แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พรุ่งนี้เป็นวันออกพรรษา หลายคนใจจดใจจ่อ รอให้วันออกพรรษามาถึงไวๆ อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็วันออกพรรษาแล้ว หลายคนอาจจะปล่อยใจลอย หรือดีใจว่า ใกล้มาถึงแล้ว พอดีใจแล้วก็เลยย่อหย่อนในการทำความเพียร ย่อหย่อนในการปฏิบัติ อันนี้ต้องวางใจให้ถูก
ยิ่งจะถึงวันออกพรรษา ยิ่งควรจะทำความเพียร เพราะว่าออกพรรษาแล้วก็อาจจะต้องสิกขาลาเพศไป หรือว่าต้องกลับคืนสู่เหย้าเรือน สู่ชีวิตที่คุ้นเคยในโลกกว้าง จะทำให้การปฏิบัตินั้นไม่สามารถจะทำได้เต็มที่ เพราะฉะนั้น ยิ่งต้องเป็นเหตุผลให้ ยิ่งต้องทำความเพียรมากขึ้น อย่าปล่อยใจให้เพลินไปกับวันออกพรรษาที่กำลังจะมาถึง หรือว่าวันที่จะได้สิกขาลาเพศออกไป หรือวันที่จะได้กลับบ้าน แม้ว่าใจมันจะรู้สึกพองว่า วันที่เรารอคอยใกล้มาถึงแล้ว
ดีใจอย่างไรก็อย่าทิ้งการปฏิบัติ บางทีมันก็ห้ามไม่ได้ ความดีใจนี้ แต่ว่าถึงจะดีใจก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติ เช่นเดียวกับความเสียใจ ความเศร้าโศก ความอาลัยอาวรณ์ มันก็ห้ามไม่ได้ มีความห่วงใย มีความผูกพันในในหลวง เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ก็รู้สึกอ้างว้าง รู้สึกเศร้าโศกอาลัย แต่ถึงจะเศร้าโศกอย่างไรก็อย่าทิ้งการปฏิบัติ เช่นเดียวกัน ดีใจก็ปฏิบัติ เสียใจก็ปฏิบัติ ฝนตกแดดออกยังไงก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติ แม้แต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว มันก็ไม่ใช่โอกาสที่เราจะละทิ้งการปฏิบัติ ยิ่งจะต้องทำการปฏิบัติให้มากขึ้นด้วยซ้ำ
ในสมัยพุทธกาลนั้น ตอนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปลงพระชนม์มายุสังขาร หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็มีพระสงฆ์จำนวนมากที่ตกใจ แล้วก็เสียใจ ทำใจได้ยาก ทำอะไรไม่ถูกเลย ส่วนใหญ่ก็นั่งจับกลุ่ม มีปรึกษาหารือกันบ้าง ทำนองปรับทุกข์กันเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าเป็นเพื่อนทุกข์เสมอกัน จึงอดไม่ได้ที่จะมาปรับทุกข์กัน หรือปรึกษาหารือเป็นกลุ่มๆ แต่มีพระรูปหนึ่ง ท่านตระหนักว่าในเมื่ออีกไม่นานพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน จะไม่อยู่กับเราแล้ว เพราะฉะนั้นในขณะที่ท่านอยู่กับเรา ต้องรีบทำความเพียร ก็เลยปลีกตัวออกไปทำความเพียรปฏิบัติ ไม่ได้ไปจับกลุ่มปรึกษาหารือ หรือว่าปรับทุกข์กัน พระรูปอื่นทราบเข้าก็ไม่พอใจ หาว่าพระรูปนี้ไม่จงรักภักดีต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เลยไปทูลฟ้องพระองค์
