แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ได้พลิกอ่านหนังสือพิมพ์ เจอข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ต่างกรรมต่างวาระกัน หลายแห่ง ไม่ใช่เป็นข่าวอุบัติเหตุที่เราเคยได้ยินทั่วๆไป เช่น รถชน รถคว่ำ อย่างที่มักจะได้ยินในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่เพราะว่าไม่ใช่เป็นข่าวที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ก็เลยกลายเป็นข่าวดัง
อย่างข่าวแรก เป็นข่าวที่คนไทยไปพลัดตกหน้าผาที่ภูฐาน ขณะที่ไปเที่ยว จะเรียกว่าไปแสวงบุญก็ได้ ที่วัดทักซัง หรือตักซัง ซึ่งเป็นวัดสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภูฐาน แล้วก็มีทัศนียภาพที่สวยงาม อยู่บนเขา ไปยาก ต้องเดินกันหลายชั่วโมง คนไทยก็ไปถ่ายรูป โดยเลือกเอาตรงมุมที่คิดว่าจะถ่ายรูปได้สวยที่สุด แต่ก็เป็นมุมที่ไม่มีรั้วกั้น ไม่ทราบว่าถ่ายรูปเอง หรือว่าคนอื่นถ่าย ก็เกิดพลัดตกลงไปในหน้าผา ในช่วงใกล้ๆวันปีใหม่ ก็ถึงแก่ความตาย ก่อนหน้านั้น ก็มีข่าว รถที่ไปจอดรถที่ห้างสรรพสินค้า แล้วก็กำลังลงมา ที่จอดรถก็สูงหลายชั้น 7-8 ชั้นได้ ขณะที่ลงมา ก็ปรากฎว่า ไปเหยียบ จะเรียกว่าเหยียบคันเร่ง ก็ไม่เชิง แต่เอาเป็นว่า แทนที่จะเหยียบเบรค แต่ปรากฎว่าคันเร่งกลับทำงาน รถก็เลยพุ่งไปชนรั้ว แล้วก็ตกลงไป สูงจากพื้นดิน 7-8 ชั้น ตกลงไปก็ถึงแก่ความตาย
แล้วก็ช่วงเดียวกัน ปีใหม่นี้ ก็ได้ข่าว คนญี่ปุ่นเขามีประเพณีกินขนมโมจิ โมจิญี่ปุ่น กับโมจิไทยหรือที่นครสวรรค์ ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว ชื่อเหมือนกัน ปรากฎว่า มีคนตายเพราะว่าโมจิติดคอ ถึง 9 คน 10 คน ตายเพราะโมจิติดคอ ข่าวนี้ก็อาจเป็นข่าวเล็กๆ แต่ว่าก็ชวนคิดเหมือนกัน เพราะว่าทั้ง 3 ข่าว ก็เป็นเรื่องของความพลั้งเผลอ ความเผอเรอ คนหนึ่งก็ตกหน้าผาตาย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็ กินอาหาร กินขนม ที่เชื่อว่าจะทำให้เกิดศิริมงคล ก็ปรากฎว่ากลายเป็นอุปกรณ์สังหาร ทำให้ถึงแก่ความตาย ถ้าเกิดเหตุแค่คนสองคน ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่เกิดขึ้นเป็นสิบเลย
ในกรณีที่รถพุ่งชน ตกลงมาจากที่จอดรถ ก็น่าสนใจ เพราะว่าในที่สุดก็พบว่า มีขวดน้ำไปอยู่ใต้คันเบรค ก็ไม่ควรจะไปอยู่ตรงนั้น แต่ว่าก็คงจะไหลกลิ้งไปตอนที่รถลาดลงมา ขับรถลาดลงมา เพื่อที่จะลงจากที่จอดรถ ก็ไปขัดอยู่ใต้คันเบรค เจ้าตัวซึ่งเป็นผู้หญิง พอจะเหยียบเบรค ปรากฎว่าเหยียบไม่ได้ แถมส่วนหัวของขวดก็ไปเกยอยู่บนคันเร่ง นั่นก็หมายความว่าพอเหยียบเบรค นอกจากเบรคไม่ทำงานแล้ว ขวดก็ดันไปกดคันเร่งเอาไว้ ก็ทำให้รถเร่งความเร็ว เจ้าตัวก็คงจะตกใจ พอเห็นรถเร่งเร็ว ตกใจ ทำไง ตกใจก็เหยียบเบรค แต่พอยิ่งเหยียบเบรค ก็ยิ่งไปทำให้คันเร่งถูกกดมากขึ้น ก็เลย กลายเป็นว่า รถพุ่งตกลงไป กระแทกกับพื้นดิน คนขับก็ตาย
