แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอเจริญพร แม่ชีและญาติโยมทุกท่าน ที่จริงวันนี้บรรยากาศน่าจะเป็นแบบสบาย ๆ พอมีพระมาฟังเทศน์ก็กลายเป็นเครียดขึ้นมาทันที ยิ่งมาพูดเรื่องความทุกข์ด้วยแล้ว ที่ชื่อว่า บ้านป่า บ้านสวนสุขใจ เราน่าจะพูดกันเรื่องความสุข แต่จริง ๆ ไม่ว่าเราอยากจะเจอความสุข หรือแม้แต่เราพบความสุขก็ตาม ความจริงอย่างหนึ่งที่เราหนีไม่พ้นก็คือว่า ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะแสวงหาความสุขอย่างไร ก็มีความทุกข์โผล่เข้ามา บางครั้งก็เป็นครั้งคราว
หัวข้อที่ทางเจ้าภาพตั้งคือ คิดให้ดีก็น่าสนใจ เพราะว่าเขาใช้คำว่า จัดการความทุกข์ จัดการความทุกข์หมายความว่า หนึ่ง ความทุกข์เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นหนีไปยังไงก็ต้องเจออยู่วันยังค่ำ ประการที่สอง เมื่อจะต้องเจอ รู้จักจัดการกับดีกว่า จะผลักไสไล่ส่งบางทีมันก็ไม่ไป จัดการอย่างไร
ที่จริงความทุกข์คนเราสมัยนี้ ไม่ใช่ความทุกข์กายเท่าไหร่ สมัยนี้เราสบาย เรามีสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนใหญ่มาที่นี่ ก็ไม่มีใครเดินมา เรานั่งรถมา ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ต้องเดินมา ตากแดดกว่าจะมาถึงก็เหนื่อย เดี๋ยวนี้เรานั่งรถมา รถเราก็ติดแอร์เสียด้วย คนทุกวันนี้ ความทุกข์กายไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไร อันนี้พูดรวม ๆ แต่ที่เป็นปัญหาแทบไม่เว้นแต่ละวัน คือ ความทุกข์ใจ
ถามว่า ความทุกข์ใจเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่เกิดเพราะความคิด ไปนึกถึงอดีต นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไป นึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นึกถึงเงินที่หาย โทรศัพท์ที่ถูกขโมย ผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังทุกข์ เพราะใจไปเจ่าจุกอยู่กับอดีตที่ผ่านไป ทั้ง ๆ ที่อยู่ในห้องแอร์ ทั้ง ๆ ที่กินอาหารอร่อย กินกาแฟที่รสชาติดี แต่ทำไมยังทุกข์ เพราะใจไม่ได้อยู่กับกาแฟ ไม่ได้อยู่กับอาหาร ไม่ได้อยู่กับเพลงที่กำลังบรรเลง มาที่ถึงแม้จะมีบูทสวย ๆ งาม ๆ มีศิลปะ มีดนตรี มีอาหารอร่อย แต่ถ้าใจเราไปคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต เราไม่มีความสุขหรอก มาสวนป่าสุขใจก็เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะใจไม่มีความสุข ทั้ง ๆ ที่ความสุขมีอยู่รอบตัวเรา
หรือบางทีใจก็คิดถึงอะไรที่ยังมาไม่ถึง ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าจะได้หรือเปล่า ไปนึกถึงงานคอยอยู่ งานที่คาอยู่ ไปนึกถึงหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ นึกถึงพ่อที่ป่วย พอคิดแบบนี้เข้า ใจก็เป็นทุกข์ แต่อาจจะไม่ใช่เศร้า ไม่ใช่โศก ไม่ใช่เสียใจ แต่เป็นความกังวล ความวิตก เรื่องใจทั้งนั้น เวลาทุกข์ใจแบบนี้ ขอให้นึกถึงคาถาของหลวงพ่อพุทธทาส คาถานี้บางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน ส่วนใหญ่คงไม่เคยได้ยิน คาถานี้ให้จำไว้ในใจ “กูไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์โว้ย” เด็กจำไว้ จำได้หรือเปล่า “กูไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์โว้ย” หรือหนูก็ได้ ถ้ากูไม่สุภาพ ไม่ได้เอาไว้พูดกับใคร เอาไว้พูดกับตัวเอง ตวาดใส่ตัวเอง ว่าทำไมกูโง่แบบนี้ “กูไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์โว้ย”