พระองค์ก็เลยเรียกพระรูปนี้ไปถาม ท่านก็ให้เหตุผล พอได้ฟัง พระพุทธเจ้าก็อนุโมทนาสาธุ สรรเสริญพระรูปนี้ และแนะนำให้พระทั้งหลาย ให้เอาเป็นแบบอย่าง ท่านไม่ใช่ว่าไม่จงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า ที่จริงยิ่งกว่าจงรักภักดีอีก เพราะว่าต้องการที่จะปฏิบัติให้ได้อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ เพราะฉะนั้น ในวันที่บรรยากาศบ้านเมืองหม่นหมองอึมครึมกันทั้งประเทศ ด้วยความเศร้าโศก ด้วยความอาลัย มันก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่จะทำให้เราคลายความเพียร บางทีต้องระวัง เพราะกิเลสฉลาด มักหาข้ออ้างที่จะทำให้เราคลายความเพียร
เวลาเราอยากจะทำความดีอะไรสักอย่างซึ่งมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย หรือไม่ใช่นิสัย กิเลสมักจะหาข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ให้เราทำสิ่งนั้น อย่างเช่น บางคนอาจจะพยายามที่จะออกกำลังกายทุกวัน ต้องพยายามฝืนให้ออกกำลังกาย เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง แต่พอมีเหตุการณ์อย่างนี้ กิเลสก็จะหาข้ออ้างว่าตอนนี้เรากำลังเศร้าอยู่ อย่าเพิ่งตื่นเช้าลุกขึ้นมาออกกำลังกายเลย นอนต่อเถิด เด็กบางคนกำลังเตรียมสอบ การอ่านหนังสือไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเด็กบางคน ขนาดลุ้นให้ตัวเองอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้ว พอมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา กิเลสก็จะเอาเป็นข้ออ้างบอกว่าช่วงนี้เรายังไม่พร้อม เรายังทุกข์อยู่ ยังเศร้าอยู่ อย่าเพิ่งอ่านหนังสือเลย แล้วมันก็ชวนให้ไปเล่นไลน์ เล่นเฟสบุ้ค อ้างว่าจะได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับพระราชพิธี หรือว่ารับรู้ถึงความทุกข์เศร้าโศกของผู้คน มันมาชวนมาหลอกให้ทิ้งการอ่านหนังสือไปเล่นเฟสบุ้ค เล่นไลน์ หรือสำหรับพระก็ทิ้งการปฏิบัติ เอาไปเล่น ไปดูไลน์ ไปเล่นเฟสบุ้ค อ้างว่าเพื่อจะได้ติดตามข่าวสาร นานปีจะมีสักครั้ง ชั่วชีวิตนี้ก็มีครั้งนี้ครั้งเดียวแหล่ะ
เพราะฉะนั้นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด กิเลสฉลาดมาก พยายามฉวยทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลงานรื่นเริง เช่นปีใหม่ นานๆจะเกิดขึ้นสักที ใครๆ เขาก็ฉลองกันเราจะมาปฏิบัติทำไม หรือว่าให้รางวัลตัวเองสักหน่อย วันปีใหม่ก็มาถึงแล้ว แทนที่จะลุกขึ้นมาออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้ง อ้าวเราพักสักหน่อย เผลอๆมันยุให้เราให้รางวัลตัวเองด้วยการไปกินเหล้า ไปเที่ยว เวลามีเทศกาลงานรื่นเริง หรือว่ามีงานออกพรรษา กิเลสจะหาเหตุ เพื่อที่จะทำให้เราไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ ซ้ำยังไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำด้วย