้ว อันนี้เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงจัง หรือว่าปฏิบัติไม่ถูก หรือบางคนก็ไม่คิดจะปฏิบัติด้วยซ้ำ เพียงแค่มาฟังอะไรที่มันสบายใจชั่วคราว
ถ้าคนฉลาดเขาจะไม่พอใจอยู่แค่นี้ เขาจะต้องฝึกจิตฝึกใจ หมั่นประกอบในการทำกิจให้ยิ่ง อันนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัส ความหมั่นประกอบในการทำกิจให้ยิ่ง ไม่ใช่แค่ให้ทาน รักษาศีล หรือว่าทำบุญเท่านั้น แต่ว่าต้องฝึกจิตฝึกใจและต้องฝึกจริงๆ ต้องทำความเพียร ไม่ใช่แค่ว่า เออ มาทำวัตร สวดมนต์ ฟังธรรมสบายใจ แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ต้องทำความเพียรปฏิบัติ การปฏิบัติก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูก โดยเฉพาะคนที่มาใหม่ หรือแม้แต่คนเก่าก็เหมือนกัน เราปฏิบัติโดยเฉพาะการเจริญสติ ไม่ใช่เพื่อควบคุมความคิด ไม่ใช่เพื่อให้มันหยุดคิด ไม่ใช่เพื่อให้มันคิดแต่เรื่องดีๆ
เราไม่สามารถที่จะควบคุมความคิดได้ เพราะว่ามันเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของเรา แต่เราฝึกเพื่อที่จะไม่ให้ความคิดเหล่านี้มาควบคุมเรา เราควรเป็นนายมัน แต่บ่อยครั้งเราปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา คิดตะพึดตะพือ หยุดไม่ได้ แม้แต่เวลานอนก็นอนไม่หลับเพราะครุ่นคิดไปเรื่อย ปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา เราจึงทุกข์ การปฏิบัติไม่ใช่เพื่อไม่ให้มีความคิด เพื่อให้หยุดคิด ไม่ใช่ แต่เพื่อว่าแม้มันจะมีความคิดเกิดขึ้น มันจะทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเห็นมัน มันจะคิดร้ายยังไงคิดลบยังไงเราก็รู้ทัน ไม่ปล่อยให้ความคิดร้ายมากลายเป็นไฟเผาลนจิตใจ คิดถึงใครบางคน หรือนึกถึงคำต่อว่าด่าทอของเขา
ถ้าเราวางใจไม่เป็น เราจะทุกข์ แล้วเราก็จะเผลอไปปรุงแต่งเรื่องนี้ให้ยืดยาว อันนี้เราปล่อยให้มันมาควบคุมเรา มันสั่งให้เราด่า เราก็ด่า มันสั่งให้เรากลั่นแกล้งเค้า เราก็ทำ เสร็จแล้วเราก็เดือดร้อน บางทีมันสั่งให้เราขโมยเพราะความโลภ เราก็ทำ มันสั่งให้เราทุจริตเพราะอยากสอบอยากได้คะแนนดีๆ หรือว่าจะได้รวยเร็วๆ เราก็ทำ อันนี้เรายอมให้มันมาควบคุมชีวิตจิตใจของเรา หรือแม้แต่ขณะนั่งภาวนา ความคิดพอมันเกิดขึ้นเราก็มักจะปล่อยให้มันเล่นงานเรา เราจึงรำคาญเราจึงรู้สึกหงุดหงิดกับความฟุ้งซ่าน แต่จริงๆความฟุ้งซ่านไม่ใช่ปัญหา มันเกิดก็เกิดไป แต่เราไม่ปล่อยให้มันเข้ามาควบคุมเล่นงานจิตใจ ทำยังไง ก็คือด้วยการเห็นมัน เห็นมันด้วยอะไร เห็นมันด้วยสติ
สติก็เหมือนกับตาใน ตาเนื้อเอาไว้มองสิ่งภายนอก แต่ว่าสติคือตาในเอาไว้ให้เรารู้ทันความคิดและอารมณ์ต่างๆที่มันเกิดขึ้น พอมีอะไรมากระทบ มันปรุงเป็นความคิด และก็อารมณ์ เราเคยสังเกตมั้ย แต่ถึงแม้ว่ามันเกิดขึ้นมา ไอ้ความคิดและอารมณ์เนี่ย แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ เราก็เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ใช่แค่ความคิด แต่อารมณ์ด้วย เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ให้มีอารมณ์ หรือเพื่อไม่มีความโกรธ ถ้าเราปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความโกรธนี่มันมีอำนาจเหนือเรา มันเกิดขึ้นก็เห็นมัน แต่ถ้าเราไม่เห็นมันเมื่อไร หรือว่าไม่รู้ทันก็จะปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ แล้วก็บังคับบัญชาบงการทั้งกาย วาจา แล้วก็ใจ โดยเฉพาะที่ใจ มันจะเกิดเป็นความรุ่มร้อนความกระวนกระวาย