เวลาเราตวาดใส่ตัวเองด้วยคาถาแบบนี้ บางทีมันตื่น ได้คิด เกิดสติขึ้นมา กูจะบ้าอะไรอยู่ จะจมกับความทุกข์ทำไม หรือมิฉะนั้นบอกกับตัวเองว่า พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงเรามาให้ทุกข์แบบนี้ ถ้าทุกข์แบบนี้ ก็เสียแรงที่พ่อแม่อุตส่าห์ทุ่มเทความรักมาเลี้ยงเรา ทุกข์เพียงเพราะแค่มีสิวไม่กี่เม็ด ไม่คุ้มเลย หรือทุกข์เพราะเพื่อนไม่กดไลค์ให้ อย่างนี้มีทุกข์เพราะเพื่อนไม่กดไลค์ ทุกข์มากเลย บอกกับตัวเอง “กูไม่ได้เกิดมาเป็นทุกข์โว้ย” ไม่กดไลค์ก็ช่างมัน
บางคนเห็นหน้าตัวเองในเฟซบุ๊กไม่สวย เป็นทุกข์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้หญิงคนหนึ่งชาวออสเตรเลีย เขาคงไปลักเล็กขโมยน้อย ถูกตำรวจจับ ไปดัดสันดาน ไปอยู่บ้านที่ควบคุมพฤติกรรม เขาก็หนีมาได้ ตำรวจก็เอาภาพของเขาตอนที่ถ่ายอยู่ในบ้านดัดสันดาน เอาขึ้นเว็บไซต์ เพื่อประกาศตามตัวปรากฏว่า หน้าตาดูไม่ได้เลย หน้าตาแบบไม่มีความสุขเลย ผู้หญิงคนนี้เขาทนไม่ได้ เขาก็เขียนจดหมาย เขาก็ส่งข้อความไปทางเว็บไซต์ บอกว่า เอารูปเขาทางเฟซบุ๊กดีกว่า รูปในเฟซบุ๊กของเขาสวยกว่า ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น ตำรวจก็จับเขาได้เพราะว่าไปส่งข้อความไปทางเว็บไซต์ ตำรวจเลยรู้ว่ามาจากไหน ถ้าอยู่เฉย ๆ ตำรวจคงจับไม่ได้ คงจะลอยนวล แต่ทนไม่ได้เห็นหน้าตัวเองไม่สวย อันนี้ไม่รู้โง่หรือฉลาด ตำรวจเลยจับได้เลย เพราะทนไม่ได้ที่เห็นหน้าตัวเองไม่สวย ไม่เท่เหมือนกับที่ในเฟซบุ๊ก คนเดี๋ยวนี้ทุกข์เพราะเรื่องนี้ โดยเฉพาะหนุ่มสาว ให้บอกตัวเองว่า “กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย”
แต่บางอย่างความทุกข์เป็นของจริง เช่น เจ็บป่วยเป็นของจริง คือ ไม่ใช่แค่คิดเอา แต่ก็มีส่วนแห่งความคิดด้วย ใจมีส่วนทำให้ทุกข์ด้วย คนเราเวลาเจ็บป่วย เราไม่ได้ป่วยกายแต่ป่วยใจ ป่วยใจเพราะอะไรรู้ไหม เพราะใจไม่ยอมรับ คนเราใจไม่ยอมรับอะไร ก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที เสียงดัง แดดร้อน อากาศอ้าว พวกนี้ไม่ได้ทำให้ทุกข์ใจเลย แต่พอใจเราไม่ชอบ ใจเราผลักไส ใจเราต่อต้าน เป็นทุกข์เลย ลองทำใจเป็นปกติ เสียงดังก็ดังไป อากาศร้อนก็ร้อนไป ไม่ทุกข์
มีหมอคนหนึ่งเขาเล่าว่า ได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมคนไข้คนหนึ่งที่บ้าน หมอก็ขอดูประวัติ ได้อ่านประวัติก็หนักใจ เพราะคนไข้คนนี้ เขาเป็นมะเร็งใบหน้า อายุแค่ 40 กว่าเอง เป็นมะเร็งที่ใบหน้า คนที่เป็นหมอรู้ดีว่า คนป่วยเพราะมะเร็งใบหน้า จะเจ็บปวดมาก มะเร็งที่เกิดกับใบหน้าเขา กัดกินใบหน้าเขาเรียกว่า เต็มแก้มเลย ก็กินไปถึงริมฝีปากบางส่วน ต้องเอาผ้าก๊อซปิดเอาไว้ คนที่เป็นโรคมะเร็งใบหน้า นอกจากจะเจ็บปวด จะต้องเก็บตัวเองอยู่ในบ้าน ส่วนหนึ่งเพราะความอาย ใครเห็นเขาก็กลัว เพราะปกปิดลำบาก ถึงแม้จะเอาผ้าปิดแผลไว้ก็ตาม อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าไปเจอแดดแบบนี้ไม่ได้ จะมีปฏิกิริยากับเส้นประสาททำให้ปวดมาก ต้องเก็บตัวในบ้าน และในบ้านต้องมีม่านพรางเอาไว้ ให้แสงเข้ามาอ่อน ๆ เปิดไฟบ้านได้ คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ ก็จะเกิดการหดหู่ ไม่เจอผู้เจอคน หดหู่ ปวดก็ปวด แถมอายที่จะเจอผู้คน และก็ต้องขังตัวอยู่คนเดียว ในอเมริกา คนที่เป็นมะเร็งใบหน้า ฆ่าตัวตายประมาณ 25% คือ 1/4
หมอไปเยี่ยมคนนี้ หมอก็หนักใจ เพราะเชื่อว่า คนไข้ต้องหงุดหงิดเครียด ก้าวร้าว เป็นคนไข้ที่ลำบาก หมอคนนี้เป็นผู้หญิง แต่พอไปถึงที่บ้านก็ประหลาดใจ และผิดคาด คนไข้เขาต้อนรับขับสู้ดี ประโยคแรกที่ถาม หมอสบายดีไหม ถ้าถามแบบนี้ แสดงว่า เป็นคนมีโอภาปราศรัย แต่ถ้าถามว่าหมอมาทำไม อันนี้เตรียมตัวได้เลย แสดงว่าเขาเครียด เขาหงุดหงิด เขาถามหมอว่า หมอสบายดีไหม หมอก็เลยรู้สึกสบายใจ ก็เข้าไปในบ้านก็คุยกันดี ว่าง ๆ เขาก็วาดภาพ เขาไม่ค่อยได้ทำอะไร เขาก็วาดภาพเป็นการผ่อนคลาย แต่ว่าที่หมอสะดุดใจ ก็คือ ประวัติของเขา คือ สมัยเป็นหนุ่มกินเหล้าเมายามาก เมาหัวราน้ำ บุหรี่ก็สูบเยอะ มีครอบครัวก็ยังไม่เลิกนิสัยนี้ จนกระทั่งต้องเลิกกัน ลูกต้องไปอยู่กับภรรยา เขาพูดไปก็ยอมรับว่าที่เป็นมะเร็งเพราะพฤติกรรมแบบนี้แหละ พฤติกรรมเสี่ยง
แต่สิ่งที่ทำให้หมอพบว่า จริง ๆ เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้เขาสงบได้ ไม่ก้าวร้าว ไม่โวยวาย ตีโพยตีพาย เขาบอกว่า วัน ๆ ไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีอะไรทำก็เปิดโทรทัศน์ ดูช่อง CNN ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ข่าวตลอด 24 ชั่วโมง เขาดูไป ๆ ทีแรกก็ฆ่าเวลา ดูไป ๆ ก็ได้คิด คนเรามีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ช่อง CNN มีแต่ข่าว น้ำท่วม ฝนแล้ง อดอยากหิวโหย สงคราม แผ่นดินไหว ก่อการร้าย ดูไป ๆ ก็ได้คิดว่า คนเราไม่ว่ารวยหรือจนก็ทุกข์ทั้งนั้น และดูไปเขาก็ได้คิดว่า ความทุกข์ของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ของมนุษย์ คือ เป็นธรรมดา พอเขาได้คิดแบบนี้ เขาก็ยอมรับโรคที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ การที่เขายอมรับโรคที่เกิดกับตัวเองได้ ทำให้เขาไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่มีคำว่า ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน พอยอมรับโรคได้ ใจก็สงบ มีแต่ความป่วยกาย
เขาบอกว่า ทุกวันนี้ก็พยายามที่จะรักษาตัวให้ดี อยู่ให้นานที่สุด ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะว่า อยากจะได้มีเวลาอยู่กับลูกให้มาก ๆ เพราะว่าที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่กับลูกเลย อยู่เพื่อลูก หมอบอกว่า เขาจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน ปรากฏว่า เขาอยู่ได้เป็นปีและตอนที่อยู่ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมาน เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคแบบนี้ และตอนตายก็ตายอย่างสงบ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของคน ซึ่งเขาสามารถอยู่กับความเจ็บป่วยได้ อยู่กับมะเร็ง อยู่กับโรคร้ายได้ เพราะเขายอมรับ ยอมรับว่าเป็นธรรมดา อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความทุกข์ คือ การยอมรับ เกิดขึ้นจะบ่นไปทำไม โวยวาย ตีโพยตีพายทำไม ป่วยการที่จะโอดครวญ ตีโพยตีพายไปทำไม ทำไมต้องเป็นฉัน คนที่โวยวายตีโพยตีพาย กำลังซ้ำเติมตัวเอง แทนที่จะป่วยกายก็ป่วยใจด้วย