หรือว่าเวลามีงานเศร้า มีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เช่นในหลวงเสด็จสวรรคต หรือว่าเกิดเหตุวุ่นวายในบ้านเมืองก็แล้วแต่ กิเลสก็จะหาเหตุ จะบอกว่าเราอย่าเพิ่งปฏิบัติเลย อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาออกกำลังกายเลย หรือว่าตอนนี้เราหยุดพักการอ่านหนังสือไว้ชั่วคราว มันจะมีข้ออ้างอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีเหตุร้ายหรือเหตุดีก็ตาม มันฉลาดมากในการฉวยโอกาส
เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปหลงกลมันง่ายๆ ต้องรู้ทัน ถึงแม้ว่าตอนนี้มีความเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ก็อย่าทิ้งการปฏิบัติ เศร้าก็ทำ ไม่เศร้าก็ทำ ดีใจก็ทำ ไม่ดีใจก็ทำ ก็เหมือนกัน เวลาง่วงก็ทำ ไม่ง่วงก็ทำ เบื่อก็ทำ ไม่เบื่อก็ทำ เราจะไม่ยอมให้กิเลสฉวยโอกาส อ้างนู่นอ้างนี่ เพื่อจะทำให้เราเลิกปฏิบัติ ที่จริงยิ่งมีเหตุแบบนี้ขึ้นมา ยิ่งต้องเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำความเพียรมากขึ้น
พระพุทธเจ้าเคยเตือนพระบางรูป พอเจ็บไข้นิดหน่อย อ้างว่าวันนี้สุขภาพไม่ค่อยดี อย่าทำความเพียรเลย เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน กิเลสหาเหตุว่าเราไม่สบาย พระพุทธองค์ทรงตักเตือนว่า ในยามนี้แม้ว่าท่านไม่สบาย ก็ให้ระลึกไว้ว่าวันข้างหน้าจะหนักกว่านี้ ถึงตอนนั้นก็อาจจะทำความเพียรไม่ได้เลย ฉะนั้น ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่สบาย หากยังทำความเพียรได้ ต้องรีบทำ อันนี้เป็นการฉวยโอกาสของฝ่ายธรรมในใจเรา ต้องรู้จักฉวยโอกาส ยิ่งไม่สบายยิ่งต้องรีบทำความเพียรเข้าไปใหญ่ ยิ่งเป็นเหตุผลที่เหมาะสมในการที่จะทำความเพียร เพราะว่าวันข้างหน้า อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำ เวลาไปบิณฑบาต พระบางรูปไม่ได้อาหารอะไรมาเลย กิเลสก็มีข้ออ้างว่า วันนี้เราไม่ได้อาหารบิณฑบาตเลย ก็ควรจะพักก่อน อย่าทำความเพียรเลยมันจะเหนื่อย จะเป็นทุกข์เปล่า ๆ ในทางตรงกันข้าม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้อาหารมา ให้มองว่าดีเหมือนกัน กายเราจะได้โปร่งเบา เหมาะกับการทำความเพียร ยิ่งต้องรีบทำเข้าไปใหญ่
วิธีของชาวพุทธ จะฉวยโอกาสทุกอย่างเพื่อทำความเพียร สวนทางกับกิเลสที่มักจะฉวยโอกาสทุกอย่างเพื่อที่จะเกียจคร้าน ละทิ้งสิ่งที่ควรทำ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ร้อยปีจะมีสักครั้ง กิเลสยิ่งหาเหตุใหญ่ว่า เราอย่าปฏิบัติเลย อย่าทำความเพียรเลย ตอนนี้เรายังเศร้าอยู่ ไม่มีอารมณ์ ให้โอกาสกับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองสักพัก ให้หายเศร้าหายโศกก่อนค่อยทำ ไม่ว่าจะทำความเพียร ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือว่าทำหน้าที่อะไรก็ตามที่มันดีๆ เราก็อย่าไปหลงเชื่อกิเลส เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของกิเลสที่จะฉวยโอกาสทุกอย่าง ผลิตเหตุผล สรรหาเหตุผลที่สวยหรูมาเพื่อล่อให้เราหลง
