แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งสอนวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ปกติอาจารย์ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเลคเชอร์ไปบรรยายไปจนจบ แต่อาจารย์คนนี้นอกจากบรรยายแล้วมีพูดคุยกับนักศึกษา และชวนนักศึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เพราะฉะนั้นก่อนจะเริ่มรายการบรรยาย หรือก่อนจะเริ่มชั้นเรียนก็จะทำกระบวนการเช็คอิน คือให้นักศึกษาได้บอกความรู้สึกของตนเองในขณะนั้น ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมของนักศึกษา ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เพราะว่าถ้านักศึกษามีเรื่องวิตกกังวล ใจคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร ไม่ค่อยจะสนใจที่จะเปิดรับคำบรรยาย หรือการเรียนรู้ กระบวนการเช็คอินใช้เวลาไม่นานเพียงแต่ละคนพูดเพียง 2-3 นาที หรือบางทีไม่ถึงนาที แต่ปรากฎว่านักศึกษาไม่สามารถที่จะบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองได้
สิ่งที่พูดเป็นเรื่องความคิดทั้งนั้นเลย เช่น บางคนบอกว่าเช้านี้รู้สึกว่ารถติดเหลือเกิน กว่าจะมาถึงก็เสียเวลามาก และอีกคนหนึ่งบอกว่าเช้านี้รู้สึกว่าบรรยากาศมันทะมึนๆ ตั้งแต่เช้าครึ้มตลอดเลย บางคนบอกว่าผมรู้สึกว่าการเช็คอินมันเสียเวลา ทั้งหมดนี้นักศึกษาไม่รู้เลยว่าไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นความคิด อาจารย์ต้องจี้เลย บางทีจี้แล้วนักศึกษายังไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้ขณะนี้รู้สึกอย่างไร ต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่านักศึกษาจะบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองได้ว่า ตอนนี้รู้สึกสบาย รู้สึกอึดอัด ตอนนี้รู้สึกหนักอกหนักใจ ที่จริงไม่น่ายาก การที่จะบอกความรู้สึกของตัวเอง เพราะว่าเป็นสิ่งที่อยู่กับใจ ในแต่ละขณะหรือในขณะนี้อยู่แล้ว แต่ว่านักศึกษามีปัญหามาก ที่จริงไม่ใช่เฉพาะนักศึกษา คนทั่วไปก็ยากที่จะบอกความรู้สึก ไม่ใช่เพราะว่าเป็นเรื่องไม่อยากจะพูด แต่เพราะว่าคลำหาไม่เจอ เพราะไปติดอยู่ที่ความคิด
คนที่มาหาที่วัด เวลาเขามาถามว่าเรื่องการปฏิบัติ อาตมาบอกว่าที่นี่เราเน้นเรื่องการเจริญสติ ดูกาย ดูใจ หลายคนคิดว่าไม่สำคัญ ดูใจเป็นอย่างไร ก็ถามเขาว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร ตอบไม่ได้ อึ้ง คนเดี๋ยวนี้แปลกแยกกับตัวเองมาก อยู่กับความคิดมาก จนกระทั่งไม่สามารถจะสื่อสารบอกความรู้สึกของตัวเองได้ ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนการกระทำของเราหรือผู้คนส่วนใหญ่มาก คนส่วนใหญ่ดูเหมือนทำอะไรเพราะความคิด แต่จริงๆ ทำไปเพราะความรู้สึกเสียมาก หรือพูดอีกอย่างว่าทำไปตามอารมณ์ ทำไปด้วยแรงผลักของอารมณ์ แต่พอถามว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร มีอารมณ์อะไร ตอบไม่ได้ เท่ากับว่าเป็นหนักมากขึ้น
มีหมอคนหนึ่ที่เมืองนอก เขากำลังทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องอิทธิพลของอารมณ์ที่มีต่อการทำงานของสมอง การทดลองอย่างหนึ่งคือให้อาสาสมัครมาดูภาพที่มันน่ากลัว เป็นภาพนิ่ง ภาพคลิปวีดีโอ เช่น อาจจะเป็นภาพอุบัติเหตุ ภาพคนที่ประสบภัยธรรมชาติ ภัยพิบัติ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาร่วมทดลอง ผู้ทดลองเปิดคลิปให้ดู ไม่นานก็สังเกตุว่าความดันของอาสาสมัครคนนี้ขึ้น หัวใจเต้นเร็วถี่มากเลย แล้วถี่เกินปกติไปมาก จนถึงใกล้ขีดอันตราย จึงหยุดทดลอง หยุดคลิป อาสาสมัครคนนั้นถามขึ้นมาว่าปิดทำไม ฉันยังไม่มีอะไร ยังสบายดีอยู่ ที่จริงร่างกายอาสาสมัครคนนั้นฟ้องว่าเธอกลัวมาก ร่างกายกับอารมณ์สัมพันธ์กัน แต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองกลัว อันนี้เป็นตัวอย่างที่ค่อนข้างจะสุดโต่งหาได้ยากหน่อย แต่ว่าเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร บางทีไม่รู้ด้วยซ้ำอาการทางกาย
หมอคนเดียวกันนี้เขาเล่าว่า เวลาไปโรงพยาบาล ไปดูแลนักศึกษาแพทย์ ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์แต่เป็นแพทย์เรสซิเดนท์แพทย์ประจำบ้าน แพทย์ประจำบ้านพวกนี้ทำงานหนักมาก เรียกว่าถูกหมอใหญ่ใช้งาน ทำหน้าที่แทนตลอดเวลา กลางวันก็ทำ กลางคืนไม่ได้หลับได้นอน มีเคสเรียกว่าฉุกเฉิน หรือมีผู้ป่วยนอกต่างๆ เข้ามา ต้องไปดูไปตรวจ ให้การรักษา แถมตอนเช้าทำงานอีก ไม่ได้หลับได้นอนเท่าไร ติดต่อกันอยู่ 3-4 วันก็มี หมอคนนี้ก็สังเกตุพวกเรสซิเดนท์นี้เวลาหมดเวรหรือเวลาตรวจคนไข้ประเภทฉุกเฉินเสร็จกลางดึก เช่น ตีสองตีสาม พวกนี้เวลาออกจากห้องฉุกเฉินหรือวอร์ดจะตรงไปที่โรงอาหารเลย ไปหาของกิน เป็นแบบนี้ทุกคนเลย หมอคนนี้จึงสงสัย สิ่งที่ควรจะไปมากกว่าคือไปนอนเพราะอดหลับอดนอนมาหลายวัน
อันนี้แสดงว่าเขาไม่สามารถรับรู้เสียงเรียกร้องของร่างกายได้อย่างตรงจุด คือร่างกายกำลังเรียกร้องให้ไปนอน อาจจะบอกว่าฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันล้า ฉันอยากจะนอน แต่หมอกลับคิดว่า ร่างกายกำลังบอกหรือกำลังส่งสัญญาณว่าฉันหิวเหลือเกิน จึงตรงไปหาของกิน และเพราะเหตุนี้ก็จึงมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ หมอเหล่านี้ คือพวกนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าหรือแยกแยะได้ว่า ระหว่างความเหนื่อยล้าของร่างกายกับความหิว มีทุกขเวทนาเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ไปคิดว่าเป็นทุกขเวทนาเพราะความหิว เพราะความเหนื่อยล้า เพราะความง่วงนี้ ขนาดความรู้สึกเหนื่อยล้าทางกายก็แยกแยะไม่ได้ ความรู้สึกทางใจก็บอกไม่ได้ ว่ารู้สึกอะไร อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะว่าแปลกแยกกับตัวเองมาก เป็นเพราะว่าการขาดสติเหมือนกัน ไม่มีความรู้สึกตัว นั่นเป็นเพราะไม่รู้จักจะบอกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ เลยถูกอารมณ์เหล่านี้ครอบงำอารมณ์ทั้งหลาย
เพราะมีจุดอ่อนที่ว่า กลัวการถูกรู้ถูกเห็น ทำไมการที่เราสามารถจะบอกได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร มีอารมณ์อะไร จึงสำคัญ ถ้ารู้แล้วก็จะช่วยทำให้อารมณ์เหล่านี้คลี่คลายไปได้ ที่อาจารย์จัดให้มีการเช็คอินเพื่อทำให้นักศึกษาซึ่งอาจจะมีเรื่องติดค้างคามาจากบ้าน หรือหงุดหงิดกับรถติดมาก่อนมาถึงมหาวิทยาลัย พอได้เช็คอินแล้วเขาจะรู้สึกว่าจิตใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พร้อมที่จะเปิดรับการเรียนรู้ แล้วหลายคนพบว่านักศึกษาที่พอเช็คอินถูก สามารถที่จะบอกความรู้สึกในแต่ละขณะหรือช่วงนั้น เขาจะพร้อมจริงๆ และหลายคนก็ชอบการเช็คอินมาก และเขารู้สึกอย่างหนึ่งว่า ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่ได้คือมีคนฟังเขา มีนักศึกษาคนหนึ่งบอกว่า ช่วงเวลาเช็คอินเป็นช่วงเวลาเดียวที่มีคนฟังผม นอกนั้นไม่มีใครฟังผม แม้กระทั่งเวลาอยู่กับเพื่อ ต่างคนต่างพูด และเดี๋ยวนี้ไม่ได้ต่างคนต่างแย่งกันพูด ต่างคนต่างก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็เลื่อนจอดู Social media ถ้าคนกลับมารู้ เพียงแค่รู้ว่าตอนนี้รู้สึกอะไร ช่วยได้มากเลย จะช่วยปลดเปลื้องอารมณ์ได้
มีนักศึกษาคนหนึ่งเล่าว่า ตอนนี้อยู่ปี 4 เป็นปีสุดท้ายของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ ตามระเบียบต้องไปฝึกงาน เขาอยากไปฝึกงานกับองค์กรชาวบ้านแถวภาคอีสานเพราะเป็นคนอีสาน แต่อาจารย์อยากให้ไปฝึกงานกับหน่วยงานราชการ เจรจากันอยู่นาน สุดท้ายก็ลองไปฝึกงานชาวเขาแล้วกัน ทีแรกนึกว่าอาจารย์จะให้กับทำงานกับองค์กร NGO ที่ทำงานกับชาวเขาที่เชียงใหม่ แต่พอไปแล้วที่เชียงใหม่ ก็พบว่าอาจารย์ให้ไปทำงานกับกรมประชาสงเคราะห์ ก็ไม่พอใจ ถึงขั้นโกรธเลย เพราะคิดว่าอาจารย์ไม่ได้ทำตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งวันขุ่นมัวจนถึงค่ำยังคิดถึงแต่เรื่องนี้ พอรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษามาเยี่ยม แต่เป็นคนละคนกับที่ส่งนักศึกษามา พอนักศึกษาเจออาจารย์ก็ใส่เลย ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตกลงกันไม่ทำตามที่ตกลง อาจารย์พยายามอธิบาย นักศึกษาก็ไม่ฟัง ก็พูดๆ ระบาย อาจารย์ก็ดี อาจารย์ไม่โกรธ อธิบายนักศึกษาก็ไม่ฟัง พอถึงจุดๆ หนึ่งพูดกับนักศึกษาว่า คิ้วของเธอผูกเป็นโบว์เลยตอนนี้ พอได้ยินแค่นี้ นักศึกษารู้เลยว่าตัวเองกำลังโกรธ ได้สติขึ้นมาทันที รู้สึกตัวขึ้นมาทันที ความโกรธนั้นก็หายไปเลย นักศึกษาบอกว่าอัศจรรย์มากเลย ความรู้ตัว การมีสติ มันมีพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ เลยสนใจเรื่องการเจริญสติแล้วมาบวช นี่เพียงแค่รู้ว่าโกรธ ช่วยให้ความรู้สึกหลุดจากใจ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าความโกรธมาเมื่อเราเผลอและเราหลง พอความหลงหมดไปเพราะความมีสติ มีความรู้สึกตัว ความโกรธมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เฉพาะความโกรธ อารมณ์อื่นๆก็เหมือนกัน คนที่กำลังรู้สึกโกรธ พอมีคนมาทักในลักษณะทำให้เขารู้ตัวว่ากำลังโกรธ มันหยุดเลย
มีผู้ปกครองคนหนึ่งเป็นนายทหาร ตอนเย็นก็ไปรับลูก ลูกเรียนโรงเรียนที่มีชื่อ ผู้ปกครองมีเงินกันทั้งนั้น ตอนเย็นขับรถมารับ รถติดกันจนเรียกว่ายาวเหยียด กว่าจะเข้าไปในโรงเรียนได้ก็ใช้เวลานาน เข้าไปแล้วก็มีปัญหาเรื่องที่จอดรถ ตามระเบียบ จะจอดรถได้ต้องอ้อมไปกลับรถที่วงเวียนถึงจะไปจอดรถได้ ผู้ปกครองคนนี้ระหว่างที่รอกลับรถก็เห็นว่าขวามือมีที่จอดรถว่างอยู่ที่หนึ่ง ก็เลยแทนที่จะรอให้กลับรถก่อน ก็เลี้ยวขวาเข้าไปเสียบเลย ขณะที่จะลงจากรถก็มีผู้ปกครองอีกคนมาต่อว่า เพราะว่าผู้ปกครองคนนี้ก็เล็งที่จอดรถตรงนี้อยู่แล้วและก็มีสิทธิ์ที่จะได้เพราะทำตามระเบียบ แต่พอถูกนายทหารคนนี้เข้ามาเสียบจีงไม่พอใจ ลงจากรถมาต่อว่า ว่าทำไมทำอย่างนี้ คุณทำไม่ถูก คุณทำผิดระเบียบของโรงเรียน นายทหารก็โต้ขึ้นมาทันทีว่าผมไม่สนใจ แล้วพูดขึ้นมาว่าคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร ผู้ปกครองก็ไม่สนใจ แต่คุณทำผิดระเบียบ ก็ว่าไปสักพักหนึ่งก็เดินกลับไปที่รถของตัว นายทหารคนนี้ไม่พอใจมาก ไม่เคยถูกต่อว่าอย่างนี้ ก็เลยหยิบปืนในรถมา เดินตามกะจะยิงเลย
เผอิญบริเวณนั้นมีพนักงานขับรถเห็นเหตุการณ์จึงเดินเข้าไปห้าม แต่พนักงานคนนี้เป็นคนฉลาด มีปฏิภาณ เข้าใจจิตวิทยาคน รู้ว่าคนที่กำลังโกรธถ้าเข้าไปห้ามตรงๆ อาจจะเจ็บตัวได้ ที่ตายก็เคยมีมาแล้ว พวกพลเมืองดีที่ไปห้ามอาชีวะตีกัน ทำอย่างไรระงับเหตุการณ์นี้ได้โดยไม่เจ็บตัว แล้วเดินไปที่นายทหารคนนั้น พอเดินไปถึงก็เอามือแตะที่แขนเบาๆ พร้อมกับพูดว่า ท่านครับ อ้อเรียกคุณพ่อครับ ท่านมารับลูกไม่ใช่หรือครับ พอพูดเช่นนี้ นายทหารคนนั้นได้สติเลย พอรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรลงไป หยุดเลย ความโกรธมันก็หายไปเลย หันหลังกลับไปที่รถเอาปืนไปเก็บแล้วไปรับลูก คำพูดและสัมผัสของพนักงานคนนั้น มันทำให้นายทหารได้สติ รู้ตัวว่ากำลังโกรธและกำลังทำอะไร แค่รู้ตัวนี่ก็มากพอแล้ว ทำให้ความโกรธหมดไป มันหายไปจริงๆ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นปฏิภาณของพนักงานคนนี้ ช่วยทำให้สติของนายทหารคนนี้กลับมา
แต่คนเราจะรอให้ใครมาช่วยรอให้ใครมาทักคงไม่ทันกาล เราต้องรู้จักมีสติด้วยตัวของเราเอง ถ้าเราไม่มีสติด้วยตัวของเราเองก็จะโดนอารมณ์ชักพาไป อย่างที่พูดมาแล้วเมื่อวานนี้ว่าอารมณ์มันฉลาด อารมณ์ทุกอารมณ์พยายามที่จะครองจิต ครองใจเราให้นานที่สุด แล้วก็บงการจิตใจ รวมทั้งพฤติกรรมของเราด้วยวิธีที่จะครอบงำและบงการจิตใจเราก็คือ ชักนำให้เราส่งจิตออกนอก ให้เราจดจ่อกับข้างนอกแทน เช่น คนที่ทำไม่ถูกใจเรา คนที่กำลังต่อว่าด่าทอเรา พอจิตส่งไปที่คนๆ นั้น ก็ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาเห็นอารมณ์ หรือเห็นตัวที่กำลังครอบงำจิตอยู่ คนเราเมื่อเวลาโกรธหรือเวลาเศร้าหรือเวลาโลภก็ตาม จิตจะส่งออกนอกไปยังบุคคล วัตถุสิ่งของที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ เท่านั้นมันยังไม่พอ จะพยายามที่จะหาวิธีการต่างๆให้มันอยู่ได้นาน ครองจิตใจได้นาน เช่นสรรหาเหตุผลมารองรับว่าทำไมต้องโกรธ เพื่อสั่งสอน ทำไมต้องเศร้า ก็เพราะว่าเรารักเขา ถ้าเราไม่ร้องห่มร้องไห้แสดงว่าเราไม่รักเขา เราต้องเศร้าเราต้องซึม นี่คือเหตุผลที่มาสนับสนุนรองรับอารมณ์ต่างๆ
แล้วยังพยายามทำอย่างอื่นอีก เช่นเวลาโกรธใคร วิธีที่จะทำให้โกรธได้นานๆ ก็ไปขุดคุ้ยความไม่ดีของเขา บางทีก็ผ่านไปสิบปี บางทีก็อาจจะมีการเคลียร์กันแล้ว ให้อภัยกันแล้ว แต่ว่าพอโกรธก็พยายามไปขุดคุ้ยเอาเรื่องเดิม ทั้งๆ ที่เคลียร์กันแล้วเอามาเป็นประเด็น ความดีก็มีมากมายแค่ไหนไม่เห็น เห็นแต่จุดบกพร่องของเขา สังเกตุว่าเวลาไม่พอใจใครก็ยิ่งขุดคุ้ยเขา ทั้งที่เป็นคนใกล้ชิด ยิ่งเป็นคนใกล้ชิดมากเท่าไรยิ่งคุ้ย ยิ่งเป็นคนรักยิ่งคุ้ยเข้าไปใหญ่ ขุดคุ้ยเพื่ออะไร เพื่อจะได้โกรธได้นานๆ หรือมิฉะนั้นจะสั่งให้เรานั่งแช่ เวลาโกรธ เวลาเศร้า ความเศร้า จะสั่งให้เรานั่งแช่ เพื่อจะได้ครุ่นคิด จมอยู่กับเหตุการณ์ที่ทำให้เศร้า เจ็บปวด ใครจะชวนไปไหนก็ไม่ไป ความเศร้าจะบอกอย่าไปๆ คนเวลาเศร้าเพราะศูนย์เสียคนรัก หรือเงินหายของหาย ก็จะนั่งเจ่าจุกเพื่อนมาชวนไปไหนก็ไม่ไป อันนี้เป็นวิธีการของอารมณ์ที่จะพยายามครองจิตครองใจเราให้นาน
บางครั้งต้องพยายามที่จะปกป้องตัวมันเองด้วยการบงการให้เราเป็นองค์รักษ์พิทักษ์มัน เช่นเวลาโกรธ ความโกรธครองใจ ถ้าเกิดว่ามีคนมาแนะนำให้อภัยเขาเถอะ โกรธไปก็ไม่ได้อะไร รุ่มร้อนจิตใจเปล่าๆ ความโกรธก็จะสั่งเราให้ไปต่อว่าเขา ต่อว่าคนที่มาแนะนำ เพราะถ้าเราไปทำตามคำแนะนำของเพื่อนความโกรธจะอยู่ไม่ได้ จะแพ้ทางการให้อภัย หรือแพ้ทางเรื่องความเมตตา คนที่เศร้าซึมเจ่าจุก ใครมาชวนไปเที่ยวบางทีไล่ตะเพิดไปเลย ไล่ตะเพิดคนที่มาชวน ใครสั่ง ความเศร้าสั่ง เพราะว่าถ้าขืนทำตามคำแนะนำของเขา หรือไปเที่ยวกับเขา ความเศร้าก็จะครองจิตครองใจเราไม่ได้ มันฉลาดมากในการที่จะหาทางครอบงำจิตใจเราและใช้เราเป็นตัวปกป้องตัวมัน ทำให้ใจเราเป็นองค์รักษ์พิทักษ์ความเศร้า องค์รักษ์พิทักษ์ความโกรธ แต่ว่าจุดอ่อนมัน ก็คือตรงนี้แหละ กลัวการถูกรู้ถูกเห็น ถ้ามีสติเข้าไปรู้ไปเห็นเมื่อไหร่มันอ่อนยวบยาบเลย มันกลัวเรารู้ทัน ถึงให้เราพยายามดึงจิต ดึงใจหรือชักชวนให้ไปสนใจภายนอกแทน เรียกว่าดึงจิตออกนอก ถ้าเราส่งจิตออกนอกก็จะไม่มีทางหันมามองตนแล้วเห็นว่าอารมณ์เหล่านี้กำลังครอบงำจิตใจ และคนส่วนใหญ่ก็เชื่อตามอารมณ์เหล่านี้ เชื่อเหตุผลของมัน จะมีเหตุผลสวยหรูที่จะหลอกให้เราเชื่อว่าจำเป็นต้องทำตาม จำเป็นต้องโกรธ จำเป็นต้องโลภ จำเป็นต้องเศร้า หรือควรจะเศร้าต่อไป
และยิ่งสมัยนี้มีแต่สิ่งเร้าที่ดึงจิตดึงใจออกไปนอกตัว มีสิ่งเร้าต่างๆ ที่พยายามยึดครองหรือ ดึงความสนใจของเราให้นานที่สุด ไม่ใช่แต่ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง เดี๋ยวนี้พวกโปรแกรมต่างๆ จะพยายามให้เราอยู่กับพวกเขาได้นานที่สุด เดี๋ยวนี้โปรแกรมทุกชนิดรู้ด้วยว่าเราใช้โปรแกรมแต่ละโปรแกรมเวลานานเท่าไร เรากำลังจดจ่อกับโปรแกรมนั้นนานเท่าไร มันจะพยายามหาลูกเล่นให้เราจดจ่อกับโปรแกรมนั้นให้นานที่สุด โดยเฉพาะพวก Social media อันนี้ก็เป็นโจทย์ใหม่ที่กำลังมีมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน ที่ทำให้จิตใจถูกดึงถูกกระชากออกไปนอกตัวมากขึ้น อารมณ์ภายในทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ดึงหรือส่งหรือพยายามพลักจิตให้จดจ่อสิ่งที่อยู่นอกตัว แถมเทคโนโลยีต่างๆ ผู้คนมากมายรอบข้างพยายามที่จะดึงเราไป เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้ทันอารมณ์ของตัว อย่าว่าแต่อารมณ์แม้กระทั่งความคิดก็ไม่รู้เพราะว่าไม่ค่อยย้อนกลับมามองตน ไม่ค่อยย้อนกลับมาดูกาย ดูใจเท่าไร และนี้แหละคืออันตราย เพราะว่าคนเราถ้าใจถูกอารมณ์ครอบงำเต็มที่ก็จะบงการให้เราทำตามอำนาจของใจได้ สั่งให้ด่า เราก็ทำ สั่งให้ขโมยเราก็ทำ สั่งให้ไปทำร้ายคนอื่นเราก็ทำ และใครเดือนร้อน เราก็เดือดร้อน
คนทุกวันนี้เป็นทาสของอารมณ์มาก เป็นทาสของความรู้สึกมาก เรียกว่าอยู่ด้วยความรู้สึก แต่ว่ากลับไม่สามารถจะบอกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร อันนี้เป็นภาวะย้อนแย้งในตัว ทั้งวันอยู่ด้วยความรู้สึกผลักดัน ทั้งวันถูกความรู้สึกครอบงำ แต่กลับไม่สามารถจะบอกได้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร เพราะว่าความสามารถในการมองตนลดน้อยถอยลงไปมาก ความสามารถในการกลับมาดูจิตดูใจหายไปมากเลย คนยุคนี้เพียงแต่หันกลับมา กลับมา มองตน กลับมามองใจ กลับมารู้ทันความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ จะหมดพิษสงลงไปเลย ลูกไม้ต่างๆ ที่มันมี เช่นมันจะคอยหลบเวลาเราไปกดข่มมัน แล้วมันยังจะครองจิตครอบใจเราได้ พอเจอสติหรือการรู้ทันมันทำอะไรไม่ถูกเลย มันแฟบไปเลย อย่าว่าแต่ความโกรธ ความเศร้า ความอยากก็เหมือนกัน
มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเกือบยี่สิบปีที่แล้วมีลูกสาว ตอนนั้นลูกสาวอายุ 12 ปี กลับมาจากโรงเรียนแล้วบอกแม่ว่าเห็นของเล่นที่ร้านอยากได้มากเลย เป็นไมโครโฟนที่พอกดแล้วมีเสียงเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังร้องเพลง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังแพงอยู่ ไม่ใช่ของเล่นของเด็กเหมือนเวลานี้ สมัยนั้นเด็กคิดได้แต่ของเล่นแบบนี้ แม่ถามว่าราคาเท่าไร เด็กบอกว่า 400 บาท สำหรับครอบครัวนี้ 400 บาทถือว่าแพงสำหรับเด็กอายุ 12 แม่จะทำอย่างไร แม่มีทางเลือกอยู่สองทาง คือ หนึ่งซื้อให้เด็กตัดรำคาญ สองไม่ซื้อ แต่แม่คนนี้ฉลาด บอกว่าถ้าอยากได้มีเงื่อนไขสองอย่าง คือ หนึ่งหักค่าขนมครึ่งหนึ่งจนครบ 400 และสองทุกเย็นก่อนกลับบ้านให้หนูไปที่ร้านนั้น ไปดูของชิ้นนั้นและให้สังเกตุความรู้สึกและจิตใจของตัวเองด้วย เด็กอารามอยากจะได้มากจึงตกลงยอมรับข้อเสนอของแม่ ทุกวันก่อนกลับบ้านได้ไปที่ร้านดูของและดูความรู้สึกดูความอยากของตัวเอง ทำไปได้สามวัน วันที่สี่กลับมาบอกว่าแม่หนูไม่เอาแล้วของเล่น ไม่อยากได้แล้ว แม่ถามว่าทำไม ลูกบอกว่า เบื่อ เบื่อแล้ว ไม่อยากได้แล้ว เอาเงิน 400 บาทไปทำอย่างอื่นดีกว่า ความอยากหายไปเพราะอะไร ความอยากหายไปเพราะเด็กมาดูความรู้สึกของตัว สิ่งที่เด็กทำคือแม่สอนให้เด็กหันมาดูความอยากของตัว
อย่างที่บอกไปแล้วว่าความอยาก อารมณ์ทั้งหลาย ไม่ว่าโลภ หรือโกรธ หรือหลง มันแพ้ทาง มันแพ้ทางสติ มันกลัวการถูกรู้ ถูกเห็น พอไปรู้ไปเห็นเมื่อไหร่ มันยวบยาบ หนีไปเลย เหมือนกับผู้ร้ายที่แอบเข้ามาขโมยของในบ้านเรา พอสบตากับเราที่เป็นเจ้าของบ้าน หนีไปเลย ไม่ต้องเอาปืน เอามีด หรือเอาไม้ไปไล่ แค่สบตาเรา ก็หนีไปแล้ว อารมณ์อกุศล ที่จริงรวมถึงอารมณ์ความสุข ความดีใจ ความลิงโลดก็เหมือนกัน พอถูกรู้ถูกเห็นขึ้นมา ก็ละลายหายไปเลย อันนี้เป็นวิธีการ รู้ทันเป็นวิธีการที่ดี ดีกว่าการไปกดข่ม และวิธีการที่จะรู้ทันต้องหมั่นดูใจบ่อยๆ การที่เราหมั่นมาดูใจสังเกตุใจของเราบ่อยๆ หรือที่เรียกว่าตามรู้ จะช่วยทำให้อารมณ์พวกนี้ไม่มาครอบงำจิตใจเราได้ ตราบใดที่เราส่งจิตออกนอกอยู่เรื่อยๆ คือเปิดช่องให้อารมณ์เหล่านี้เข้ามาครอบงำจิตอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับว่าจิตใจเราไม่มีเครื่องรักษา แต่พอมีสติหมั่นมามองดู ตามรู้ใจและกาย อารมณ์จะเข้ามาครอบงำจิตใจเราไม่ได้ และที่กำลังครอบงำอยู่ก็จะเลือนหายไป อย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ไม่มีใครตัดความโกรธให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมันก็ดับไปเอง อันนี้สำคัญมาก เราไม่สามารถบงการควบคุมให้อารมณ์เหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้ มันเกิดขึ้นได้ตามปกติ หมายความว่าตราบใดที่เรายังมีกิเลสอยู่อารมณ์พวกนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่สิ่งที่เราทำคือว่าไม่ปล่อยให้มันมาครอบงำใจ หรือไม่ปล่อยให้มันควบคุมจิตเรา
การภาวนาแบบพุทธจุดมุ่งหมายไม่ใช่เพื่อควบคุมความคิด หรือควบคุมจิต แต่เพื่อรักษาจิตไม่ให้ความคิดเหล่านี้มาควบคุมเรา รวมถึงอารมณ์ด้วย เราภาวนาไม่ใช่เพื่อควบคุมอารมณ์ แต่เพื่อไม่ให้อารมณ์เหล่านี้มาควบคุมจิตใจของเราหรือบงการชีวิตของเรา เราห้ามไม่ให้มันเกิดไม่ได้ เพราะว่าจิตเป็นอนัตตา จะปรุงอารมณ์เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะห้ามได้ แต่สิ่งที่จะห้ามได้คือ เมื่อเกิดอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วมันจะมาควบคุมจิตใจเราไม่ได้ บงการชีวิตเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเรารู้ทัน มันเกิดก็เกิดไปแต่ว่าทำอะไรจิตใจไม่ได้เพราะเรารู้ทัน แต่ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้พยายามควบคุมความคิด พยายามบังคับจิตไม่ให้คิด พยายามกดข่มอารมณ์ต่างๆ อันนี้เรียกว่าการควบคุมความคิดและอารมณ์ ซึ่งทำแล้วก็เหนื่อย แล้วก็ไม่ค่อยประสบผลด้วย แต่สิ่งที่เราทำได้ดีกว่า คือไม่ให้มันมาครอบงำหรือควบคุมจิตใจของเรา มันมี มันเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ทำอะไรใจเราไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรารู้มัน เราเห็นมัน เราเห็นแล้วเราไม่เข้าไปเป็น ผู้โกรธ ผู้เศร้า ฉะนั้นสติมีอานุภาพมากที่เราต้องพยายามหมั่นเพียร สร้างให้มีขึ้นมากๆ จะช่วยรักษาใจเราไม่ให้อารมณ์เหล่านี้เข้ามายึดครองใจบงการ หรือครอบงำใจของเราได้