แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งน่าสนใจ เขาทำกับหนู 10 ตัวอยู่ในกรง แล้วมีขวดน้ำให้ 2 ขวด ขวดหนึ่งก็เป็นน้ำเปล่า อีกขวดหนึ่งผสมเฮโรอีนและโคเคนเข้าไป ปรากฏว่าหนูส่วนใหญ่ เรียกได้ว่า 9 ใน 10 เดินเข้าไปกินน้ำจากขวดน้ำปกติ แต่พอได้ลิ้มรสน้ำที่ผสมเฮโรอีน โคเคนก็หันไปกินน้ำขวดที่ 2 แทน และกินๆ จนกระทั่งตาย อันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า โทษของเฮโรอีนและโคเคนเป็นอย่างไรบ้าง เป็นสารเสพติด แม้กระทั่งหนู พอเสพมากๆ ก็ตาย แต่อันนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่เราพอจะคาดเดาได้
แต่ที่แปลกคือ มีคนนำการทดลองนี้ไปต่อยอด คือมีกรง 2 กรง มีหนูอยู่ในกรง 2 กรง กรงแรกมีขวดน้ำ 2 ขวด เหมือนกับที่พูดมาเมื่อสักครู่ น้ำขวดหนึ่งเป็นน้ำปกติ อีกขวดหนึ่งผสมเฮโรอีนและโคเคน ในกรงที่ 2 ก็คล้ายๆกัน คือมีน้ำ 2 ขวด มีน้ำปกติและน้ำผสมโคเคน แต่ว่าเพิ่มสิ่งอื่นเข้ามาด้วย เช่น ของเล่นสำหรับหนู มีเพื่อน มีพร็อพ มีอะไรต่ออะไรมากมายที่หนูชอบ นอกจากอาหารแล้วก็มีของเล่น มีสิ่งต่างๆ พร้อมมูล ปรากฏว่าหนูในกรงแรกนั้นคาดเดาไม่ยาก ติดเฮโรอีนและโคเคนจนตาย แต่หนูกรงที่ 2 ตอนแรกไปชิมลิ้มน้ำที่ผสมโคเคนเฮโรอีนก็ชอบบ้าง แต่ไม่ติดมาก ตอนหลังก็เลิก ไปกินน้ำปกติ หนูในกรงที่ 2 นั้นน้อยมากที่จะติดเฮโรอีนหรือโคเคน ทั้งๆ ที่มีให้เสพไม่อั้น ทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น
หนูกรงแรกตายเพราะเฮโรอีนหรือโคเคน แต่หนูกรงที่ 2 ไม่มีตัวไหนตายเพราะเฮโรอีนหรือโคเคน เพราะว่ามันมีสิ่งอื่นที่เรียกได้ว่า น่าสนใจหรือว่าให้ความสุขได้มากกว่า ก็สะท้อนให้เห็นเกี่ยวกับธรรมชาติของคนได้เหมือนกันจากการทดลองอันนี้ คือ คนเราทุกคนไม่ได้แค่ต้องการอาหาร ไม่ได้แค่ต้องการน้ำ ยังต้องการความสุขด้วย น้ำและอาหารเป็นสิ่งที่ร่างการต้องการ ส่วนใจต้องการความสุข ความสุขมีตั้งแต่ความสุขแบบหยาบๆ จนกระทั่งความสุขแบบประณีต ความสุขจากเฮโรอีนหรือว่าจากโคเคนเป็นความสุขแบบหยาบๆ ซึ่งเป็นความสุขทางกาย เป็นพื้นฐาน คือพอเสพแล้วก็ติด ที่ติดคือเสพแล้วร่างกายติด แล้วไปส่งผลต่อใจด้วย แต่ถ้าคนเราสามารถจะเข้าถึงความสุขที่ดีกว่า ก็ไม่ค่อยจะห่วงหรือโหยหาความสุขที่หยาบเท่าไหร่ อย่างหนูในกรงที่ 2 มันมีความสุขอย่างอื่นเข้ามาให้เลือก มีของเล่น มีอะไรต่างๆ มันก็เลือกที่จะไปเข้าหาความสุขแบบนั้น แต่ถ้าเกิดไม่มีความสุขที่ดีกว่า ก็เป็นธรรมดาที่ไปเข้าหาความสุขที่หยาบคือ เฮโรอีน โคเคน
การทดลองนี้ ชี้ให้เห็นว่าคนเราถ้าหากว่ามีความสุขจากสิ่งอื่นมาทดแทน ก็ไม่ค่อยไปหาโคเคนหรือยาเสพติดเท่าไหร่ อันนี้อาจจะรวมถึงเหล้าบุหรี่ด้วย อย่างที่เราก็ทราบดีว่า คนที่ติดยา ส่วนใหญ่หรือร้อยทั้งร้อย เป็นพวกที่มีความทุกข์ ไม่ใช่ความทุกข์กาย แต่เป็นความทุกข์ใจ เช่น อาจจะขาดความรัก รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง อาจจะมีความเครียดจากการทำงาน พอมีความเครียด มีความทุกข์แล้ว ไม่มีความสุขอย่างอื่นจะมาช่วยบรรเทาทุกข์ได้ ก็เข้าหายาเสพติด อาจจะเริ่มจากเล็กน้อยคือเหล้า และบุหรี่ แล้วยาวไปถึงยาเสพติด แต่ถ้าหากคนเรามีความสุข เข้าถึงความสุขที่ประณีต ก็จะค่อยๆ หันหลังให้กับความสุขที่หยาบ เป็นไปได้โดยอัตโนมัติ โดยที่อาจจะไม่มีใครมาบีบบังคับ ก็เหมือนกับหนู มันก็เลือกว่าจะหาความสุขแบบไหน หาความสุขจากเฮโรอีน โคเคนหรือความสุขจากของเล่นและสิ่งต่างๆ ที่มันชอบ แต่ถ้าให้มีเสรีภาพที่จะเลือกได้ มันก็กลับหันหลังให้กับเฮโรอีน โคเคน แล้วมีความสุขอย่างอื่นมาทดแทนหรือชดเชย
การที่คนเราจะเลิกบุหรี่หรือเลิกยา ก็มีหลายวิธี วิธีที่มักนิยมคือไปบังคับให้เลิก อาจจะขังไว้ในที่ใดที่หนึ่งหรือขังคุก ให้เลิกแบบหักดิบ แต่ว่าวิธีนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะพอมีอิสระ ก็วกเข้าหายาเสพติดอีก แต่ถ้าหากว่า เขาได้พบความสุขที่ประณีตกว่า อาจจะได้แก่ ความรักจากคนรอบข้าง ความอบอุ่นหรือว่าได้ทำสิ่งที่ชอบ ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ได้รับการยอบรับจากผู้คน ก็จะหันหลังให้กับสิ่งยาเสพติดเหล่านี้ได้ไม่ยาก
มีเรื่องเล่าว่า สมัยที่หลวงปู่ดู่ยังมีชีวิตอยู่ มีโยมคนหนึ่งมากราบ แล้วพาเพื่อนมาด้วย เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ติดเหล้า ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่จึงบอกกับเพื่อนว่าไหนๆ ก็มากราบหลวงปู่ดู่แล้ว ก็มารับศีล สมาทานรับศีลจากหลวงปู่ แล้วก็ทำสมาธิ หัดทำสมาธิเสียบ้าง ชายคนนั้นปฏิเสธบอกว่าจะรับศีลได้อย่างไร เหล้ายังเลิกไม่ได้ หลวงปู่ได้ยินท่านก็บอกว่า แกจะกินเหล้าก็เป็นเรื่องของแก แต่ว่าให้ทำสมาธิวันละ 5 นาที จะได้ไหม ชายคนนั้นก็รับปากว่าได้ ให้เลิกเหล้ายากกว่าให้ทำสมาธิวันละ 5 นาที หลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็ทำอย่างที่รับปาก นั่งสมาธิทุกวัน นั่งสมาธิเสร็จก็ไปกินเหล้ากับเพื่อน บางวันก็นั่งสมาธิ เพื่อนชวนกินเหล้าก็ยังไม่ไป นั่งสมาธิก่อน คือเป็นคนที่รับปากใคร แล้วก็ทำตามที่พูด แล้วก็นั่งไปๆ ก็คงจะได้รับความสงบ จึงนั่งอีก นั่งยาวขึ้นจาก 5 นาที เป็น 10 นาที แต่ยังดื่มเหล้าอยู่
แล้ววันหนึ่ง ปรากฏว่าเลิกดื่มเหล้าไป หลังจากที่ทำสมาธิทุกวัน วันละนิดวันละหน่อย เลิกเหล้าโดยที่ไม่มีใครไปบังคับหรือขอร้อง เลิกเองเพราะว่าได้ความสุขจากสมาธิมาทดแทน ความสุขจากเหล้ากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป ไม่ว่าความสุขในวงเหล้าจะเป็นความสุขแบบไหน เป็นความสุข เพราะแอลกอฮอล์ หรือว่าเพราะว่าได้สังสรรค์กัน บางคนก็ดื่มเหล้าเพื่อสังคม ได้ความสุขจากมิตรภาพที่เท่าเทียมกัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง อันนี้ก็เป็นเสน่ห์ของเหล้าหรือวงเหล้า แต่พอชายคนนี้ได้ความสุขจากสมาธิ ความสุขจากเหล้าหรือจากวงเหล้าก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์ละ หมดเสน่ห์ เขาก็เลิกเอง ตอนหลังก็บวชพระ จากคนที่ศีลห้ายังรับไม่ได้ สมาทานไม่ได้ กลายเป็นคนที่สามารถทำได้มากกว่านั้น ถือศีล 227 ข้อ คือบวชพระ อันนี้เป็นเรื่องราวของคนที่สามารถจะเลิกสิ่งเสพติดได้เพราะว่า เขามีความสุขที่ประณีตมาทดแทน ซึ่งที่จริงอย่าว่าแต่คนแม้กระทั่งสัตว์อย่างพวกหนูมันก็รู้นะว่าอะไรที่ดีกว่า แต่ถ้ามันไม่มีอะไรที่ดีกว่าให้เลือกมันก็ต้องเข้าหาเฮโรอีนโคเคน
นอกจากความสุขที่หยาบ เช่น ยาเสพติด เฮโรอีนโคเคนแล้ว ความสุขที่หยาบแต่ว่าอาจจะหยาบน้อยกว่า คือ กามสุข คือสุขจากวัตถุสิ่งเสพ รูป รส กลิ่น เสียง ที่น่าพอใจ เรียกว่ากามคุณ หรือพูดง่ายๆ คือสิ่งเสพ สิ่งบริโภค อันนี้ก็เป็นความสุขที่คนปัจจุบันหลงติดมาก อาจจะไม่ติดเหล้า ไม่ติดโคเคน เฮโรอีน แต่ว่าไปติดอันนี้ เรียกกามคุณ 5 หรือสิ่งเสพ ก็ออกมาในรูปของการเที่ยว การเล่น การกิน การช้อป ซึ่งบางครั้งก็ชักนำทำให้คนเราต้องทำผิดศีล กลายเป็นขโมย ขโมยเงินเพื่อไปซื้อของ ไปซื้อรองเท้าไนกี้ ไปซื้อทอง หรือไปเที่ยวไปเล่น บางทีก็ไปเที่ยวผู้หญิง อันนี้ก็เป็นเรื่องกามคุณ 5 ทั้งนั้น
การที่คนเราทำงานอยู่ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะได้มีเงินไปเสพ ไปซื้อความสุขแบบนี้ แล้วก็ทำงานแบบไม่ตั้งใจ แต่ทำเพราะจำเป็น ต้องการมีเงินจะได้ไปซื้อสิ่งเสพ และก็เป็นปัญหา แม้กระทั่งผู้ที่เป็นนักบวช นักปฏิบัติธรรม ก็รู้ว่ากามคุณ 5 นั้นเป็นโทษแต่ว่าละได้ยาก วิธีการที่มักจะใช้ก็คือการกดข่มจิตใจเอาไว้ มีสิ่งยั่วยุเย้ายวนยังไงก็กดข่มเอาไว้ แต่ว่ามันก็ได้ผลชั่วคราว แต่ว่าสุดท้ายก็พ่ายแพ้ จนกว่าจะมีหรือได้รับความสุขที่ประณีตกว่า มาชดเชยหรือมาแทนที่ อันนี้เป็นปัญหา และก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าสมัยที่พระองค์ยังไม่ค้นพบหรือตรัสรู้ แม้ว่าจะเห็นว่าโทษของกามคุณ แล้วก็เห็นคุณของเนกขัมมะ เนกขัมมะคือชีวิตที่มันปลอดโปร่งโล่งจากกามคุณ แต่ว่าก็ไม่สามารถจะละเลิกกามคุณ 5 ได้ จนกว่าพระองค์จะได้สัมผัสหรือว่าได้รับความสุขที่ประณีตกว่า คือความสุขจากสมาธิภาวนา หรือว่าความสุขจากเนกขัมมะ คือไม่ใช่แค่เห็น ไม่ใช่แค่รู้ว่ากามคุณไม่ดี เนกขัมมะดี ต่อเมื่อสามารถสัมผัสความสุขจากเนกขัมมะ ความสุขจากสมาธิ เมื่อนั้น พระองค์จึงจะสามารถละกามคุณ 5 ได้ แล้วก็ละได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีญาณ มีปัญญาเห็น
อันนี้ขนาดพระพุทธเจ้า สมัยที่ยังบำเพ็ญบารมี พระองค์ตระหนักว่าในการที่คนเราจะละกามคุณ 5 หรือความสุขที่หยาบได้จะต้องมีความสุขที่ประณีตมาแทนที่ ก็เหมือนกับหนู ถ้ามันได้ความสุขที่ประณีตกว่า มันก็ไม่เอาความสุขจากเฮโรอีนโคเคน แต่ความสุขของหนูมันยังเป็นความสุขที่หยาบ ความสุขจากการที่มีของเล่น ก็ยังถือว่าเป็นความสุขที่หยาบอยู่ ยังจัดว่าเป็นกามคุณ 5 มันมีสุขที่ประณีตว่านั้นเป็นชั้นๆ ไป ถ้าสูงสุดก็คือนิพพาน รองลงมาก็อาจจะเป็นฌาน ฌานนั้นบางท่านบอกว่าให้ความสุขยิ่งกว่าเซ็กส์อีก เซ็กส์หรือความสุขจากเพศ จากกามารมณ์มันสู้ความสุขจากฌานไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่ได้ฌานเขาก็ไม่สนใจความสุขจากเพศเท่าไหร่หรือความสุขจากกามคุณ สามารถจะอยู่ในฌานได้เป็นวันๆ และไม่ต้องพึ่งพาความสุขอย่างอื่นก็ได้
แต่ข้อเสียคือ ฌานนั้นมันไม่เที่ยง พอฤทธิ์ของฌานหมด หรือว่าพอเข้าฌานไม่ได้ก็จะวนกลับไป อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมาก ทั้งเมืองไทย ทั้งเมืองนอก พวกฤาษีพวกนี้ ตอนที่ได้ปฏิบัติธรรมดีก็เรียกว่าอยู่แบบเรียบง่ายได้ แต่พอได้ลาภสักการะ มีลูกศิษย์ลูกหา ได้รับความนิยม มีเงินมีทองไหลมาเทมา พอหลงติดในลาภสักการะ ฌานก็เริ่มเสื่อม พอเสื่อมจิตก็เข้าหาความสุขอย่างอื่น ไปเอาความสุขอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ ความสุขจากกาม ความสุขจากวัตถุ บางคนก็สะสมรถ สะสมเงินทอง สะสมทรัพย์สมบัติ หรือบางทีก็มีฮาเร็มขึ้นมา อย่างพวกฤาษีที่ไปหากินในอเมริการ่ำรวยมาก ซึ่งตอนหลังถูกจับก็หนีไปอินเดีย เปลี่ยนชื่อไปเป็นโอโช พอเป็นโอโชก็ค่อยกลับมาอยู่ในร่องในรอย อันนี้ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังประจำ
แต่ว่าตราบใดที่สามารถจะเข้าถึงความสุขที่ประณีตได้ ความสุขจากสมาธิภาวนา ไม่ต้องเป็นความสุขจากฌาน ความสุขจากความรู้สึกตัวโปร่งเบาสงบ มันก็ช่วยทำให้ใจเราโหยหาความสุขที่หยาบๆ ได้น้อยลง ไม่ถึงกับหมดไป แต่ว่ามันพึ่งพาน้อยลงไม่เป็นทาสสิ่งนั้น พวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ เราก็เรียกว่าปรารถนาชีวิตที่เรียบง่าย เป็นชีวิตที่มีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเข้าถึงความสุขที่ประณีต ที่จริงความเรียบง่ายในตัวมันเองก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเรื่องของการประดับประดา การหาสิ่งปรนเปรอ ไม่ต้องไปวุ่นวายกับการรักษาข้าวของกลัวคนขโมย ไม่มีความกังวล อันนี้ก็เป็นความสุขชนิดหนึ่ง
ความสุขจากความเรียบง่ายซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเนกขัมมะสุข เนกขัมมะก็คือการปล่อยวางหรือปลอดโปร่งจากกามคุณ 5 แต่ก็ไม่ใช่ปลอดโปร่งทีเดียว เพราะว่ายังไงก็ต้องกิน ต้องมีปัจจัย 4 ซึ่งปัจจัย 4 มันก็สามารถจะกลายเป็นกามคุณ 5 ได้ เช่น อาหารที่อร่อย เสื้อผ้าที่ประณีต กุฏิที่หรูหรา แต่ถ้าอยู่แบบเรียบง่าย อาหารก็เป็นอาหารที่ไม่หรูหรา ไม่ปรุงแต่งมาก ดังนั้น ความสุขจากความเรียบง่ายจะเกิดขึ้นได้มันต้องเกิดจากการที่ใจได้เข้าถึงความสุขจากความเรียบง่าย และความสุขที่ประณีตกว่านั้นเช่น ความสุขจากการภาวนา
หรือแม้แต่ความสุขจากการทำงานก็ช่วยได้ คนที่เรียบง่ายหลายคนเขาก็ไม่ได้เป็นนักภาวนาเท่าไหร่ แต่เขาก็สามารถจะครองชีวิตที่เรียบง่ายและรักษาธรรมะคือความซื่อสัตย์สุจริตได้ อย่างอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากร แม้ว่าจะมีสิ่งเย้ายวนมากมายก็ไม่พ่ายแพ้ จะมีการข่มขู่ว่าจะไล่ออกหรือว่าจะปลดจากตำแหน่งก็ไม่กลัว เพราะจิตไม่ได้หลงยึดในความสุขจากลาภสักการะหรือว่าตำแหน่ง ทำไมจิตใจท่านไม่โหยหาความสุขประเภทนี้ เพราะว่ามีความสุขจากการทำงาน ความสุขจากความรู้ที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ หลายคนจะเห็นว่า พวกอย่างฝรั่งศาสตราจารย์จำนวนมาก เขาก็อยู่แบบง่ายๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจสมาธิภาวนาในรูปแบบ แต่เขามีความสุขจากการทำงาน ความสุขจากความใฝ่รู้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ พวกนี้ใช้ชีวิตเหมือนพระ
มีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่ง เรียกว่าเป็นอัจฉริยะ ทรัพย์สมบัติไม่ค่อยมีเท่าไหร่ อยู่แบบง่ายๆ แต่มีความสุขกับการคิดค้นคณิตศาสตร์ อธิบายสูตรคณิตศาสตร์ มีความสุขกับการสอน ไม่มีบ้านของตัวเอง ตะลอนๆ ไปเรื่อย ไปสอน ไปศึกษาค้นคว้า เป็นคนที่มีความรัก รักตัวเลข แล้วก็เป็นชายที่หลงรักตัวเลข ก็มีความสุข อันนี้ก็เรียกว่าใช้ชีวิตเหมือนพระ อยู่แบบเนกขัมมะ เพราะมีความสุขจากสิ่งที่ประณีต สำหรับคนเหล่านี้ความสุขจากวัตถุนี้ มันไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าไหร่ อาจจะรวมทั้งชื่อเสียงเกียรติยศด้วย พวกนี้จึงสามารถจะอยู่แบบพระได้หรือว่าอยู่ใกล้เคียงกับพระ ทั้งๆ ที่เป็นฆราวาส
แล้วความสุขคนเรานั้น สามารถจะมั่นคงในความซื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง ก็เพราะว่ามันมีความสุขแบบนี้ ความสุขที่เรียบง่าย ความสุขที่ประเสริฐ หรืออย่างน้อยๆ ความสุขจากการทำงานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แล้วก็จะไม่อิจฉาใครด้วย เพื่อนร่วมงานเขาจะรวย เพราะอาจจะไปหาเศษหาเลย หรือว่าไปคอรัปชั่น หรือว่าไปประจบประแจง ก็ไม่อิจฉา แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เราอิจฉาคนอื่นที่เขารวยกว่า มีตำแหน่งสูงกว่า แสดงว่าเรายังเข้าไม่ถึงความสุขที่ประณีตเท่าไหร่ จึงโหยหา แล้วอิจฉาคนที่เขามี แต่คนที่เข้าถึงความสุขที่ประณีต จะไม่รู้สึกอิจฉาพวกที่มีรถหลายคัน มีบ้านหลายหลัง สวมนาฬิกาเรือนละแสนเรือนละล้าน เพราะรู้ว่านั่นเป็นความสุขแบบหยาบๆ แต่ถ้าได้เข้าถึงความสุขที่เกิดจากการภาวนา เกิดจากการไม่ใช่แค่ความสงบแบบสมถะ แต่ว่าเกิดปัญญาเพราะกำลังของวิปัสสนาแล้วนั้น ความสุขที่ผู้คนหลงใหล มันก็จะไม่มีเสน่ห์แม้กระทั่งสมณศักดิ์ แม้กระทั่งลาภสักการะ อันนี้แหละเป็นตัวหล่อเลี้ยง ทำให้สามารถจะมีความสุขได้อย่างแท้จริง หรือว่าสามารถที่จะครองตนได้เป็นอิสระ
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบคนว่ามีหลายชนิด ชนิดหนึ่งนี้ก็เปรียบได้กับกวาง กวางบางตัวมันหลงใหลในหญ้า ในทุ่งหญ้า แต่ทุ่งหญ้าก็มีพรานคอยซุ่มอยู่ พอมันกินในทุ่งหญ้าตรงนั้น ทุ่งหญ้าที่มันสะดวกสบาย ก็เสร็จพราน ถูกพรานยิงตาย มีวัวอีกตัวหนึ่งมันรู้ว่า ทุ่งหญ้ามีอันตราย มันก็หลบเข้าไปในป่า แต่มันก็เข้าไปอยู่ในป่าได้ไม่นานมันก็หิว มันก็ออกมาที่ทุ่งหญ้าแล้วก็โดนพรานยิงตาย แต่มีควายอีกตัวหนึ่งรู้ว่าทุ่งหญ้านี้อันตราย แล้วก็ไม่เพียงแต่หลบเข้าไปในป่าแต่ไปแสวงหาทุ่งหญ้าอันใหม่ที่อยู่ไกล เมื่อมันเจอมันก็ปลอดภัยและมันก็ไม่หวนกลับไปที่ทุ่งหญ้าที่เดิมอีก เพราะว่าเป็นทุ่งหญ้าที่ดีกว่า
กวางตัวแรกเปรียบเหมือนคนทั่วไปที่หลงใหลในกามคุณ แต่พอติดในกามคุณ มันก็เป็นโทษ เดือดร้อนหลายอย่าง เช่น อาจจะไปโกงเขา โกงเพื่อลักขโมย เพื่อที่ได้มีเงินมาเสพ ถูกตำรวจจับถูกยิง หรือมิฉะนั้น มีทรัพย์สมบัติก็จริงจากการได้ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแต่ว่าเกิดล้มละลาย ก็ฆ่าตัวตาย เพราะเสียใจมาก อันนี้เรียกว่า โดนพรานเล่นงานสารพัด บางทีก็ทะเลาะกัน ฆ่ากัน เพราะว่าแย่งชิงทรัพย์สมบัติ หรือว่าแย่งชิงมรดก หรือมิฉะนั้นก็เครียด เครียดเพราะว่าเงินทองร่อยหรอ อันนี้เรียกว่าโดนพรานยิงตาย
คนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นคล้ายๆ กวางประเภทที่สอง อย่างเช่นนักบวช นักบวชก็รู้ว่ากามคุณไม่ดี ก็พยายามออกห่าง มาบวช แต่ว่าไม่สามารถจะมีความสุขอย่างอื่นมาทดแทนได้ จิตใจก็โหยหาความสุขเดิมๆ ที่อยาก สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับเวียนเข้าไปหากามสุข อาจจะสึกหาลาเพศไป หรือว่ายังไม่ได้สึก แต่ว่าก็พลั้งเผลอไป อาจจะเป็นกามสุขแบบที่ไม่ได้เลวร้ายนัก เช่น ความสุขจากการกิน ความสุขจากเงินทอง สะสมเงินทอง เรียกว่าความสุขจากลาภ หรืออาจจะเป็นความสุขจากสมณศักดิ์ การยอมรับ ถ้าไม่ได้สมณศักดิ์ ก็อาจจะหาอย่างอื่นมาแทน เช่น ดอกเตอร์ เดี๋ยวนี้มีพระจำนวนมาก มีคำว่าดอกเตอร์นำหน้า อันนี้ก็เรียกว่าหลงใหลติดยึดในสักการะ แม้ว่าเป็นนักบวช แต่ว่าก็ยังอยากจะได้ อยากจะให้คนนับถือ ยกย่องว่าเป็นดอกเตอร์ คือเป็นพระไม่พอ ต้องเป็นดอกเตอร์ด้วยถึงจะรู้สึกว่ามีความสุข อันนี้ก็แสดงว่า ยังไม่ได้เจอความสุขที่ประณีต เพราะว่าถ้ามีความสุขที่ประณีตแล้ว ความสุขจากการยอมรับ ได้รับการยอมรับเป็นดอกเตอร์นั้นเล็กน้อยไปเลย แต่เพราะไม่มี จึงยังโหยหา ยังอยากให้คนยกย่อง เป็นต้น แต่ถ้าได้สมณศักดิ์อย่างอื่นก็เอา ไปวิ่งเต้นกัน อันนี้เปรียบเหมือนกับกวางตัวที่สอง
ส่วนกวางตัวที่สาม ก็คือผู้ที่เข้าถึงความสุขที่ประณีตแล้ว เป็นความสุขที่เรียกว่าเที่ยงแท้ก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่หวนกลับไปหาความสุขที่หยาบๆ แต่ที่จริง ความสุขที่ประณีตก็อาจจะอย่างที่ว่า ยกตัวอย่าง สำหรับคนผู้ใช้ชีวิตทางโลก อาจจะหมายถึงความสุขจากปัญญา ความสุขจากความใฝ่รู้ก็ได้ คนที่มีความสุขจากความใฝ่รู้เขาสามารถที่จะใช้ชีวิตแบบนักบวชก็ได้ ไม่หลงใหลในเรื่องของลาภสักการะ อาจจะไม่หลงใหลในลาภ แต่สักการะยังพอมีอยู่บ้าง ยังต้องการการยอมรับ ได้รับคำชม ก็ดีใจ แต่บางคนเขาก็ไม่แคร์ ก็มีคนประเภทนี้อยู่ น่าทึ่งเหมือนกัน ใช้ชีวิตเหมือนพระ อันนี้ก็มีความสุขจากความรู้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง หรือจากการค้นพบ เป็นเรื่องความใฝ่รู้ของผู้มีปัญญา
ในทางพระพุทธศาสนาจริงๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสุขมาก แม้จะพูดเรื่องทุกข์ แต่พูดถึงเรื่องทุกข์เพื่อให้รู้เท่าทัน เมื่อรู้เท่าทันแล้วจะได้เห็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ และเมื่อมีความสุขมาทดแทน มาหล่อเลี้ยง มาชดเชย ก็สามารถจะทำให้จิตใจเป็นอิสระจากความสุขอันหยาบๆ ได้ จนกระทั่ง ยิ่งเข้าถึงภาวะที่ไม่มีตัวกูของกู หรือว่าหลุดพ้นจากความยึดในตัวกูของกูได้ มันยิ่งเป็นสุขใหญ่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตทางโลก หรือใช้ชีวิตอย่างนักบวช ความสุขเป็นเรื่องสำคัญ พยายามเข้าถึงความสุขที่ประณีตให้มากขึ้นๆ เวลาทำงาน ถ้าเรามีความสุขจากงานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง บางทีผลสำเร็จยังไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ หรือว่าคำชื่นชมสรรเสริญ รางวัลก็จะไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ เพราะทำแล้วมีความสุข แต่แน่นอน บางครั้งก็มีอัตตาหรือตัณหาโผล่เข้ามา แทรกเข้ามา ก็อาจจะหวัง หวังรางวัล หวังความสำเร็จ หวังความชื่นชมบ้าง แต่ถ้าตราบใด ที่ยังมีความสุขจากงานเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ความสุขอย่างหยาบๆ ก็จะมาล่อหลอกได้น้อย มีอิทธิพลได้น้อย ก็ยังเพลินกับความสุข
แต่ก็อย่างว่า คนเราไม่สามารถจะทำงานไปได้ตลอด ถึงจุดหนึ่งสังขารมันก็ไม่ให้ ต้องวางงานหรือว่าไม่สามารถทำงานได้ คนที่ความสุขกับการค้าขาย ความสุขกับการขีดเขียน ความสุขจากการค้นคว้า พอแก่ตัว ทำไม่ไหวแล้ว ก็ต้องรู้จักหาความสุขอย่างอื่นมาชดเชยมาทดแทนด้วย ไม่เช่นนั้นก็กระสับกระส่าย เพราะไม่มีงานทำ หรือทำงานไม่ได้ อะไรที่ให้ความสุขกับเรา มันก็สามารถจะทำให้เราทุกข์ได้ เมื่อมันไม่ได้เป็นไปดังใจหวัง แต่ถ้าเราสามารถจะเข้าถึงธรรมะความจริงข้อนี้ได้ แล้วก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับอะไรเลย อันนี้จึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง เมื่อไม่ยึดสิ่งใดเลย ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ได้อีกต่อไป