ยิ่งมีความเศร้าความโศก ยิ่งต้องทำความเพียร เพราะถือว่าหน้าที่ของเราก็ต้องรักษาใจให้เป็นปกติ มีความเศร้าโศกเกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นสิ่งท้าทาย เป็นการบ้านชิ้นใหญ่ที่ยากที่มันสามารถจะฝึกใจให้มีสติมากขึ้น หรือว่าสอนใจให้ไม่ประมาทกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่เสมอว่าให้เราเป็นนักฉวยโอกาส นักภาวนาเป็นนักฉวยโอกาส นี่ก็เป็นโอกาสหนึ่งที่ต้องรีบฉวย ไม่ใช่เปิดช่องให้กิเลส แต่ว่าฉวยโอกาสเพื่อที่จะสร้างตัวรู้ให้เกิดมีขึ้น
ใจเรานี้เป็นเหมือนสมรภูมิ ยื้อแย่งกันระหว่าง กิเลสกับความใฝ่ดี กิเลสพยายามยึดครองใจ แต่ว่าความใฝ่ดีในใจก็ไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ ในใจเราก็เป็นการยื้อยุดกันระหว่างตัวรู้กับตัวหลง ตัวหลงพยายามเข้ามายึดครองจิตใจ ทุกวันนี้ตัวหลงยึดครองชีวิตเรามากกว่าตัวรู้ วันๆ หนึ่งนี้เราปล่อยใจให้อยู่กับความหลงเรียกว่า 80% หรือ 90% ด้วยซ้ำ มากขนาดนั้ทีเดียว เคยมีการศึกษาวิจัย คนที่ทำงานในบริษัทในสำนักงานต่างๆ ก็พบว่า เวลา 8 ชั่วโมง หรือ 7 ชั่วโมงครึ่งที่ทำงาน มีแค่ 20% เท่านั้นที่ผู้คนทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายจริง ๆ อีก 80% ไม่ได้ทำ พาใจลอย ไปนู่น ไปนี่ หรือไปทำในสิ่งที่มันไม่ใช่งานที่ตนเองควรจะทำ เช่นตอบไลน์ ตอบอีเมล์ ตอบข้อความ ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับงานเลย ลืมตัว เขาเรียกว่าหลง ที่รู้ตัว มีแค่ 20% อีก 80% ใจไม่รู้ลอยไปไหน ในเวลาทำงาน ช่วงกลับไปบ้าน มีสิ่งยั่วยุมากมาย โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต สารพัด ผู้คน โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า ยิ่งหลงเข้าไปใหญ่
แม้แต่ชาววัด ถ้าไม่ระวังตัว 80% หมดไปกับความหลง อย่าว่าแต่การใช้ชีวิตตามปกติเลย แม้แต่เวลาเจริญสติ เดินจงกรม สร้างจังหวะ รู้ตัวจริง ๆ ถึง 10% หรือไม่ ที่เหลือ 90% นี้ไปอยู่กับความหลง ใจลอยไม่รู้ไปไหน นี่ขนาดปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติยิ่งเตลิดเปิดเปิงไปแค่ไหน เวลาเราทำวัตรก็เหมือนกัน เวลาทำวัตรเป็นช่วงเวลาที่ปลุกจิตให้ตื่น ให้สว่างด้วยธรรมะ แต่ว่าหลายคนถูกความหลงครอบงำ ใจลอย ปากสวดไป ใจไม่รู้ไปไหน บางทีก็ไปคิดถึงอดีตบ้าง คิดถึงอนาคตบ้าง คิดถึงคนที่เราเกลียดบ้าง คิดถึงคนที่เราห่วงใยบ้าง อย่างตอนนี้ก็อาจจะคิดถึงในหลวง คิดถึงเหตุการณ์บ้านเมือง แม้แต่เวลาธรรม เป็นเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เราควรจะเปิดใจให้สว่างด้วยธรรมะ ความหลงมันก็ยังมาฉวยโอกาสครอบงำจิตใจเราจนมืดก็มี รู้ตัวไม่ถึง 10% เลย เพราะฉะนั้นเราต้องพยายาม
