แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะมีหลายคนกลับบ้าน เมื่อกลับไปสู่ภูมิลำเนาของเราก็อย่าลืมสิ่งที่เราได้เรียนรู้ประสบการณ์การปฏิบัติที่พวกเราได้เพียรทำ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่มาก แต่ว่าถ้าเรานำสิ่งที่เราได้เรียนรู้ไปสานต่อหรือไปต่อยอดก็จะเกิดผลดีกับตัวเรา
แนวทางปฏิบัติที่เราได้ทดลองฝึกกันที่นี่ ที่สำคัญอันหนึ่งที่อยากให้พวกเราได้กลับไปทำต่อ คือ คำสอนของหลวงพ่อคำเขียนที่ว่า เห็นอย่าเข้าไปเป็น เห็นในที่นี้ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยสติ สตินี้เป็นตาใน ส่วนตาสองข้างนี้เป็นตาเนื้อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของเรานี้ เราสามารถรับรู้ได้ด้วยตาในก็คือสติ เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดและอารมณ์ใดๆเกิดขึ้นกับใจก็ให้เห็น อย่าเข้าไปเป็น เห็นความโกรธอย่าเป็นผู้โกรธ เห็นความเศร้าอย่าเป็นผู้เศร้า เห็นความเครียดอย่าเป็นผู้เครียด รวมทั้งความเบื่อด้วย เห็นมันเกิดขึ้นก็เห็นมันอย่าเข้าไปเป็นมัน
การเห็นอารมณ์หรืออาการเหล่านี้ก็คือการที่เรารู้ว่าทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นในใจเราก็รู้ มันจะช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะเลย ความโกรธเวลามันเกิดขึ้นเหมือนกองไฟที่ลุกโพลง ถ้าเราแค่เห็นมัน เห็นกองไฟอยู่ข้างหน้า เราไม่รู้สึกอะไรหรอก ยิ่งอยู่ห่างเท่าไร เห็นไกลๆก็ยิ่งไม่รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้น แต่คนส่วนใหญ่เข้าไปเป็น ก็คือเข้าไปอยู่ในกองไฟ ถูกไฟมันเผา ไฟนั้นคือไฟโทสะ เผา นี่แหละคือความหมายของ เป็นผู้โกรธ แต่พอเรามีสติก็ถอนจิตออกมา มาดูมาเห็นแทน เห็นไม่ทำให้ทุกข์ แต่เข้าไปเป็นนี่มันทุกข์มากเลย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เป็นนั้นคืออารมณ์ที่เป็นอกุศล เอาวิธีนี้ไปใช้หรือว่าเอาหลักนี้ไปปฏิบัติที่บ้าน ทำอะไร ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถใด เช่น ขณะที่กำลังถูฟัน ก็มีความคิดเรื่องงาน ขณะที่กำลังอาบน้ำก็รู้สึกห่วงกังวลงานการที่คั่งค้าง ลูกหลานที่เจ็บป่วย ก็เห็นมัน ขณะที่กำลังถูฟันขณะที่อาบน้ำก็จะมีสติไปเห็นความคิดที่เผลอที่ฟุ้งขึ้นมาได้ พอเห็นแล้วก็จะวาง ใจเราจะกลับมาอยู่กับการทำอิริยาบถนั้นๆ เรียกว่าใจรับรู้กับอิริยาบถนั้นเต็มร้อย ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆ ทำอะไรก็ให้มีสติเห็นอาการหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ รวมทั้งความคิดอยู่เนืองๆ มันจะช่วยทำให้จิตใจเราโปร่งเบาได้ อันนี้คงพอเข้าใจได้ เห็นไม่เข้าไปเป็น