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นเรื่องของสติ นี่สำคัญมากทีเดียว เป็นเพราะว่าพอขาดสติแล้ว ไม่ว่าเวลากินขนมโมจิ หรือว่าเวลาถ่ายรูปแล้ว ก็เกิดความพลั้งพลาด เผอเรอ ขึ้นมาได้ คนที่ขับรถก็เหมือนกัน พอเขาตั้งใจเหยียบเบรค แต่ว่ากลับไปทำให้รถพุ่งเร็วขึ้น ความที่ตกใจ ก็เลยทำให้เหยียบเบรคหนักกว่าเดิม ก็ทำให้คันเร่งถูกกดมากขึ้น ถ้าเขามีสติ ก็อาจจะเปลี่ยนใจ ตัดสินใจ ไม่เหยียบเบรค แต่ว่าทำให้รถหยุดเสีย เช่นดึงกุญแจรถ หรือว่าปิดเครื่อง ดับเครื่อง ก็จะช่วยทำให้ไม่ตกลงไป กระแทกกับพื้นดินตายได้ ในยามวิกฤติแบบนี้ คนส่วนใหญ่ก็ตกใจ สติที่มีก็ไม่พอที่จะมาใช้รับมือกับเหตุการณ์ได้ รถยนต์แทนที่จะเป็นเครื่องมือที่พาเราไปไหนต่อไหน กลับพาผู้คน หรือคนบางคน ไปสู่ความตายได้
กรณีที่ว่ามานี้ ก็แตกต่างจากข่าวอุบัติเหตุที่เราได้ยินกันทั่วไป เพราะว่าอุบัติเหตุที่เราได้ยินส่วนใหญ่ เป็นเพราะความเมามาย ความเมา กินเหล้าเมา เมาแล้วขับรถ ก็เลยคว่ำบ้าง ชนต้นไม้บ้าง อย่างที่ครูที่บ้านตาดรินทอง ขับรถชนต้นไม้ตาย เพราะความเมา เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ว่าทั้งสามกรณีที่พูดมานี้ ก็ไม่ได้มีความเมา แต่ว่า ไม่มีสติ ก็เลยทำให้พลั้งเผลอ พลั้งพลาด จนเกิดเหตุร้ายขึ้น หรือว่าพอมีความพลั้งพลาดแล้ว สติมาไม่ทัน ก็ยิ่งทำให้แย่หนักขึ้น รถยนต์หรือว่าหน้าผา ที่จริงก็มีอันตราย แต่ว่าโมจิไม่น่าจะมีอันตรายเลย แต่ก็กลับทำให้มีคนตายได้ เพราะไม่มีสติ
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาข่าวแบบนี้ ก็จะพบว่า สติสำคัญมาก สำคัญถึงขั้นความเป็นความตายเลยทีเดียว ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหตุการณ์ในชีวิตปกติ ขับรถก็ดี ขับรถออกจากที่จอดรถก็ดี กินขนมก็ดี เป็นเหตุการณ์ที่แสนจะธรรมดาสามัญมาก แต่พอไม่มีสติเสียแล้ว ก็อาจทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ถึงขั้นล้มหายตายจากได้ แต่ถึงแม้คนเราจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบนั้น อาจจะไม่เจอในเหตุการณ์แบบนั้น แต่ว่าก็จะมีเหตุการณ์ใหญ่น้อยมากมาย ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ซึ่งทำให้เราเกิดความทุกข์ เกิดความกลุ้มอกกลุ้มใจ สติที่มีก็ไม่พอเหมือนกัน ในการที่จะรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่คอขาดบาดตาย หรือร้ายแรงอะไร ที่จริงคนเราหากตระหนักว่า เหตุการณ์ที่เป็นวิกฤติ หรือคอขาดบาดตาย หรือล่อแหลม อาจจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ได้
