แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้ก็มีคณะนักศึกษาชาวอเมริกันมาพักที่วัดป่าสุคะโต วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว เขาจะอยู่ประมาณ 4 คืน 5 วัน นี่ไม่ใช่คณะแรกที่มา มีหลายคณะมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็มาโครงการเดียวกัน เขาอยากจะมาศึกษาเรื่องพุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ตอนนี้เราคงทราบดีว่าฝรั่งเขาตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมมาก หลังจากที่บรรพบุรุษเขาทำลายสิ่งแวดล้อมมามากมาย ถางป่า ทำให้สัตว์หลาย ๆ ชนิดสูญพันธุ์ไป
ตอนนี้ฝรั่งมาตื่นตัวเรื่องนี้อย่างจริงจัง แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันจริง ๆ แล้วมาจากฝรั่ง เพราะเห็นความเสื่อมโทรมหรือหายนะทางด้านสิ่งแวดล้อม ในอเมริกา อุทยานแห่งชาติที่เป็นแห่งแรกในโลกก็เกิดขึ้นที่อเมริกา ปัจจุบันยอมรับกันว่าการอนุรักษ์ธรรมชาติส่วนหนึ่ง คือการรักษาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้เป็นอุทยานแห่งชาติบ้าง หรือเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบ้าง อันนี้ก็ริเริ่มมาที่ประเทศอเมริกา ในรูปของการตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นมาเป็นแห่งแรกในโลกและเป็นที่ยอมรับ เมืองไทยเราก็รับเอามา อุทยานแห่งแรกคือเขาใหญ่ในสมัยจอมพลสฤษดิ์
แต่ว่าฝรั่งยังอยากจะรู้ ศึกษาบทบาทของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ศาสนาอื่นถือว่ามนุษย์เป็นเหมือนเจ้านายของธรรมชาติ ธรรมชาติมีเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ตามพระประสงค์ของพระเจ้าบ้าง หรือว่าตามความเชื่อของเขา แต่ว่าพระพุทธศาสนาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาให้ความสำคัญกับการเคารพธรรมชาติ มีคำสอนมากมายของพระพุทธเจ้าที่ให้เราปฏิบัติกับธรรมชาติด้วยความเคารพ ในวินัยของพระก็มีสิกขาบทหลายข้อที่ไม่ให้ไปเบียดเบียน อย่าว่าแต่ตัดต้นไม้ แม้กระทั่งตัดกิ่งริดใบถือว่าเป็นอาบัติ ถ้าไม่ป่วยจะไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ บ้วนน้ำลายลงในน้ำ ลงในของเขียวไม่ได้ อันนี้ฆราวาสจะไม่ค่อยทราบ แต่ว่าใครเป็นพระต้องทราบวินัยหรือสิกขาบทเหล่านี้
ฝรั่งเขามาที่วัดป่าสุคะโตเพื่อที่จะมาศึกษาว่า พระพุทธศาสนามีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่มาที่นี่ ส่วนหนึ่งเพราะที่นี่เป็นวัดป่า อีกส่วนหนึ่งเพราะว่ามีบทบาทในเรื่องการอนุรักษ์ป่ามาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อบุญธรรมแล้ว ถ้าไม่ทำหรือไม่อนุรักษ์ป่า ป่านนี้ที่นี่คงจะเตียนโล่งไปแล้ว เหมือนกับที่เราเห็นรอบ ๆ วัด ป่าจำนวนมากในเมืองไทยอยู่ได้ก็เพราะพระไปตั้งสำนักจนกระทั่งกลายเป็นวัดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่พระก็ผีที่มีส่วนในการอนุรักษ์ป่า มีคำพูดว่าในเมืองไทยพระกับผีอนุรักษ์ป่า ดียิ่งกว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีก
ในเมืองไทยคนไม่ค่อยเชื่อฟังกฎหมาย แต่เชื่อฟังพระและกลัวผี ยำเกรงผี ถ้าที่ไหนตั้งศาลปู่ตาขึ้นมา ที่นั่นก็จะสงบร่มครึ้ม คนไม่ค่อยไปยุ่มย่ามอะไรด้วย เพราะเชื่อว่ามีผี มีปู่ย่าหรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา บางทีไปตัดไม้ในสถานที่แบบนี้ ก็อาจจะเกิดล้มป่วยในเวลาต่อมาได้ ที่ล้มป่วยอาจจะเป็นเพราะเหตุอื่น แต่คนก็เชื่อว่าเป็นเพราะไปตัดต้นไม้ในศาลปู่ตา ในป่าศาลที่มีศาลปู่ตา ที่นี่ไม่มีแล้ว แต่ที่ภูหลงยังมีศาลปู่ตาอยู่ และเป็นที่ที่ชาวบ้านให้ความเคารพ ความยำเกรงมาก ต้นไม้ใหญ่ ๆ ก็ยังมีอยู่ จึงมีคำพูดว่า เมืองไทยนี้พระกับผีช่วยอนุรักษ์ป่าเอาไว้ ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำไม่ได้ บางทีเจ้าหน้าที่บางคนก็ร่วมมือกับนายทุนช่วยลักตัดไม้ก็มี อันนี้ก็มีข่าวคราวอยู่เสมอ
นอกจากมาศึกษาเรื่องพุทธศาสนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว เขาก็สนใจเรื่องสมาธิภาวนา พุทธศาสนามีชื่อเสียงหรือจุดเด่นสำหรับฝรั่งอยู่สองสามเรื่อง เรื่องหนึ่งก็เรื่องสิ่งแวดล้อม การเคารพธรรมชาติ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการทำสมาธิภาวนา เดี๋ยวนี้สมาธิภาวนาไม่ใช่เป็นเรื่องคร่ำครึของคนหัวโบราณ ในอเมริกา ในยุโรป การทำสมาธิภาวนาเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยม บางทีถึงกับมีการมองว่าเท่ด้วยซ้ำ ใครที่ทำสมาธิ ใครที่เล่นโยคะเขาถือว่าเท่ รวมทั้งใครที่อนุรักษ์ธรรมชาติเช่นไปไหนมาไหนก็ขี่จักรยาน เขาถือว่าเป็นคนมีสำนึก มีภาพลักษณ์ที่ดี
การทำสมาธิภาวนาที่ปัจจุบันได้รับความนิยมคือการเจริญสติ เพราะพบว่าการเจริญสติมันมีประโยชน์มากมาย มีประโยชน์ทั้งในแง่ของการเยียวยารักษาคนที่มีความทุกข์ทางใจหรือคนที่มีปัญหาโรคจิตโรคประสาท แต่ว่าสมาธิภาวนาหรือการเจริญสติที่เขานำมาใช้ในการเยียวยาผู้ป่วย เขาไม่ได้ทำแบบเคร่งครัดอย่างเรา เขาก็มีวิธีหรืออุบายที่ให้คนทั่วไปสามารถจะเอามาใช้ได้หรือปฏิบัติได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา บางทีก็มีสติกับการกิน มีสติกับการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เวลาจับหรือถือผลไม้ก็วางความคิดลงและใช้ใจไปรับรู้กายที่สัมผัส มือที่จับ พื้นผิวที่รู้สึก ก็ให้ไปรับรู้เฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องไปคิดอะไร บางทีฟังเพลง ฟังเพลงก็ฟังด้วยหู ใจไม่ต้องนึกอะไร ให้สักแต่ว่าได้ยิน อันนี้ก็มีวิธีการที่หลากหลายมากในการใช้การเจริญสติ ไม่ใช่แค่ช่วยเยียวยารักษาคนเจ็บคนป่วย คนที่เป็นโรคซึมเศร้าเท่านั้น บางทีก็นำไปใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนของเด็ก เด็กเดี๋ยวนี้สมาธิสั้น
สมาธิสั้นนี่ก็ไม่ใช่เป็นปัญหาทางสมอง แต่มันเกิดจากสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู เดี๋ยวนี้อายุสองสามขวบก็ให้ดูโทรทัศน์ ให้ดูการ์ตูน ให้เล่นเกมส์ออนไลน์แล้ว เด็กก็ติดกับสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ เยอะ ๆ เร็ว ๆ และนาน ๆ ดูไปนาน ๆ สมาธิก็สั้น จดจ่อกับอะไรไม่ได้นาน ๆ ถ้ามันเป็นภาพนิ่งจดจ่อได้ไม่เกินหนึ่งนาทีก็เบื่อแล้ว มันต้องมีภาพที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาจะนิ่งแช่ไม่ได้ แล้วก็ให้เด็กมาเรียนรู้เรื่องการเจริญสติ ก็พบว่าเด็กนอกจากอารมณ์จะดีขึ้น ก้าวร้าวน้อยลงแล้ว ปรากฏว่าผลการเรียนดีขึ้นด้วย อันนี้เขาทำกับเด็กประถม
ฝรั่งเขาสนใจเรื่องการทำสมาธิภาวนา ก็อยากจะชิมลองดู ก็ได้แนะนำให้เขาลองปฏิบัติและไปทำกันเองอีกทีเมื่อเวลาว่าง ๆ วันนี้พาเขาไปปลีกวิเวกในป่า ป่าที่ไปคือป่าภูกลาง ป่าภูกลางมีเนื้อที่ประมาณพันไร่ อยู่บ้านท่าด่านเกวียน ก็เป็นป่าอีกผืนนึงที่ยังมีสภาพป่าพอใช้ได้ แต่ว่าสิงสาราสัตว์หายไปเยอะ ไม้พยุงก็ถูกตัดไปมาก ตอนที่ขึ้นไปเมื่อตอนเช้าก็เห็นไม้พยุงต้นหนึ่งเพิ่งถูกตัดไปสักไม่ถึงเดือน ราคาต้นนั้นคงเป็นหลายแสนอาจจะเป็นล้านได้ เพราะว่าพยุงขายเป็นกิโล ไม่ได้ขายเป็นต้นหรือเป็นแผ่น พาฝรั่งไปปลีกวิเวก ปลีกวิเวกคือว่าไปหย่อนเขาทีละจุดทีละจุด ห่างกันประมาณร้อยเมตร ร้อยเมตรอาจจะดูไม่ไกล แต่ในป่าก็มองไม่เห็นกัน ไปหย่อนเขา ให้เขาอยู่กับธรรมชาติ บอกเขาว่าไม่ต้องเขียน ไม่ต้องอ่านอะไรทั้งสิ้นให้อยู่กับตัวเอง
เริ่มต้นจากการที่ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัว ให้พยายามอยู่แบบกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นผืนดินที่นั่งอยู่ ให้เขารับรู้เสียงของนกหรือว่าสัมผัสกลิ่นของดอกไม้หรือต้นไม้ที่มากระทบ ให้เป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องคิดอะไร ใช้แต่การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น สักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน อันนี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ
แต่ไม่ใช่แค่ธรรมชาติรอบตัวเท่านั้นที่เขาควรจะเชื่อมต่อหรือเป็นหนึ่งเดียว ธรรมชาติภายในก็สำคัญ การที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติสงบ มันทำให้ได้เห็นใจของตัวเองด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรับรู้ถึงใจของตัวเองเท่าไร แม้แต่ความรู้สึกก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอะไรตอนนี้ เวลาถามว่ารู้สึกอะไร ก็จะตอบเป็นความคิด เช่น ถามว่าอยู่ในป่าเป็นรู้สึกอย่างไรบ้าง อาจจะตอบว่า รู้สึกว่าป่ามันทึบมากเกินไป หรือรู้สึกว่าป่านี้มันมีสิงสาราสัตว์น้อยไป อันนี้ไม่ใช่ความรู้สึก อันนี้เป็นความคิด ต้องซักอยู่นานถึงตอบว่าเป็นความรู้สึก แต่ไม่ได้ทำกับฝรั่งกลุ่มนี้ เพราะเขาพอจะรับรู้เรื่องความรู้สึกมาในระดับหนึ่ง ก็ให้ไปปลีกวิเวกในป่าสักสามชั่วโมงไม่มากอะไร แต่สำหรับคนอย่างฝรั่งอาจจะมากก็ได้ หลายคนบอกว่าตอนที่ไปอยู่ใหม่ ๆ ก็กลัวเพราะเขาไม่คุ้น ไม่คุ้นกับป่าแบบนี้ ส่วนใหญ่ไม่เคยมาเมืองไทย
เพราะฉะนั้นฝรั่งกลุ่มนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นครูสอนเกี่ยวกับธรรมชาติ บางคนเป็นเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ คือโดยอาชีพการงานเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ว่าธรรมชาติที่เขาคุ้นเคยมันเป็นป่า เป็นป่าแบบเขตอบอุ่นหรือป่าเขตหนาว ซึ่งต่างจากป่าเขตร้อนมาก ป่าเขตร้อนอย่างบ้านเรานี่ต้นไม้มันรกไปหมด และนานาชนิดมาก และแถมมีแมลงเยอะ หลายคนประมาณครึ่งชั่วโมงแรกรู้สึกระแวง รู้สึกระวังภัย เพราะไม่คุ้นเคย บางทีก็เจอกิ้งกือ กิ้งกือในป่าภูกลาง ป่าภูกลางนี้ใหญ่ เหมือนอย่างป่าสุคะโต บางทีมีมด มีผึ้ง พวกนี้บางคนเขากลัวผึ้ง บางคนก็แพ้ โดนผึ้งต่อยอาจจะถึงตายได้ หลายคนทีแรกก็กลัวแต่มันก็ดี การที่คนเราได้ไปอยู่ในที่ ๆ ไม่คุ้นเคยบ้าง มันเป็นประโยชน์ ทำให้เราเห็นตัวเอง คนเราถ้าเราอยู่ในที่ ๆ ตัวเราคุ้นเคย ภาษาฝรั่งเรียกคอมฟอร์ทโซน ถ้าเราอยู่แต่ในที่คุ้นเคย เช่น บ้านหรือว่าเราอยู่วัด เราก็อยู่แต่ในวัด เราไม่ค่อยกล้าจะออกไปไหน ที่เราไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะที่มันมีความไม่แน่นอน อันนี้ทำให้เราไม่มีโอกาสได้เห็นกิเลสของตัวได้
เวลาเราอยู่ในที่คุ้นเคย ที่สบาย กิเลสมันก็กบดาน แต่พอมีอะไรกระทบ เพราะว่าความไม่คุ้นเคย กิเลสมันก็อาจจะโผล่ขึ้นมา กิเลสอาจจะเป็นความกลัว เราก็ได้เห็นความกลัวของเราและได้เรียนรู้ว่า อะไรที่ทำให้เรามีความกลัว บางทีความโลภ ความอยากก็เกิดขึ้น ทำให้เราได้เห็นเหมือนกัน บางอย่างที่เราคิดว่าเราไม่มีอะไรแล้ว เราสบายแล้ว แต่พอไปที่ที่ลำบากแล้ว มันก็จะอยากโน้นอยากนี่ อย่างคนที่อย่าว่าแต่มาป่า มาที่วัดปฏิบัติใหม่ ๆ จะคิดโน่นคิดนี่ ในเรื่องที่เป็นกามฉันทะ อยากกินโน้นอยากกินนี่ แต่ก่อนก็กินจนเป็นเรื่องธรรมดา เช่น น้ำอัดลม ไอติม แต่พอมาอยู่ในที่แบบนี้ ก็คิดถึงโหยหา อันนี้เป็นความโลภที่มันเกิดขึ้นในยามที่เราได้มาอยู่ในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย
แต่หลายคนพอเขาไปอยู่ในป่า เขารู้สึกสงบขึ้นมา มันสงบขึ้นมาทันที เพราะว่าไม่ค่อยได้มีอะไรมากระทบ โทรศัพท์ที่เคยดู หนังสือที่เคยอ่าน ผู้คนที่เคยพูดคุยกัน มันล้วนแล้วแต่ดึงจิตดึงใจออกไปนอกตัว แต่พอมาอยู่ในป่าแบบนี้มันไม่มีอะไรมาที่จะมาดึงความสนใจออกไป ก็ทำให้ได้เห็นตัวเอง หลายคนบอกว่าได้มาใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวเอง ได้เห็น เห็นความรู้สึก เห็นความคิดบางอย่าง ซึ่งแต่ก่อนอาจจะไม่ค่อยได้สงสัยหรือคิดว่ามันเป็นปัญหาเท่าไร
มีคนหนึ่งบอกว่าได้เห็นตนเองนะว่าเวลาตัวเองไม่มีความสุข มันรู้สึกอึดอัดกับตัวเองขึ้นมา ไม่ได้อึดอัดเพราะมีทุกขเวทนา แต่เป็นเพราะว่าทำไมเราไม่มีความสุขเหมือนเขา คือฝรั่งเดี๋ยวนี้เขาถือว่าความสุขเป็นสิ่งที่เราควรจะมี ถ้าไม่มีความสุขแสดงว่าผิดปกติแล้ว หลายคนเห็นคนอื่นเขามีความสุขแต่เราไม่มีความสุข ก็รู้สึกสงสัยว่าเราผิดปกติหรือเปล่า แต่ว่าไม่เคยสงสัยว่าในเรื่องความคิดแบบนี้ ไอ้ความสุขนี้เราต้องมีกันทุกคน ไม่มีไม่ได้ ถ้าไม่มีแปลว่าผิดปกติ
แต่บางคนก็มาใคร่ครวญว่าไม่มีความสุขก็ไม่เป็นไร ทำไมต้องไปอึดอัด ไปเดือดเนื้อร้อนใจด้วย คนเรามีทั้งยามขึ้นยามลง สุขและทุกข์เป็นของธรรมดา ถ้าจะทุกข์บ้างไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายอะไร ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่เรามีความทุกข์ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ที่เราไม่มีความสุขเหมือนคนอื่น อันนี้ก็เป็นแง่คิดที่ดี เพราะว่าหลายคนรู้สึกว่าเราต้องมีความสุขให้ได้ ถ้าไม่มีแสดงว่ามันมีปัญหา หรือเวลามาภาวนาต้องมีความสงบให้ได้ ถ้าไม่มีความสงบแสดงว่าเรามีปัญหา จริง ๆ ความไม่สงบถ้ามันเกิดขึ้นในใจ ถ้าเราไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจมันก็ไม่มีอะไร ก็เห็นความไม่สงบเกิดขึ้นในใจ เวลาสงบก็รู้ ไม่ได้ปลาบปลื้มอะไร ไม่ได้เพลิดเพลินอะไรกับมัน พูดง่าย ๆ คือไม่ได้ยินดีกับมัน เวลามันไม่สงบก็ไม่ได้ยินร้ายกับมัน รู้ว่ามันเป็นธรรมดา บางทีเรามาลองคิดในแง่นี้บ้าง เรื่องความสุขหรือความทุกข์ มันไม่จำเป็นว่าเราต้องมีความสุขตลอดเวลา ถึงเวลาที่เราไม่มีความสุขเรายอมรับได้ พอเรายอมรับได้มันสงบ
ความเจ็บความป่วยก็เหมือนกัน บางคนพอเจ็บป่วยตีโพยตีพาย ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน หารู้ไม่ว่าที่ทำให้ทุกข์ ไม่ใช่ความเจ็บป่วยแต่คือการที่ไม่ยอมรับความเจ็บป่วย แต่ทันทีทันใดที่จิตมันยอมรับความเจ็บป่วยได้ มันสงบ แม้ว่าจะยังมีทุกขเวทนาจากความเจ็บป่วยอยู่ หรือเวลาเรานั่งนาน ๆ มันปวดเมื่อย ลองสังเกตดูมันจะมีความรู้สึกหนึ่งที่ไม่พอใจ เป็นความยินร้ายที่มีความปวดความเมื่อย ปวดเหลือเกิน เมื่อยเหลือเกิน มันมีอาการผลักไสในใจ นั่นคือการไม่ยอมรับ จะเรียกว่าโทสะก็ได้ แต่ทันทีที่เรายอมรับมันได้ ว่ามันเจ็บ มันเมื่อยเป็นธรรมดาของมัน พอเรายอมรับมันได้ ใจมันสงบ ทั้ง ๆ ที่ขายังปวดหรือยังเมื่อยอยู่
การที่คนเรามีโอกาสมาปลีกวิเวกในป่า ในที่ไม่คุ้นเคยนี้ มีประโยชน์เพราะว่ามันทำให้เราได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเรา ไม่ใช่แค่เห็นความกลัว เห็นกิเลสอย่างเดียว พอถึงจุดหนึ่ง มันเห็นว่าความสุขความสงบ ที่จริงไม่ต้องหาจากไหน มันอยู่ที่ใจเราอยู่แล้ว ความสงบพบได้ที่ใจเรา หลายคนเขาจะเห็น ทีแรกนึกคิดว่าคงจะอยู่ไม่ได้ จ็ ไอ กกก ควมไม่คุ้นเคยกับการอยู่ป่า พอมาอยู่แล้ว เราอยู่ได้และมันสงบด้วย ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความสะดวกสบาย ยุงก็เยอะ แมลงก็มาก แต่ว่าใจมันสงบได้ เขาก็เริ่มเห็นแล้วว่าไม่ใช่เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้มีสิ่งมารบกวน มีไอแดดที่ร้อน มีแมลง แต่ว่านี้เป็นปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในคือความสงบที่มันสามารถเกิดขึ้นได้
พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมแนะนำให้พระไปหาความสงบในป่า และความสงบในป่าที่จะน้อมนำจิตใจทำให้เห็นสัจจธรรม พระอรหันต์หลายท่าน ท่านไปในป่า ท่านมีความสุขมาก แต่ไม่ใช่ความสุขแบบเพลิดเพลินยินดี แต่มันเป็นความสุขที่ทำให้เกิดกำลังใจในการบำเพ็ญภาวนา อย่างพระอรหันต์ท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านยังเป็นเสขะบุคคล คือยังไม่ได้บรรลุธรรม ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ท่านก็อุทานขึ้นมาในใจ ตอนหลังมีการบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ท่านอุทานขึ้นมาเป็นบทกวี ก็มีคนแปล ยามสายลมเย็นพลิ้วอ่อน กลิ่นอบอวลขจรไปทั่วทิศ ฉันสงบจิตภาวนา มุ่งขจัดอวิชชาไปจากใจ คือก็สงบแล้วไม่ใช่สงบเฉย ๆ พอเจอธรรมชาติที่สวยงามไม่ใช่เพลิดเพลินยินดีอย่างเดียว อาศัยความงดงามของธรรมชาติ เช่น กลิ่นที่อบอวลช่วยน้อมใจให้สงบ และเพื่อจะได้เกิดความตั้งมั่นในการที่จะขจัดอวิชชาออกไปจากจิตใจ