ถ้าเรารักตัวของเราจริง ๆ ก็ต้องพยายามทำให้ตัวรู้เข้ามาสู่จิตใจของเรามาก ๆ บ่อย ๆ ถี่ ๆ ให้ชีวิตประจำวันของเรามันรู้มากกว่าหลง และสิ่งที่เราจะทำให้ตัวรู้นี้มันมีมากขึ้นในจิตใจของเรา และก็มีกำลังเอาชนะตัวหลงได้ ทำให้ความใฝ่ธรรมใฝ่ดีในใจเรามีกำลังจนเอาชนะกิเลสได้ สามารถรู้เท่าทันมันได้ ก็คือสติ สติเป็นสิ่งสำคัญ สติเปรียบเสมือนตาใน ที่ทำให้เรานี้รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันความหลง ความหลงมันเกิดขึ้น มันก็จะครอบใจเรา เช่น ถ้าหลงเพราะมีความโกรธ ความโกรธจะครอบใจเรา ปรุงแต่งในเรื่องที่ทำให้เราโกรธ นึกถึงคนที่เราโกรธ หรือเวลาเศร้า เวลาความเศร้ามันครอบงำใจ มันก็ไม่เห็นอะไรเลย อาจจะนึกถึงแต่คนที่พลัดพรากจากไป คนที่อยู่ต่อหน้าบางทีไม่รับรู้ว่าเขามีอยู่
ภรรยาสูญเสียสามีซึ่งเป็นคนที่ดีมาก เป็นการสูญเสียอย่างกะทันหัน ทำใจไม่ได้เลย เขาป่วยแค่สามสี่เดือนแล้วเขาไป ไม่คิดว่าเขาจะตายด้วยซ้ำ คิดว่าเขาป่วยหนักธรรมดา ก็คิดถึงแต่สามี ทุกวันก็โทรศัพท์ไปหาเบอร์ของสามี อยากจะฟังเสียงที่อัดเอาไว้ ทุกเช้าก็ทำอาหารให้สามี เอาอาหารมาวางไว้บนโต๊ะที่สามีเคยนั่ง ใจมีแต่นึกถึงแต่สามี จนไม่สนใจลูกสาวอายุ ๑๒ เหมือนกับไม่มีลูกสาวอยู่ในบ้านเลย เพราะในใจมีแต่สามีคนเดียว อันนี้เรียกว่าถูกครอบ ถูกครอบด้วยความเศร้า จนกระทั่งไม่รับรู้บุคคล หรือสิ่งที่อยู่ข้างหน้าเลย เปรียบไปเหมือนอยู่ในคุก เป็นคุกที่มีแต่กำแพงล้อมรอบ หรือถ้าเปรียบเป็นบ้าน ก็เป็นบ้านที่มืดทึบ
แต่สติ ช่วยทำให้เราได้เห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวตามความเป็นจริง ถ้าเป็นคุก สติก็เหมือนหน้าต่าง หน้าต่างที่ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่อยู่รอบตัว เห็นโลกกว้าง ไม่ถูกครอบด้วยอารมณ์ จนเหมือนกับถูกขังอยู่ในบ้านหรืออยู่ในคุก คนเราถ้ามีสติมันจะรู้ตัว พอรู้ตัวปุ๊บจะรับรู้โลกที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าไม่รู้ตัว หลง ความหลง หลงเพราะว่าถูกอารมณ์ครอบ เศร้าโศกเสียใจ อาลัย อาวรณ์ โกรธ เกลียด หรือแม้แต่ความฟุ้งซ่าน ใจลอยไหลไปอดีตบ้าง ลอยไปอนาคตบ้าง มันไม่เห็นอะไรเลย โลกทั้งโลกอยู่ข้างหน้าแต่ไม่รับรู้ คนอยู่ข้างหน้า แต่ว่าไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร หรืออย่างถ้าใจลอยตอนนี้ อาจไม่รู้ว่าอาตมาพูดว่าอะไรไป ทั้งๆที่พูดอยู่ต่อหน้า อันนี้เราเรียกว่ามันถูกครอบ แต่พอมีสติปุ๊บ หรือทำให้เกิดความรู้ตัวขึ้นมา เออ เรารับรู้โลกข้างหน้า คนที่อยู่ข้างหน้าเราได้