ถ้าเราตระหนักว่าสติสำคัญ เราก็ต้องหมั่นฝึกฝน การเอาตัวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นตระหนกตกใจบางทีก็จำเป็นเหมือนกันในการที่ทำให้เราได้ฝึกในการที่จะตั้งสติ เพราะคนเรา ถ้าจะตั้งสติโดยที่ คนเราจะมีสติในเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน โดยอัตโนมัติยาก ต้องผ่านการฝึกการฝน หรือว่ามีความคุ้นเคยกับเหตุการณ์ ทำนองนี้มาก่อน ถึงจะตั้งสติได้ทัน เมื่อคนที่ต้องขึ้นไปพูดในที่ชุมชน คนฟังเป็นพันเป็นหมื่น เป็นใครก็ประหม่าทั้งนั้น แต่ว่าถ้าหากว่าได้พาตัวขึ้นไป ขึ้นพูดในที่ชุมชน ในสถานการณ์ที่อาจจะน่าวิตกน้อยกว่านี้ เช่นพูดต่อหน้าคน 10 คน 20 คน พูดต่อหน้าคนเป็นร้อย ใหม่ๆก็ประหม่า แต่ว่าพอพูดไปพูดไป ก็เริ่มมีสติ สามารถจะรับมือกับความประหม่าได้ แต่บางคนก็ไม่ยอมเลย พอรู้ว่าถ้าไปพูดต่อหน้าผู้คนแล้วจะตกใจ หรือจะตื่น ก็ไม่ยอมเลย แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะสามารถรับมือกับความประหม่าได้อย่างไร เพราะว่าไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องเจอ แต่ถ้าหากว่าเราลองที่จะพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความประหม่า แล้วก็ไม่หนีไม่ท้อ แต่ว่าสู้กับสถานการณ์นั้น เราก็จะเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับความประหม่าได้ ถึงเวลาที่จะต้องไปพูดในที่ชุมชน คนมากมายเป็นพันเป็นหมื่น ถึงแม้ไม่เคยพูดอย่างนั้นมาก่อน ในที่แบบนั้นมาก่อน แต่ว่าประสบการณ์ที่มี ได้เคยรับมือกับความประหม่าในเหตุการณ์ที่เล็กๆ เล็กกว่านั้นมาแล้ว ก็ทำให้พอที่จะควบคุมจิตใจได้ พอที่จะตั้งสติ แล้วก็สามารถที่จะพูดให้จบลงได้ด้วยดี
ความกลัวก็เหมือนกัน หลายคนเวลาอยู่ในเหตุการณ์ อะไรที่น่ากลัว หรือที่จริงก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร เช่นความมืด หรือการอยู่คนเดียว พอกลัว แล้วก็หนีเลย กลัวแล้วก็หนี ก็เลยไม่ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับความกลัว ไม่เรียนรู้ว่าจะตั้งสติอย่างไร เมื่อความกลัวเกิดขึ้น แล้วถึงเวลาพอไปอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า สะเทือนขวัญ หรือว่า น่ากลัวถึงขั้นชีวิต แล้วจะรับมือได้อย่างไร ส่วนใหญ่ก็สอบตก แล้วก็ถ้าสอบตกในเหตุการณ์อันนั้น บางทีเสียหายร้ายแรง กว่าเหตุการณ์เล็กๆ ที่สามารถจะเป็นแบบฝึกหัดให้กับเราได้ การที่เราพาตัวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ ไม่ว่าที่จะทำให้เกิดความประมาท ทำให้เกิดความตื่นตกใจ หรือว่าทำให้เกิดความทุกข์ เช่น เจ็บป่วย