แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราเคยเจอปัญหาแบบนี้หรือเปล่า หาของไม่เจอ หาเท่าไรๆก็ไม่หาเจอ ทั้งๆที่ของนั้นเพิ่งถืออยู่ในมือไม่นานมานี้เอง ไม่ใช่ว่าเป็นของที่เราเก็บหรือสะสมไว้ในที่ใดที่หนึ่งไว้นานๆ ถึงเวลาจะหา หาไม่เจอ แต่เป็นของที่เพิ่งจับเพิ่งถือมาเมื่อสักครู่นี่เอง อาจจะสิบนาทีที่แล้ว หรือว่าไม่กี่นาทีที่แล้ว เช่น ดินสอ ปากกา แว่นตา อาจจะเป็นกุญแจ หลายคนมีปัญหาแบบนี้ เวลาจะเดินทางก็หากุญแจรถไม่เจอ ทั้งๆที่เมื่อสักครู่นี่ยังถือไว้อยู่เลย จะอ่านหนังสือก็หาแว่นตาไม่เจอ ทั้งๆที่เมื่อสักครู่นี้เพิ่งวางเอาไว้บนโต๊ะ อย่างนี้ก็เกิดขึ้นวันละหลายครั้ง แล้วก็เกิดขึ้นแทบทุกวันก็ว่าได้ โดยเฉพาะคนในเมืองซึ่งมีอะไรต่ออะไรต้องทำมากมาย ชีวิตก็เร่งรีบ แต่ถึงแม้อยู่ในวัด จะเป็นพระ จะเป็นแม่ชี หรือจะเป็นโยม ก็คงมีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน อย่างนี้เป็นเพราะเวลาเราวางของอะไรก็ตามทำโดยเราไม่รู้ตัว
ที่วางโดยไม่รู้ตัวก็เพราะว่า ตอนนั้นใจเราไปจดจ่อกับของอีกชิ้นหนึ่งที่เราอยากจะจับอยากจะถืออยากจะใช้ เช่น กำลังถือกุญแจอยู่ แต่ว่าเห็นโทรศัพท์ก็เลยวางกุญแจ แล้วก็จับโทรศัพท์เพื่อเช็คข้อความ ตอนนั้นใจไปอยู่ที่โทรศัพท์ จะถือโทรศัพท์ได้ก็ต้องวางของที่มีอยู่ในมือก่อน ก็วางโดยที่ไม่รู้ตัวก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นอยากจะจับอยากจะถือโทรศัพท์มากกว่า ตอนที่เราวางกุญแจอันนั้นไม่รู้ตัวหรือไม่ใส่ใจ ใช้โทรศัพท์เสร็จทำโน่นทำนี่สักพัก นึกขึ้นมาได้ถึงเวลาจะใช้กุญแจขับรถ นึกไม่ออกว่าวางกุญแจไว้ที่ไหน ทั้งๆที่เพิ่งถือไว้สักห้านาทีที่แล้วนี่เอง และวันหนึ่งๆ ก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง สังเกตหรือเปล่า เราเสียเวลากับการหาของที่เพิ่งจับเพิ่งถือไปวันหนึ่งๆ ก็คงใช้เวลาไม่น้อยในการหา ทั้งๆที่ไม่ใช่เป็นคนแก่ขี้หลงขี้ลืม ไม่ใช่อัลไซเมอร์ หรือว่ากำลังเป็นอัลไซเมอร์ อันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่รู้ตัวหรือความไม่มีสติ ซึ่งเกิดขึ้นกับเราวันละหลายครั้ง วางของไม่เป็นที่ หรือว่าวางของแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก็วางง่ายมากเลย มือของเรามีประโยชน์มากในการจับการถือ แต่ว่าบทเวลาที่จะวางเวลาที่จะปล่อยก็ทำได้ง่ายมาก ง่ายจนกระทั่งจำไม่ได้ว่าวางอะไรไว้ที่ไหน
ลองสังเกตดูว่าใจของเรามีปัญหาตรงกันข้าม ใจของเรามีปัญหาคือ ชอบแบก ชอบยึด ชอบจับ ชอบฉวย แล้วก็ยึดเอาไว้ตะพึดตะพือ ในขณะที่มือของเรา วางอะไรต่ออะไร วางง่ายมาก วางไม่เป็นที่เป็นทาง แต่ใจของเรากลับยึดกลับฉวย แล้วก็จับเอาไว้แน่น เวลาจะปล่อย ปล่อยยากเหลือเกิน เวลาไปจับฉวยเรื่องราวความทรงจำในอดีตที่เจ็บปวด อาจจะเจ็บปวดเพราะว่า ถูกต่อว่าด่าทอ ถูกรังแก ถูกโกง ถูกทรยศหักหลัง สูญเสียคนรักของรัก และยิ่งเป็นความรู้สึกผิด หรือการกระทำที่ไม่ดีกับใครบางคนที่เรารักก็ยิ่งจับยิ่งฉวยไว้แน่น พอนึกถึงทีไรก็เศร้าโศกเสียใจในบางเรื่อง หรือโกรธแค้นโมโหในเรื่องอื่นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แม้แต่เวลาภาวนาเจริญสติ ยังไม่วายไปหยิบฉวยเอาเรื่องเหล่านั้นเอามาทิ่มแทงบีบคั้นจิตใจ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องในอดีตเท่านั้น ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตก็วาดภาพจินตนาการเอาไว้ต่างๆ แล้วก็เป็นเรื่องลบเรื่องร้ายทั้งนั้น ทำให้วิตกกังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานการ เรื่องลูกหลาน เรื่องพ่อแม่ เรื่องความเจ็บป่วย เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเรียนต่อ หรือ การทำงานต่างๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น เราก็นึกวาดภาพเอาไว้แล้ว แล้วก็เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เลยวิตกกังวลหนักอกหนักใจ แล้วไม่ยอมวาง เวลาคนที่มีความทุกข์ใจมาหามาปรึกษาอาตมา คุยไปคุยมาอาตมาก็สรุปว่า ต้องปล่อยต้องวาง หลายคนก็จะพูดว่า พูดง่ายแต่ทำยาก
ที่จริงการปล่อยการวางไม่น่ายาก สิ่งที่ยากคือการยึดการแบกต่างหาก ลองนึกภาพสมมติว่ามีหินหรือของหนักสักอย่างหนึ่งอยู่ข้างหน้าเรา จะเป็นโต๊ะก็ได้ ลองแบกดูสิ หลายคนก็จะบอกว่าแบกหนัก จะให้แบกไว้นานๆไม่ไหว อยากจะปล่อยอยากจะวาง เวลาแบกของหนักเราจะรู้สึกได้ว่า การวางง่ายกว่าการแบก แต่ทำไมเรื่องของใจเราถึงพูดว่า วางมันยาก แต่ไม่เคยถามว่า แบกหรือถือมันง่ายหรือ แบกหรือถือมันไม่ง่ายหรอก แล้วทำไมยังแบกยังยึดเอาไว้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เป็นของดีสักหน่อย เรื่องความเจ็บปวดในอดีต นึกถึงทีไรเจ็บทุกทีปวดทุกที ไม่อยากจะนึกไม่อยากจะคิด แต่ว่าทำไม่ได้ ก็ยังแบกยังยึดเอาไว้ เหมือนเอามีดที่กรีดลงทื่ใจเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางอย่างก็เป็นไฟที่เผาลนจิตใจ การแบกการยึดเรื่องราวแบบนั้นหรืออารมณ์ที่สืบเนื่อง บางครั้งเหมือนกับเราถือถ่านก้อนแดงๆ หรือถือกองไฟไว้ในมือ มันเจ็บแต่ทำไมไม่วาง ในเมื่อรู้ว่าปวดทำไมไม่ปล่อย อันนี้เป็นปัญหาของใจ ใจชอบแบกชอบยึดในสิ่งที่ทำความเจ็บปวดให้ ทั้งบีบคั้น ทั้งเผาลน ทั้งกรีดแทง ต่างจากร่างกายของเรา ต่างจากมือ มือเราปล่อยมันวางง่ายเหลือเกิน จนกระทั่งจำไม่ได้ว่า วางไว้ที่ไหน วางไว้ตรงไหน วางไว้เมื่อไร ส่วนใจมีแต่จะแบกจะยึดเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง
แม้ว่าปัญหาจากมือชอบปล่อยชอบวางไม่เป็นที่ กับใจชอบยึดชอบแบกตะพึดตะพือ จะเป็นปัญหาที่ต่างกัน คนละประเภทเลย แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ เกิดจากความไม่มีสติ ความไม่รู้ตัว เมื่อเราวางขณะที่ใจเราลอย หรือว่าใจเรายังจดจ่อกับอะไรสักอย่างที่อยู่ข้างหน้า เราวางโดยไม่รู้ตัว โดยไม่ใส่ใจ ถึงเวลาจะใช้ถึงเวลาจะหา หาไม่เจอ จำไม่ได้วางไว้ไหน ในทำนองเดียวกันที่เราแบกเรายึด ทั้งเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วหรือยังมาไม่ถึง ทั้งอารมณ์ที่สืบเนื่อง เช่น ความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล ความหนักใจ ก็เพราะความไม่รู้ตัวเหมือนกัน ถ้าเรามีสติ มีความรู้ตัว เราจะไปแบกมันได้อย่างไร ก็มันเป็นของหนัก เป็นของที่ทิ่มแทงจิตใจ คนที่รักตัวเขาไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นลืมตัวต่างหาก เหมือนคนที่บ้านกำลังถูกไฟไหม้ ไฟก็ไหม้ไปมากแล้วก็ตกใจ เข้าไปในบ้านพยายามขนทรัพย์สมบัติออกมา แต่บางคนสิ่งที่ขนสิ่งที่แบกไม่ใช่โทรทัศน์ ไม่ใช่เพชรนิลจินดา แต่แบกโอ่งแบกตุ่มหนีออกมา ซึ่งโอ่งหรือตุ่มก็หนักแต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าหนักเลย พอวิ่งไปสักพัก ไกลจากอันตรายค่อยรู้สึกว่าหนัก เพิ่งนึกได้ว่าเราแบกโอ่งตอนนั้นก็วางเลย วางทันทีเพราะรู้แล้วว่าเป็นของหนักแต่ตอนวิ่งหนีด้วยความตื่นกลัวนั้นไม่รู้ ทำไปโดยอัตโนมัติก็ว่าได้ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าหนักแต่ร่างกายรู้และก็ต้องทำตามคำสั่งของใจ พอวางเสร็จแล้วจึงรู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย เมื่อยไปหลายวันเลยทีเดียว ตอนนั้นไม่รู้ตัว เราแบกของหนักเพราะความไม่รู้ตัว ไม่มีสติ เพราะความตื่นกลัว ตกใจ
แต่ไม่ใช่เพราะความกลัวอย่างเดียว ความโกรธหรือความเคียดแค้นพยาบาท บางทีก็ทำให้เราลืมตัวไปด่าเขาไปทำร้ายเขา ระหว่างที่ลืมตัวจิตมุ่งไปสู่สิ่งนอกตัว เวลาเรากลัว กลัวอะไร กลัวสิ่งที่อยู่ข้างนอก เช่น ไฟ สัตว์ร้าย เวลาเราโกรธ โกรธคนที่กำลังว่าเรา กำลังทำร้ายเรา และคิดแต่จะตอบโต้ จิตที่ส่งออกนอก ลืมกลับมาดูตัวเราเอง กลับมาดูว่าความโกรธกำลังเผาผลาญใจ ก็เพราะไม่รู้ก็เลยแบกเอาไว้ ที่จริงเรามีสติกลับมารู้สึกตัว เราก็มารู้ใจว่าใจกำลังแบกอะไรมากมาย แค่รู้เท่านั้น มันวางเลย พอรู้ว่าโกรธกำลังเกิดขึ้นกับใจ มันวางทันที พอรู้ว่ากลัวตื่นตระหนกตกใจ ทันทีที่รู้ มันวางเลย ที่ไม่วางเพราะไม่รู้ ไม่รู้ตัว ที่ไม่รู้ตัวเพราะว่าจิตส่งออกนอก ไปจดจ่อกับรูปที่อยู่ข้างหน้า หรือเสียงที่ได้ยิน และอารมณ์เหล่านี้ก็ฉลาด มันอยากยึดครองจิตใจเรานานๆ มันอยากจะฝังตัวอยู่ในใจเราไปเรื่อยๆ ครอบงำชีวิตจิตใจของเราไปไม่มีกำหนด มันก็เลยหลอกให้จิตไปจดจ่อกับสิ่งนอกตัว เพราะรู้ว่าถ้าจิตกลับมาดูกลับมามองตน มันจะเห็นอารมณ์พวกนี้กำลังครอบงำ กำลังข่มขี่จิตใจเรา ถ้าจิตเห็นตรงนี้มันสลัดตัวออกไปเลย ไม่ยอมตกเป็นทาสหรือตกเป็นเบี้ยล่างของอารมณ์เหล่านี้
อารมณ์เหล่านี้กลัวถูกรู้ถูกเห็น เหมือนกับโจรที่แอบเข้ามาขโมยของในบ้านกลัวเจ้าของบ้านเห็น พยายามทำให้เจ้าของบ้านเหม่อมองออกไปข้างนอก เช่นอาจจะมีพรรคพวกอีกกลุ่มหนึ่งไปทำเสียงดังอยู่ข้างนอกเจ้าของบ้านก็เลยไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก หารู้ไม่ว่าในบ้านขโมยเข้ามาถึงห้องนอนแล้วและกำลังจะเอาของมีค่าออกไป อันนี้เป็นลูกไม้ของอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ มันก็พยายามล่อให้จิตออกไปจดจ่อกับสิ่งนอกตัว เช่นนึกว่าจะด่าเขาอย่างไรดี นึกว่าจะทำร้ายเขาอย่างไรดี หรือบางทีก็ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขาเสียแล้ว ตอนที่ทะเลาะเบาะแว้งด่ากันด้วยคำที่เจ็บปวดหารู้ไม่ว่า ความโกรธมันเข้ามาเล่นงานจิตใจ ให้เราอยากไปทำร้ายเขา อยากทำให้เขาเจ็บปวดให้สาสม แต่หารู้ไม่ใจเราถูกทำร้ายแล้ว ถูกเผาลนด้วยความโกรธ อยากแช่งชักให้เขาไปลงนรก จิตของเราตอนนั้นลงนรกไปเสียแล้วไม่รู้ตัว ลงนรกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทั้งนี้เพราะว่าเสียท่าถูกความโกรธมันหลอก
แต่ที่เรากลับมารู้เนื้อรู้ตัว กลับมาเห็นความโกรธ รู้ตัวว่าโกรธ มันหลุดเลย คนที่กำลังโกรธๆ พอเห็นแล้วหลุดเลย ไม่ต้องไปกด ไปบีบ ไปขับไล่ แค่รู้ทัน เหมือนเจ้าของบ้าน พอรู้พอเหลียวหลังมาดูเห็นขโมยกำลังขโมยกำลังขนทรัพย์สมบัติ ขโมยตกใจมันหนีไปเลยทันทีที่สบตากับเจ้าของบ้าน ถ้าเรารู้ตัวได้ มีสติ มันจะวางเอง ปัญหาที่บอกว่าปล่อยวางมันยาก ก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย เมื่อเรามีสติรู้ตัว เรื่องที่เคยเป็นเรื่องง่ายคือ การแบกมันก็จะยากขึ้นเพราะว่าเราไม่เผลอ การแบกก้อนหิน ถ้าไม่เผลอไม่มีใครทำหรอก เพราะเผลอจึงไปแบกหินแบกตุ่มหนีไฟ เพราะเราไม่รู้ตัวถึงทำแบบนั้น ลองฝึกดู
ถ้าบอกว่าการปล่อยวางอารมณ์ หรืออดีต หรืออนาคตเป็นเรื่องยาก ก็อาจจะลองเริ่มต้นจากการที่เรามาฝึกกับกายก่อน เวลาจะวางของอะไรก็วางอย่างมีสติ รู้ตัว ขณะที่ถือไม่ว่าจะเป็นของเล็กของน้อย เช่น ดินสอ ปากกา แว่นตา โทรศัพท์ หรือกุญแจ กระเป๋าเงิน ตอนที่ถือก็ให้ถือด้วยความรู้สึกตัว มีสติ และเวลาจะวางก็ให้มีสติรู้ตัว อย่าเพิ่งรีบวางเพื่อที่จะรีบไปจับไปฉวยสิ่งอื่นที่กำลังต้องการใช้ เช่น โทรศัพท์ หรือว่าช้อน หรือว่าแก้ว ก่อนที่จะหยิบจะจับอะไร ก็ให้มีสติรู้ตัวกับการวางสิ่งที่อยู่ในมือก่อน เป็นการฝึกเจริญสติง่ายๆเลย ลองสังเกตดู วันๆหนึ่งเราวางของในมือเป็นร้อยๆครั้ง ตื่นเช้าขึ้นมา ถูฟัน พอถูฟันเสร็จเราก็วาง วางแปรงสีฟัน ที่จริงก่อนจะถูเราต้องวางยาสีฟัน วางยาสีฟันเสร็จเราก็วางแปรงสีฟัน บางทีอาจจะวางขันก่อนด้วยซ้ำ แค่ไม่กี่นาทีก็วางไปแล้วสามอย่าง ถามใจตัวเองว่า วางอย่างมีสติหรือเปล่า วางด้วยความรู้ตัวหรือเปล่า หรือว่าทำไปอัตโนมัติ ถ้าทำไปโดยอัตโนมัติถึงเวลาจะหาหาไม่เจอ