สตินี้เปรียบเหมือนกับหน้าต่าง แต่ในเวลาเดียวกัน สติก็ทำให้เรารู้ รู้ทัน หรือได้เห็นใจตัวเอง ว่าตอนนี้ใจเราเป็นอย่างไร เรากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีมันคิดโดยไม่ตั้งใจ สตินี้ทำให้เรารู้ว่าเราเผลอคิดเรื่องอะไร ทำให้สังเกตเห็นใจว่า ตอนนี้กำลังเศร้า กำลังโกรธ กำลังโมโห ตอนนี้กำลังฟุ้งซ่าน ทำให้รู้จักตัวเอง พูดง่าย ๆ ในแง่นี้ สติก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กระจก เรามีกระจกเงาเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ส่องหน้าตัวเอง คนทุกวันนี้ใช้กระจกส่องหน้า ดูผม ดูหน้าตา ดูเรือนร่างตัวเองนี่ วันหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้ง เป็นสิบครั้งเหมือนกัน ถ้าอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ในโลกกว้าง โลกปกตินี่ อยู่วัดอาจจะไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ เพราะว่ากระจกมันมีน้อย แต่ที่อื่นกระจกมีให้ดูเยอะ คนสมัยใหม่คนสมัยนี้ดูกระจกเพื่อจะดูหน้าดูตาตัวเองว่าสวยไหม ขี้เหล่ไหม มีเหงื่อเยอะไหม แต่ที่ลืม ลืมดูใจตัวเอง ไม่ค่อยได้ดูใจตัวเอง ดูแต่หน้าตา
ถ้าเรามีสติ สติจะเหมือนกระจกที่ทำให้เราเห็นใจตัวเอง ตอนนี้ใจเราเป็นอย่างไร ฟูหรือแฟบ ดีใจ เสียใจ เศร้า เบื่อ เซ็ง ล้า เหนื่อย รู้แล้วมีประโยชน์อะไร รู้แล้วมันช่วยให้เราละได้ รู้ว่ากำลังโกรธ รู้ว่ากำลังเศร้า รู้ว่ากำลังฟุ้งซ่าน ก็ทำให้ละอารมณ์และความคิดเหล่านั้นได้ สติทำให้เรารู้จักตัวเอง ทำให้เรารู้ตัว จึงเรียกว่ามันเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เป็นทั้งหน้าต่างที่ทำให้เราได้เห็นโลกกว้างตามความเป็นจริง ไม่ถูกปิด ถูกครอบด้วยอารมณ์จนมองไม่เห็นอะไรเลย
ขณะเดียวกันสติก็เป็นเสมือนกระจก ที่ทำให้เห็นตัวเอง แต่ไม่ใช่ที่หน้าตา เห็นลึกไปกว่านั้นคือเห็นจิตใจตัวเอง และมันจะทำให้เราสามารถหลุดจากความเศร้า หลุดจากความทุกข์ได้ คนเราทุกข์ก็เพราะความลืมตัว ทุกข์เพราะความหลงทั้งนั้น พอหลงแล้วกิเลสก็เข้ามาครอบงำได้ง่าย คนเราถ้าไม่หลง กิเลสก็จะชักจูงให้ทำชั่วได้ยาก หรือชักจูงให้ทำความทุกข์กับตัวเองและคนอื่นได้ยาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ หรือไม่อยากสร้างความทุกข์ให้กับใคร หรือไม่อยากทำสิ่งที่ชั่วร้ายนี่ ก็ต้องอย่าปล่อยให้ความหลงมาครอบงำ
