แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีคำแนะนำหรือข้อคิดเตือนใจประการหนึ่งที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอ และบางครั้งเราก็ให้คำแนะนำนี้กับคนอื่น นั่นก็คือการอยู่กับปัจจุบัน เมื่อตอนสายเราพูดกันถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง อย่างที่ว่าน่าจะพูดเพิ่มเติม เวลาพูดว่าอยู่กับปัจจุบัน หรือได้ยินประโยคนี้ มีความหมายว่าอย่างไร ที่จริงมีความหมายได้หลายแง่หลายมุม ความหมายพื้นฐานที่สุดก็คือว่า ให้ใจเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำในขณะนั้น โดยเฉพาะกำลังทำงาน กำลังอ่านหนังสือ หรือแม้แต่กำลังฟังคำบรรยายอยู่ ถ้าหากว่าใจเราไม่จดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าทำด้วยมือ หรือว่าทำด้วยหัวสมองคืออ่าน หรือว่าทำด้วยหูเช่นฟัง เราจะใจลอย ใจลอยไปโน่นลอยไปนี่ เวลาใจเราไปจดจ่ออยู่ที่เสียงจิ้งหรีด หรือเสียงคนพูดข้างล่าง อันนี้เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน บางทีจะส่งจิตออกนอก เพราะว่าตอนนั้นเราไม่ได้มีใจจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ บางครั้งกำลังทำรายงาน กำลังอ่านหนังสือ หรือกำลังทำการบ้าน อย่างนักเรียน ใจอาจจะหวนนึกไปถึงเพื่อนที่กำลังเล่น นึกถึงเกมที่ติดพันก่อนที่จะมาอ่านหนังสือทำการบ้าน อันนี้ก็เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือการทำกิจนั้นๆ ทำได้ไม่ดี ไม่มีสมาธิ และอาจเกิดความผิดพลาดได้
การอยู่กับปัจจุบันในทางพุทธศาสนา ไม่ได้เจาะจงเฉพาะเวลาเราทำกิจการงาน หรือว่าทำอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว แม้กระทั่งเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องสามัญในชีวิตประจำวัน เช่นตั้งแต่ ล้างหน้า ถูฟัน หรือว่าเดินขึ้นบันได รวมไปถึงการแต่งเนื้อแต่งตัว ใส่เสื้อ ใส่กางเกง นี่สำหรับฆราวาส ใจก็ควรอยู่กับสิ่งที่เราทำด้วย อันนี้นี้คนส่วนใหญ่อาจจะมองข้ามไป ไปคิดว่าจดจ่ออยู่กับงาน จดจ่ออยู่กับการขับรถ หรือว่าใจอยู่กับการเรียน การอ่าน การฟัง เท่านั้นก็พอ แต่ที่จริงแล้วจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องหมายถึงการที่เรามีใจอยู่กับงานต่างๆ ที่เป็นอิริยาบถ หรือเป็นกิจการงานเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาจจะคิดว่าไม่สลักสำคัญ อันนี้บางทีท่านก็เรียกว่า “ทำความรู้สึกตัว”
อย่างพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ให้ทำความรู้สึกตัว” เวลาเดินไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง มองไปข้างหน้า เหลียวซ้ายแลขวา เวลาครองจีวร สะพายสังฆาฏิ หรือว่าสะพายบาตร เวลาดื่ม กิน เคี้ยว ลิ้ม เวลาคู้ขา เหยียดขา แล้วท่านก็เรียกว่าให้ทำความรู้สึกตัวทุกเรื่อง แม้กระทั่งเวลาอุจจาระ ปัสสาวะ เวลายืน เดิน นั่ง หลับ พูดคุย นิ่ง เราทำอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าใจเราอยู่กับปัจจุบัน หรือว่าใจเราอยู่กับสิ่งที่ทำ ความหมายอีกประการหนึ่งซึ่งช่วยหรือเป็นประโยชน์กับเรามากคือ เวลาเราทำอะไรก็ตาม เมื่อใจเราอยู่กับสิ่งนั้น เราก็วางสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเอาไว้ก่อน หลายคนทำงานและมีความเครียด ไม่ใช่เพียงเพราะว่าใจลอยไปโน่นไปนี่ ใจลอยไปโน่นไปนี่ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เครียด จะเพลินด้วยซ้ำ เพราะว่าอาจจะกำลังฝันกลางวัน ข้อเสียคือว่าทำงานไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าไร แต่นั่นก็ยังไม่ถึงกับทำให้คนเครียด ที่เครียดเพราะไปคิดว่าหรือพะวงว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ เสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร หรือบางทีก็คิดถึงงานที่ค้างคาอยู่ อีก 10 ชิ้นที่รออยู่ ทำให้เกิดความวิตกกังวล ผู้คนเวลาทำงานแล้วเครียด ส่วนใหญ่เพราะใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจไปคิดถึงจุดหมายปลายทางข้างหน้า ไปคิดถึงผลสำเร็จ ไปคิดถึงความคาดหวังของผู้คน ของเจ้านาย ตรงนี้แหละที่ทำให้คนเครียด
แต่ถ้าหากว่าเราลองเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน เรื่องข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็เอาไว้ก่อน งานกี่ชิ้นที่ยังคาอยู่ก็ช่างมัน ช่างมันในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ใส่ใจ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะทำก็ไม่เก็บเอามารกหัว เอามาสร้างความหนักอกหนักใจ หรือบางทีทำไปก็ไปพะวงถึงลูก พะวงถึงคนนั้นคนนี้ อันนี้ก็ทำให้เครียดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการอยู่กับปัจจุบันก็คือว่า ใจเราอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ และขอให้ทำตรงนั้นให้ดี มันก็จะออกมาดีเอง อย่างที่เราพูดว่าอนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตหรือผลที่ตามมาย่อมดี อันนี้ก็เป็นวิธีการทำงานที่ช่วยให้ลดความเครียดได้
มีนักปีนเขาคนหนึ่งขึ้นไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในทุกทวีปมาแล้วรวมถึงเอเวอเรสต์ด้วย เขาเคยพูดว่าทุกอย่างมักดูน่ากลัวกว่าความเป็นจริงเสมอเมื่อมองจากที่ไกล เวลาที่อยู่บนเชิงเขาแล้วมองไปที่ยอดเขาซึ่งต้องปีนไปให้ถึง แค่เห็นยอดเขาก็พลอยทำให้รู้สึกท้อแล้ว รู้สึกมันชัน อันตราย อีกเป็นเดือนกว่าจะถึง จากประสบการณ์การปีนเขาเป็นเวลา 10-20 ปี พบว่าวิธีปีนเขาที่ง่ายที่สุดก็คือสนใจพื้นดินใต้ฝ่าเท้า แล้วเดินไปทีละก้าวทีละก้าว ถ้าเดินไม่หยุดต้องถึงแน่ พูดง่ายๆคือวางจุดหมายไว้ก่อน แล้วอยู่กับแต่ละก้าวที่เดิน ขอให้เราเพียงแค่มั่นใจว่าพื้นที่เราเหยียบย่างนั้นมั่นคงปลอดภัยในแต่ละก้าวๆ ถ้าเดินไม่หยุดจะถึงแน่ แต่ต้องวงเล็บว่าเดินบนเส้นทางที่ถูก ถ้าเป็นเส้นทางที่ผิดก็ไปไม่ถึง อันนี้เป็นเรื่องของการวางแผน วางแผนมาดี พอลงมือเดินก็อยู่กับปัจจุบัน สรุปง่ายๆ คือจุดหมายอยู่ไกล ใจอยู่กับปัจจุบัน เรียกว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
คนส่วนใหญ่พอเห็นจุดหมายปลายทางไกล ยาก ลำบาก ท้อแล้ว แล้วก็เลยไม่ต้องทำอะไร เอาแต่เจ่าจุก เพราะรู้สึกว่าเกินความสามารถ ก็ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ อันนี้เรียกว่าไม่ได้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะมัวเสียเวลาอยู่กับความท้อแท้ การจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดต้องวางจุดหมายข้างหน้าเอาไว้ก่อน แล้วเราจะสามารถใช้ศักยภาพที่เรามีเต็มที่ได้ เหมือนคนที่เตะลูกฟุตบอล เตะลูกโทษ เตะฟุตบอลนัดสำคัญจะต้องอาศัยการวัดดวงด้วยการเตะลูกโทษ เพราะว่าคนที่ใจไม่อยู่กับลูกบอล แต่ใจไปคิดถึงว่าถ้าเตะผิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น คนทั้งสนามจะโห่ หรือว่าคนดูเป็นล้านๆจะโห่ หรือว่าทีมจะตกรอบ จะเสียหน้าเพราะเตะไม่เข้า พอคิดแบบนี้ เตะไม่เข้าจริงๆ อันนี้เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ใครที่เตะบอล เตะลูกโทษ ให้ลืมเรื่องว่าเตะเข้า-ไม่เข้า เตะไม่เข้าจะเป็นอย่างไร ให้ลืมไปเลย เรียกว่าให้ลืมจุดหมายปลายทางไปก่อน อยู่กับปัจจุบันก็จะมีสมาธิ และความสามารถที่มีก็เอามาใช้ เพราะไม่มีอาการเกร็ง ก็มักจะเตะเข้า เพราะว่าปกติมันเป็นเรื่องวัดใจมากกว่า เตะลูกโทษเป็นการวัดใจมากกว่าวัดความสามารถ ความสามารถก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ อยู่ที่ใจมากกว่า และการที่ใจจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ว่าอยู่กับปัจจุบันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยู่กับปัจจุบันก็จะเกร็ง จะกลัว จะวิตก
เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หมายความว่า นอกจากเอาใจมาอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ยังรวมถึงว่า วางสิ่งที่อยู่ข้างหน้า วางผลสำเร็จ หรือวางความคาดหวังเอาไว้ก่อน อยู่กับปัจจุบันยังเป็นคำแนะนำที่ใช้กับเวลาที่เราเจอเหตุร้าย ไม่ใช่เฉพาะเวลาทำงาน เช่นเวลาเจ็บป่วย เวลาสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ถ้าใจไม่อยู่กับปัจจุบันเป็นอย่างไร จะนึกถึงเงินที่หายไป ซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว จะเครียด จะเสียใจ หรือว่าเจ็บป่วยแล้วใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจนึกไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า จะลามไปจนกระทั่งต้องผ่าตัดใหญ่หรือไม่ หลายคนเป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เพราะการคาดการณ์ ปรุงแต่งอนาคตไปในทางที่เลวร้าย พอหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง อาจจะเป็นระยะแรกหรือระยะที่สองก็ทรุดเลย หมดอะไรตายอยากกับชีวิต กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่เพราะมะเร็งเล่นงาน เพราะมะเร็งมันยังไม่ทันได้เล่นงานขนาดนั้น แต่ว่าใจนึกไปถึงวันข้างหน้าที่มะเร็งมันลุกลามระยะสุดท้าย ต้องนอนมีสายระโยงระยาง นึกภาพของคนที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พอนึกแบบนี้ก็ใจเสีย ถามว่าเกิดขึ้นหรือยัง ยังไม่ทันเกิดเลย และอาจจะไม่เกิดก็ได้ แต่ใจไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่อยู่กับปัจจุบัน อย่างนี้เรียกว่าไปอยู่กับอนาคต หรือไม่ก็ไปจมอยู่กับอดีต ไปนึกถึงเงินที่เสียไป นึกถึงรถที่ถูกขโมยไป นึกอยู่อย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่ตัวเองยังมีอะไรต่ออะไรอยู่มาก ไม่ได้ทำให้จนลงเลย ก็ยังกินอิ่มนอนอุ่นได้ อันนี้เรียกว่า ถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบัน ก็จะไม่เครียด ไม่ทุกข์มากกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เราสาธยายบทสวดเมื่อสักครู่นี้ บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ถ้าทำอย่างนั้นก็เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับปัจจุบันจึงหมายความว่า ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย คนที่โวยวายตีโพยตีพายเพราะความเจ็บป่วย เพราะว่าได้งานที่ยาก อันนี้เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน คือใจไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะไปติดอยู่กับคำว่า “น่าจะ” หรือ “ไม่น่าจะ” ฉันไม่น่าจะได้งานชิ้นนี้เลย หรือเจ้านายไม่น่าจะเอางานชิ้นนี้มาให้ฉันเลย คนอื่นทำน้อยกว่าฉัน ทำไมฉันได้มากอย่างนี้ ฉันน่าจะได้เท่ากับคนอื่น อันนี้ก็เรียกว่าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะคิดแต่คำว่าน่าจะหรือไม่น่าจะ คำว่าน่าจะหรือไม่น่าจะมันมีประโยชน์ถ้าเราคิดให้ถูกเวล่ำเวลา เช่นเวลาเราจะวางแผน เราคิดว่าอะไรที่ควรทำ อะไรไม่ควรทำ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว แต่ไปติดอยู่กับคำว่าน่าจะหรือไม่น่าจะ มันทุกข์ ขับรถวันอาทิตย์ไปกรุงเทพฯ แทนที่รถจะโล่ง แต่รถดันติด ก็เป็นทุกข์ เพราะคิดว่าถนนน่าจะโล่ง รถไม่น่าจะติดเลย มีบางคนเป็นทุกข์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แล้วติดอยู่กับคำว่าน่าจะ
มีแม่คนหนึ่งเล่าว่าลูกชายอายุ 15 เป็นเด็กเรียนดี มาขอแม่ไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย แม่ก็เห็นว่าลูกมีความรับผิดชอบดี จึงให้ลูกไปเรียน เพราะคิดว่าอินเดียก็เป็นประเทศที่อย่างน้อยก็ได้ภาษาและได้ความอดทน อาจจะได้เรื่องจิตวิญญาณและเรื่องศาสนาดัวย ปรากฏว่าลูกไปเรียนได้แค่ไม่กี่เดือนก็ประสบอุบัติเหตุจมน้ำตาย ออกไปว่ายน้ำเล่นแล้วจมน้ำตาย แม่เสียใจมาก เสียใจไม่พอ โทษตัวเองด้วยว่าฉันน่าจะห้ามเขา ฉันไม่น่าจะอนุญาตให้ลูกไปเลย คำว่าจะห้ามหรือไม่น่าจะอนุญาตให้ลูกไป เป็นคำที่ทิ่มแทงแม่คนนี้มาก จนเรียกว่าแทบจะอยากจะตายไปจากโลกนี้ เพราะทนความรู้สึกผิดไม่ได้ กว่าจะหลุดจากความรู้สึกนี้ได้ก็ใช้เวลานาน
หลายคนทำงานและมีความทุกข์เพราะว่าไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือไม่ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ ไม่ยอมรับงานที่ได้มอบหมาย เพราะไปติดอยู่กับคำว่าน่าจะหรือไม่น่าจะ ถ้าใจเราไปติดอยู่กับตรงนั้น เรียกว่าไม่อยู่กับปัจจุบันแล้วน เรียกว่าไม่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะว่าถ้าเราจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็ต้องยอมรับ แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เดินหน้าสถานเดียว ไม่ต้องไปคิดถึงว่าข้างหลังมันเป็นอย่างไร บางคนติดอยู่กับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่มั่นใจในการทำงาน ใจไปพะวงอยู่กับเหตุการณ์ในอดีต อันนี้รวมถึงความสูญเสียด้วย หวนคิดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ทำให้ไปต่อไม่ได้ มีคนหนึ่งเขาพูดไว้ดี บอกว่าธรรมชาติให้ตาเราอยู่ข้างหน้าเพื่อให้เรามองไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า ทำไมธรรมชาติไม่ให้ตาเราไว้ข้างหลังเพื่อว่าเราจะได้ไม่ไปหวนคิดหรือมองสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ธรรมชาติให้ตาไว้ข้างหน้าเพื่อที่เราจะได้เดินต่อไปข้างหน้า แต่ขนาดธรรมชาติให้ตาอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ใจก็ยังหวนคิดถึงข้างหลัง เลยทำให้ไปต่อไม่ได้ เสียใจ อาลัย
เพราะฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันคือการที่เราวางอดีต แล้วไม่พะวงกับอนาคต จะทำให้เรารับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ เพราะเราจะเริ่มยอมรับได้ง่ายขึ้น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย คนที่เจ็บป่วยจนถึงขั้นพิการ หลายคนทุกข์เพราะว่าไปนึกถึงสมัยที่ตัวเองยังเป็นปกติ มีอวัยวะครบ 32 ไปเที่ยว เดินเหินไปไหนมาไหนได้ คิดถึงเหตุการณ์ที่มีความสุขในอดีตแล้วมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ก็เลยทำให้อึดอัดขัดเคืองใจกับสภาพที่เป็นอยู่ เราจะหลุดจากสภาวะนั้นได้เพราะเรายอมรับกับปัจจุบัน แล้วก็มองไปข้างหน้า และทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด อันนี้เรียกว่า ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบันยังหมายถึงว่าชื่นชมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย เรามีอะไรอยู่ตอนนี้ เราก็พอใจ เห็นคุณค่า คนจำนวนมากไปทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองไม่มี สิ่งที่มีไม่ชื่นชม ไม่เห็นคุณค่า เด็กหลายคนมีของเล่นสารพัด มีทั้งเครื่องดนตรีนานาชนิด กีต้าร์ ขลุ่ย กลอง มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ มีโน้ตบุ๊ก แต่ก็ไม่มีความสุข เพราะว่าตัวเองยังไม่มีไอแพด ใจไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่มี ลืมหรือมองข้ามสิ่งที่มีไป อันนี้ก็รวมถึงการจดจ่อกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้วด้วย เลยทำให้ไม่ชื่นชมในสิ่งที่มีอยู่ ไม่เห็นคุณค่าของมัน
มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกโกงไป 60 ล้าน เป็นชาวใต้หวัน แกเสียใจอยู่พักใหญ่ แต่แค่ 2-3 วัน เท่านั้น ก็ยิ้มได้ เพื่อนถามว่าทำไมยิ้มได้ ได้เงินคืนเหรอ หรือว่าเป็นเพราะอะไร เธอตอบว่าเพราะนึกได้ว่าทุกวันนี้ยังอยู่สบาย ยังมีบ้านที่อยู่สบาย ยังมีอาหารที่อร่อยกิน เงินที่หายไปไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไป หรือว่ายากไร้กว่าเดิม ลำบากกว่าเดิม พอคิดแบบนี้ได้ เธอก็กลับมามีความสุข มีความสุขเพราะว่าไม่สนใจสิ่งที่สูญเสีย แต่ว่าหันมาชื่นชมสิ่งที่มีอยู่ อันนี้ก็คือความหมายของการอยู่กับปัจจุบัน การชื่นชม การเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ คนเราไม่ว่าจะเจออะไร หรือพร่องแค่ไหน จะขาดแคลนเพียงใด แต่ถ้าเกิดว่าเราสนใจให้คุณค่ากับสิ่งที่เรามีอยู่ ก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่
มีผู้หญิงใต้หวันคนหนึ่งอายุ 30 ปี เธอพิการสมอง เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น พูดไม่ได้ด้วย ต้องใช้วิธีการสื่อสารด้วยวิธีการเขียน ก็ต้องนับถือแม่ของเธอที่ให้เธอถือกำเนิดมา เพราะบางคนเห็นลูกพิการสมอง ก็จัดการ กลัวลูกจะลำบาก แต่ว่าแม่ก็ให้เธอคลอดออกมา และเธอก็สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่ จนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อของอเมริกา UCLA เธอก็ได้รับเชิญไปบรรยายตามที่ต่างๆ ไปให้กำลังใจ คราวหนึ่งก็ไปพูดให้กับนักเรียนมัธยม พูดจบก็มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถามว่า คุณเกิดมาพิการคุณรู้สึกกับตัวเองอย่างไร มองตัวเองอย่างไร ห้องประชุมก็เงียบกริบเลยเพราะว่าเป็นคำถามที่ปกติเขาไม่ถามคนพิการ มันตรงไป
แต่ว่าหวังเหมยหลิง ชื่อของเธอ เธอยิ้มแล้วก็หันไปเขียนที่กระดาน เธอพูดไม่ได้ เธอก็เขียน ฉันมองตัวเองอย่างไร 1.ฉันเป็นคนน่ารัก 2.ฉันมีขาที่สวยงาม 3.พ่อแม่รักฉัน 4.พระเจ้าก็รักฉัน (เธอเป็นคริสต์) 5.ฉันมีแมวที่น่ารัก 6.ฉันเขียนหนังสือได้ วาดรูปได้ แต่ที่คนประทับใจอยู่ข้อที่ 7. ซึ่งเป็นการรวบรวมทัศนคติมุมมองหรือว่าเคล็ดลับของเธอ ที่ทำให้เธอมีความสุขคือ ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ฉันไม่มองสิ่งที่ฉันไม่มี ฉันไม่มองสิ่งที่ฉันขาด อันนี้ก็คือความหมายหนึ่งของการอยู่กับปัจจุบัน ชื่นชมสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่มีก็ไม่สนใจ ไม่เอามาทิ่มแทงตัวเอง สิ่งที่หายไปแล้ว สิ่งที่สูญไปแล้ว ก็ไม่เอามาสร้างความหนักอกหนักใจ หรือว่าทำให้เสียใจ ทุกครั้งที่เราเสียใจเพราะว่าเสียดายของที่หายไป หรืออาลัยสิ่งที่สูญเสียไป นั่นแสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือทุกครั้งที่เราพะวงห่วงกังวลกับนั่นกับนี่ นั่นแสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราไม่ไหลไปอดีต เราก็ใจไปปักอยู่กับอนาคต
ถ้าพิจารณาดูดีๆ การอยู่กับปัจจุบันมีความหมายที่หลายแง่และลึกซึ้ง ซึ่งถ้าเราทำได้ ก็ทำให้เราทำงานอย่างมีความสุข เวลาเราเจอเหตุร้ายเราจะสามารถรักษาใจให้ไม่ทุกข์ หรือสามารถเป็นปกติสุขได้ อยู่กับปัจจุบันก็ยังมีความหมายรวมถึงขั้นว่าไม่ผัดผ่อน สิ่งสำคัญก็ไม่ผัดผ่อนไปวันข้างหน้า แต่ว่าทำเสียแต่วันนี้ อันนี้คือความหมายของการอยู่กับปัจจุบันหรือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ว่า ความเพียรเป็นสิ่งที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้ ความเพียรไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะผัดผ่อนไปพรุ่งนี้ อะไรที่ควรทำก็ทำเสียแต่วันนี้ ถ้าผัดผ่อนไปเมื่อไรก็แสดงว่ายังไม่ได้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในสิ่งที่เป็นคุณค่ามีความสำคัญ ที่จริงถ้ามองให้ลึก การอยู่กับปัจจุบันยังหมายถึงการที่เราเปิดใจรับรู้สิ่งดีๆ ที่มีอยู่รอบตัวในปัจจุบันด้วย ซึ่งจะว่าไปมีอยู่ตลอดเวลา
มีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน อยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ถ้าไม่อยู่กับคอมพิวเตอร์ก็นั่งคิดวางแผนต่างๆ มีคราวหนึ่งเป็นไส้เลื่อน ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่า พักฟื้นวันสองวันก็ต้องมาพักฟื้นที่บ้าน เป็นครั้งแรกที่ต้องหยุดงาน เพราะว่าทำอะไรแทบจะไม่ค่อยได้เลย พักฟื้นที่บ้านอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ต้องวางงานการทั้งหลายลง มีบ่ายวันหนึ่งไปนั่งอยู่ริมระเบียง นั่งสักพักก็ได้ยินเสียงร้องของนก ทีแรกก็ตัวหนึ่ง ตอนหลังตัวที่สอง ที่สาม ก็ร้องประสานเสียงกันไพเราะมาก เขาฟังก็รู้สึกว่าไพเราะจนกระทั่งน้ำตารื้นเลย คือประทับใจมาก
เสร็จแล้วเขาฉุกคิดขึ้นมาว่าเขาอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่ลูกเขายังเด็กเรียนอนุบาล ตอนนี้ใกล้จบมหาวิทยาลัยแล้ว คือเกือบ 20 ปีแล้ว ทำไมเขาเพิ่งได้ยินเสียงนกร้องเป็นครั้งแรก นกมันเพิ่งร้องหรือเปล่า นกไม่ได้เพิ่งร้อง นกมันร้องทุกวัน แต่ทำไมเขาไม่ได้ยิน ทำไมเพิ่งมาได้ยินวันนี้ ก็พบคำตอบว่าเป็นเพราะใจเขาลอย คิดนู่นคิดนี่ ใจเขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเท่าไร แต่ว่าวันนั้นใจเขาอยู่กับปัจจุบันเพราะว่าไม่มีงานที่จะทำได้ พอใจเขาอยู่กับปัจจุบันเขาก็เปิดรับเสียงนกที่อยู่รอบตัว ก็เลยเกิดความประทับใจ แล้วเขาบอกว่าจริงๆ ความสุขมันอยู่รอบตัวเรานี่เอง เราคิดไปเองว่าความสุขเราต้องไปหาข้างหน้า ต้องไปที่โน่นที่นี่ ที่จริงมันมีอยู่รอบตัวเรา แต่ทำไมถึงไม่รู้ ไม่รับรู้เพราะว่าใจไปอยู่กับอดีตบ้างอนาคตบ้าง ถ้าเปิดใจให้เป็นปัจจุบันหรืออยู่กับปัจจุบันก็คงไม่ต่างจากแก้วน้ำที่มันโล่ง มันว่าง แก้วน้ำที่มันว่างเติมอะไรมันก็เต็ม เสียงร้องของนก หรือว่าความสงบ ความเย็นสบายที่ลมพัดมากระทบ หรือว่าท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง พวกนี้เป็นความสวยงามที่สามารถจะรับรู้ ชื่นชมได้ในทุกขณะ แต่เราก็มองข้ามไปเพราะใจเราไม่อยู่กับปัจจุบัน
เคยไปเยี่ยมท่านติช นัท ฮันห์ ที่ปากช่อง อาศรมหมู่บ้านพลัม ท่านมอบของที่ระลึกให้เป็นกระดาษใส่กรอบ แล้วก็เขียนด้วยพู่กันเป็นภาษาอังกฤษว่า This Moment is full of wonders หมายความว่าเวลาขณะนี้มันเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ อัศจรรย์เป็นพหูพจน์ ก็คือว่าหลายอย่าง แต่คนเราไม่ค่อยได้เห็นและรับรู้ถึงความอัศจรรย์ เพราะใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าใจอยู่กับปัจจุบัน แต่ละขณะ แต่ละขณะ จะเห็นความอัศจรรย์ รวมทั้งเห็นธรรมด้วย ถ้าใจอยู่กับปัจจุบันจะเห็นธรรมที่เกิดขึ้น
การเจริญสติในการปฏิบัติธรรมคือการเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน แต่ว่าการอยู่กับปัจจุบันในที่นี้คือกายกับใจ หรือสิ่งที่เกิดกับกายกับใจ จะไม่เน้นสิ่งที่อยู่ข้างนอก อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรควบคุมอาการเช่นนั้นไว้ ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ไม่ใช่แค่ธรรมที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา จากต้นไม้ จากใบไม้ที่ร่วงหล่น จากดอกบัวที่บานแล้วก็เหี่ยวเฉาเท่านั้น แต่หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจด้วย ความสุข ความสบาย ความปวด ความเมื่อย ก็ถือว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ความโกรธ ความหงุดหงิด ความรำคาญ อันนี้ก็เป็นธรรมในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเห็นธรรมอย่างเฉพาะหน้าอย่างแจ่มแจ้งมันยิ่งทำให้การปฏิบัติเจริญก้าวหน้า แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้ว่า เห็นไม่ใช่เข้าไปเป็น การอยู่กับปัจจุบันคือการเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่แต่ละขณะ ไม่ว่าจะเกิดกับกายกับใจ หรือเกิดรอบตัวเรา ถ้าเพ่งพิจารณาให้ดี ก็เห็นธรรมได้ เพราะฉะนั้นปัจจุบันเต็มไปด้วยธรรมะที่สามารถจะเปิดใจของเราให้มีปัญญา
เพราะฉะนั้นคำว่าอยู่กับปัจจุบันมีความหมายตั้งแต่พื้นฐานง่ายๆ ใช้กับการทำงานทำการในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งไปถึงการภาวนาเพื่อการหลุดพ้นด้วยซ้ำ ถ้าเราเข้าใจการอยู่กับปัจจุบันแล้วทดลองเอาไปใช้ในแต่ละกรณี เชื่อว่าเวลาทำงานเราก็ทำงานอย่างมีความสุข เวลาเราเจออะไรมากระทบ เจอเหตุร้าย ความพลัดพรากสูญเสีย หรือว่าความเจ็บความป่วย เราสามารถจะรักษาใจให้เป็นปกติได้ สุดท้ายเมื่อเราเอามาใช้กับการภาวนา จะทำให้เราเห็นสัจธรรมได้เหมือนกัน