แต่ถ้าเราลองวางของแต่ละชิ้นแต่ละอย่างเล็กน้อยแค่ไหนในชีวิตประจำวันด้วยความรู้สึกตัว ใส่ใจค่อยๆวางก่อนที่จะไปหยิบอย่างอื่น วันหนึ่งเรามีโอกาสเจริญสติด้วยการวางของอย่างใส่ใจเป็นร้อยๆครั้ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างที่ทำสิ่งใดก็ทำด้วยความรู้ตัว ถูฟัน ก็ถูด้วยความรู้ตัว ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น นอกจากการรับรู้ว่ากายกำลังถูฟัน กำลังอาบน้ำ อันนี้เรียกว่า ทำความรู้สึกตัวขณะที่ทำกิจต่างๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้เป็นนิสัยยิ่งดีเลย เพราะว่าวันๆหนึ่งเราทำกิจอะไรมากมายเลยตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนด้วยมือด้วยกายของเรา อาบน้ำ ถูฟัน กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม เดินไปข้างหน้าถอยไปข้างหลัง เหลียวซ้าย แลขวา ลืมตา กระพริบตา อุจจาระปัสสาวะ อันนี้คือทำด้วยกายทั้งนั้น
และระหว่างที่ทำด้วยกายก็ให้รู้กาย คือรู้ว่ากายกำลังทำอะไร อย่างอื่นอย่าเพิ่งสนใจ ทำทีละอย่าง ระหว่างที่อาบน้ำ ถูฟัน ก็ยังไม่ต้องคิดว่าเช้านี้จะทำอาหารอะไรให้ลูกกิน หรือเช้านี้จะทำอาหารอะไรให้คนในวัด ให้พระได้ฉัน ทำทีละอย่าง เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง เวลากินข้าวใจก็รับรู้อยู่กับการกินข้าว หลายคนทำหลายอย่างพร้อมกัน เช่น กินข้าวไปด้วยอ่านหนังสือไปด้วย เช็คข้อความ หรือว่าตอบไลน์ เล่นเฟซบุ๊ก คุยไปด้วยกินไปด้วย ปรึกษาหารือเรื่องงานการ เราทำหลายอย่างพร้อมกัน ดูเหมือนเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เป็นการใช้ใจในทางที่บั่นทอน เพราะทำให้ใจมีสมาธิยาก สติก็มียาก และถึงเวลาก็กลายเป็นคนที่หยุดความคิดไม่ได้ คิดฟุ้งปรุงแต่งไม่หยุดไม่หย่อน กลายเป็นว่าแทนที่ใช้ความคิด ความคิดมันใช้เราแทน เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ใช้ความคิดเท่าไร ใช้ความคิดน้อย อาจจะใช้ความคิดสักไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน แต่ที่เหลือความคิดมันใช้เรา อันนี้เพราะเราสร้างนิสัยฟุ้งซ่านด้วยการทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน เพราะด้วยเหตุนี้ เวลาจะหาของหาไม่เจอ ตอนที่วางของใจลอยคิดโน่นคิดนี่
ลองสร้างนิสัยใหม่ เวลาจะวางของอะไรก็วางแบบมีสติรู้สึกตัว ไม่ผลุนผลัน เวลาทำอะไรก็ทำด้วยความรู้สึกตัว คิดอะไรไม่เผลอคิดนาน วางลงได้ วิธีนี้จะช่วยสร้างนิสัยใหม่ให้กับใจของเรา จะไม่เผลอชอบแบกชอบยึดอะไรตะพึดตะพือจนทำร้ายตัวเอง อาจจะไม่ได้ทำร้ายร่างกาย แต่ทำร้ายจิตใจ ทำให้ทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำให้เครียด ฝึกใจให้ปล่อยวาง ด้วยการมาฝึกกายของเรา เวลาจะวางอะไรก็วางให้วางอย่างมีสติ วางด้วยความรู้สึกตัว จะทำอะไรก็ทำด้วยสติ ด้วยความรู้สึกตัว ฝึกกายดีก็ฝึกใจให้ดีตามไปด้วย โดยเฉพาะกลับมามีสติ มีความรู้สึกตัว ช่วยทำให้วางอะไรต่ออะไรได้ง่ายขึ้น