เวลาเราเจอความทุกข์ อย่างแรกที่เราควรทำก็คือ ยอมรับ
อันนี้ก็ตรงกับที่อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เป็นมะเร็ง เดิมเขาพิการ รักษาใจให้ปกติ พิการแต่กาย ใจไม่พิการ ตอนหลังก็โดนเจอโรคร้าย แต่อาจารย์กำพลก็ยังยิ้มได้ ทั้ง ๆ เป็นมะเร็งที่ตับ หมอบอกว่าอยู่ไม่นาน อาจารย์กำพลก็ยังยิ้มได้ อาจารย์กำพลบอกว่า เพราะมี 3 ยอม อยู่ในใจ ยอมรับความจริงว่าป่วย ยอมรับว่าเป็นมะเร็ง ยอมรับความเป็นไป คือ ยอมรับว่าโรคนี้รักษาได้ยาก และเมื่อเวลาผ่านไปจะรุนแรงมากขึ้น ก็จะลามจนกระทั่งในที่สุดต้องตาย และข้อสามคือ ยอมรับความตาย
พอทำสามยอมได้ หรือพอมีสามยอมอยู่ในใจ ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ความทุกข์ก็ทำได้แต่กาย เบียดเบียนได้แต่กาย แต่ใจก็สงบ อันนี้ข้อที่ 1 เลย ยอมรับความจริง หรือยอมรับความทุกข์แต่ไม่ใช่ยอมจำนน ก็คือว่า ป่วยก็ต้องรักษา หลังคารั่วก็ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย แต่ว่าต้องซ่อม ประการที่ 2 คือว่า ให้หาประโยชน์จากมัน หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็ได้คือว่า ให้มองบวก คือว่า มองว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง หรือว่าจะมองร้ายให้กลายเป็นดีก็ได้
มองบวก มองอย่างไร มองได้หลายแง่ อาตมาเคยพาคนไปเยี่ยมผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก็ไม่เชิงเป็นโรงพยาบาล เขาพักรักษาตัวที่วัด แต่พอได้เวลาก็ไปโรงพยาบาลที่หาดใหญ่ จิตอาสาคนหนึ่งไปเจอเด็กอายุ 14 ผมร่วงหมดเลย เพราะเธอเป็นมะเร็งสมอง แต่เธอยิ้มแย้มแจ่มใส เธอชวนจิตอาสาวาดรูป ทั้งสองคนชอบวาดรูป มะเร็งปากก็ชอบวาดรูป เป็นมะเร็งสมอง การวาดรูปก็เป็นการผ่อนคลาย คุยไปคุยมา เธอก็บอกว่า หนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก ญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งมดลูก ปวดมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง เธอพูดอย่างนี้ หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง คือ มองบวก มองว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้
เวลาเจอทุกข์อะไรขึ้นมา เราเติมคำว่า "แค่" ลงไปช่วยได้เยอะ โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง ขณะที่บางคนมีแค่มีสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลาย นอนไม่หลับ เพราะยอมรับไม่ได้ หรือเพราะเห็นแต่สิว ไม่ได้เห็นอย่างอื่น มองบวกความหมาย คือว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเราก็ดี มองแบบนี้ได้เพราะ เติมคำว่าแค่ไป โทรศัพท์หายก็ดีที่หายแค่โทรศัพท์ ถูกโกงก็ไม่ทุกข์ ดีที่โกงไปแค่หมื่นบาท หรือว่าโกงไปแค่แสน
เวลาเจออะไรก็ตามเติมคำว่า “แค่” ลงไป ใจเราจะเป็นปกติได้ดีขึ้น เป็นแค่มะเร็งสมอง หรือมองก็ได้ว่า ขอบคุณที่มะเร็งทำให้เราได้เห็นธรรมะ ถ้าไม่เป็นมะเร็งคงไม่เข้าวัด ไม่ปฏิบัติธรรม อันนี้คือข้อดี เงินหายของหาย มองว่าโชคดีที่หายแค่นี้ก็ได้ หรือมองว่าของหายก็สอนใจเรา ให้ระมัดระวังไม่ประมาท ต่อไปจะวางกระเป๋าก็ให้วางอย่างมีสติ ไม่ใช่วางไม่เป็นที่ เสร็จก็หาไม่เจอ ก็มีคนหยิบเอาไป เตือนเราว่าให้มีสติ เวลาวางข้าววางของ หรือเตือน หรือบอกเราว่าของทุกอย่างไม่เที่ยง ของที่หายไป เตือนเราว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง อย่างนี้ได้กำไร
อย่างเมื่อปี 2554 มีน้ำท่วมใหญ่ เราคงจำได้ ห้าปีผ่านไป เร็วมาก ผู้คนเป็นแสนสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนก็สูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก บางคนทำใจไม่ได้ กลุ้มอกกลุ้มใจ จนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนฆ่าตัวตาย แต่มีคนหนึ่ง เขายังยิ้มได้ เขาบอกว่า น้ำท่วมคราวนี้ ก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างที่เรามีเป็นของชั่วคราว สักวันหนึ่งก็ต้องไป ถ้าไฟไม่ไหม้ น้ำก็พัดพาไป หรือไม่ก็มีคนเอาไป ที่จริงต้องเติมไปว่า สุดท้ายก็ต้องไปจากเรา หรือไม่เราก็ต้องไปจาก พอเราตายทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นของคนอื่นไป พอเธอคิดแบบนี้ได้ เธอก็ไม่ทุกข์ เสียของแต่ได้ธรรมะ อันนี้ถือว่าได้กำไร เพราะว่าธรรมะซื้อเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ ของหาใหม่ได้ แต่ว่าธรรมะมีเงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ และถ้ามีธรรมะ ต่อไปหายหนักกว่านี้ใจก็เป็นสุขได้ ใจก็เป็นปกติได้
อันนี้เรียกว่า มองบวก คือ มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราก็ดีทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเป็นหรือเปล่า
มองบวกยังหมายความว่า อย่าไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีมีอยู่ เงินหาย ของหาย โทรศัพท์หาย แต่ว่าที่เหลืออยู่กับเรายังมีอีกตั้งมากมาย คนโกงเงินไป แม้เป็นล้าน แต่สิ่งที่เรายังมีอยู่ ยังเหลืออยู่กับเรามากกว่าสิ่งที่หายไปหลายเท่า อย่าไปสนใจสิ่งที่หายไป สนใจแต่สิ่งที่มี อย่าไปมองแต่สิ่งที่เสีย ให้มองสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาป่วยเป็นธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด หมอบอกว่า อยู่ได้ไม่เกิน 20 ก็ต้องตาย เพราะเธอเป็นธาลัสซีเมีย โรคเลือดแรงมาก เหมือนน้องเลย พ่อก็เป็นพาหะ แม่เป็นพาหะ พอแต่งงานกัน ลูกเป็น 100% แต่เธอก็สามารถที่รักษาตัวจนอายุได้ 30 กว่า ร่างกายเธอแคระแกร็น ตาโปน กระดูกเปราะ ล้มทีไร ขาหักแขนหักต้องใส่เฝือก ต้องรับเลือดเป็นประจำทุกอาทิตย์ คนที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร น่าจะมีความทุกข์ แต่เธอยิ้มแย้มแจ่มใส ก็มีคนถามว่า ทำไมเธอมีความสุข เธอบอกว่า ถึงแม้เลือดฉันจะแย่ แต่ฉันก็ยังมีตาเห็นสิ่งสวยงาม ยังมีจมูกดมกลิ่นหอม ยังมีปากกินของอร่อยได้ หูก็ยังฟังเพลงเพราะ จะไปไหนมาไหนก็สะดวก ก็ยังไปได้ แค่นี้ก็มีความสุข คือ เลือดเธอไม่ดี แต่เธอไม่สนใจ เธอสนใจว่า ฉันยังมีอะไรดีอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังดีอยู่
คนที่ป่วยด้วยโรคหัวใจก็ตาม หรือมะเร็งที่กระเพาะก็ตาม อย่าไปสนใจแต่ตรงนั้น ให้สนใจว่า เรายังมีของดี ๆ อยู่รอบตัว เราจะมีความสุข
เรามี 100 แต่เสียแค่ 1 หรือ 2 ทำไมจะไปจดจ่อตรงที่ 1 หรือ 2 ที่ไม่ดี ทำไมเราไม่จดจ่อ 98 หรือ 97 ที่ยังดีอยู่
แต่คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ชอบซ้ำเติมตัวเอง จดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ไม่ดี เด็กวัยรุ่นที่เป็นทุกข์เพราะว่าเป็นสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลาย ก็เพราะว่า จดจ่อแต่สิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่สวย ทั้ง ๆ ที่ร่างกายก็สวย ร่างกายก็สมาร์ท ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่ออะไรอยู่มากมายรอบตัว มีบ้านที่ดี พ่อแม่ที่อบอุ่น การเรียนก็ดี มีสติปัญญา มีโทรศัพท์ มีเครื่องเล่นดนตรี มีสารพัด แต่ไม่สนใจไปสนใจแต่สิ่งที่ไม่ดี คือ สิวไม่กี่เม็ด หรือผิวที่ไม่สวยเหมือนคนอื่น ลืมไปเสีย สนใจสิ่งดี ๆ เราก็จะมีความสุขได้
พวกเรารู้จักซิโก้ใช่ไหม ซิโก้ เขาเป็นโค้ชมีชื่อใช่ไหม แต่ก่อนที่เขาจะเป็นโค้ช เขาเป็นนักกีฬา นักฟุตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์ เป็นแชมป์ เป็นหัวหน้าทีมชาติไทย ตอนหลังก็ไปแข่ง ค้าแข้งในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลย์ เวียดนาม เมื่อ 20 ปีก่อน เด็ก ๆ หลายคนอาจจะไม่รู้ ตอนหลังสโมสรอังกฤษก็ซื้อตัวเขาไปค้าแข้งที่อังกฤษ คนไทยตื่นเต้นดีใจมาก เมื่อ 20 ปีที่ จะได้เห็นซิโก้แข่งบอลอังกฤษ ซิโก้ก็ดีใจเพราะนั่นคือความฝันของเขา แต่ว่า จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่เคยได้ลงสนามเลย นั่งแต่ข้างสนาม เพราะเป็นตัวสำรอง จนครบหมดฤดูกาล เขาเสียใจมาก กลุ้มใจ รู้สึกว่าการไปอังกฤษนั้น เสียเวลา สูญเปล่า ล้มเหลว ใครถามก็ไม่อยากพูดถึง
แต่หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปี พอมีคนถามเรื่องนี้ เขายิ้ม เขาบอกการไปครั้งนั้นมีแต่ได้กับได้ ได้บ้าน ได้รถ ได้ภาษา ได้พัฒนาร่างกาย ได้ท่องเที่ยว ได้เจอคนหลากหลาย ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ และได้สัมผัสลีกที่มีสีสันที่สุดของโลก ได้ตั้ง 8 อย่าง เสียอย่างเดียว คือ ไม่ได้เล่น แต่ตอนนั้นเขาเห็นแต่เสีย เขาไม่เห็นว่าเขาได้อะไร แต่ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่มองไม่เห็น อันนี้เรียกว่า มองลบ ผ่านไปหลายปี เขาก็เห็นว่า โอ้โฮ ฉันได้ตั้งเยอะ ดีๆทั้งนั้นเลย เขาก็เลยไม่ทุกข์ เขายิ้มได้ ไม่มีอะไร ผมแค่มองไม่ออก มองไม่เห็น
เพราะฉะนั้น เวลาเราเจออะไรไม่ถูกใจ ลองมองบวกดูสิ มองว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีข้อดีอย่างไรบ้าง หรือมองอย่าไปจดจ่ออยู่แต่ตรงนั้น มองว่า มีอะไรดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราบ้าง มองบวก ยังหมายถึงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ถ้ามองให้ดีก็ได้
มีผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่ง เขาเป็นมะเร็งชนิดที่ต้องใช้เคมีบำบัดที่แรง ต้องใช้การฉายแสงในขนาดที่สูง ซึ่งคนส่วนใหญ่ พอเจอจะอาเจียน จะแพ้มาก แต่ผู้ป่วยคนนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล ปรากฏไม่ค่อยเป็นอะไรเท่าไร ไม่ค่อยแพ้ คนก็ไปถาม เกิดอะไรขึ้น เธอทำอย่างไร มีของดีหรือเปล่า เธอบอก เธอไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่เวลาโดนฉายแสง ก็นึกว่า กำลังได้รับแสงสวรรค์ เวลาได้รับเคมีบำบัดก็นึกว่า กำลังได้รับน้ำทิพย์ พอนึกว่าได้แสงสวรรค์ ได้น้ำทิพย์ ใจยอมรับ พอใจยอมรับ กายก็ยอมรับ ก็เลยไม่ค่อยแพ้ อันนี้เรียกว่า เป็นการมองบวก มองว่ากำลังได้รับแสงสวรรค์ กำลังได้รับน้ำทิพย์ เสียงดัง ๆ เสียงรบกวน ลองมองว่าเป็นเสียงเพลงดูบ้าง บางคน เวลานอนกับใครบางคนเจอเสียงกรนนอนไม่หลับ แต่มีบางคน เขาฟังหรือเขานึกว่าเสียงกรนเป็นเสียงเพลง เขาหลับ อันนี้เป็นการมองบวก
มีนักบินอวกาศคนหนึ่งชาวรัสเซีย รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ส่งนักบินอวกาศไปโคจรรอบโลก เป็นประเทศแรกในโลกก่อนอเมริกา เมื่อสัก 60 ปีที่ นักบินอวกาศคนนี้ตอนที่เขาโคจรรอบโลก เขารู้สึกทึ่งมากเลย โลกที่เขามองเห็นข้างล่าง สวย สงบ บรรยากาศก็ไม่มีเสียงดัง สงบมากเลย เขารู้สึกดื่มด่ำกับความสงบและความสวยงามที่เห็นข้างล่าง แต่จู่ ๆ เขาได้ยินเสียงดัง เป็นเสียงเหล็กกระทบกัน คล้าย ๆ แบบนี้ แต่แหลมกว่า เขาก็พยายามหาว่า เสียงมาจากไหน หาไม่เจอ และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกรำคาญ เขาจะหนีก็หนีไม่ได้ เพราะว่าเคบินหรือห้องนักบินแคบ และเขาเริ่มกระสับกระส่าย เขาเริ่มหงุดหงิดกับเสียงนี้ ดังตลอดเวลารบกวนบรรยากาศ
เขาคิดต่อไปว่า ถ้าเสียงดังตลอดทริปของเขา ตลอดเวลาที่อยู่บนยานอวกาศนี้ เขาคงบ้า พอคิดแค่นี้ เริ่มกระสับกระส่าย เริ่มหงุดหงิดเลย ทุรนทุรายขึ้นมาทันทีเพราะเสียงนี้ เสียงบ้า ๆ นี้เมื่อไรจะหายสักที สักพักเขาได้สติขึ้นมา และเขาก็ได้คิดว่า ทำไมในเมื่อเราจะต้องอยู่กับเสียงนี้ไปตลอด ทำไมเราไม่รักเสียงนี้ดู เขาเริ่มหลับตา และก็จินตนาการว่า เสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงเพลง พอรู้สึกว่าเป็นเสียงเพลง ใจเขาก็สงบ ลืมตาขึ้นเสียงเพลงยังอยู่ เสียงนี้หายไป ถามว่าจริง ๆ หายไหม ไม่หายหรอก แต่กลายเป็นเสียงเพลงในความรู้สึกของเขา เขาก็เลยไม่มีอาการกระวนกระวาย มีอาการสงบ ตลอดการเดินทางจนกระทั่งกลับสู่พื้นดิน อันนี้ก็เป็นการมองบวกเหมือนกัน เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี จากเสียงเหล็กเป็นเสียงเพลง เสียงกรนเปลี่ยนให้กลายเป็นเสียงออเคสตร้า
เราทำได้ อยู่ที่ใจ
อาตมาขอสรุปด้วยประโยคที่ว่า เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าใจเราเป็นอย่างไร ระหว่าง 2 จ.จาน คือ เจอ กับ ใจ เจอไม่สำคัญเท่ากับใจ เจอร้าย เจอเจ็บป่วย เจอความสูญเสีย แต่ถ้าใจฉลาด ใจเป็นกุศล ใจมีสติ ใจมีปัญญา ไม่ทุกข์ เจออะไรก็แพ้ใจทั้งนั้น สรุปง่าย ๆ เจออะไรก็แพ้ใจทั้งนั้น เจอสิ่งร้าย ๆ แต่ถ้าใจดี ใจฉลาด ก็เป็นสุขได้ แต่ถ้าเจอดี ๆ ส่วนใจเป็นลบ ก็ทุกข์