วิธีที่จะทำให้ความหลงมาครอบงำใจเราไม่ได้ก็คือ หาสิ่งตรงข้ามคือตัวรู้ ความรู้สึกตัว หรือว่าความรู้ตัวทั่วพร้อมนี้เรียกไม่ค่อยเหมือนกันทีเดียว แต่ก็ความหมายคล้าย ๆ กัน ความหมายเดียวกัน ทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้ ข่าวสารบ้านเมือง เหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นเรื่องหนักๆ เรื่องที่มากระทบแรงๆ ไม่เคยเจอในชีวิตนี้ เกิดมา 60-70 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ในหลวงจะเสด็จสวรรคต มันมากระแทกใจอย่างแรง ทำให้จิตใจรู้สึกอ้างว้าง เศร้าโศก อาลัย ก็ต้องยิ่งเห็นความสำคัญ เห็นความจำเป็นของการสร้างความรู้สึกตัวให้มีขึ้น
เศร้าได้แต่ว่าอย่าเป็นผู้เศร้า เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็น คนเราห้ามความโกรธไม่ได้ แต่ว่าเมื่อความโกรธเกิดขั้น ก็เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็น ความคิดฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน เราห้ามไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของจิต แต่ว่ามันคิดฟุ้งซ่านทีไร เราก็เห็นมัน ไม่เข้าไปเป็นมัน ความกลัวก็เหมือนกัน ความกลัวเกิดขึ้น ตราบใดที่เราเป็นปุถุชนอยู่ ก็ต้องมีความกลัว แต่มันเกิดขึ้น เราห้ามมันไม่ได้ เพราะว่าเรายังเป็นปุถุชนอยู่ยังมีอวิชชา บางครั้งก็ยังเผลอคิดในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็เลยเกิดความกลัว เกิดความวิตก เกิดความกระวนกระวาย แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราทำได้คือเห็นมัน รู้ทันมัน ไม่เข้าไปเป็นมัน อันนี้แหละคือการบ้านหรือแบบฝึกหัดที่เราจะต้องพยายามทำอยู่เสมอ แล้วก็ผ่านไปให้ได้
ตอนนี้เราก็เจอการบ้านยาก ๆ บ้าง เจอการบ้านง่าย ๆ หรือว่าเจอการบ้านที่คุ้นเคยมาเยอะแล้ว การบ้านที่ไม่คุ้นเคย มันก็มาหาเรา เราก็ต้องยินดีต้อนรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่จะมาช่วยให้เราฉลาด เป็นสิ่งมาช่วยทำให้เราเกิดปัญญา เป็นสิ่งที่มาช่วยให้เราเกิดความรู้สึกตัว ทำให้เรารู้ รู้ทางของกิเลส รู้ทางของความหลง ที่จะเข้ามาจู่โจม เข้ามาครอบงำจิตใจของเรา เราก็ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส แต่ว่าไม่ให้กิเลสฉวยโอกาส ใช้เป็นข้ออ้างในการที่จะครอบงำจิตใจของเรา หรือปล่อยให้เราจมอยู่ในความทุกข์ ความหลงตัวลืมตน ตั้งสติให้ดี อารมณ์ใดเกิดขึ้นกับใจก็รู้ทัน ความคิดใดเกิดขึ้นก็ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ ใจเผลอคิดนู่นคิดนี่ อ้าวกลับมามีสติ
ถึงเวลาที่เราจะต้องเร่งทำความเพียร เป็นช่วงเวลาหรือเป็นโอกาสที่เราต้องรีบฉวย เพื่อทำความรู้สึกตัวให้เกิดมีขึ้น นี่ก็คือเป็นวิธีการที่เราจะสืบต่อศาสนา และก็สืบต่อปณิธานของในหลวงทางหนึ่ง นอกจากการทำกิจทำหน้าที่ สร้างสรรค์ประโยชน์ ทำคุณงามความดีแล้วก็อย่าลืมทำจิตซึ่งจะทำให้การทำกิจของเราเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม