แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ลิงมันเกลียดกะปิมาก และถ้าบังเอิญมือของมันไปถูกกะปิ อาจจะเป็นเพราะมีคนโยนข้าวเหนียวยัดกะปิให้มัน มันกินข้าวเหนียวไปสักพัก มือมันก็จะไปถูกกะปิและสิ่งที่ตามก็คือว่า มันก็จะเอามือหรือเอานิ้วถูกับก้อนหินหรือต้นไม้ เพื่อจะกำจัดกลิ่นกะปิออกไป ถูสักพักมันก็จะเอามาดมว่ากลิ่นยังอยู่รึเปล่า กะปิยังติดมือไหม ถ้ายังมีกลิ่นหรือมีกะปิติดอยู่ มันก็จะถู แล้วก็ถู แล้วก็ถู แล้วก็มาดมอีก ถ้ายังมีกลิ่นอยู่ก็ยังถูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือหรือนิ้วมันเป็นแผล และถ้ากลิ่นยังติดอยู่ก็จะถูไปกระทั่งแผลเหวอะหวะ เลือดไหล เป็นที่น่าสังเวช
ถ้าจะถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผลเหวอะหวะ อะไรทำให้ลิงเลือดไหล ถ้าเราตอบว่ากะปิมันก็ไม่ถูก ที่ถูกและตรงจุดก็คือความเกลียดกะปิ กะปิไม่ได้ทำให้ลิงเลือดไหลได้เลย แต่ความเกลียดกะปิต่างหากที่มันทำให้ลิงมีแผล เพราะว่าความเกลียดกะปิมันสั่งให้ลิง ถู ๆ ๆ ความเกลียดกะปิมันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในใจลิง กะปิมันไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดกะปิ ที่จริงก็เอามาใช้ได้กับกรณีอื่น ๆด้วย สิ่งที่เรากลัวมันไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวสิ่งนั้น
อย่างที่เล่าไปเมื่อวาน คนที่กลัวเข็มฉีดยา ถ้าโดนเข็มจิ้มความเจ็บจะเพิ่มเป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กลัวเข็ม แปลว่าเข็มมันทำให้ปวด 1 ส่วน แต่ความกลัวทำให้ปวดทำให้เจ็บ 2 ส่วน รวมเป็น 3 เข็มไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวเข็ม บางคนไม่ใช่แค่เจ็บอย่างเดียวหรือเจ็บมากขึ้น บางทีเป็นลมเลย มันเคยมีคนที่กลัวเข็มจนเป็นลม บางคนกลัวเจ็บกระทั่งว่า แม้จะฉีดยาให้นอนหลับ ตายังค้างเลยเพราะกลัวมาก
มีหมอที่ทำผ่าตัดเล็กเล่าว่า เวลาที่จะผ่าตัด คนไข้บางคนก็จะกลัว ถามว่ากลัวอะไร กลัวเจ็บ ทีแรกหมอก็บอกไม่เจ็บเหรอก แต่พูดยังไง ๆ ก็ไม่เชื่อ ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดยาชาก็ให้ยานอนหลับไปก่อน เพื่อว่าหลับแล้วจะได้ฉีดยาชาแล้วก็จะได้ผ่า มันหลายขั้นตอนเหลือเกิน แต่คนไข้บางคนนี่กลัวขนาดที่ว่าให้ยานอนหลับไปก็ไม่หลับ เพราะฉะนั้นตอนฉีดยาชาก็เลยเจ็บ แล้วก็จะเจ็บกว่าคนอื่น คนไม่ค่อยตระหนักว่า สิ่งที่เรากลัวไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวสิ่งนั้น กะปิก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดกะปิ อันนี้จะรวมถึงความโกรธด้วย ความไม่พอใจ สิ่งที่เราโกรธ มันไม่เลวร้ายเท่ากับความโกรธที่เรามีต่อสิ่งนั้น