เมื่อวานนี้ มีข่าวแม่บ้านคนหนึ่ง ถูกล็อตเตอรี่ รางวัลที่ 1 ได้ 30 ล้าน เจอโชค แต่ยังสรุปไม่ได้ว่าเขาจะมีความสุข เพราะตัวที่สำคัญคือใจ เจอโชคแต่ถ้าใจวางไม่ถูก ก็ทุกข์ เมื่อ 10 ปีที่ มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง ถูกหวยรางวัลที่ 1 ได้ 20 ล้าน ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 1 เดือนต่อมา ไทยรัฐก็ขึ้นอีกว่าพ่อค้าเร่ถูกรางวัลที่ 1 ฆ่าตัวตาย เดือนก่อนนี้เขายังยิ้มอยู่เลย ถูก 20 ล้าน แต่เดือนต่อมา เขาฆ่าตัวตาย เขาบอกว่าพอถูกรางวัลที่ 1 ใครต่อใครก็มารุมล้อม มาขอเงิน อ้างว่าเป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง เขาก็ให้แต่หลายคนให้แล้วไม่พอใจ ได้หมื่นไม่พอใจเพราะอยากได้แสน มีบางรายโทรมาด่า บางรายโทรมาขู่ฆ่า จะฆ่าเขาและลูก เขาเครียดมากเลยเอาน้ำยาล้างห้องน้ำกรอกใส่ปาก แต่ลูกมาช่วยทัน พาไปโรงพยาบาล รอดตาย ผู้สื่อข่าวไทยรัฐก็ไปสัมภาษณ์เขา เขาพูดประโยคหนึ่งบอกว่า ตอนเป็นพ่อค้าเร่มีความสุขกว่าเป็นไหน ๆ มีความสุขกว่าตอนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1
อีกรายหนึ่ง เพื่อนอาตมาเล่า เพื่อนอาตมาเป็นนักเล่นหุ้น ไปเจอคุณป้าคนหนึ่งที่ตลาดหุ้น คุยไปคุยมา เธอก็บอกว่า เมื่อสามวันก่อนเธอขายหุ้นไปจำนวนหนึ่ง จำนวนใหญ่มากได้กำไร 10 ล้าน เขาก็ไปบอกขอแสดงความยินดีกับคุณป้า เธอตอบว่า ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าขายวันนี้ฉันได้กำไร 20 ล้าน เธอไม่ดีใจกับที่ได้ 10 ล้านเมื่อวันก่อน เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าใจเป็นอย่างไร ทำไมเธอไม่มีความสุข เพราะเธอไม่ได้มองว่าเธอได้ 10 ล้าน เธอกลับมองว่าเธอเสีย 10 ล้าน คนเราถ้ามองไม่เป็น ได้โชคก็เป็นทุกข์ เพราะรู้สึกว่าได้น้อยไป หรือรู้สึกว่าฉันน่าจะได้มากกว่านี้
คุณป้าคนนี้บอกว่ารู้สึกว่าตัวเองเสีย 10 ล้าน วันรุ่งขึ้นก็ไม่มาที่ตลาดหุ้น เพื่อนอาตมาก็ไปถามฝ่ายการตลาดว่าคุณป้าไปไหน ได้คำตอบว่า คุณป้าเข้าโรงพยาบาลเพราะเครียดที่ได้ 10 ล้าน เครียดเพราะได้แค่ 10 ล้าน เพราะอะไร ก็เพราะเติมคำว่า แค่ ลงไปทุกข์เลย ได้โบนัส 5 ล้าน แต่พอเติมแค่เข้าไป ได้โบนัสแค่ 5 ล้าน ทุกข์เลย ทำไมแค่ เพราะว่า มีเพื่อนอีกคนได้ 10 ล้าน คนเราได้โชค เติมคำว่าแค่ ลงไปทุกข์เลย แต่ในทางตรงข้าม เจอทุกข์แต่เติมคำว่า แค่ ลงไปไม่ทุกข์ โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง คุณป้าคนนี้ได้โชค เขาเจอโชค 10 ล้าน
แต่อย่างที่อาตมาบอก เจออะไรก็แพ้ใจทั้งนั้น เจอโชคแต่ใจไม่ฉลาด ใจโง่ ก็ทุกข์ คนทุกวันนี้สนใจแต่ว่า ขอให้ฉันได้เจอของดี ๆ ขอให้เจอโชค เจอคนรู้ใจ เจอแฟนที่น่ารัก เจอความร่ำรวย ประสบชื่อเสียง แต่ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องใจ ลืมไปว่า ใจสำคัญกว่าเจอ เจออะไรก็แพ้ใจทั้งนั้น เจอทุกข์แต่ถ้าใจดี ใจเป็นกุศลก็ยังสุขได้ แต่ถ้าเจอโชค เจอสิ่งดี ๆ แต่ใจเป็นลบก็ทุกข์
เพราะฉะนั้น ก็ให้ไปตัดสินใจเองว่า จะเอาเจอ หรือ จะเอาใจ ถ้าอยากเจออะไรดี ๆ ก็ไปทำบุญเยอะ ๆ แต่ถ้าอยากจะให้ใจสุขใจสงบ ก็ต้องภาวนา วัดป่าสุคะโตก็ได้ ภูหลงก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ฝึกใจไว้บ้าง จะได้จัดการความทุกข์ได้ ก็คือว่า ให้ยอมรับความจริง มองบวก พร้อมกับคาถา “กูไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์โว้ย” และอีกข้อหนึ่งคือว่า เจออะไรก็แพ้ใจทั้งนั้น อันนี้ก็พอที่จะทำให้ชีวิตมีความหวังขึ้นมาได้