อยากจะฝากอีกอันเอาไว้ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยากสักหน่อยแต่มีประโยชน์มาก คือ ไม่เป็นอะไรกับอะไร อันนี้ก็เป็นคำสอนที่หลวงพ่อพูดเป็นประจำ ตอนหลังก็บันทึกเอาไว้ในยามที่ท่านอาพาธ ตอนที่ท่านป่วยหนักครั้งสุดท้ายเมื่อ ๓ ปี ที่แล้ว ท่านก็บอกว่า เขียนบันทึกไว้ว่าตอนนี้มีแต่ปล่อยวาง ไม่เป็นอะไรกับอะไร มันเป็นสภาวะที่ปลอดจากความทุกข์ เป็นอิสระ หลวงพ่อท่านเขียนว่าการเข้าถึงพระนิพพานก็คือการที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นสภาวะที่ประเสริฐมากที่เราควรจะ พยายามเข้าไปให้ถึง
การไม่เป็นอะไรกับอะไรหมายความว่าอย่างไร ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่าอะไร ตัวหลังก่อน อะไรตัวหลังก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ หรืออาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม ได้แก่ความคิดและอารมณ์ต่างๆ นั่นแหละ เมื่อมันเกิดขึ้นก็อย่าเข้าไปเป็นมัน ก็คืออย่าไปเป็นผู้ฟุ้ง อย่าไปเป็นผู้โกรธ อย่าไปเป็นผู้เกลียด อย่าไปเป็นผู้เครียด เราจะไม่เป็นมันก็เพราะเราเห็นมัน พวกนี้มันไม่น่าเป็นสักอย่างเลย นอกจากความคิดและอารมณ์แล้ว ยังได้แก่เวทนาด้วย โดยเฉพาะทุกขเวทนา ทุกขเวทนามันเกิดขึ้นทั้งกับกายและกับใจ สุขบ้างทุกข์บ้าง เมื่อมันเกิดขึ้นก็อย่าไปเป็นมัน มีความปวดเกิดขึ้นก็อย่าเป็นผู้ปวด
ตอนที่หลวงพ่อป่วยเป็นมะเร็งครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ท่านมีทุกขเวทนามาก แต่ท่านบอกลูกศิษย์ว่าความปวดนี้มันไม่ลงโทษเรา มันไม่เท่าไหร่หรอก แต่การเป็นผู้ปวดต่างหากที่มันลงโทษเรา เห็นความปวด อันนี้แหละ คือความหมายของคำว่าไม่เป็นอะไรกับอะไร มีความปวดเกิดขึ้นก็ไม่เป็นมัน ไม่เข้าไปเป็นมัน คือไม่เข้าไปเป็นผู้ปวด ก็แค่เห็นมันเฉยๆ อันนี้รวมถึงความสุขด้วย อารมณ์ที่เป็นบวก เราก็แค่เห็นมันเฉยๆเวลาดีใจก็เห็นมัน เวลาสุข เวลาปลื้มก็เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็นหรืออย่าไปเป็นมัน เพราะว่ามันล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง ถ้าเกิดไม่ยึดมันหรือไปเป็นมัน พอมันเสื่อมไปหายไปก็จะทุกข์ หลายคนเวลาปฏิบัติ มีบางวันจิตใจโปร่งโล่งเบาสบายเย็นสงบ พอภาวะนั้นหายไปก็คิดถึงอาลัย วันรุ่งขึ้นก็พยายามทำให้ได้อย่างนั้น ไม่ได้ วันมะรืนวันต่อมาก็ทำ พยายามทำให้ได้ พอไม่ได้ก็เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มกลัดกลุ้มใจแล้ว การปฏิบัติแทนที่จะก้าวหน้าตามวันเวลากลับถอยหลัง เพราะความอาลัย ความห่วง ความเสียใจที่ไม่ได้ภาวะนั้น คนเราบางครั้งก็คิดถึงความสุขที่เคยมี สมัยที่อยู่กับพ่อแม่ สมัยที่อยู่กับคู่รัก ความสุขนั้นหายไปแล้วก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้
ไม่เป็นอะไรกับอะไรก็คือ ไม่เป็นมัน ไม่ว่ามันนั้นจะเป็นความเศร้า ความโศก ความเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์ หรือความสุข ความดีใจ เราก็เห็นมันเฉยๆหรือว่ารู้ซื่อๆ อะไรในที่นี้ก็ยังรวมถึงสิ่งที่คนอื่นให้เรา เขาให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ ก็อย่าเผลอไปเป็นมันเข้า หรืออย่าเผลอไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นมันจริงๆ บางคนพอได้ยศได้ตำแหน่งเป็นนายพล ก็สำคัญมั่นหมายว่าเป็นจริงๆ เวลาไปไหน เช่น ไปภัตตาคารไปร้านอาหาร ยังไม่ได้อาหารที่สั่งสักที ก็เรียกพนักงานเสิร์ฟมา มาต่อว่า แล้วก็ด่าว่ามึงรู้ไหมกูเป็นใคร คนจำนวนไม่น้อยก็เป็นอย่างนี้ คือพอได้เป็นอะไร ก็คิดก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นนายพล เป็นผู้ว่าฯ เป็นอธิบดี เป็นปลัดกระทรวง หรือว่าเป็นแชมป์ นั่นเป็นแค่สมมุติ แต่คนส่วนใหญ่ก็หลงเชื่อว่าเป็นจริงๆ อยู่บ้านก็ยังเชื่อว่าเป็นนายพล หรือว่าอยู่บ้านก็คิดว่าฉันยังเป็นคนเด่นคนดังเป็นคนเก่ง
มีหมอท่านหนึ่งเป็นเพื่อนกับอาตมา ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในที่ต่างๆทั่วประเทศและต่างประเทศด้วย แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบแต่งเนื้อแต่งตัวโดยเฉพาะการหวีผม แล้วก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องผมเผ้าเท่าไร เวลาจะไปทำงานภรรยาก็มักจะท้วงว่าหวีผมให้เรียบร้อย ก็เป็นอย่างนี้บ่อยๆ วันหนึ่งจะออกไปทำงาน ภรรยาก็ท้วงอีกว่าให้หวีผมให้เรียบร้อย แกฉุนขึ้นมาในใจเลย นึกขึ้นมาอย่างนี้ว่า นี่มึงรู้ไหม กูเป็นวิทยากรระดับชาติเลย มาพูดกับกูอย่างนี้ได้อย่างไร แต่ว่ามีสติรู้ทันก็เลยไม่พูดไป แต่ก็ได้เห็นตัวเอง อันนี้เผลอเป็นเข้าไปแล้ว เขายกย่องว่าเป็นวิทยากรที่มีชื่อเป็นวิทยากรที่เก่ง ก็ไปเผลอคิดว่าเป็นจริงๆ ขนาดมาบ้านแล้วก็ยังไม่วาง แล้วก็เลยทุกข์ ภรรยาท้วงสามีเรื่องผมไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย แต่ก็ยังแบกความเป็นนั่นเป็นนี่เอาไว้ เป็นวิทยากรระดับชาติ ถ้าเป็นนั่นเป็นนี่มันเป็นทุกข์ คำว่าอะไรตัวหลังจึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะว่าอาการที่เกิดกับรูปกับนาม แต่ยังหมายถึงว่าเกียรติยศฐานะตำแหน่งที่เขาให้เรา หยิบยื่นให้ ว่าให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ เราก็ไปยึดมาสำคัญมั่นหมายว่า เป็นจริงๆแล้ว มันก็เป็นทุกข์ แต่ผู้รู้ ผู้มีปัญญา ไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ถึงแม้เขาจะให้เป็นก็ตาม
หลวงพ่อโตท่านเป็นตัวอย่างที่ดี หลวงพ่อโตสมเด็จพุฒาจารย์โต ท่านได้รับตำแหน่งได้รับสมณศักดิ์ที่สูงมากเป็นสมเด็จ คราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่วัดแห่งหนึ่ง วัดนี้อยู่ไกลแถวราษฎร์บูรณะ ท่านอยู่วัดระฆังจะไปก็ต้องนั่งเรือ สมัยก่อนต้องอาศัยเรือเป็นพาหนะในการสัญจรเพราะคนชอบอยู่ริมน้ำ บ้านเรือน วัดวาอารามก็อยู่ริมน้ำริมคลอง ท่านก็ไปอย่างเป็นพิธีเลยก็คือมีพัดยศด้วยและมีลูกศิษย์พายเรือเข้าไปในคลองบางกอกน้อย แต่ช่วงนั้นมันเป็นช่วงน้ำลดและคงเป็นช่วงหน้าแล้งด้วย น้ำตื้นมาก พายไปสักพักเรือก็ติดเกยตื้น ลูกศิษย์วัดก็เลยลงไปเข็นเรือ เข็นไม่ค่อยไป หลวงพ่อโตก็เลยลงมาเข็นกับเขาด้วย ชาวบ้านเห็นก็แตกตื่นตะโกนกันว่าสมเด็จเข็นเรือโว้ย ๆ หลวงพ่อโตท่านยิ้มแล้วก็พูดบอกกับชาวบ้านว่าฉันไม่ใช่สมเด็จจ้ะ ฉันขรัวโต สมเด็จท่านอยู่ที่เรือ ท่านก็ชี้ไปที่เรือ คือชี้ไปที่พัดยศ คือท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นสมเด็จแต่ท่านไม่ได้เป็น ท่านไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าท่านเป็นพระสมเด็จ ยังเป็นขรัวโตเหมือนเดิม ที่จริงท่านก็คงจะรู้ว่าขรัวโตก็เป็นสมมติอีกอย่าง
คนเรานี่พอได้เป็นอะไรมันก็ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นนั่นเป็นนี่จริงๆ แต่พอไม่ได้เป็นก็ทุกข์ การไม่เป็นอะไรกับอะไรนี่ ก็คือว่าไม่เป็นมัน หรือไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นมัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอารมณ์ อกุศลที่เกิดขึ้น จะเป็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับกายอารมณ์อกุศลที่เกิดขึ้นกับใจ หรือว่าอะไรก็ตามที่มีคนสมมุติหรือมอบหมายให้เป็น ก็รับไว้ แต่ว่าก็ไม่ได้ยึดมั่นว่าเป็นมันจริงๆ นี่คือความหมายของคำว่า ไม่เป็นอะไรกับอะไร
ไม่เป็นอะไรกับอะไรยังรวมถึงไม่เป็นเจ้าของสิ่งใด ความเป็นเจ้าของนี่มันแค่สมมุติ ไม่ใช่เป็นจริงๆ แต่คนเราก็มักจะไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นจริงๆ สมบัติ ข้าวของ เงินทอง บ้าน ที่ดิน สิ่งเหล่านี้ พอมีขึ้นมาแล้วก็ยึดว่าเราเป็นเจ้าของมัน แต่พอคิดว่าเราเป็นเจ้าของมัน เรากลายเป็นของมันทันทีเลย ใครก็ตามที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของมัน ในความเป็นจริง กลายเป็นเราเป็นของมัน เราเป็นเจ้าของรถคันนี้ เป็นรถราคาแพงมินิคูเปอร์หรือว่าลัมโบกินี่ พอมีคนมาเฉี่ยวชน โกรธเลย โกรธเหมือนกับว่าเราถูกเฉี่ยวชนเองเลย เสร็จแล้วก็ไปด่าไปทำร้ายคนที่เฉี่ยวชน ไปต่อยหน้าเขา เสร็จแล้วก็เลยเดือดร้อนเพราะมีคนถ่ายคลิป ประจานไปทั่ว Facebook ก็เลยมีเรื่องเดือดร้อนตามมา
เมื่อใดก็ตามที่เราเป็นเจ้าของสิ่งใด เราเป็นของมันทันทีเลย ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม พอเราคิดว่าเงินนี้เป็นของเรา โทรศัพท์นี้เป็นของเรา พอมีคนมาแย่งไปมีคนมาปล้น สิ่งที่คนทั่วไปมักจะทำก็คือต่อสู้ ยอมเจ็บหรือยอมตายเพื่อมัน เพื่อเงินในกระเป๋า ยอมตายเพื่อโทรศัพท์ ไอโฟน อันนี้แสดงว่าอะไร เราเป็นของมัน หรือว่ามันเป็นของเรา ยอมตายเพื่อมัน ก็แสดงว่าเราเป็นของมันแล้ว ไม่ใช่เราเป็นเจ้าของมัน เราเป็นของมันต่างหาก หรือถึงแม้ยังไม่มีใครเอาไป แต่ว่าพอมันเสื่อมพอมันเสียก็กลุ้มอกกลุ้มใจ เพราะฉะนั้นไม่เป็นเจ้าของมันดีที่สุด ไม่เป็นเจ้าของมันคือไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นของมัน มันเป็นของเรา
ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรสักอย่างที่เราเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้อย่างแท้จริง เราควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ไม่ว่าสิ่งภายนอกหรือร่างกายตัวเรา อวัยวะต่างๆในตัวเรา เราก็ควบคุมไม่ได้สักอย่าง ถ้าเราไม่เห็นความจริงตรงนี้เราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราเห็นความจริง อะไรเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเราหรือทรัพย์สมบัติที่เราคิดว่าเป็นของเรา ก็ไม่ทุกข์ อย่างเวลาเกิดไฟไหม้เกิดน้ำท่วมหลายคนก็ทุกข์เสียใจทรัพย์สมบัติถูกทำลาย แต่บางคนก็วางใจเป็นปกติได้ อย่างตอนที่น้ำท่วมปี 54 ก็มีคนบอกว่าไม่ได้เสียใจอะไรกับทรัพย์สมบัติที่ถูกน้ำท่วมพัดพาไป เขาบอกว่ามันสอนให้เค้ารู้ว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างที่เรามี มันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว ก็คือได้เห็นความจริง ธรรมชาติสอนเราว่าไม่มีอะไรที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
ไม่เป็นอะไรกับอะไร อีกความหมายหนึ่งคือไม่เป็นเจ้าของสิ่งใด ที่เป็นก็เป็นโดยสมมุติแต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเราเป็นเจ้าของสิ่งใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งนอกตัวเช่นทรัพย์สมบัติหรือว่าสิ่งที่มันอยู่กับเรา ร่างกายอวัยวะต่างๆ ไม่เป็นอะไรกับอะไรยังหมายความว่าไม่เป็นปฏิปักษ์กับอะไรเลย อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต่อต้านผลักไสมัน มีทุกขเวทนาเกิดขึ้นในร่างกายก็ไม่ได้รังเกียจเดียจฉันท์มัน ก็แค่ดูมันเฉยๆ มีเสียงดังก็ไม่ได้ยินร้ายไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับเสียงนั้น ไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเสียงนั้น มีอารมณ์อกุศลหรือความคิดใดๆเกิดขึ้นในใจก็ไม่ได้รังเกียจมัน
นักปฏิบัติธรรมหลายคนไม่ชอบความฟุ้งซ่าน ไม่ชอบความหงุดหงิด พอมันเกิดขึ้นก็จะรังเกียจมัน ไปกดข่มมัน พยายามบังคับจิตไม่ให้คิด พยายามไปควบคุมความคิดที่มันเป็นอกุศล บางคนมีความเดือดเนื้อร้อนใจมากเลยเพราะว่าในใจจะมีเสียงดังจ้วงจาบพระรัตนตรัย จ้วงจาบครูบาอาจารย์ จ้วงจาบพ่อแม่ ก็พยายามกดข่มมัน แต่มันก็ไม่หาย ยิ่งเกิดถี่ขึ้นจนกระทั่งเขารู้สึกแย่ ว่าทำไมเราจึงมีความคิดชั่วร้ายแบบนั้น อาการแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ชอบเป็นคนธัมมะธัมโม เป็นคนใฝ่ดี เป็นคนที่เรียบร้อยสุภาพ ยิ่งเป็นคนดีมากเท่าไร อาการนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ยิ่งรบกวน บางคนอยากจะฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกว่าเราเลวมาก ทำไมเราถึงจ้วงจาบพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จ้วงจาบพระรัตนตรัย นี่แสดงว่าเป็นมันแล้ว เข้าไปเป็นมันละ แต่ทั้งๆที่เข้าไปเป็นมันก็เพราะว่าไม่ชอบ เกลียด เป็นปฏิปักษ์กับมัน พอเป็นปฏิปักษ์กับมันก็พยายามไปกดข่ม ยิ่งกดข่มมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าไปเป็นมัน แล้วก็ทุกข์มากเหลือเกิน