บางคนพอไปเห็นธรรมชาติที่สงบ แล้วก็เคลิ้มเหมือนถูกกล่อม และอยู่แค่นั้นไม่ได้ทำอะไรต่อ อย่างมากก็ถ่ายรูป แต่ว่าถ้าเราได้เห็นความสงบ ได้สัมผัสความสงบ เกิดความสุขขึ้นมา ก็ใช้ความสุขความสงบนั้นเป็นเครื่องมือในการพิจารณาธรรม ที่เรียกว่าวิปัสสนา อันนี้เป็นอานิสงส์ของธรรมชาติ ที่มันมีมากกว่าการเป็นที่ท่องเที่ยว มันเป็นอะไรที่มากกว่าการไปหาความสงบให้เพลิดเพลินใจ แต่ว่ามันสามารถจะเป็นที่เกื้อกูลต่อการบำเพ็ญภาวนาจนกระทั่งเห็นสัจธรรมได้
ที่จริงพอใจสงบแล้ว ความเป็นไปของธรรมชาติ มันก็สอนธรรมให้เราได้ ธรรมชาติสอนธรรมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นเพราะว่าว้าวุ่นฟุ้งซ่าน แต่พอใจสงบ จิตว่าง จะเห็นสัจธรรมที่ธรรมชาติแสดงออกมา ไม่ใช่แค่ธรรมชาติภายนอกเท่านั้น มันรวมถึงธรรมชาติภายในก็คือกายและใจ ความจริงของกายและใจมันแสดงออกมาตลอดเวลา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน แต่เพราะใจเราไม่ว่าง ใจมีอวิชชาบดบัง ไม่เห็นความจริงที่ธรรมชาติแสดงออกมา ไม่ว่าจากกายและใจมันเข้าไม่ถึง แต่พอเราบำเพ็ญภาวนาจนใจสงบและมีสติ ที่เรียกว่ามีตัวผู้รู้ หรือตัวผู้เห็น มันเด่นชัด
คราวนี้เวลามาดูกายดูใจ ก็เห็นความจริงของกายและใจได้ อย่างขั้นต่ำก็เห็นรูปเห็นนาม เห็นว่าที่จริงแล้วมันไม่มีเรา ที่เรียกว่าเรา ที่จริงมันเป็นภาพลวง เนื้อแท้มันก็มีแค่สอง คือกายกับใจ หรือรูปกับนาม เรียกว่าเห็นรูปเห็นนาม แล้วเห็นไปจนกระทั่ง รูปและนามไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อันนี้มันเป็นสัจธรรมที่สามารถจะแสดงให้เราเห็นได้ เมื่อเราหมั่นดูหมั่นพิจารณา ซึ่งการที่มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบสงัด มันช่วยได้มากทีเดียว
แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะการบรรลุธรรมเกิดขึ้นได้ทุกที่ พระอรหันต์บางท่านบรรลุธรรม เห็นแจ้งในสัจธรรมขณะที่เดินอยู่บนท้องถนนก็มี และก็ไม่ใช่เห็นธรรมชาติด้วย บางทีเห็นผู้หญิงกำลังร่ายรำ แต่งตัวสวยงาม ประดับประดาด้วยดอกไม้ และด้วยเพชรนิลจินดา ซึ่งชวนให้หลงใหลเกิดราคะ แต่ท่านพิจารณา กลับเห็นว่าเป็นโทษของสังขาร ที่มาล่อมาลวงให้เราหลง ท่านพิจารณาไปเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่มันแสดงออกมา บางท่านเดินผ่านบ้านผู้หญิง ผู้หญิงกำลังร้องเพลงเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต ความไม่แน่นอนของชีวิต ท่านฟังไปพิจารณาไปก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการที่จะเห็นธรรมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกที่ แต่ว่าถ้าพูดถึงในแง่ของสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลแล้ว ธรรมชาติมันอำนวยประโยชน์ได้มากทีเดียว แม้พระพุทธเจ้าก็อาศัยธรรมชาติ สถานที่ ที่เรียกว่ารมณียสถาน เกื้อกูลทำให้ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณได้