แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมารู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง สมมุติว่าเธอชื่ออ้วน เธอเล่าว่าวันหนึ่งตอนเช้าเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนกับเพื่อนตรงบริเวณแถววงเวียนใหญ่ เธอกับเพื่อนสองคน เดินไปถึงกลางสะพานก็เห็นแบงค์สามใบ ใบละพันตกอยู่บนทางเดิน อ้วนก็ชี้ให้เพื่อนของเธอดู แบงค์สามใบข้างหน้า แล้วเธอก็บอกว่านั่นไม่ใช่แบงค์จริงหรอก เพราะถ้าแบงค์จริง คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็ต้องหยิบไปแล้ว ที่มันอยู่ตรงนั้น แสดงว่าเป็นแบงค์ปลอม แต่เพื่อนของเธอไม่ได้คล้อยตามด้วย เพื่อนของเธอก็เลยเดินไปหยิบแบงค์สามใบขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นแบงค์พันจริง ๆ ไม่ใช่แบงค์ปลอมด้วย แบงค์สามพันนี้ซึ่งควรจะตกเป็นของอ้วนก็เลยกลายเป็นของเพื่อนไป โชคมาอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ว่ากลับปล่อยให้มันหลุดมือไป เพียงเพราะว่าเหตุผลซึ่งดูเหมือนว่ามันก็มีน้ำหนัก ถ้าเป็นแบงค์จริงคนก็หยิบไปแล้ว ความคิดนี้ทำให้เธอไม่เชื่อว่าเป็นแบงค์จริง ก็เลยพลาดโอกาสที่จะได้เงินสามพันไปฟรี ๆ กลายเป็นของเพื่อนไป แต่เพื่อนเธอก็ดีแบ่งให้อ้วนไปพันห้า คนละครึ่ง เราคงไม่ต้องพูดว่าเงินที่เก็บได้ ควรจะทำอะไร ถ้าตามหลักควรจะหาทางคืนเจ้าของ แต่ว่าประเด็นที่อยากจะพูดคือว่าบางครั้งความจริงมันอยู่ต่อหน้าทนโท่แล้ว แต่คนเราก็ไม่สามารถมองเห็นความจริงนั้น เพราะอะไร เพราะความคิด เพราะเหตุผล เหตุผลของอ้วนก็ฟังดูดี ถ้าเป็นแบงค์จริงก็มีคนหยิบไปแล้ว เธอเลยไม่สนใจ แต่ความจริงก็คือว่ามันเป็นแบงค์จริง
เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับ เรื่องที่เขาเล่ากันในประเทศอเมริกาว่า ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์กับลูกศิษย์ กำลังเดินเล่นอยู่บนลานหญ้าในมหาวิทยาลัย และลูกศิษย์ชี้ให้อาจารย์ดูว่ามีแบงค์ตกอยู่ตรงสนามหญ้า เป็นแบงค์ร้อยดอลลาร์ ศาสตราจารย์ก็บอกว่านั่นไม่ใช่แบงค์จริงหรอก ถ้าแบงค์จริงก็ต้องมีคนเก็บไปแล้ว แบงค์ปลอมแน่ๆ แต่ว่านักศึกษาก็ไม่สนใจ นักศึกษาก็เดินไปหยิบ ก็ปรากฏว่าเป็นแบงค์จริง ทีแรกก็นึกว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล่า แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นจริง เพราะว่าคนที่ชื่ออ้วนเขาก็ยืนยันว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า ความจริงบางทีทั้งที่มันอยู่ต่อหน้าเรา แต่เรามองไม่เห็น เพราะว่าความคิดหรือเหตุผลมันปิดบังเอาไว้ ที่เรียกว่า ความคิดหรือเหตุผล มันปิดบังความจริงก็ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนไว้ในหลักกาลามสูตร หลักกาลามสูตรมี 10 ข้อ เราก็สวดอยู่เป็นครั้งคราว มีข้อหนึ่งบอกว่า อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะด้วยเหตุผลทางตรรกะ อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอนุมาน อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะที่น่าจะเป็นไปได้ อย่างที่อ้วนเห็นแบงค์ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง เป็นแบงค์จริง เพราะเขามีเหตุผลของเขา อันนี้เราใช้ตรรกะใช้การอนุมาน ถ้าเป็นของจริง คนก็ต้องหยิบไปแล้ว แต่เพื่อนเขาไม่เชื่อ เพื่อนเขาคงไม่รู้หรือว่าเขารู้ หรือเรียนเรื่องกาลามสูตรหรือเปล่า
พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะการอนุมาน อย่าเชื่อเพียงเพราะการคิดค้นตามหลักตรรกะ อย่าเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ ต้องไปจับ ต้องไปสัมผัส มาดูเลยว่าเป็นของจริงหรือเปล่า แล้วก็พบว่าเป็นของจริง ตรรกะหรือการอนุมานนี้ มันก็มีประโยชน์ในการช่วยทำให้เราคิดอะไรได้คล่องแคล่ว มันทำให้เราสามารถจะใช้สรุปเพื่อหาข้อเท็จจริงบางอย่าง อย่างเช่น เราเรียนคณิตศาสตร์ เราเรียนเลขาคณิต ก็ต้องใช้ตรรกะ ต้องใช้อนุมาน แต่ก็อย่าไปหลงเชื่อไปทีเดียว เพราะความจริง มันอาจจะคนละอย่างกับเหตุผลหรือตรรกะก็ได้ อย่างบนทางเท้า ทางเดินข้ามถนน ก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาก็อยู่เยอะ แล้วก็คงมีหลายคนที่เขาเห็นแบงค์ แต่ทำไมไม่หยิบ อาจจะคิดเหมือนอ้วนก็ได้ว่าถ้าแบงค์จริงก็มีคนหยิบไปแล้ว พอคิดแบบนี้ก็เลยไม่มีใครหยิบเลยสักคน
อันนี้เพราะว่า เชื่อเหตุผลมากไป เหตุผลก็ผิดได้ ตรรกะหรือการอนุมานก็ผิดได้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ความคิดบางครั้งมันก็ปิดบังความจริงมันปิดตาเรา ทำให้เราไม่สามารถจะยอมรับความจริง ที่เห็นอยู่ข้างหน้าเราได้ เคยพูดไปแล้ว เมื่ออาทิตย์หรือสองอาทิตย์ที่แล้ว ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลย ในอังกฤษ ในยุโรป ในอเมริกา ที่เขาเชื่อว่า โลกแบน ถึงกับตั้งสมาคมโลกแบนขึ้น สมาชิกก็หลายพันคน บุคคลเหล่านี้เขาจะไม่ยอมเชื่อเลยว่าโลกกลม เอาหลักฐานมายืนยัน มาชี้ให้เขาดู แม้กระทั่ง รูปถ่ายจากยานอวกาศ ว่าโลกนี้มันกลม เขาก็ยังไม่ยอมรับ ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริง เพราะว่ามีความคิดอยู่ในหัวว่า โลกนี้ต้องแบน อาจจะเป็นเพราะเชื่อตามคัมภีร์ไบเบิล หรือว่าอนุมานตามคัมภีร์ไบเบิลว่าโลกมันแบน พอมีความเชื่อแบบนี้ในหัว เห็นความจริงยังไง ไม่ว่าจะเห็นด้วยตา หรือได้ยินทางหู ก็ไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมรับ การรับรู้ของคนเรา ไม่ใช่ว่า รับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูกแล้วก็เป็นอันยุติ มันก็ยังอยู่ที่ใจด้วย ถ้าใจมันคิดไปอีกแบบหนึ่งหรือว่าเชื่อไปอีกแบบหนึ่ง มันก็ไม่ยอมรับความจริงที่ตรงข้าม หรือว่าขัดแย้งกับความเชื่อของตัว หรือว่าถ้ามีเหตุผลบางอย่าง เหตุผลนั้นก็อาจจะทำให้ ไม่ยอมรับความจริง ที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าก็ได้ อย่างกรณีของอ้วน
ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องระวัง ความคิดและเหตุผลก็มีประโยชน์ ในการทำให้เราเข้าถึงความจริงได้ เช่น วิทยาศาสตร์ทำให้เราเห็นความจริง และรับรู้ความจริงมากมาย เพราะอาศัยหลักเหตุผล อาศัยตรรกะ แต่ถ้าเราไปเชื่อมันมากเกินไป ก็เป็นตัวปิดกั้นความจริงเหมือนกัน แม้ว่าความจริงมาโผล่ต่อหน้า
มีเรื่องเล่าว่า มีพ่อกับลูก พ่อเป็นชาวไร่ ไปทำไร่ในเขตใกล้กับเขตป่า มีลูกช่วยทำไร่ด้วย ลูกยังเล็กประมาณสักเก้าขวบ สิบขวบ วันหนึ่งพ่อออกไปหาของป่า ให้ลูกเฝ้าบ้าน พ่อก็ไปทั้งวันเลย กลับมาที่บ้านก็ปรากฏว่า เห็นแต่เถ้าถ่าน บ้านนี้ถูกไฟไหม้ วัว ควาย ที่เลี้ยงเอาไว้ก็หายไปหมด แสดงว่ามันมีการปล้น มีโจรมาขโมย เขาก็ตกใจมาก แล้วเขาก็นึกถึงลูก เขาก็หาลูก แต่ก็หาไม่เจอ แต่ไปเจอกองกระดูก อยู่ในกองเถ้าถ่าน ที่มันเคยเป็นบ้าน ก็เสียใจมาก ร้องห่มร้องไห้ ลูกตายในกองเพลิง ก็เก็บกระดูกลูกไว้ เก็บไว้กับตัว หลังจากนั้นก็ย้ายบ้าน ไม่อยู่แล้ว อยู่ที่นั่นก็มีแต่คิดถึงลูกชายและก็ไม่ปลอดภัยด้วย ก็เลยอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่น ก็คงไปหลายที่ ผ่านไปหลายปีก็ตั้งหลักได้ที่เมืองๆหนึ่ง
คืนหนึ่งก็มีเสียงเคาะที่ประตู ตกใจถามว่าใคร ก็มีเสียงเรียกจากหน้าบ้านที่หน้าประตูว่าพ่อ พ่อ ผมไง ลูกของพ่อ แต่ชายคนนั้น แกไม่ยอมเชื่อ เพราะว่าลูกแกตายไปแล้ว กระดูกก็ยังเก็บไว้ในห้อง ก็พูดไปว่า ลูกของฉันตายไปแล้ว ส่วนชายที่อยู่หน้าประตูก็บอกว่า ไม่ใช่ ผมยังอยู่ ผมยังไม่ตาย พ่อเปิดประตู ชายคนนั้นไม่ยอมเปิด ไม่ว่าจะขอร้องแค่ไหน ก็ไม่ยอมเปิด สุดท้าย ชายหนุ่มที่มาเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน ก็หมดหวังก็ร้องห่มร้องไห้ และสุดท้ายก็เดินออกจากบ้านนั้นไป ด้วยความผิดหวัง
จริงๆแล้ว ชายหนุ่มที่มาเคาะประตูเรียกหน้าบ้าน เป็นลูกของชายคนนั้นคือ โจรมาปล้นแล้วก็ลักขโมยเอาวัว เอาควายไปแล้วลักขโมยเด็กไปด้วย คงกะจะเอาไปเลี้ยง หรือเอาไปปลูกฝังให้เป็นโจรเหมือนพวกตัว เพราะพวกนี้ก็ต้องมีพลพรรค รุ่นเก่าตายไป ก็มีรุ่นใหม่มาแทนที่ แต่ว่าเด็กคนนั้นหลังจากที่อยู่ในการเลี้ยงดูของโจรกลุ่มนี้มาหลายปี จนโตเป็นชายหนุ่ม วันหนึ่งก็หนีมาได้ พอหนีมาได้ก็ตามหาพ่อ จนกระทั่งได้ข่าวว่า พ่อมาสร้างบ้านที่ตรงนี้ ดีใจที่หาพ่อจนเจอ แล้วก็เรียกพ่อ นึกว่าพ่อจะต้อนรับ แต่ปรากฏว่าพ่อไม่ยอมต้อนรับ เพราะอะไร เพราะพ่อเชื่อว่าลูกตายแล้ว เห็นกระดูกและเก็บกระดูกไว้ด้วย ถามว่าพ่อรักลูกไหม พ่อรักลูกและอยากจะเจอลูกจะตาย แต่เพราะเชื่อว่าลูกตายไปแล้ว ก็เลยไม่ยอมเปิดประตูให้ลูกเข้ามาที่บ้าน ก็กลายเป็นว่า ขนาดลูกมาหาถึงหน้าบ้านแล้ว แกก็ยังปฏิเสธ
อันนี้ก็เป็นนิทานที่สอนใจได้ดีว่า คนเรานี้แม้ความจริงหรือสัจธรรมมาโผล่อยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ถ้าใจเราไม่ยอมรับ เพราะมันมีความเชื่อฝังอยู่ จะเป็นเพราะเหตุผลหรืออาจเป็นเพราะความคิดก็แล้วแต่ ใจก็ปิด ไม่ยอมรับความจริง ลูกชายก็เปรียบเหมือนตัวแทนของความจริง ซึ่งพ่อก็โหยหาแต่ว่าเพราะว่าปักใจเชื่อเสียแล้วว่า ลูกตาย ก็เลยไม่ยอมเชื่อ แล้วก็ไม่ยอมเปิดประตู ประตูนั้นก็เหมือนกับใจ ไม่ยอมเปิดประตูใจ ให้ความจริงหรือสัจธรรมเข้ามา
คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของสัจธรรมส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องความดี อีกส่วนเป็นเรื่องของความจริง เช่นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องรูปเรื่องนาม เป็นความจริงที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ส่วนมากไม่ยอมรับ ทั้งที่ความจริงก็แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา มีเห็น เปิดเผย ทุกเวลาทุกนาที ไม่ว่าจากต้นไม้ จากดวงดาว จากพระอาทิตย์ จากเวลากลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวัน จากกลางวันเป็นกลางคืน ธรรมะนี้แสดงตัวให้เราเห็นตลอดเวลา แต่ใจเราไม่เปิดเพราะว่า มันมีความคิดบางอย่างฝังอยู่ในหัว มันไม่ใช่ เฉพาะความคิดเรื่องที่เป็นความเชื่ออย่างเรื่องโลกอย่างเดียว บางทีก็เป็นเรื่องความอยาก อย่างเช่น ธรรมชาติของคนเรา ยึดอยากให้ทุกอย่างมันเที่ยง และอยากให้ทุกอย่างมันคงที่คงตัว และก็เชื่อว่าทุกอย่างมันมีตัวมีตน ความเชื่อที่ว่าทุกอย่างมีตัวมีตน เป็นสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจคนมาก เพราะฉะนั้นจึงยอมรับไม่ได้ เรื่องอนัตตา หลายคนอาจจะยอมรับได้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง เพราะมันแสดงตัวให้เห็นอยู่ได้ชัดเจนกว่า ถึงแม้จะไม่เชื่อ แต่ในที่สุดก็ต้องเชื่อ คนเรานี้จากเด็กก็เป็นหนุ่มหรือสาว จากสาวหรือหนุ่มก็กลายเป็นแก่ จากแก่สุดท้ายก็ตาย นี่แสดงอนิจจัง ทุกขังให้เห็น
นั่งอยู่เฉย ๆ แม้จะนั่งในท่าที่สบาย แม้มีหมอนรอง สุดท้ายก็ปวดก็เมื่อย อย่างนี้แสดงว่าร่างกายมันแสดงเรื่องทุกขัง แต่กว่าจะยอมรับตรงนี้ ก็ใช้เวลานาน บางคนก็เชื่อว่า ร่างกายนี้มันเป็นสุข และอยากให้ร่างกายนี้ทำความสุขให้กับเรา แต่เรื่องอนัตตา เป็นสิ่งที่ยากที่คนจะเชื่อ ยากที่คนจะยอมรับ
เคยไปอยู่กับชาวอังกฤษ สมัยที่ไปจำพรรษาที่วัดอมราวดี ที่นั่นก็มีชาวพุทธ ที่สนใจพุทธศาสนาเยอะ เคยสนทนากับโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งรู้เรื่องพุทธศาสนาดี และก็ภาวนาด้วย เธอก็เล่าให้ฟังว่า ฝรั่งไม่ยอมรับ ยากที่จะยอมรับได้เรื่องอนัตตา แต่เรื่องอนิจจัง ทุกขังนี้ยังพอยอมรับได้ แต่เรื่องอนัตตานี้ ไม่ยอมรับ เพราะมีความคิดฝังอยู่ในใจอยู่ว่ายังมีตัวตนอยู่ ยังมีกู และธรรมชาติของจิตส่วนลึกต้องการเป็นอมตะ ต้องการเป็นอมตะในด้านหนึ่ง มันก็เลยไม่ยอมรับเรื่องความตาย อีกส่วนหนึ่งก็ยากที่จะยอมรับได้ว่า ตัวกูนี่มันไม่มีจริง พอรู้ว่า ตัวกูมันไม่มีจริง จิตใจก็ขัดขืนต่อต้าน
แต่คนส่วนใหญ่ อย่าว่าแต่อนัตตาเลย แม้กระทั่งอนิจจัง ทุกขัง ก็ไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่ โดยเฉพาะทุกขัง ที่มันไม่ใช่เป็นแค่ความแก่ ความเจ็บ แต่มันเป็นความตาย แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ ที่จริงก็เรียกว่า ร้อยทั้งร้อยก็รู้ว่า คนเราในที่สุดก็ต้องตาย แต่เวลาพูดถึงความตาย เรานึกถึงความตายของคนอื่น เมื่อเราบอกว่าคนทุกคนต้องตาย ส่วนใหญ่ก็มักจะวงเล็บว่าไม่ใช่ฉัน คนทุกคนที่ต้องตายคือคนอื่นที่ต้องตาย หรือว่าอาจจะยอมรับว่ามีการตาย แต่ว่าในใจก็ยอมรับความตายไม่ได้ ความตายเป็นการรับรู้แค่ในหัว แต่ว่าใจไม่ยอมรับ
เมื่อหลายคนพอเจอ พอเห็นศพอยู่ต่อหน้า จะรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาเลย เหมือนกับเป็นการยืนยันว่า ความตายนั้น เป็นความจริง ที่ไม่มีใครหนีพ้น แล้วภาพศพนี้ มันก็ไปกระแทกอัตตา ความปรารถนาที่เป็นอมตะ อยากจะอยู่ค้ำฟ้า แต่พอเห็นความจริงอยู่ต่อหน้าก็ห่อเหี่ยว ใจมันก็ไม่ยอมรับทีเดียว แต่ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามันปฏิเสธไม่ได้ มันก็มีอาการต่อต้านอยู่ข้างใน บางคนอายุสี่สิบแล้ว ใจยังไม่ยอมรับว่า ความตายมีอยู่จริงด้วยซ้ำ
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ไปเยี่ยมเพื่อน ซึ่งเป็นพยาบาล อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้กำกับละคร และทำหนังโฆษณาด้วย เพื่อนเธอก็อยู่ต่างจังหวัด มาเยี่ยมเพื่อน ที่โรงพยาบาล เพื่อนก็ชวนไปหอพัก เธอก็ตามเดินตามเพื่อนไป ระหว่างทางก็ไปเจอ ผ่านอาคาร ที่เขาใช้เก็บศพของโรงพยาบาล เก็บศพเพื่อใช้ผ่าชันสูตร รวมทั้งแค่ตั้งศพเอาไว้ ในกรณีที่ป่วยด้วยโรคไม่ต้องผ่า ก็เตรียมให้ญาติพี่น้องมารับศพ กลับไปทำพิธีทางศาสนาที่บ้าน ตอนที่เดินผ่านตึกนั้น บังเอิญเขากำลังเคลื่อนย้ายศพขึ้นรถ เธอเห็นเธอก็ตกใจ อุทานขึ้นมา เฮ้ย! พูดกับเพื่อนว่า เฮ้ย! ตายจริง ๆ ก็มีด้วยเหรอ ที่พูดอย่างนี้ เพราะว่าประสบการณ์ของเธอ ไม่เคยเจอคนตายจริง ๆ และก็ที่ตายก็เห็นแต่ตายในละครในโทรทัศน์ เธอทำละคร เธอทำโฆษณา ก็มีคนที่เล่นบทเป็นคนตาย แต่พอเสร็จการถ่ายทำ ทุกคนก็ฟื้นขึ้นมา ไม่มีใครที่ตายจริงสักคน มีแต่ตายหลอก ๆ พอเจอภาพ ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตกใจ ก็เลยก็อุทานขึ้นมา เฮ้ย! ว่าตายจริง ๆ ก็มีด้วยเหรอ มันไม่น่าเชื่อ ว่าคนอายุสี่สิบจะอุทานแบบนี้ขึ้นมา แต่ที่จริงแล้ว ใครๆ ก็สามารถอุทานแบบนี้ขึ้นมาได้ทั้งนั้น เพราะในใจมันไม่ค่อยเชื่อว่า ความตายนี้มันมีจริง ความตาย มันมีอยู่แต่ในหัว แต่ว่าใจนี้ไม่เชื่อ ใจไม่ยอมรับ เพราะว่าลึกๆมันอยากเป็นอมตะ อยากจะอยู่ค้ำฟ้า ยอมรับได้เรื่องความตายของคนอื่น แต่ความตายของตัวเอง หรือความตายของคนใกล้ตัว ยอมรับได้ยาก
อย่างนางกีสาโคตมี เป็นคนฉลาด ในสมัยพุทธกาล เธอเห็นคนตายมาเยอะ แต่พอลูกตัวเองตาย อายุแค่สองสามขวบ กำลังน่ารัก ทำใจไม่ได้ ยังเชื่อว่า ลูกสามารถจะฟื้นขึ้นมาได้ถ้ามีคนช่วย ก็เลยอุ้มศพลูก ไปตามที่ต่างๆ ไปวิงวอนร้องขอ ให้ใครต่อใครช่วยปลุกให้ลูกเธอฟื้นขึ้นมา ทุกคนก็บอกว่า ลูกเธอตายแล้ว แต่นางกีสาโคตมี ก็ไม่ยอมเชื่อ ก็ยังพยายาม หาใครต่อใครมาช่วยปลุกลูกเธอให้ฟื้น สุดท้ายมีคนแนะนำให้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเห็นนางกีสาโคตมี อุ้มศพลูกมา พระองค์สามารถพูดให้คนบรรลุธรรมให้เป็นพระอรหันต์ได้มากมาย แต่พอเจอนางกีสาโคตมี พระองค์ก็รู้เลยว่า พูดให้นางยอมรับความตายของลูก เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น แทนที่พระองค์จะบอกแก่นางกีสาโคตมีว่า ลูกเธอตายแล้ว ความตายเป็นของธรรมดา ไม่มีใครที่จะหนีความตายพ้น คำสอนแบบนี้ พระพุทธเจ้าไม่ตรัสเลยกับนางกีสาโคตมี กลับบอกนางว่า เราช่วยลูกเธอได้ ถ้าหากว่า เธอไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย นางกีสาโคตมีก็ดีใจ อุ้มศพลูกไป เข้าไปในกรุงสาวัตถี
ไปถามหาแต่ละบ้านว่า มีเมล็ดผักกาดไหม แต่ละบ้านก็มีทั้งนั้น แต่พอถามว่า มีคนตายหรือเปล่า แต่ทุกบ้านก็มีคนตาย ปู่ตายบ้าง ย่าตายบ้าง ตา ยายตายบ้าง พ่อตายบ้าง แม่ตายบ้าง ลูกตายบ้าง คนสมัยก่อนก็ตายที่บ้านอยู่แล้ว ถึงไม่ตายที่บ้าน ก็ต้องมีความพลัดพรากเกิดขึ้นทุกครอบครัว ทีละน้อย ทีละน้อย เธอก็เริ่มยอมรับแล้ว ความตายเป็นของธรรมดาเกิดขึ้นกับทุกคน ทุกครอบครัว สุดท้ายใจก็ยอมแพ้ ใจยอมรับได้ว่า ลูกตายไปแล้ว ถึงเอาลูกไปฝัง เอาลูกไปเผา จะถามว่า นางกีสาโคตมี ไม่เคยจะเห็นคนตายหรือ หรือไม่รู้ว่า คนเรานี้ต้องตายหรือ ก็รู้แต่เป็นการรู้ระดับสมอง แต่ว่าใจยังไม่ยอมรับ โดยเฉพาะ เมื่อความตายเกิดขึ้นกับคนรัก ฉะนั้น การที่คนเราจะยอมรับความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะความจริงที่สวนทางกับความเชื่อ หรือว่า สวนทางกับความอยาก ความปรารถนา มันไม่ใช่กับคนโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับความจริง คนฉลาดก็ไม่ยอมรับความจริงได้ แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ชัดเจนโจ่งแจ้ง ไม่ต้องใช้หัวคิดอะไรมาก แต่เพราะว่า ใจมันไม่ยอมรับ หรือว่ามันมีความคิดความเชื่อบางอย่าง อาจจะเป็นความกลัวก็ได้ ความกลัวนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คนเราไม่ยอมรับความจริง
มีเกร็ดประวัติศาสตร์เล่า สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สตาลินแห่งรัสเซีย กับฮิตเลอร์เขาไม่ค่อยถูกกัน เป็นปรปักษ์กัน อย่างตรงกันข้ามเลย แต่ว่า ต่างฝ่ายต่างก็กลัวกัน สุดท้ายก็ทำสัมพันธไมตรี เป็นมิตรต่อกัน เป็นพันธมิตร ทางฮิตเลอร์ต้องการเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย เพราะต้องการไปทำสงครามในยุโรป ไม่อยากจะเจอศึกสองด้าน ส่วนสตาลินก็ไม่อยากจะรบกับฮิตเลอร์ เพราะว่ายังไม่พร้อม แต่พอฮิตเลอร์เริ่มจะพร้อมแล้ว ที่จะบุกรัสเซีย ก็มีนายทหารของรัสเซียเตือนสตาลินว่า ฮิตเลอร์กำลังจะบุกรัสเซีย แต่สตาลินไม่ยอมเชื่อ ที่ไม่ยอมเชื่อ เพราะใจมันไม่อยากจะยอมรับว่า ฮิตเลอร์จะบุก เพราะถ้าบุก รัสเซียพินาศแน่ เพราะไม่พร้อมเลย ความกลัวว่าฮิตเลอร์จะบุก ก็เลยพยายามหาเหตุผลว่าฮิตเลอร์ไม่ทำหรอก ฮิตเลอร์กลัวรัสเซีย พูดกับนายพลที่มาเตือน เวลาผ่านไปไม่นาน อังกฤษก็มาบอกสตาลินว่า ฮิตเลอร์จะบุกรัสเซียจริง ๆ สตาลินก็ไม่เชื่อ บอกว่านี้เป็นแผนยุยงของอังกฤษ ต้องการให้รัสเซียกับเยอรมันแตกแยกกัน หาข้ออ้าง ทั้งๆ ที่ข้อมูลของอังกฤษเต็มเพียบไปหมด สายลับของรัสเซียก็มาเตือนอีกว่า ฮิตเลอร์บุกแน่ ตอนนี้เริ่มมีการระดมพลแถวโปแลนด์แล้ว โปแลนด์อยู่ใกล้กับรัสเซีย สตาลินบอกไม่มีทาง ฮิตเลอร์ไม่ทำศึกสองด้านหรอก ฮิตเลอร์ฉลาดจะตาย ไม่ทำศึกสองด้าน ไปทำศึกกับยุโรป แล้วมาทำศึกกับเราได้อย่างไร
และอีกอย่าง ฮิตเลอร์ก็บอกกับทูตของเราว่า เขาแค่ซ้อมรบเฉย ๆ สตาลินเขาเป็นคนที่ระแวงทุกอย่าง ดันไปเชื่อเหตุผลของฮิตเลอร์ เพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค ต่อมาฮิตเลอร์ก็เตรียมบุก กองทัพมาประจัน บุกเข้ามาถึงชายแดนรัสเซียแล้ว ถึงขนาดนี้แล้ว สตาลินก็ยังปฏิเสธอีกว่า อันนี้ไม่ใช่แผนฮิตเลอร์ มันเป็นกองทัพเยอรมัน นายพลเยอรมันทำไปโดยพลการ ฮิตเลอร์ไม่รู้เรื่องหรอก ยังแก้ต่างให้ฮิตเลอร์อีก ขนาดว่าสุดท้าย กองทัพฮิตเลอร์บุกเลยเข้ามาในดินแดนรัสเซียแล้ว สตาลินก็ยังไม่ยอมรับ บอกว่าจะเชื่อก็ต่อเมื่อ ได้รับการยืนยันจากทูต ทูตเยอรมันประจำกรุงมอสโก สุดท้ายทูตเยอรมันก็ยืนยันว่า บุกแน่ ประกาศสงครามแล้ว สตาลินเป็นใบ้ไปเลย อึ้ง พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ได้แล้ว มึนซา ไม่รู้จะทำอย่างไร ตกใจไปหมด ไม่สามารถสั่งบัญชาการอะไรได้ เป็นใบ้แบบนี้มา 2 วัน จนกระทั่งเริ่มทำใจยอมรับได้ว่า กองทัพเยอรมันบุกเข้ามาแล้ว แต่กว่าจะเริ่มสั่งการ กองทัพเยอรมันก็รุกเข้ามาในรัสเซีย เป็นร้อยกิโลเมตรแล้ว
สตาลินไม่ใช่คนโง่ เป็นคนฉลาด แต่บางครั้งความกลัว หรือความไม่อยากจะให้เยอรมันบุกรัสเซีย ก็ทำให้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยง ปฏิเสธ ไม่ยอมรับความจริง ใครเขาจะพูด ใครเขาจะเตือน ไม่ยอมรับ ความกลัวก็ดี หรือความเชื่อในตัวเราก็ดี มันน่ากลัว เพราะว่ามันสามารถจะทำให้เราไม่ยอมรับความจริง พอไม่ยอมรับความจริงแล้ว มันกลายเป็นโทษกับเรา
คนที่ป่วยหรือว่า หมอพบว่า มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นมะเร็ง หลายคนก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ และทั้ง ๆ ที่พบว่าป่วยจริง ใจก็ยังปฏิเสธ เป็นไปไม่ได้ หรือบางทีก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ใจมันปฏิเสธ บางทีก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หรือคิดว่า ทำไมต้องเป็นฉัน ๆ ความจริงนี้ อย่าว่าแต่ความจริงทางธรรมะที่มันลึกซึ้งเลย แม้กระทั่งความจริงทางโลก อย่างที่มันเห็นชัดด้วยตา หรือว่ารับรู้ได้ด้วยหู เช่น แบงค์ ธนบัตรที่ทิ้งอยู่ข้างหน้า หรือว่าข้อมูลข่าวสาร ที่มันยืนยันมาหลายทาง หรือแม้แต่ภาพถ่าย ที่ว่าโลกกลม พอมีความเชื่อบางอย่างเสียแล้ว มันก็ไม่ยอมรับ และเพราะเหตุนี้ คนเราจึงตกเป็นทาสของกิเลสได้ง่าย เพราะกิเลส ความอยาก ก็สรรหาเหตุผล ที่ทำให้เราไม่ยอมรับความจริง
คนที่ติดบุหรี่ ติดเหล้า ถามว่า เขาไม่รู้หรือว่า เหล้าหรือบุหรี่นี้มันมีโทษ แต่ว่าในใจเขานั้นก็มีเหตุผล ความคิด ความอยากมันก็บอกว่า คงไม่ใช่เราหรอกที่เป็นมะเร็ง ที่ตายไปนี้ มันเป็นเรื่องของคนอื่น แต่ว่าไม่ใช่เราหรอก คนที่ไปเที่ยวผู้หญิง โดยที่ไม่ใช้ถุงยาง หลายคนก็บอกกับตัวเองว่า คนอื่นเขาเป็นเอดส์กัน แต่ว่าไม่ใช่เราหรอก คนเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ว่า ใครต่อใครเป็นเอดส์กัน เพราะไม่ใช้ ไม่สวมถุงยาง แต่พอถึงคราวตัวเองบ้าง ก็ไม่ยอมรับว่า มันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง อาจจะเป็นเพราะความโลภ ความอยาก หรือความประมาท เสร็จแล้วพอเป็นเข้า ก็โวยวาย ตีโพยตีพายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน คนที่ติดอบายมุข การพนัน เหล้า คนเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่เห็นโทษ แต่ว่า กิเลสมันปรุงแต่งเหตุผล สรรหาเหตุผลขึ้นมา เพื่อที่จะยืนยันว่า มันไม่เกิดผลเสียกับเรา อย่างที่เกิดกับคนอื่นหรอก คนอื่นเขาเล่นแล้วเสีย แต่เราเล่นมันมีแต่ได้ ก็สรรหาเหตุผลไป ทั้งๆ ที่ เสียไปมากมายแล้ว ยังหาเหตุผลที่จะไม่ยอมรับความสูญเสีย
กิเลสมันฉลาดมากในการสรรหาเหตุผล เพื่อที่จะทำให้เราไม่ยอมรับความจริง ทั้งที่ ความจริงมันเกิดขึ้นต่อหน้า เพราะฉะนั้น การที่เรามีสติ รู้จักทักท้วงความคิด ทักท้วงเหตุผลต่างๆ ที่กิเลสมันสรรหา มันสำคัญมาก ถ้าไม่ทักท้วง ก็จะตกเป็นเครื่องมือของกิเลส หรือเหตุผลสวยหรูต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความคิด ความอยาก ความหลงก็ได้