เวลามีคนมาปรึกษาเรื่องนี้ก็จะบอกเขาว่าแค่ดูมันเฉยๆเห็นมันเฉยๆก็พอแล้ว แต่คนส่วนใหญ่จะพยายามไปควบคุมความคิดไม่ให้มันมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น คนเราไม่ได้สามารถควบคุมความคิดได้ เราไม่ได้ทำสมาธิภาวนาหรือเจริญสติเพื่อควบคุมความคิด แต่เพื่อไม่ยอมให้ความคิดเหล่านี้มาควบคุมเรา ทำยังไง ก็เห็นมันเฉยๆ ไม่ต้องไปกดข่มมัน ก็แค่เห็นมัน คือไม่เป็นมัน จะทำอย่างนั้นได้ต้องเริ่มจากการที่ไม่รังเกียจมัน ก็คือรู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ หรือวางใจเป็นกลางกับมัน พอวางใจเป็นกลางกับมัน ความคิดหรือเสียงที่จ้วงจาบพระรัตนตรัย จ้วงจาบพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก็จะค่อยๆแผ่วลง แต่เดิมเกิดขึ้นถี่ ก็ค่อยห่าง ค่อยหายไป แค่ดูมันเฉยๆ เท่านี้มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่ถ้าไม่ดูมัน แต่เข้าไปเป็นมันหรือผลักไสมัน จะเป็นบ้าให้ได้เลย
คนเราเดี๋ยวนี้ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ที่เข้ามามีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ทั้งๆที่พยายามสู้ แต่ยิ่งสู้ยิ่งผลักไสยิ่งกดข่ม มันก็ยิ่งเข้ามามีอำนาจ เข้ามาบงการเข้ามามีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ควบคุมชีวิตเรามากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ความคิดเหล่านี้อารมณ์เหล่านี้มันมีจุดอ่อน คือว่ามันพ่ายแพ้ต่อการถูกรู้ถูกเห็น ถ้าถูกรู้ถูกเห็นเมื่อไรมันก็จะค่อยๆอ่อนแอหรือว่าอ่อนพลังลงไป ยวบลงไปเลยหรือฝ่อลงไปเลย ถูกรู้ถูกเห็นด้วยอะไร ถูกรู้ถูกเห็นด้วยสติ ทำให้ไม่เข้าไปเป็น ถ้าเรามีสติ เราก็จะวางใจเป็นกลางกับสิ่งต่างๆได้ เจอความคิดและอารมณ์ที่เป็นอกุศลก็แค่วางใจเป็นกลางไม่เป็นปฏิปักษ์กับมัน เพียงแค่ไม่เป็นปฏิปักษ์กับมัน แค่รู้เฉยๆรู้ซื่อๆ มันก็หมดพิษสงแล้ว ไม่ต้องไปควบคุมพยายามกดข่มไม่ให้มันเกิด เพียงแค่เราไม่เข้าไปเป็นมัน หรือไม่เป็นปฏิปักษ์กับมัน อันนี้ก็เพียงพอแล้ว
เพราะฉะนั้น ก็อยากให้เราลองนำไปปฏิบัติดูเริ่มต้นจากเห็นและไม่เข้าไปเป็น แล้วเราก็จะค่อยๆ ฝึกจนสามารถจะฝึกใจจนกระทั่งไม่เป็นอะไรกับอะไรนี่มันก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แม้จะเป็นบางช่วงบางขณะหรือบางสถานการณ์ มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระ ไม่ยึดเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด ซึ่งถ้าจะสรุปง่ายๆคือว่าไม่เป็นทุกข์กับอะไรเลย ไม่เป็นทุกข์กับอะไรเลย มันเป็นภาวะที่วิเศษมาก รวมถึงไม่เป็นสุขกับอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าไม่เป็นทุกข์แล้วเผลอไปเป็นสุข ถ้าหากไปเป็นสุขก็ยังเป็นอะไรกับอะไรอยู่ ไม่เป็นทุกข์กับอะไรจะทำได้ก็ต้องไม่เป็นสุขกับอะไรด้วย แต่ก็แปลก พอไม่เป็นสุขกับอะไร ความสุขก็มีขึ้นมาเอง แต่จะเป็นสุขที่ไม่ได้ยึดไม่ได้เกาะเกี่ยว ไม่ได้ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา ลองฝึกเอาไว้ ไม่เป็นทุกข์กับอะไรเลย และก็ไม่เป็นสุขกับอะไรเลยด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยากฝากไว้กับพวกเราก่อนที่จะกลับสู่ภูมิลำเนา