แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้มีโอกาสเข้าไปในเรือนจำภูเขียว ไปกับคณะผู้พิพากษาจากกรุงเทพ เพื่อไปดูสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง สภาพที่เห็นนี้ก็คงไม่ต่างจากเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศ ก็คือ แม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ก็แออัด มีคนอยู่ก็ประมาณพันสาม ห้องหนึ่งก็ไม่ได้ใหญ่นัก แต่ว่าแทบจะไม่มีที่ว่างเลยสำหรับการนอน คือ ต้องนอนกันเบียดๆ กุฏิพระนี้เรียกว่าเป็นสวรรค์เลยเพราะว่าอยู่กันรูปเดียว กลายเป็นโอ่โถงไปเลย
ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับผู้ต้องขังหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักโทษเด็ดขาด เพราะว่าตัดสินเรียบร้อยแล้ว คนหนึ่งก็บอกว่าเขาถูกจับก็เพราะว่าถูกข้อหาให้ที่พักพิงแก่ผู้ค้ายา เขาก็บอกว่าจริงๆ ผู้ค้ายาคนนั้นหนีตำรวจมา แล้วก็มาหลบที่บ้านเขาแค่ ๒๐ นาที แล้วก็ถูกตำรวจจับได้ เขาเองโดนตัดสินจำคุก 5 ปี ส่วนผู้ค้ายาโดน 4 ปี ที่โดนน้อยกว่า เพราะว่าสารภาพ แต่เขาสู้คดีเพราะว่าไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ผู้ร้ายหนีมาแล้วก็มาหลบที่บ้านเขา แต่สำนวนของตำรวจก็บอกว่า ผู้ค้ายาเอายามาแบ่ง มาพักที่บ้านเขาแล้วก็แบ่งยา หมายถึงแบ่งยาเป็นลอตเล็กๆ ที่บ้านเขา สำนวนของตำรวจกับคำพูดของเขานี่มันคนละเรื่องกันเลย
อีกคนหนึ่งก็บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับยาเลย แต่ว่าถูกตำรวจยัดยา 5 เม็ด แล้วก็บอกว่ามีการล่อซื้อด้วย มีหลักฐานชัดเจน เงินตำรวจที่ใช้ในการล่อซื้อ อันนี้เป็นสำนวนที่ตำรวจทำ แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แค่มาบ้านวันสงกรานต์ 3 วันก็โดนตำรวจจับไปแล้ว ก็โดนไป 4-5 ปี อีกคนหนึ่งเล่าว่า โดนข้อหาฉ้อโกงเนื่องจากพี่สาวยืมเงินคนไปหลายราย รวมแล้วทั้งหมดก็ 13 ล้านบาท แล้วหนี โจทย์ก็เลยรวมหัวกันฟ้องเขากับแม่ กล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดด้วยก็โดนไป 5 ปีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่หาเงินมาคืนได้ครบ แต่ลดหย่อนผ่อนโทษจาก 8 ปี เหลือ 5 ปี อันนี้ก็เป็นปากคำของคนที่อยู่ในคุก
ที่เขาเล่าก็จะแตกต่างจากสำนวนที่ตำรวจทำ เรียกว่าคนละเรื่องกันเลย ความจริงเป็นอย่างไรนี้ก็สุดแท้แต่ผู้เล่า แต่สิ่งที่นักโทษพูดมานี้ มันคล้ายๆ กับเรื่องที่เราได้ยินมาเป็นเวลาหลายปี ก็คือว่าในคุกนี้ก็มีคนบริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกจับกุมคุมขังไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเรื่องคดียาเสพติด จับแล้วมีการยัดยาเป็นหลักฐาน ลองมานึกดูถ้าเกิดว่าเราต้องมาเจอแบบนี้บ้าง ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรแต่ก็โดนจับถูกยัดข้อหา แล้วก็สุดท้ายก็ถูกศาลจำคุก ก็คงจะมีความทุกข์ใจไม่น้อย แต่จะว่าไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนเรา บ่อยครั้งมันก็ไม่น่าจะเกิด มันไม่สมควรจะเกิด แต่มันก็เกิดจนได้ อาจจะไม่ใช่การติดคุก อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดความเจ็บป่วย บางคนดูแลสุขภาพดี ไม่แตะต้องหรือว่าพยายามไม่แตะต้องอาหารที่มีสารพิษหรือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ กินอาหารชีวจิต แมคโครไบโอติกส์ ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ก็ยังเป็นมะเร็ง ขณะที่คนซึ่งสูบบุหรี่กินเหล้า มีอายุยืนถึง 70-80 ปี อุบัติเหตุก็เหมือนกัน มันไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้นได้
ในชีวิตของคนเราก็จะมีเหตุร้ายทำนองนี้อยู่ไม่มากก็น้อยในชั่วชีวิตของคนเรา เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร ถ้าหากว่าเราตีโพยตีพาย คร่ำครวญ โกรธแค้น ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะว่าเกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน โดยรักษาใจไม่ให้ทุกข์ อย่าไปให้ความคิดว่าไม่น่าเลย ๆ มารบกวนจิตใจ เพราะถ้าคิดแบบนี้มันจะทุกข์มาก คนเราทุกข์เพราะคำว่าไม่น่าจะ ฉันไม่น่าเจอแบบนี้ ฉันไม่น่าทำแบบนี้ หรือเขาไม่น่าทำกับฉันอย่างนี้ ความคิดแบบนี้มันทำร้ายจิตใจหรือว่าสร้างความทุกข์ให้กับเรามากทีเดียว
อย่างคนที่ติดคุก ก็ได้บอกเขาไปว่า แม้ว่าเราจะถูกจับเข้าคุก แต่ก็ขอให้คุกมันแค่ขังกายเราเท่านั้น อย่าให้ใจเราติดคุกไปด้วย คุกมีหลายชนิด ชนิดที่เห็นได้ชัดก็คือ คุกที่ก่อด้วยอิฐหรือว่าสร้างด้วยปูน คุกอันนี้ขังกายเรา ทำให้ไปไหนไม่ได้หรือว่าหมดอิสรภาพ แต่ว่าคุกที่น่ากลัวกว่านั้น เป็นคุกที่มองไม่เห็น มันขังใจเรา หลายคนแม้ว่าจะถูกคุกคุมขังร่างกายไว้แต่ว่าจิตใจเขาเป็นอิสระ เขาสามารถจะอยู่ในคุกอย่างมีความสุขได้
เราคงได้ฟังเรื่องของมหาตมะ คานธี หรืออย่าง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง คนเหล่านี้ติดคุกเป็นสิบครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไร ที่จริงเขาก็เต็มใจที่จะเข้าคุกด้วย เพราะฝ่าฝืนกฎหมายที่มันไม่เป็นธรรมในเวลานั้น เขาอยู่ในคุก คุกก็ขังแค่กาย แต่ใจเขาก็คิดจินตนาการสร้างสรรค์ต่างๆ ได้มากมายในคุก คานธีใช้เป็นโอกาสทำสมาธิปฏิบัติธรรม บางคนก็ใช้คุกเป็นที่สงบสงัดเขียนหนังสือ หรือว่าใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิต หรือเกี่ยวกับอนาคตของประเทศชาติ อย่างเนลสัน แมนเดลา ติดคุก 27 ปี พอออกจากคุก มีความคิดมีไฟที่จะทำอะไรให้กับประเทศชาติมาก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุก็ราว ๆ 70 หรือว่าเจ็ดสิบกว่าแล้ว แล้วก็ใช้ความคิดสร้างสรรค์นำพาประเทศหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองระหว่างคนผิวสีได้ แอฟริกาใต้เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว คนกลัวกันมากว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะว่าความขัดแย้งระหว่างผิวสีมีมาก แต่ว่าแมนเดลา ก็หลีกเลี่ยงได้ เขาได้เรียนรู้อะไรมากมายจากช่วงเวลาที่อยู่ในคุก นี่เป็นตัวอย่างของคนที่คุกขังได้แต่กาย แต่ว่าใจก็เป็นอิสระ
มีคนหนึ่งเป็นมือปืนรับจ้าง ฆ่าคนมาหลายคนจนกระทั่งรายสุดท้ายนี้ไปฆ่าผู้หญิง ถูกจ้างมาให้ฆ่าผู้หญิง ฆ่าเสร็จก็หนี ตอนที่หนี ก็ทุกข์ทรมาน ทุกข์กายไม่เท่าไหร่แต่ทุกข์ใจมาก ตอนหลังมอบตัวเพราะรู้สึกผิด มันได้คิดตอนที่ฆ่าผู้หญิง เขาบอกตอนที่หนีตำรวจ สองวันนี้แม้ว่าตัวเป็นอิสระแต่ว่าใจมันทุกข์มาก ก็เลยมอบตัว มอบตัวถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แล้วตอนหลังก็ลดโทษ เขาบอกว่าอยู่ในคุกนี้สบายใจ เขาพูดเล่นในทำนองว่า ตอนที่หนีมาสองวันกินข้าวมื้อเดียว แต่อยู่ในคุก ทุกวันมีข้าวกิน 3 มื้อ คือเขาพูดด้วยความสบายใจ สบายใจที่ได้ชดใช้ความผิด รู้ว่าผิดก็ยอมมอบตัว แล้วก็รับโทษทัณฑ์ด้วยความเต็มใจ ถือเป็นการชดใช้ความผิด แล้วเขาอยู่ในคุกอย่างมีความสุขพอสมควร เพราะว่าใจมันไม่มีความรู้สึกผิดติดค้างเท่าไร ยิ่งตอนหลังมาทำกิจกรรมที่เรียกว่าปั้นพระ มีคนเอาโครงการนี้ไปให้คนคุกทำ แล้วคนที่ติดคุกเขาก็มีความสุข พอได้ปั้นพระจิตใจเขาก็สบาย ใจก็เป็นบุญเป็นกุศล ก็เรียกว่ามีความสุข แม้ว่าตัวจะติดคุก
อันนี้ดีกว่าคนที่ข้างนอกเป็นอิสระ ไม่มีคุกขังกาย ไปไหนมาไหนก็ได้ แต่ว่าใจมันถูกขัง คุกของใจนี่มองไม่เห็น มันสร้างความทุกข์ทรมานมาก มันได้แก่อะไร อารมณ์ ความโกรธ ความเคียดแค้นพยาบาท ความเศร้า ความรู้สึกผิด เป็นคุกของใจที่แน่นหนามาก มันทำให้คนเราไม่สามารถที่จะมองไปข้างหน้าได้ ไม่สามารถจะมีความสุขเหมือนคนอื่นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการที่จิตไปหลงติดอยู่กับอดีต อดีตอาจจะมีเหตุการณ์ทำให้เคียดแค้น ถูกทำร้าย ถูกโกง บางคนนี่ถูกโกงเงินไป 3 หมื่น สิบปีแล้วยังไม่หายแค้น ไม่หายโกรธ เวลามาปรึกษาก็จะพูดแต่เรื่องนี้แหล่ะ ทั้งๆ ที่กินอิ่มนอนอุ่น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไร ทั้งๆ ที่เงินที่หามาได้หลังจากนั้นมากกว่า 3 หมื่นไม่รู้กี่เท่า แต่ใจเขาก็ยังจมอยู่กับความโกรธ เขาหารู้ไม่ว่า ความโกรธมันทำให้เขาทุกข์ ทำให้ความสุขเขาหายไป ถ้าตีค่าเป็นตัวเงิน มันก็คงเป็นแสนเป็นล้านแล้ว มากกว่าเงินที่เขาถูกโกงเสียอีก