อย่างที่พูดเมื่อวานไว้ว่า คำต่อว่าด่าทอไม่เคยฆ่าใคร แต่ความโกรธเพราะถูกต่อว่าด่าทอ มันสามารถจะฆ่าคนได้ เช่น ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก ตัวคำต่อว่าด่าทอไม่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ หรือไม่ทำให้ใครเป็นอัมพาตได้ มันเป็นแค่เสียงที่มากระทบหู เสียงที่กระทบหูนี้มันเป็นเสียงที่เบากว่าเสียงไมโครโฟน หรือเสียงมอเตอร์ไซค์มาก มันไม่สามารถจะทำให้ใครล้มป่วยได้ แต่เพราะความโกรธ ความไม่พอใจ ถ้อยคำเหล่านั้นที่มันทำให้ถึงกับล้มป่วยหรือเป็นอัมพาตได้ คืออย่างหนึ่งว่าสิ่งที่เราเจอไม่ร้ายแรงเท่ากับว่าเรามีปฏิกิริยากับสิ่งนั้นอย่างไร หรือเรารู้สึกกับสิ่งนั้นอย่างไร และความทุกข์ใจของคนเรามันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่ใจของเราที่ไปมีปฏิกิริยากับสิ่งต่าง ๆ ในทางลบทางร้าย ไม่ใช่เพราะสิ่งที่มากระทบตาหรือกระทบหู หรือสิ่งที่เกิดกับเราหรือเหตุการณ์หรือประสบการณ์
แต่คนมักจะไปโทษสิ่งนอกตัวอยู่เสมอ ไปโทษว่าเป็นเพราะเขาพูดอย่างนั้นกับเรา เขาทำอย่างนี้กับเรา เป็นเพราะดินฟ้าอากาศ เป็นเพราะเศรษฐกิจ เป็นเพราะการเมือง เป็นเพราะรถติด ทำให้ฉันเป็นทุกข์ เสียงที่มันดังมันไม่ทำให้เราหงุดหงิดได้ จนกว่าใจเราจะไปมีปฏิกิริยาทางลบกับเสียงนั้น เช่น ไม่ชอบเสียงนั้น ถ้าเราเฉย ๆ กับเสียงนั้น ความทุกข์ใจจะเกิดขึ้นได้อย่างไร บางทีเสียงมันก็เพราะ เสียงโทรศัพท์ เสียงริงโทน แต่ทำไมเราถึงหงุดหงิด ทันทีที่เสียงนั้นกระทบหูเรา ก็เพราะว่าเราไม่ชอบ เป็นเพราะว่าก่อนที่จะไม่ชอบนั้น เราก็คิดปรุงแต่งไปว่ามันมาดังตรงนี้ได้อย่างไร กำลังฟังธรรมอยู่ กำลังนั่งสมาธิอยู่ กำลังดูหนัง ดังไม่มีกาลเทศะ ทำไมไม่ปิดโทรศัพท์ พอคิดแบบนี้เข้า มันโกรธ มันไม่พอใจ ตรงนี้ที่มันทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะเสียง
มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงธรรมที่ประเทศอังกฤษ 40 ปี ที่แล้ว มีหลวงพ่อสุเมโทไปด้วย ตอนนั้นยังเป็นพระหนุ่มอยู่ เจ้าภาพเป็นชาวอังกฤษ เขาก็ให้นิมนต์คณะของหลวงพ่อชาพักอยู่ที่วิหารของมูลนิธิที่เขาก่อตั้งขึ้น คือวิหารแฮมสเตท ไม่ได้ไปพักที่วัดไทยซึ่งอยู่ชานเมือง วิหารแฮมสเตท อยู่กลางเมือง และตรงข้ามวิหารเป็นผับ เป็นบาร์ เป็นย่านบันเทิง ทุกเย็นหลวงพ่อชาก็จะพาพระและโยมนั่งสมาธิประมาณ 40 นาที และเย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พระและโยมกำลังนั่งสมาธิก็มีเสียงดนตรีมันดังเข้ามาถึงในวิหาร เสียงร้องรำทำเพลง เสียงดนตรี พระหลายรูปรวมทั้งอาจารย์สุเมโทเรียกว่านั่งสมาธิไม่เป็นสุข ท่านก็ยอมรับ แต่ว่าหลวงพ่อชาท่านนั่งนิ่งสงบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งนั่งสมาธิเสร็จ ก็มีโยมคนหนึ่งเดินมาหาหลวงพ่อ แล้วก็มาขอโทษว่าเสียงดนตรีมันทำให้นั่งสมาธิไม่ค่อยได้
หลวงพ่อฟังแค่นั้นก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า โยมคิดว่าเสียงดนตรีมันรบกวนเรา ที่จริงเราต่างหากที่ไปรบกวนเสียง ก็ไม่รู้โยมผู้นี้จะเข้าใจหรือเปล่าว่า ที่ใจเราไม่สงบใจเราหงุดหงิด เพราะว่าใจเราไปทะเลาะ เบาะแว้งกับเสียงนั้น เสียงมันกระทบหู ใจก็ไปต่อร้อต่อเถียงกับเสียงนั้นว่า ดังทำไมวะ เปิดเล่นกันดังแบบนี้ทำไมไม่หยุดสักทีอะไรอย่างนี้ สังเกตใจเราบ้างหรือเปล่า ว่าที่มันหงุดหงิดเพราะว่า มันไปต่อร้อต่อเถียงกับเสียง ตัวการที่ทำให้ทุกข์ใจไม่ใช่เสียง แต่คือการต่อร้อต่อเถียงกับเสียงนั้น หรือความรู้สึกลบกับเสียงนั้น ซึ่งอาจจะมีเหตุผลมารองรับความหงุดหงิดก็จะเอาเหตุผล หาเหตุผลมาสนับสนุนว่าทำไมต้องหงุดหงิด เพราะมันไม่ใช่เป็นเวลาที่จะส่งเสียงดังอย่างนั้น อย่างที่บอกไว้แล้วว่าตัวอารมณ์ต่าง ๆ มันจะพยายามคิดหาเหตุผลเพื่อมาสนับสนุน หล่อเลี้ยงอารมณ์เหล่านี้ให้มันอยู่ได้นาน ๆ
สำหรับคนประเภทที่มีการศึกษามากหน่อย มันก็จะสรรหาเหตุผลมาเอาความถูกต้องมาว่า มันไม่ถูกกลางค่ำกลางคืน เล่นดนตรีดัง ๆ ได้ยังไง ผิดกาลเทศะ คือความหงุดหงิด ความโกรธเนี่ยมันจะต้องพยายามหาเหตุผลมารองรับมันให้ได้ เพื่อมันจะได้โกรธไปได้นาน ๆ ในใจเรา แล้วพอเราหลงเชื่อเหตุผลเหล่านั้นว่ามันไม่ถูกไม่ควร มันไม่น่า มันผิดระเบียบ มันผิดหลักการ คราวนี้ก็จะยิ่งโกรธ ยิ่งหงุดหงิด เช่นเดียวกับเวลารถติด ก็จะหาเหตุผลว่า ทำไมต้องหงุดหงิด วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทำไมมันรถติดมากจริง หรือว่ารัฐบาลเก็บภาษีประชาชนมามากมาย ทำไมไม่ปรับปรุงระบบจราจรให้ดี มันก็จะหาเหตุผลมาอ้าง แล้วเราก็หงุดหงิดหนักขึ้น แต่ถ้าเกิดเราเพียงแต่ถามตัวเราเองว่า ทำไมต้องหงุดหงิดกับเรื่องแค่นี้ด้วย อยากจะบรรลุนิพพานไม่ใช่เหรอ แล้วแค่นี้จะเป็นจะตายแล้วเหรอ ถ้าเราคิดแบบนี้มันก็ฝ่อลงแล้ว หรือคิดว่าแค่นี้ยังจะเป็นจะตายแล้วถึงเวลาจะตายจริง ๆ จะทำยังไง อยากตายสงบ แต่แค่นี้ก็ดิ้นพราด ๆ แล้ว ถ้าลองคิดแบบนี้บ้างมันก็จะฝ่อลง
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองแบบนั้นหรอก ก็จะไปหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าทำไมควรจะหงุดหงิด ทำไมควรจะโกรธ แล้วก็ไม่เฉลียวใจว่าที่จริง เหตุแห่งความทุกข์อยู่ที่ใจเรา ใจที่คิดลบคิดร้าย หรือรู้สึกต่อต้านผลักไส จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงความทุกข์ใจ มันไม่มีอะไรจะทำให้หรือไม่มีใครจะทำให้เราทุกข์ใจได้เลย นอกจากการวางใจผิด หรือถ้าพูดให้มันง่าย ๆ กว่านั้น คือไม่มีใครหรืออะไรจะทำให้เราทุกข์ใจได้นอกจากตัวเราเอง อย่าว่าแต่คำต่อว่าด่าทอเลย อย่าว่าแต่ดินฟ้าอากาศหรือเสียงดังเลย แม้แต่โรคภัยไข้เจ็บโรคร้าย ๆ เช่น มะเร็ง โรคเอดส์ เบาหวาน ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้ มันทำได้อย่างมากคือทำให้เราเกิดความทุกข์กาย เกิดความไม่สะดวก เกิดความลำบาก
อย่างที่ได้พูดไปแล้ว คนที่ชื่อกัน ซึ่งเป็นมะเร็งอายุ 30 กว่า ตอนที่เป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แกก็เครียดมาก เหวี่ยงวีนใส่คนรอบข้าง ยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งได้อย่างไร แถมเป็นมะเร็งชนิดที่มันไม่ค่อยได้เกิดขึ้นกับคนอายุอย่างเธอเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้มาปฏิบัติธรรม หมั่นมองดูใจของตัว ก็พบว่าใจเริ่มสงบลง ทั้งที่มะเร็งก็ลามมากขึ้น แล้วเธอก็พูดประโยคหนึ่งว่า มะเร็งไม่ได้ทำให้รอยยิ้มคุณหายไป ความทุกข์ใจต่างหากที่มันทำ ทุกข์ใจเพราะอะไร ทุกข์ใจ เพราะไม่ยอมรับ เธอเขียนว่าในขณะที่บางคนคิดว่าความจริงมันโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ มะเร็งโหดร้ายก็จริงแต่การไม่ยอมรับว่าเป็นมะเร็ง หรือความเกลียดความกลัวมะเร็งต่างหากที่มันน่ากลัวกว่า
คุณป้าคนหนึ่งไปโรงพยาบาลไม่รู้กี่ครั้งไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้ววันหนึ่งหมอบอกป้าเป็นมะเร็งตับอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แกช็อคเลย กลับไปบ้านกินไม่ได้นอนไม่หลับ เสื้อผ้าหน้าผมไม่สนใจ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต อยู่ได้แค่ 12 วัน แกก็ตาย แกตายเพราะมะเร็งมันลามเร็วขนาดนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่หรอก แต่เป็นเพราะใจ ใจที่กลัว ใจที่วิตก ใจที่กังวล ใจที่ไม่ยอมรับ มะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดหรือกลัวมะเร็ง คนเป็นมะเร็งบางคนหมอบอกอยู่ได้สามเดือน บางทีอยู่ได้ 3 ปี หรือว่าอาจจะอยู่ได้นานกว่านั้น แต่ถ้ากลัวหรือเกลียดมะเร็ง มันตายเร็ว คนก็ไม่ค่อยตระหนักว่ามะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวความเกลียดมะเร็ง ก็คือใจของเรานั่นแหละ
พูดง่าย ๆ ไม่ใช่แค่มะเร็งเท่านั้น แม้กระทั่งเวลามีคนมาทำร้ายเรา ไม่ว่าทำร้ายด้วยคำพูดหรือทำร้ายร่างกาย ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้เลย เขาทำได้อย่างมากก็ทำให้ร่างกายเราเจ็บปวด แต่ทำให้ใจเป็นทุกข์ไม่ได้ แล้วอะไรล่ะทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ อะไรล่ะทำให้ใจเราเจ็บปวด ถ้าจะพูดก็คือ ความไม่รู้ตัว พูดแบบสรุปไปเลย คือการที่ไม่รู้ตัวไม่มีสติหรือความหลง
มีพระทิเบตรูปหนึ่ง ถูกจับสมัยที่จีนคอมมิวนิสต์ไปยึดครองทิเบตเมื่อสัก 60 ปี ที่แล้ว ท่านถูกจับอยู่ 20 ปี เพราะท่านไม่ยอมคล้อยตามรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่ต้องการให้ท่านสอนต่อต้านพุทธศาสนา ระหว่างที่ถูกจับอยู่ก็ถูกทรมาน พอท่านได้รับอิสรภาพท่านก็ลี้ภัยมาอินเดีย ท่านดาไลลามะซึ่งอยู่อินเดียพอทราบว่าท่านมาอินเดีย ท่านดาไลลามะเคารพพระรูปนี้มาก ไปเยี่ยมท่านและสนทนากัน ประโยคหนึ่งที่ท่านดาไลลามะถามคือ ตอนที่ท่านถูกจับ ท่านกลัวอะไรมากที่สุด แทนที่ท่านจะบอกกลัวถูกทรมาน กลัวถูกตอกเล็บ กลัวถูกบีบขมับ ท่านบอกว่า กลัวว่าท่านจะโกรธ เกลียด คนที่ทรมานท่าน น่าทึ่งนะ แล้วก็น่าคิดด้วย ว่าทำไมท่านถึงกลัวว่าจะไปโกรธไปเกลียดคนเหล่านั้น เหตุผลหนึ่งก็คือ ท่านกลัวว่าท่านจะผิดศีลถ้ากลัวถ้าเกลียดคนเหล่านั้น กลัวว่าจะทำบาป ทำบาปนี้เป็นสิ่งที่เลวร้าย ถูกคนอื่นทำร้ายยังไม่แย่เท่ากับไปทำร้ายเขา เพราะมันเป็นบาป
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่คิดว่าสำคัญ คือท่านรู้ว่าคนเหล่านั้นทำร้ายท่านได้แต่ร่างกาย แต่ถ้าท่านโกรธเกลียดเมื่อไหร่ เท่ากับท่านทำร้ายจิตใจตัวเอง ความโกรธ ความเกลียดมันจะเผาลนใจ ทหารจีนทำร้ายจิตใจท่านไม่ได้ ยัดเยียดความทุกข์ให้กับจิตใจท่านไม่ได้ ทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่ถ้าท่านโกรธเกลียดเมื่อไหร่ จิตใจท่านเป็นทุกข์มาก เรียกว่าปวดสองต่อ เจ็บสองต่อ ปวดกายและปวดใจ เจ็บกายและเจ็บใจ ท่านก็รู้ดีว่ายังไงต้องรักษาใจไว้ให้ดี เพราะใจสำคัญกว่ากาย ปวดกายไม่ร้ายเท่ากับปวดใจ อย่างที่เรามีสำนวนว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก
คนไม่ค่อยตระหนักว่าความทุกข์ใจนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้น มันไม่ใช่สาเหตุตัวการสำคัญ ไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่มันอยู่ที่ใจเรานั่นแหละ ความเกลียด ความกลัว ความรู้สึกลบ ความเกลียด ความกลัวพวกนี้ มันฉลาดมาก มันพยายามครองจิตครองใจเราให้นานที่สุด และวิธีหนึ่งที่มันจะครองจิตครองใจเราได้นาน คือหลอกให้เราไปสนใจสิ่งภายนอก ล่อให้เราไปโทษสิ่งนอกตัว เพราะว่าถ้าเราไปสนใจสิ่งภายนอกหรือไปโทษสิ่งนอกตัว มันก็จะยังอยู่ในใจเราได้นาน มันไม่ต้องการให้เราหันกลับมาดูใจหรือมองตน เราหันกลับมามองตน หรือกลับมาดูใจเมื่อไหร่ มันจะอยู่ไม่ได้เพราะจุดอ่อนของมันก็คือ มันกลัวถูกรู้ ถูกเห็น ถ้าเรากลับมามองตนเราก็จะเห็น เห็นมันกำลังรบกวนรังควานหรือขี่คอเราอยู่แค่นั้นแหละ เพียงแค่มันถูกเห็นเท่านั้น มันก็จะต้องล่าถอยหรือละลายหายไป
ถามว่าเห็นด้วยอะไร เห็นด้วยสติ ไม่ใช่เห็นด้วยตา สติเป็นปฏิปักษ์ที่สำคัญมากของอารมณ์เหล่านี้ซึ่งเป็นตัวการแห่งความทุกข์หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามีสติ มีความรู้ตัว ความทุกข์ใจมันเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราหลง ทุกครั้งที่ลืมตัว ก็คือไม่มีสตินั่นแหละ พอมันมีความโกรธ ความเกลียดหรืออารมณ์อกุศลขึ้นมา มันก็ส่งผลตามมา ความโกรธความเกลียดก็จะสั่งให้เราไปพูดร้าย ทำร้าย ไปก่อปัญหา สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ซึ่งก็จะทำให้เราเจอเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจตามมา ต้องรับกรรม ต้องติดคุก หรือถูกเขาแก้แค้น ถ้าเป็นความโลภมันก็อาจทำให้ไปโกง ไปขโมย หรือว่ามัวแต่ทำมาหาเงินจนไม่มีเวลาพักผ่อน อายุ 70 ปี 80 ปีแล้ว ก็ยังไม่หยุดหาเงินซักที เพราะความโลภนี้ก็เป็นความรู้ลืมตัวแบบหนึ่ง ถ้ามีราคะมันก็อาจจะผลักดันให้เราไปกระทำชำเรา ทำเรื่องที่ผิดศีล ก็รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดี แต่ว่ามันมีสำนวนว่า ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ อดใจไม่ได้เพราะว่ากิเลสมันครอบงำ ตอนนั้นมันลืมตัว ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ก็เพราะเหตุนี้แหละ จบปริญญาเอกแต่ก็พลาดท่าเสียที ก็เรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด อาจจะเป็นเพราะว่าไปทำเรื่องผิดศีล ผิดกฎหมาย ความรู้ ถ้ามันยังไม่ใช่ความรู้ตัว มันก็เอาตัวรอดได้ยาก ถ้ามีความรู้แต่ไม่มีความรู้ตัว ก็เอาตัวไม่รอด แต่ถ้ารู้ตัว ถ้ามีสติเมื่อไหร่ แม้จะรู้น้อยก็เอาตัวรอดได้ อาจจะไม่รวยแต่ก็อยู่อย่างมีความสุข ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ไปเหวี่ยง ไม่ไปวีน ไม่ไปก้าวร้าวกับใคร เพราะว่าความสงบในจิตใจ
สำคัญมากเลยการที่เรามีสติมีความรู้ตัวและก็เป็นสติที่ไว เมื่อมีอารมณ์อกุศลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเกลียด ความรู้สึกผิด ความโลภ ตันหา ราคะ พวกนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็นภัยที่แอบแฝง ภัยของมนุษย์มีสองอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ภัยที่เปิดเผยกับภัยที่ปกปิด ภัยที่เปิดเผย เช่น ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว เชื้อโรค หรือว่าผู้ร้าย ศัตรู โจร สมัยนี้อาจจะรวมถึงรถยนต์ด้วย ส่วนภัยที่ปกปิด คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความถือตัว ราคะ ความหลง ความลืมตัว
สมัยนี้แม้แต่ไม่ต้องขับรถ แค่มีโทรศัพท์อยู่ในมือ ความลืมตัวก็สามารถสร้างความฉิบหายเดือดร้อนให้กับเราได้ ทุกครั้งที่เราถือโทรศัพท์ ให้รู้ว่าเรากำลังถือสิ่งที่เป็นอันตราย อาตมาเรียกว่า อันตรายที่ปลายนิ้ว เพราะพอโกรธเมื่อไหร่ พอเกลียดเมื่อไหร่ นิ้วมันก็จะกดแป้นกดคีย์บอร์ด เขียนข้อความไปด่าคนโน้น เยาะเย้ยถากถางคนนี้ พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามคนโน้น เสร็จแล้วก็มีเรื่องเดือดร้อนตามมา มีข่าวอยู่แทบทุกอาทิตย์ เรื่องคนดังที่คีย์เขียนข้อความทางโซเชียลมีเดีย ทาง Twitter, Facebook แล้วต้องเจอคนรุมประณาม ถึงวันนี้อาจจะไม่เจอแต่ว่าผ่านไป 10 ปี มีคนเอาข้อมูลข้อความที่เคยคีย์ไว้เอามาโจมตี อย่างบางคนเป็นนางสาวไทย บางคนเป็นดาราดัง เสร็จแล้วโดนคนขุดคุ้ยข้อความเมื่อ 10 ปี ก่อน 5 ปี ก่อน เอามาแฉ เดือดร้อนตามมา นี่อันตรายที่ปลายนิ้ว เพราะความโลภ ความโกรธ
มันมีเรื่องของลิงอีกเรื่อง ซึ่งอาจจะเคยได้ยิน ลิงที่มันอันธพาลเกเร หรือบางทีลิงที่มีค่ามีราคา พรานเขามีวิธีจับวิธีจับนี่ก็แพร่หลายไปทั่วโลก รูปแบบ รายละเอียดจะต่างกัน บางแห่งอาจจะใช้ลำไม้ไผ่ บางแห่งอาจจะใช้มะพร้าวเจาะรูไว้ให้เล็ก ๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ ข้างในก็จะใส่ถั่วหรืออาหารที่ลิงชอบ แล้วปลายอีกด้านก็ผูกไว้กับต้นไม้ ไว้กับเสา ลิงพอมันรู้ว่าข้างในมีของโปรดของชอบ มันก็จะเอามือล้วงเข้าไป แล้วมันก็จะกำ พอกำเสร็จก็จะถอนมือออกมา แต่มันดึงมือออกมาไม่ได้ เพราะรูมันเล็กกว่ากำมือ ก็จะพยายามดึง บางทีมันดึงทั้งคืนจนหมดแรง พรานไม่ต้องทำอะไร รุ่งเช้าก็เห็นลิงนอนหมดแรงมันดึง ลิงบางตัวมันดึงเท่าไหร่ ดึงไม่ออก มันก็โกรธ มันก็จะเอามือทุบลำไม้ไผ่ มันก็จะเอามือฟาดกับมะพร้าวที่ใช้เป็นกับดัก มันโกรธ มันก็จะด่า มันก็จะทำร้าย เพราะมันคิดว่าทำให้มันเสียอิสรภาพ มันคิดว่าตัวการคือกับดักที่ทำให้มันต้องติดอยู่ตรงนั้น แต่ใช่หรือเปล่า สาเหตุที่มันติดอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่กับดัก จริง ๆ แต่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะมือที่กำเอาไว้ เพียงแต่มันแบมือออก มันก็หลุด แต่มันไม่ยอมแบ มันยังกำอยู่ แล้วมันก็โกรธไม้ไผ่ โกรธกับดัก
อันนี้ไม่ใช่เป็นความโง่ของลิงเท่านั้น มาคิดดูดี ๆ คนเราก็เป็นอย่างนี้ ใครมาด่าว่าเรา เราก็โกรธ เราอยากจะทำร้ายเขา แต่หารู้ไม่ เป็นเพราะใจเราไปกำ ไปยึดคำด่าเขาไว้ แล้วเอามาปรุง บางทีคนด่าเขาลืมไปแล้ว ลิงมันก็เอาแต่ทุบตีลำไม้ไผ่ ก็เหมือนคนที่อยากจะทำร้ายคนที่มาพูดต่อว่าด่าทอทำไม่ดีกับเรา ลิงมันลืม ลืมไปว่ามันกำมือเอาไว้ ถ้ามันหยุดคิดสักหน่อยนะ มันก็จะรู้ว่าเป็นเพราะมือที่กำหรือว่าจิตที่โลภ ไม่อยากคลายไม่อยากปล่อย ถั่วเป็นตัวการสำคัญต่างหากที่ทำให้มันติดอยู่ตรงนั้นแหละ แต่มันอาจจะลืมตัว มันก็เลยยังกำต่อไป หรือเป็นเพราะความโลภ ที่จริงความโลภความลืมตัวก็ตัวเดียวกัน พอโลภก็ลืม คนเราก็เหมือนกันที่เรามีความทุกข์ เรากะจะไปพูดร้ายทำร้ายคนที่เขาต่อว่าด่าทอเรา หาเฉลียวใจไม่ได้ว่า เพราะเราไปกำไปยึดไปติดเอาคำพูดของเขา บางทีอาจจะไม่ใช่คำพูด อาจจะเป็นทรัพย์สมบัติก็ได้ ที่เราไม่ยอมปล่อยไม่ยอมคลาย ก็เลยทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ คนที่ขโมยเงินเราไป โกงเงินเราไป เงินนั้นไปแล้วจิตยังไปยึดที่เงินนั้น สมบัตินั้น โกรธโมโหเศร้าโศกเสียใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ บางคนไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเดือน
มีครูคนหนึ่งถูกโกงเงินเป็นแสน แกไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเดือน ไม่รู้ต้องการทำร้ายตัวเองหรือเพราะว่ามันเคืองแค้นมาก แม่ก็ขอให้นอนเถอะ กินข้าวเถอะ ก็ไม่ยอมเพราะใจมันกำยัง มันยังไปยึดที่เงินนั้นอยู่ แล้วก็โกรธคนที่ขโมย โกรธเพื่อนที่โกงเงินไป เพื่อนไม่ได้ทำให้ใจเราทุกข์ เพื่อนแค่โกงเงินเราไป แต่ที่ใจเรามันทุกข์ เพราะเรายังกำมันเอาไว้ กับดักไม่ได้ทำให้ลิงเสียอิสรภาพ แต่มือที่มันกำเอาไว้ต่างหากที่ทำให้มันไปไหนไม่ได้ เพียงแค่มันคลายมือออก มันก็หลุด เพียงแค่ครูคนนั้นแกวางเรื่องเงิน ใจก็สบาย ใครเขาจะต่อว่าด่าทอเรายังไง ถ้าใจเราไม่ยึดมันก็เป็นปกติ
มีเพื่อนคนหนึ่ง คือโจน จันได หลายคนคงรู้จัก มีชื่อตอนที่เขายังหนุ่มอายุ 20 เขาเหมือนคนทั่วไปที่อยากรวย ก็เลยไปแสวงโชคที่กรุงเทพฯ ความรู้ก็ไม่มาก เขาก็เลยได้ทำงานเป็นพนักงานโรงแรม หน้าที่ทำความสะอาด แกบอกว่าแกมีเจ้านายคนหนึ่งเป็นแม่บ้าน เกิดมาไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลย จะสั่งอะไรก็มีการด่าด้วย มีแต่ด่า ด่า ด่า ไม่เคยพูดดีเลย ใช้งานก็ด่า วันหนึ่งแม่บ้านก็พาแกไปที่ห้องพัก แล้วก็ยื่นบรัสโซให้ แล้วบอกให้ขัดลูกบิด แกก็ขัดลูกบิดประตู ขัดเกือบจะเสร็จอยู่แล้วนะ ผู้บริหาร มา พอเห็นก็มาว่าใหญ่ ว่าเอาบรัสโซขัดลูกบิดแบบนี้ได้ยังไง มันใช้ไม่ได้ มันไม่เข้ากัน ก็ต่อว่าโจน แม่บ้านแทนที่จะปกป้อง หรือนิ่งเงียบ กลับซ้ำเติมโจน ทั้งที่แม่บ้านเป็นคนสั่ง เจอคนแบบนี้ทำยังไง
แต่โจนนี่แก จู่ ๆ แกก็พนมมือไหว้ทั้ง MD และแม่บ้าน แล้วก็บอกว่า ขอโทษครับ ขอบคุณครับที่แนะนำ หลังจากนั้นเวลาถูกแม่บ้านด่า แกก็จะพนมมือแล้วก็ขอโทษครับ จนเป็นที่รู้กันในโรงแรม คนในโรงแรมบางคนก็ว่าไอ้โจนนี่มันบ้า คนด่าแล้วยังไหว้อีก บางคนก็ว่าไอ้โจนมันโง่ ทำให้เขาซ้ำเติมหนักขึ้น โจนก็ไม่สนใจอะไร แล้ววันหนึ่งแม่บ้าน ผ่านไปเดือนหนึ่งแม่บ้านอดรนทนไม่ได้ กวักมือเรียกโจนมาถาม นี่ฉันสงสัยจริง ๆ นะ เวลาฉันด่าเธอทำไมเธอยกมือไหว้ฉัน แถมขอบคุณฉันเสียอีก โจนก็บอกว่า เวลาผมถูกแม่บ้านด่า ผมก็คิดเสียว่ามันเป็นนิสัยของแม่บ้าน มีความสุขที่ได้ด่า ผมก็ไม่ว่าอะไร บางครั้งผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ที่แม่บ้านด่าทำให้ผมได้กลับมาดูใจของตัว มาดูใจคงจะหมายถึงมาดูใจของตัวเองหงุดหงิด ก็ทำให้ได้จัดการกับอารมณ์ของตัวได้ ผมก็เลยขอบคุณไง ขอบคุณที่ทำให้ได้หันมาจัดการดูแลจิตใจของตัว
ปรากฏว่านับแต่วันนั้น แม่บ้านเลิกด่าโจน คงซึ้งน้ำใจ หรือว่าคงจะได้แง่คิดบางอย่าง อันนี้เป็นตัวอย่างคนเราจะทุกข์หรือไม่ ไม่ใช่เพราะคำต่อว่าด่าทอ บางคนถูกต่อว่าด่าทอก็เฉยเพราะเขาไม่ได้ยึด เขาไม่ได้กำเหมือนลิงที่กำถั่วไว้ในกับดัก
ดังนั้น ต้องกลับมาดูใจเวลาเรามีความทุกข์ใจ ทุกข์กายอาจจะเป็นเพราะสิ่งภายนอก แต่ทุกข์ใจไม่มีใครทำให้ได้ ไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ใจได้ มีแต่เราที่วางใจไม่ถูก ถ้าไม่ผลักไสหรือไม่ไปต่อล้อต่อเถียง หรือไปรบกวนเสียงอย่างที่หลวงพ่อชาว่า หรือเหมือนกับลิงที่มันเอามือถูพื้นเพราะว่ารังเกียจกะปิ ก็เป็นเพราะใจที่มันยึด มันอยาก มันหวง มันไม่ยอมปล่อย
ที่จริงแล้วการยึดอยากกับการผลักไสคือเรื่องเดียวกัน ยิ่งอยากผลักไส ก็ยิ่งยึด ยิ่งเกลียดกะปิเท่าไหร่ ก็ยิ่งดม ลิงมันถูไปมันก็ดมมันเกลียด จริง ๆ เหมือนกับคนเราที่มือเราไปเปื้อนของเหม็น หรือกลิ่นที่ฉุน น้ำปลา กะปิหรือสี พอเราล้างมือเสร็จเราก็จะเอามาดม ยิ่งกลิ่นเหม็นเท่าไหร่ยิ่งเอามาดมอยู่บ่อย ๆ ล้างเสร็จก็เอามาดม สมมุติว่ามือเราถูกขี้หมา หรือไปถูกขี้ตุ๊กแก เอามาดม ล้างเสร็จเอามาดมอยู่นั่น ดมเสร็จล้าง ล้างเสร็จดม ยิ่งผลักไส ยิ่งยึดติด ยิ่งไม่ชอบ เสียงดังยิ่งจดจ่อที่เสียงนั้น ยิ่งมีทุกขเวทนาเจ็บปวดตรงไหน เมื่อยตรงไหน จิตยิ่งจดจ่อตรงนั้น มันจดจ่อเพราะมันอยากจะผลักไสและนั่นแหละคือที่มาของความทุกข์ ความทุกข์ใจ