บางคนมาปฏิบัติเพื่อจะเอาความสงบชั่วคราว ก็เลยบังคับจิตใจไม่ให้คิด บังคับจิตให้เพ่งอยู่กับลมหายใจ บังคับจิตให้เพ่งอยู่ที่คำบริกรรม พออยู่กับคำบริกรรม มันก็สงบ สงบแล้วก็เพลินกับความสงบ เพลินกับสมาธิ อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะมันจะกลายเป็นการติดความสงบ ติดสมาธิไป ในภาวะนั้นไม่ได้รู้ตัวหรอก มันเป็นความสงบแบบหลงสงบ หลงหรือติดในความสงบ ก็ทำให้เพลินสบายใจมีความสุข แต่ปัญหาคือพอไปเจอในที่ที่มันไม่สงบ จะหงุดหงิดง่ายมาก เพราะว่าติดในความสงบ เหมือนคนที่ติดอาหารอร่อย ถ้าไปกินอาหารที่มันไม่อร่อย โอ้โห จะหงุดหงิดง่ายเลย ยิ่งเป็นร้านหรูราคาแพงจะยิ่งไม่มีความสุขกับการกิน ทั้งๆที่อาหารรสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายมันก็ดี แต่ว่ามันไม่เหมือนที่เราเคยกิน ติดความอร่อย มาวัดก็ลำบากติดความสบาย ห้องนอนก็ต้องมีติดแอร์ต้องมีเบาะ ไปไหนก็ลำบาก ไปไหนก็มีแต่ความหงุดหงิดขุ่นมัว เพราะว่ามันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนา ติดสงบก็เหมือนกัน พอหาความสงบไม่เจอ หรือพอไปเจอที่มันวุ่นวายจะหงุดหงิดขึ้นมาเลย เพราะเหตุนี้ พอมีอะไรมากระทบ อาจจะเป็นคำพูด หรือว่าข่าวร้าย ใจมันก็สติแตกขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะว่าคิดปรุงแต่งไปต่างๆนานา เกิดความวิตกกระวนกระวาย คิดยืดยาวเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นรถไฟก็หลายขบวนทีเดียว เสร็จแล้วก็ไม่รู้จักคิด โอ้ เป็นเพราะเรายังปฏิบัติไม่พอ เป็นเพราะเราไม่มีความเพียร
เวลาเรามาวัดเราเอาแต่ใช้ชีวิตเหมือนที่บ้าน ทำตัวสบายๆ เพียงแค่มาทำวัตรแล้วก็มาสวดมนต์ฟังธรรม สบายใจแล้ว กลับไปกุฏิก็ไม่ได้ฝึกไม่ได้ทำความเพียร พอได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับที่บ้าน เกี่ยวกับที่ทำงาน เกี่ยวกับคนโน้นคนนี้ก็ร้อนใจหรือขุ่นมัว หรือหงุดหงิด ก็กลับไปสู่ร่องเดิมวัฏจักรเดิม ถ้าเจอแบบนี้ให้กลับมาถามตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะโชคชะตาไม่ค่อยดี เป็นเพราะเคราะห์กรรม เป็นเพราะเขาพูดอย่างนี้กับเรา เป็นเพราะเขาทำอย่างนี้ หรือเป็นเพราะใจของเราที่ไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ใจที่ไม่รู้ทันความคิด ทั้งๆที่อยู่วัดหรือทั้งๆที่มาปฏิบัติก็บ่อยครั้ง
ถ้าไม่มีวิชานี้ วิชาที่ทำให้เรารู้ทันความคิดรู้ทันอารมณ์ อันนี้ก็ถือว่าเสียโอกาส บางคนก็คิดแต่ว่าจะหนีปัญหา ปัญหาอยู่ที่บ้าน คิดว่าปัญหาอยู่ที่บ้านก็จะหนีมาวัด ปัญหาอยู่ที่ทำงานก็หนีมาวัด แต่หารู้ไม่ปัญหาจริงๆมันอยู่ที่ใจเราเองก็ได้ เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์เมื่อมีอะไรมากระทบ แทนที่จะส่งจิตออกนอกแล้วก็ไปโทษคนนั้นคนนี้ ลองกลับมาดูใจเราว่ามันมีความผิดพลาดที่ตรงไหน ทำไมเราถึงปล่อยวางไม่ได้ ทำไมเราถึงคิดยืดยาว แล้วจะพบคำตอบว่าทำไมเราถึงปล่อยวางไม่ได้ ทำไมเราถึงคิดยืดยาว เป็นเพราะเราไม่ได้ทำความเพียรมากพอ เราไม่ได้ปฏิบัติจริงจัง เราไม่คิดที่จะละกิเลส ไม่คิดที่จะสร้างตัวรู้ให้มันมากขึ้น เรามาเพียงแค่สบายใจชั่วคราว พอสบายใจก็เลยคิดว่าไม่ต้องปฏิบัติแล้ว
คนเราเป็นอย่างนี้ พอสบายใจก็เลยไม่ปฏิบัติ ทั้งๆที่ตอนที่มาวัดมาด้วยความร้อนใจ มาด้วยความทุกข์ อยากจะมาปฏิบัติมันจะได้หายทุกข์ แต่พอมาวัด บรรยากาศมันสบาย พอสบายปุ๊บความตั้งใจจะปฏิบัติก็หายไปแล้ว ลืมไปเลย คิดว่าไม่ต้องปฏิบัติก็ได้ ฉันสบายใจแล้ว อันนี้ประมาทมาก เพราะว่าที่มันสบายใจเนื่องจากยังไม่มีอะไรมากระทบ แต่พอมีอะไรอะไรมากระทบเมื่อไรก็เหมือนเดิม ปรี๊ดเหมือนเดิม ฟุ้งซ่านเหมือนเดิม เอะอะโวยวาย บ่นตีโพยตีพายเหมือนเดิม ถ้ามันเหมือนเดิมนี่มันแสดงว่าการมาวัด การอยู่วัดของเรานี่ไม่พัฒนาเท่าไร ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น