บางคนก็จมอยู่ในความเศร้า อาจจะเป็นเพราะในอดีตถูกพ่อแม่กระทำ ไม่ให้ความเป็นธรรม หรือว่าเป็นเพราะว่าชีวิตตกระกำลำบาก ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังจมอยู่กับความเศร้า ใจที่จมอยู่กับอดีต มันก็เหมือนใจที่ติดคุก มันสร้างความทุกข์ยิ่งกว่าคนที่เขาอยู่ในคุก แต่ว่าใจเขาเป็นอิสระ ความรู้สึกผิดก็เป็นอีกอันหนึ่ง มันเป็นเหมือนทุกข์ที่ขังใจเราเอาไว้ ไม่สามารถจะเปิดรับความสุขต่างๆ ได้ มีผู้ชายคนหนึ่งแม่ป่วยเป็นเบาหวาน เขาก็ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าหมกหมุ่นกับงานหรือเพลินกับการสนุกสนาน หรือจะคิดว่าแม่ยังจะอยู่ได้อีกนาน แต่พอแม่ตาย เขาก็เสียใจ รู้สึกผิด แล้วก็พยายามทำร้ายตัวเอง ต่อมาเป็นเบาหวานเขาก็ไม่ยอมกินยา ไปหาหมอ หมอให้ยา แต่ไม่ยอมกิน ร่างกายก็ทรุดลงไปเรื่อย ๆ หมอก็ด่าทำไมไม่กินยา แต่พยาบาลเห็นผิดสังเกตุก็เลยไปพูดคุยซักถาม ก็เลยรู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดที่ปล่อยให้แม่ตายเพราะเบาหวาน ก็เลยคิดว่าถ้าตัวเองตายเพราะเบาหวานบ้าง มันจะเป็นการชดเชยความผิด อันนี้เขาเรียกว่าไม่ฉลาด แก้ปัญหาอย่างไม่ฉลาด เพราะว่าใจเขาจมอยู่กับความรู้สึกผิด
ที่จริงคุกของใจที่มันน่ากลัวกว่านั้นก็คือ กิเลส ความโลภ ความอยาก คนเราถ้าติดหลงในทรัพย์ หรือว่ามีความโลภในวัตถุ มันก็เหมือนติดคุก มันคิดแต่เรื่องของการหาเงินหาทอง แล้วก็เวลาเงินทองร่อยหรอหรือสูญเสียไปก็ทุกข์ เสียดาย กลุ้มใจ ตัณหา อุปาทานเป็นคุกของใจที่มันน่ากลัวมาก ซึ่งอันนี้ก็มีกันทุกคน คนเราถ้าตราบใดที่ยังปล่อยให้ตัณหา อุปาทานมันแน่นหนา ก็เหมือนกับว่าติดคุกที่แน่นหนา ไม่สามารถที่จะมีความสุขกับอะไรได้ง่ายๆ มันรุ่มร้อน
อุปาทานก็คือความยึดติด ยึดติดในทรัพย์ ยึดติดในชื่อเสียง ยึดติดในหน้าตา หรือแม้กระทั่งยึดติดในความคิด เราไปยึดมัน มันก็ยึดเราเลย คนที่หลงในเงิน เงินเป็นของกู ทันทีเลยเรากลายเป็นของมันเลย เราไปยึดอะไรก็แล้วแต่ คิดว่าเป็นของกูๆ เมื่อไร เราเป็นของมันทันทีเลย แม้แต่ความคิดอุดมการณ์ก็ขังใจเราได้ คือทำให้ความคิดคับแคบ ใครที่คิดต่างจากเรา ก็เห็นเขาเป็นศัตรู หรือเกลียดชังเขา ไม่เปิดรับสิ่งที่จะทำให้เรามีปัญญามากขึ้น อันนี้คือทุกข์ของใจที่เกิดกับทุกคนก็ว่าได้ เกิดกับพวกเรากันทั้งนั้น น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการมีความสุข ต้องการให้ใจมีอิสระก็ต้องพยายามรู้เท่าทันเสียก่อนว่ามันมีคุกชนิดนี้
คุกที่น่ากลัวคือคุกที่มองไม่เห็น คุกที่เราคิดว่ามันไม่มี คุกที่สร้างด้วยอิฐก่อด้วยปูนมันไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไร เพราะว่ามันขังได้แต่ร่างกาย อีกอย่างหนึ่งเราก็รู้ว่ามันเป็นคุก เราก็พยายามที่จะมาปรับตัวปรับใจไม่ให้ทุกข์ แม้จะถูกขังอยู่ก็ตาม แต่ถ้ามันมีคุกแล้วเราไม่รู้ว่า มันคือคุก ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ อันนี้น่ากลัวกว่า เพราะว่ามันทำให้เราประมาท ทำให้เราตายใจ ฉะนั้น การที่เราตระหนักเสียก่อนว่ามันมีคุกอย่างนี้อยู่ คุกที่ขังใจเราเอาไว้ ที่ทำให้ไม่เป็นอิสระ บางทีมันเป็นเหมือนกับคุกที่ทำด้วยกระจก ดูอย่างนกที่หลงเข้าไปในศาลา มันก็พยายามออก มันเห็นหน้าต่าง มันก็พยายามออกไปทางนั้นแหล่ะ มันก็ชนหน้าต่าง แล้วมันก็พยายามบินแต่ก็ไปแต่ทางนั้น ทั้งที่หน้าต่างปิด มันเห็นแสงสว่างมาทางนั้น ก็นึกว่ามันเป็นที่โล่ง ก็บินเข้าไปชนหน้าต่าง ที่จริงประตูเปิด แต่มันไม่ไป มันจะไปแต่ทางหน้าต่างซึ่งปิด อันนี้ก็คงเหมือนคนเรา ถูกขังอยู่ในคุกที่มองไม่เห็น ก็พยายามฝ่าออกไปแต่ฝ่าไม่ได้
ก็เหมือนคน คนที่ต้องการให้ใจมีอิสระ แต่ว่าถ้ายังปล่อยให้ใจมันหลงจมอยู่กับกิเลส ตัณหา อุปาทาน ความยึดติดถือมั่น มันก็ไม่เป็นอิสระสักที แล้วก็บ่นว่าไม่มีความสุข ๆ แล้วไปคิดว่าที่ไม่มีความสุขเพราะยังมีเงินน้อยไป ก็หาเงิน ๆ ๆ ได้เท่าไรก็ยังไม่มีความสุข ยังคิดว่ายังสุขน้อยไป ก็เลยดิ้นรนหาอีก ไม่ต่างจากนกที่มันบินชนหน้าต่าง ที่มันคิดแต่ว่านี่แหละคือความสุข นี่แหละคืออิสระ บินชนเท่าไรก็ไม่เป็นอิสระสักที เพราะมันไม่รู้ มันไม่ตระหนักว่า นั้นคือสิ่งที่ขังมันเอาไว้ มีทางออกแต่มันไม่สนใจ เพราะปักใจเชื่อแต่ว่าออกทางนี้แหล่ะ ฉะนั้น คนฉลาด แต่ชีวิตไม่พบความสุข จิตไม่เป็นอิสระก็เพราะไปหลงคิดแต่ว่าไม่มีความสุขเพราะยังมีเงินน้อยไป ขนาดมีเป็นพันล้านหรือหมื่นล้านแล้ว ก็ยังคิดว่าถ้ามีมากกว่านี้แล้วจะมีความสุข ความคิดแบบนี้มันขังตัวเอง ทำให้ไม่สามารถที่จะมองหาทางออกทางอื่นได้ เพราะฉะนั้น ต้องระวังคุกของใจ เราก็ต้องหมั่นสำรวจตรวจสอบใจของเราว่า เรามีความหลงความยึดอะไรไหม สิ่งที่มีเสน่ห์มันชวนให้เราหลงใหล ร้อยทั้งร้อยเลยมันกลายเป็นคุกที่ขังใจเราเอาไว้ เพราะถ้าเราเข้าไปยึดมัน มันก็ยึดเราทันทีเลย ก็ขาดอิสระ
นอกจาก คุกของกาย คุกของใจ คุกที่ทำด้วยอิฐและปูน คุกที่เป็นตัวกิเลสและอารมณ์ ยังมีคุกอีกชนิดหนึ่ง เป็นคุกที่ทำด้วยเนื้อ คือ บางครั้งร่างกายเราก็สามารถจะเป็นคุกขังเราได้ คนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต นอนติดเตียง หรือคนที่ป่วยด้วยโรคบางชนิดที่ทำให้ร่างกายขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ แต่สมองยังเหมือนคนทั่วไป เป็นคุกชนิดหนึ่ง คนเราก็มีโอกาสที่จะติดคุกชนิดนี้ได้ บางคนพอป่วยเพราะโรคหลอดเลือดสมองหรือเส้นเลือดในสมองแตกเป็นอัมพฤกษ์เป็นอัมพาต ร่างกายกลายเป็นคุกเลย หรือบางคนอาจจะเกิดอุบัติเหตุ เส้นประสาทตั้งแต่คอลงมาขาด ร่างกายก็เป็นคุกทันทีเลย ไปไหนไม่ได้ หรือที่หนักกว่านั้น เขาเรียกว่าโรคล็อกอินซินโดรม คือโรคที่ประสาทในร่างกายเสียหมดเลย อาจจะเกิดจากการกระทบกระแทกจากอุบัติเหตุรถยนต์ ไม่สามารถจะขยับเนื้อขยับตัวได้ ไม่สามารถแม้แต่จะพูดได้ อาจจะกลืนกินอาหารได้ หลับตาลืมตาได้ แต่ทำอย่างอื่นไม่ได้ มดกัดก็ปัดไม่ได้ ยุงกัดก็ต้องทนเอา จะบอกสุขบอกทุกข์ จะเล่าอะไรให้ใครฟังก็เล่าไม่ได้ อันนี้น่ากลัวมาก มีคนเป็นโรคนี้เยอะ แต่บางคนก็พบว่า ร่างกายแม้จะถูกขังด้วยตัวเอง แต่ใจก็เป็นอิสระได้
มีนักเขียนคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส เจอโรคนี้เข้าไป ขณะที่อายุยังแค่ 40 กว่า แต่เขาก็สามารถเขียนหนังสือได้ด้วยการกระพริบตา ให้พี่เลี้ยงจดทีละอักษร ๆ เขาเขียนจนเป็นหนังสือเล่มที่ขายดี ไม่มีน้ำเสียงของความทุกข์ ก่นด่าชะตากรรม มีแต่อารมณ์ขัน นับว่าเก่งทีเดียว ทั้งๆ ที่ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม แต่เขาก็รักษาใจไว้ได้
บางทีเราก็ต้องเผื่อไว้ว่าอาจจะต้องเจอแบบนี้ อาจจะไม่ถึงขั้นโรคล็อกอินซินโดรม แต่พอเจอโรคอัมพาตหรือพิการ ร่างกายกลายเป็นคุกขังเราทันทีเลย มันขังได้แต่กาย แต่ไม่สามารถขังใจได้ ถ้าเราไม่ยอมร่วมมือด้วย ถ้าเราฝึกจิตฝึกใจเอาไว้ เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ยอมรับมัน การไม่ยอมรับ การปฏิเสธการผลักไสในสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เป็นคุกแบบหนึ่ง
มีผู้ป่วยมะเร็งซึ่งตอนนี้ก็ตายไปแล้ว เธอเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะชนิดที่เกิดขึ้นกับคนแก่ส่วนใหญ่ ตอนที่เป็นเธอทุกข์มาก อายุเพิ่งสามสิบ ชีวิตก็กำลังรุ่งโรจน์ เหวี่ยงวีนใส่หมอใส่คนรอบข้าง แต่ตอนหลังใจก็สงบเมื่อหันมาปฏิบัติธรรม หันมาดูจิตดูใจของตัว ก็พบว่ามะเร็งมันไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่มันไม่ยอมรับความจริง เธอเขียนไว้ว่า ความจริงบางครั้งมันโหดร้าย แต่สิ่งที่โหดร้ายกว่าคือการไม่ยอมรับความจริง
การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่าเพราะมันเป็นคุกที่ขังใจเราไว้ ไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นตัวที่ขังใจเราได้เหมือนกัน นอกจากใจที่มันไปติดไปจมอยู่กับอดีต หรือใจที่มันไปห่วงพะวงหรือว่ากังวลกับอนาคต อดีตก็เป็นคุกขังใจได้ อนาคตที่ปรุงแต่งสร้างภาพมโนขึ้นมา ก็เป็นคุกขังใจได้ กิเลส ตัณหา อุปาทานก็เป็นคุกขังใจได้ แต่ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถจะลดหรือเลิกละกิเลส ตัณหา อุปาทาน ยังเป็นปุถุชน แต่เราก็สามารถฝึกใจให้ยอมรับความจริงที่เจ็บปวดได้ เมื่อเรายอมรับ เราไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย มันก็เหมือนก้าวออกจากคุกแล้ว
คุกที่ขังใจเราอย่างหนึ่งก็คือ คุกที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บความป่วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ความสูญเสีย หรือแม้กระทั่งเวลาต้องเจอคนที่ไม่ชอบ เจองานที่ไม่ถนัด หรือเยอะ หลายคนตัวเป็นอิสระแต่ใจมันอยู่ในคุก เพราะว่าไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นหรือที่ปรากฏแก่ตัว แต่พอยอมรับมันได้ปั๊บ ใจมันโปร่งโล่งเลย แล้วก็สามารถจะมองไปข้างหน้าได้