พวกนี้ก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรหนี ควรที่จะเข้าไปเผชิญ ถือว่าเป็นแบบฝึกหัด เป็นเครื่องฝึกให้เรามีภูมิคุ้มกัน ต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น ต่อเหตุการณ์ที่ปรากฎ จะเป็นความกลัว จะเป็นความประมาท ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความโกรธ อันนี้จะถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งก็ได้
ถ้าเราปฏิบัติธรรมแต่ในที่ที่สบาย ไม่มีอะไรที่จะมาคุกคามให้เรากลัว ไม่มีอะไรที่จะมาบีบคั้นให้เราเป็นทุกข์ หรือไม่มีสิ่งที่ยั่วยุให้เราโกรธ พอเราไปเจอเหตุการณ์เหล่านี้จริงๆ เราก็จะตกม้าตายได้ง่าย และบางที ราคา หรือว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นร้ายแรง อย่างเช่น เจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงถึงขั้นชีวิต ถ้าตกใจ พอตกใจ ทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ทำไป กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์ รุนแรงมากขึ้น อย่างผู้หญิงที่ขับรถ แทนที่จะเลิกเหยียบเบรค ก็กลับเหยียบเบรกเข้าไปอีก ก็ยิ่งพุ่งกระชากหนักเข้าไปอีก ถ้ามีสติ ก็จะไม่ทำอย่างนั้น
หรือคนที่เวลาเกิดไฟไหม้ ในขณะที่อยู่ในห้องประชุม ในโรงหนัง หรือในคลับ ในบาร์ ส่วนใหญ่พอตกใจทำอย่างไร ก็วิ่ง พอวิ่งแล้วเกิดอะไรขึ้น เหยียบกันตาย เพราะว่าธรรมชาติคนเรา พอตกใจแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง ทั้งๆที่ถ้าใช้สติก็จะรู้ว่า การทำอะไรอย่างนั้น กลับทำให้สถานการณ์แย่ลง บางทีก็กรูกันไป มีไฟไหม้ก็วิ่งกรูกันไป แล้วคนที่เขามีประสบการณ์ เขาก็จะบอกเลยว่า อย่าวิ่งตามกันไป ปล่อยให้คนอื่นเขาวิ่งกันไปก่อน แล้วก็คอยดูว่ากลุ่มนั้นวิ่งกลับมาหรือเปล่า ถ้าวิ่งกลับมาแสดงว่า ทางตัน ถึงตอนนั้นก็ต้องพยายามหลบ อย่าไปยืนขวางทาง เดี๋ยวก็จะโดนเหยียบ ต้องเดิน หรือต้องยืนแอบๆข้างฝาไว้ แต่ถ้าเกิดคนที่กรูกันไป เขาไปแล้วไม่กลับ แสดงว่าเขาเจอทางออกแล้ว เราก็วิ่งตามไปทางนั้น คนจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีสติ เพราะว่าธรรมชาติคนที่เวลาเจอเหตุการณ์ ตกใจ ก็จะวิ่ง แล้วก็วิ่งกรูกันไป พอมีคนนำ คนอื่นก็วิ่งตาม โดยที่ไม่รู้ว่าที่ตามเขาไปปลอดภัยหรือเปล่า สัญชาติญาณฝูงจะเริ่มทำงานเวลาตกใจ จะตามกันไป ตามคนที่เป็นผู้นำไป ซึ่งคนที่เป็นผู้นำก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไร แต่ว่าวิ่งไปตามสัญชาติญาณ ก็เหมือนกับพวกที่เวลาหุ้นราคาตก ก็พากันเทขาย ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ก็เทขายไปก่อน ตกใจ เห็นคนอื่นขาย ตัวเองก็เทขายบ้าง พวกแมงเม่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าความตกใจ เห็นใครทำอะไรก็ทำตามทันที ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์นั้นเลวร้ายมากขึ้น หุ้นแทนที่จะกระเตื้อง ก็ตกรูดเลย ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หรือว่าพอเศรษฐกิจไม่ดี มีคนหนึ่งเริ่มถอนเงินจากธนาคาร คนอื่นก็ตามบ้าง ทำให้ธนาคารเจ๊ง ภายในเวลาไม่นาน ก็ทำให้ซ้ำเติมเหตุการณ์ ให้รุนแรงมากขึ้น
ธรรมชาติคนเรานี้พอไม่มีสติแล้ว หรือพอมีความกลัวครอบงำ ความตื่นตกใจครอบงำ แล้วก็ทำตามสัญชาติญาณหมู่ อันนี้เป็นเพราะว่าไม่เคยที่จะฝึกใจ รับมือกับความตื่นตกใจที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดว่าเราลองพาตัวเข้าไปในเหตุการณ์ที่ทำให้เราตื่น ทำให้เราตกใจ ประเภทระดับเบาะ ๆ ก็จะเป็นการฝึกให้เราได้รู้วิธีที่จะตั้งสติกับเหตุการณ์เหล่านี้ เหมือนกับความโกรธก็เหมือนกัน บางคนพอเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ที่ทำให้โกรธจนลืมตัว ลืมตัวก็เลยทำลายข้าวของ หรือทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ตัว แต่ถ้าเกิดว่าเราได้ลองเจอกับความโกรธแบบเบาะ ๆดูบ้าง แล้วก็ดูว่าเรารับมือกับได้ไหม สติตามทันหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะเผลอโกรธไปแล้ว แต่เราก็เรียนรู้ว่า อ้อ เราพลาดไป สติเรายังอ่อนอยู่ ก็กลับมาฝึก กลับมาเจริญสติให้มากขึ้น
ฉะนั้นถ้าเรามองแบบนี้ แม้แต่เหตุการณ์ที่แย่ๆ ที่ทำให้เรากลัว ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราโกรธ ทำให้เราขุ่นเคืองก็จะกลายเป็นของดี เพราะว่าเราก็ถือว่า เป็นแบบฝึกหัดเสียเลย ไหนๆเกิดขึ้นแล้ว ทั้งๆที่เราไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นมาแล้ว เราก็รู้จักใช้ประโยชน์ อันนี้เรียกว่า ฉวยโอกาส หลวงพ่อคำเขียน ท่านพูดอยู่เสมอว่า นักปฏิบัติต้องรู้จักฉวยโอกาส ฉวยโอกาสที่ว่านี้ ไม่ได้ฉวยโอกาสเฉพาะเวลามีเวลาว่าง ว่างก็มาเจริญสติ หรือฉวยโอกาสจากอิริยาบถ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวันเช่น ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว หั่นผัก ทำครัว อันนั้นก็เป็นการฉวยโอกาสอย่างหนึ่ง แต่ว่าเราต้องรู้จักฉวยโอกาส แม้กระทั่งเวลาที่เกิดเหตุการณ์แย่ๆขึ้นมา ที่มากระตุ้นให้เราโกรธ หรือว่ามาคุกคามเราให้เราเกิดความตื่นตกใจ ให้ถือว่าเป็นของดีจะได้มาฝึกให้เรารู้จัก ตั้งสติ เจอบ่อยๆ เจอเหตุการณ์นี้บ่อยๆ ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ สติเราก็จะดีขึ้น สติเราก็จะไวขึ้น เราจะมีภูมิคุ้มกันต่อเหตุการณ์เหล่านี้มากขึ้น
แต่ก่อนก็เคยตกใจ แต่ตอนนี้ไม่ตกใจแล้ว เพราะว่าเราคุ้นเคยแล้ว แต่ก่อนกลัว แต่เดี๋ยวนี้เราไม่กลัวแล้ว เพราะว่าเราคุ้นเคยกับมัน เรารู้ช่องทางที่จะรับมือกับมัน แต่ก่อนเจอแค่นี้ก็โกรธแล้ว แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราไม่โกรธแล้ว เพราะว่าเรารับมือกับมันได้ ซึ่งที่จริงหลักก็คือ ฝึกสติให้รู้จักเห็นมัน เมื่อเราเห็น ไม่เข้าไปเป็นอารมณ์เหล่านั้น หรือเหตุการณ์ต่างๆที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เหล่านั้น ก็ทำอะไรเราไม่ได้ พอเจอคนมาต่อว่าด่าทอ แต่ก่อน ไม่ต้องด่าทอ แค่ต่อว่าก็ หัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้ว แต่หลังจากที่เราเจออย่างนี้บ่อยๆ เรารู้จักสรุปบทเรียน เราถือว่า เป็นเครื่องฝึกให้เรามีสติ ทีนี้อย่าว่าแต่ต่อว่า แม้กระทั่งด่าทอ ใจเราก็สงบได้ เพราะว่าเราได้ฝึก ไม่ได้ฝึกด้วยการคิดเอา แต่ว่าฝึกจากการที่เราได้ลอง ลองเจอกับเหตุการณ์ อันนี้เรียกว่า เป็นการฉวยโอกาส เอาเหตุร้ายที่ใครๆ ไม่ชอบ ไม่อยากเจอ แต่เมื่อต้องเจอแล้วก็ ใช้เป็นประโยชน์เสียเลย เอามาเป็นเครื่องฝึกใจให้เรามีสติ มีความว่องไว ปราดเปรียว ในการรับมือกับอารมณ์เหล่านั้น
นักปฏิบัติเราต้องเรียนรู้ที่จะฝึกฝนจิตใจ กับเรื่องราวแบบนี้บ้าง เพราะว่าที่จริงก็คือ การมีสติเมื่อเกิดผัสสะนั่นเอง อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะว่าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นได้รส จมูกได้กลิ่น หรือว่ากายมีสิ่งมาจับต้อง มาถูกต้อง มาสัมผัส สิ่งนี้สามารถจะทำให้เกิดทุกขเวทนา และปรุงแต่ง เป็นความโกรธ ความกลัว หรือแม้กระทั่งราคะ ความอยากจะมาครอบครอง ถ้าเราไม่มีสติทันกับอารมณ์เหล่านี้ก็จะลุกลามบานปลายครอบงำจิตใจ แล้วก็ทำให้เราลืมตัว ลืมตัวจนถึงขั้นว่า หมดเนื้อหมดตัว หรือว่าเสียผู้เสียคนไปเลยก็ได้ แต่ว่าเสียผู้เสียคนก็ยังดี มีโอกาสแก้ตัว กลับมาแก้ไขใหม่
แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงกับต้องตายเลย ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเราได้ฝึกมันบ่อยๆ สติเราก็จะไวขึ้น ปราดเปรียวขึ้น การที่เราเจอทุกข์บ่อยๆ ก็ทำให้เราเห็นจุดอ่อนของความทุกข์ การที่เราเจอกิเลสบ่อยๆ เจออารมณ์อกุศลบ่อยๆ ก็ทำให้เราเห็นจุดอ่อนของกิเลส มนุษย์เรา ร่างกายเราก็กำลังวังชาก็ไม่มาก แต่ทำไมเราสามารถที่จะควบคุมสัตว์ใหญ่ได้ ไมใช่แค่วัวควายเท่านั้น แต่ว่าช้าง เพราะเรารู้จุดอ่อนของมัน หลวงพ่อคำเขียน พูดอยู่บ่อยๆว่า พวกนี้ก็มีจุดอ่อน มนุษย์เรารู้จักจุดอ่อนของมัน เช่น วัวควายก็สนตะพายมัน มันก็เสร็จแล้ว หรือว่าช้าง เราก็มีตะขอ หรือว่าปฏัก มันก็อยู่ในอำนาจ กิเลสก็เหมือนกัน ความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่ามันจะสามารถเล่นงานเราจนหมดเนื้อหมดตัวได้ แต่ว่ามันก็มีจุดอ่อนของมันเหมือนกัน เราจะรู้จักจุดอ่อนของมันได้อย่างไร ก็ต้องเจอมันบ่อยๆ เหมือนกับนักมวยที่ต้องประฝีมือกันบ่อยๆ ก็จะรู้ทางกัน รู้จุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่ง ของแบบนี้ไม่ใช่เกิดจากการคิดเอา แต่เกิดจากประสบการณ์จริง ถ้าเราเจอกับอารมณ์แบบนี้บ่อยๆ เราก็จะเห็นจุดอ่อนของมัน จุดอ่อนของมันจริงๆ ก็คืออะไร เห็น ไม่เข้าไปเป็น หรือว่ารู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ถ้าเรารู้เฉยๆ มันก็ทำอะไรไม่ได้ การรู้เฉยๆมีอานุภาพมาก
มีเด็กคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟัง เขาอายุ 10 ขวบ และมีช่วงหนึ่งที่เขาฝันร้าย ฝันร้ายคือว่า มีพวกปีศาจ มีซาตาน พวกผีร้าย วิ่งไล่ล่าเขา เด็กก็วิ่งหนีออกจากบ้าน มันก็วิ่งตาม เด็กก็วิ่งไปถึงบ้านบ้านหนึ่ง เป็นบ้านเพื่อน ไปถึงก็รีบเปิดประตู แล้วก็จะรีบปิดประตูเพื่อไม่ให้มันเข้า ปรากฎว่าปิดไม่ทัน มันก็วิ่งเข้ามาได้ วิ่งตามมากระชั้นชิด เด็กก็วิ่งหนี แต่ว่าวิ่งไปปรากฎว่าไปติดฝาผนัง ไปต่อไม่ได้ ผีร้ายมก็วิ่งตามมา พอเด็กเค้ารู้ว่า ไอ้ปีศาจร้าย ใกล้จะมาถึงตัวแล้ว เค้าก็ตกใจ ร้อง แล้วก็ตื่นจากความฝัน ขณะตื่นจากความฝัน ก็ยังกลัวเลย เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน แล้ววันหนึ่งเขาก็เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็ถามว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร เขาก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าที่ผ่านมาเอาแต่วิ่งตลอดเลย ก็ฉุกคิด เราไม่รู้เลยว่าหน้าตามันเป็นยังไง เพื่อนถามก็ตอบไม่ได้ ขณะที่โดนมันวิ่งไล่ ไม่รู้กี่คืนกี่คืนแล้ว แล้ววันหนึ่งเด็กก็ฝันอีก เหมือนเดิมเลย มันก็วิ่งไล่ ปีศาจหลายตัววิ่งไล่ เด็กก็วิ่งหนี ฝันร้ายมันก็จะซ้ำเดิม แล้วก็วิ่งไปถึงบ้านของเพื่อน แล้วก็เปิดประตู แต่ไม่ทันจะปิดประตู มันก็สามารถที่จะลอดเข้ามาได้ มันวิ่งไล่ตามเด็ก จนกระทั่งเด็กไปติดประชิดฝาผนัง ขณะที่ปีศาจมันใกล้มาประชิดตัวแล้ว เด็กก็จู่ๆนึกขึ้นมาได้ เอ๊ะ เราไม่เคยหันหน้ามาดูมันเลย เขาก็รวบรวมความกล้าในฝัน แล้วก็หันหน้าไปเผชิญกับปีศาจร้าย ตัวปีศาจนี่แทนที่มันจะกระโจนเข้าหา มันหยุดเลย แล้วมันก็กระโดดโหยงเหยงๆ ตรงนั้นแหละ แล้วพอเห็นปีศาจร้าย เด็กก็รู้เลยว่า ที่แท้ก็คือตัวการ์ตูนที่เขาอ่านในหนังสือ ก่อนนอนที่เขาอ่านหนังสือ พวกปีศาจร้ายพวกนี้ เป็นการ์ตูนพวกปีศาจร้าย การ์ตูนญี่ปุ่น ที่จริงมันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นสิ่งที่เขาจดจำขึ้นมาจากหนังสือที่เขาอ่าน แล้วมันก็ไปตามล่าในฝัน
แต่ทันทีที่เด็กได้เห็นแล้วว่า อ้อ ไอ้พวกนี้มันไม่มีอะไรเลย หลังจากนั้นเขาก็หายกลัวอีกเลย ไม่มีฝันร้ายอีก เพราะเขารู้แล้วว่า มันไม่ใช่ผีสางที่ไหน มันก็คือตัวละครจากหนังสือที่เขาอ่าน นั่นเอง เขารู้ได้ยังไง เขารู้จากการที่ไปเผชิญหน้าดูมัน แล้วก็จากในฝันเขาเห็นเลยว่า เพียงแค่เขาจ้องหน้ามัน มันก็ไม่กล้าทำอะไรเขาต่อไปอีกเลย มันก็กระโดดโหยงเหยงๆ อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่กล้าโจนเข้าหา อันนี้มันก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้ดีว่า อารมณ์ที่เหมือนกับปีศาจ ที่เล่นงานเรา จุดอ่อนของมันก็คือ การที่เห็นมัน ถ้าวิ่งหนีมัน มันก็ยิ่งวิ่งไล่ล่า แต่พอเห็นมัน มันก็ยอมแพ้
ที่หลวงพ่อท่านสอนว่า เห็น ให้รู้ซื่อๆ หรือ เห็น อย่าเข้าไปเป็น อันนี้แหละคือ สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของมัน พอมันถูกเห็นแล้ว มันก็ไม่มีอำนาจ อำนาจมันก็หมด เพราะฉะนั้นการที่เราฝึกให้เห็นบ่อยๆ ไม่เข้าไปเป็น ใหม่ๆ ก็เห็นไม่ได้สักที เจอทีไรก็เข้าไปเป็น ถูกมันเล่นงาน แต่พอเรามีสติ ไวพอ เราก็เห็นมัน เห็นมัน บ่อยๆ มันก็ทำอะไรไม่ได้ การเห็นมันมีอานุภาพ การเห็น หรือว่ารู้ซื่อๆ มันมีอานุภาพ แล้วเห็นด้วยสติ อันนี้มันแพ้ทาง กิเลสพวกนี้ มันแพ้ทางก็คือว่า ถ้าเราหลงเมื่อไร เราก็เสร็จมัน แต่ถ้าเรามีความรู้สึกตัว มีสติ มันก็ยอมแพ้ อันนี้แหละคือจุดอ่อนที่ทำให้เราสามารถที่จะควบคุมมันในอำนาจได้ เหมือนกับที่มนุษย์เราสามารถที่จะควบคุมช้าง หรือว่าสัตว์ตัวใหญ่ให้อยู่ในอำนาจได้ เราจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ก็เกิดจากการที่เราได้ปฏิบัติบ่อยๆ เจอมันบ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะโดนมันเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ว่าเราก็จะเรียนรู้ ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ฉะนั้นการที่เราเข้าไปเจอกับอารมณ์เหล่านี้ หรือเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์เหล่านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เอาแต่หนีมันตะพึดตะพือ เจอที่ไหนที่ทำให้เรากลัว เราก็หนี ที่ไหนที่ทำให้เราโกรธ เราก็หนี เจอที่ไหนที่ทำให้เราตื่นตกใจ เราก็ถอย อันนี้มันก็ไม่ใช่เป็นวิธีที่จะฉลาด มันทำให้เราไม่โตสักที ถ้าเราหนีมันร่ำไป มันก็จะยิ่งมีอำนาจเหนือเรา และถึงวันดีคืนดี มันก็สามารถทำให้เราย่ำแย่ได้ เจอเหตุการณ์ที่น่ากลัวก็ตื่นตกใจ จนกระทั่งทำอะไรไม่ถูก ทำอะไรไม่ถูกก็สามารถจะมีผลถึงตายได้ ดังจากตัวอย่างที่เล่าให้ฟัง