แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเรามาวัดด้วยสาเหตุต่าง ๆ กัน แต่ถ้าพูดถึงคนกลุ่มใหญ่แล้ว สาเหตุหลัก ๆ ที่มาวัด ก็มาเพื่อหาสิ่งปลอบประโลมใจและให้ความหวัง อย่างเช่นคนที่เจ็บป่วยมาวัดอยากจะให้พระรดน้ำมนต์ให้ จะได้หายป่วยหรือว่าทำมาค้าไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ ก็หวังว่าถ้ามาทำบุญแล้ว กิจการจะพ้นจากอุปสรรค หรือว่ามีความเจริญรุ่งเรือง คนที่สูญเสียคนรัก มาวัดก็เพื่อจะได้มาทำบุญ เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ ให้เกิดความสบายใจว่า คนที่ตัวเองรัก เขาจะได้ประสบสุขในสัมปรายภพ หรือว่าบางทีรู้สึกผิดที่ตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ค่อยได้ดูแล เมื่อเขาจากไป อยากจะทำสิ่งดี ๆ ให้กับเขา มาวัดมาถวายสังฆทาน บางคนมาวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ อาจจะมีปัญหาเรื่องการเรียน มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ มีปัญหาในการทำงาน ซึ่งรวมถึงเจ็บป่วยด้วย ก็มาวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ ทั้งหมดเป็นเรื่องของการปลอบประโลมใจ ทำให้มีความหวังว่าชีวิตที่มันตกต่ำย่ำแย่ก็จะดีขึ้น
หรือบางคนอาจจะไม่ได้มีความทุกข์ ไม่ได้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ชีวิตราบรื่นก็ดีอยู่แล้ว แต่ยังอยากจะได้ความหวังกำลังใจ มาทำบุญเพื่อจะได้เกิดสิริมงคล ทำให้เกิดโชคลาภ ทำให้เกิดความมั่งมีศรีสุข อันนี้ก็เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่มาวัดกัน บางคนของหาย โทรศัพท์มือถือหาย หรือว่ารถอาจจะถูกขโมย มาวัดก็ให้หลวงพ่อหลวงตาท่านช่วยนั่งทางในให้ หรือว่าให้ความหวังว่าของที่หายจะได้คืน อันนี้เป็นสิ่งที่เราคงเห็นได้ทั่วไป บางทีพวกเราเองอาจจะเคยมาวัดด้วยสาเหตุนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลวร้ายหรือเสียหายอะไร เพราะคนเราในยามที่มีความทุกข์ ถ้ามีอะไรที่ช่วยปลอบประโลมใจบ้าง มันก็ทำให้สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์ได้ โดยมีความหวังว่า สักวันหนึ่งความทุกข์มันจะหายไป หรืออย่างที่บอกนะ ถึงแม้ไม่มีความทุกข์ แต่มาวัดแล้วจะได้เกิดความหวังว่า จะได้มีความเจริญ อายุมั่นขวัญยืน มีโชคมีลาภ อย่างเวลามาทำบุญที่วัด ก็อยากจะให้พระให้พร อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ เป็นต้น ได้ฟังแล้วหรือว่าได้รับพรแล้ว บางทีไม่รู้ความหมาย เพราะพระท่านให้พรเป็นภาษาบาลี หรือว่านิมนต์พระมาทำบุญเลี้ยงพระ พระท่านก็สวดเจริญพระพุทธมนต์ ฟังไม่ออกแต่ก็เชื่อว่า เมื่อนิมนต์พระมาสวดแล้ว มันจะเกิดเป็นสิริมงคล ปกแผ่มาถึงบ้าน ทำให้บ้านนั้นอยู่เย็นเป็นสุข หรือว่าทำให้ญาติโยมทั้งหลายมีความสุขความเจริญ
อันนี้จะว่าไปมันเป็นหน้าที่หนึ่งของพระ เป็นหน้าที่หนึ่งของวัด หรือจะว่าไปเป็นหน้าที่หนึ่งของศาสนา คือการให้ความหวังปลอบประโลมใจ ซึ่งมันก็เป็นทางออกอันหนึ่งซึ่งอาจจะดีกว่า การหันไปหาเหล้า หันไปหายาเสพติด เพื่อจะคลายทุกข์ หรือไม่ก็หันไปหาทางออกที่มันผิดศีลธรรม อย่างเช่น ธุรกิจล้มละลายก็ไม่มีความหวัง ไม่มีที่พึ่งอันใด ไปปล้น ไปจี้ ไปลักขโมย อย่างนั้นมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หรือว่าบางทีหมดหนทางแล้ว ผิดหวังในความรัก ธุรกิจล้มละลาย ป่วยหนักรักษาไม่หาย ก็ฆ่าตัวตาย อันนี้เป็นทางออกทางเลือกของคนจำนวนมากที่ไม่มีความหวัง
ศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดรวมทั้งพระพุทธศาสนา หน้าที่ส่วนหนึ่งคือให้ความหวังคน ทำให้มีกำลังใจที่จะอยู่กับโลก หรือว่าสู้กับอุปสรรคต่อไป แต่จริง ๆ แล้ววัดหรือศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธไม่ได้ทำหน้าที่แค่นั้น หน้าที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ ทำให้คนได้เห็นความจริง ความจริงบางอย่างอาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องที่คนอยากจะรับรู้เท่าไหร่แต่ก็จำเป็น เช่นในขณะที่พระท่านให้พรว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน ขอให้มีสุขภาพดี ขอให้มีกำลังวังชา ท่านก็สอนไปในเวลาเดียวกันว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง คนเราไม่ว่าจะมีอายุยืนแค่ไหน สุดท้ายต้องตาย ไม่ว่าจะมีกำลังวังชาแค่ไหน สุดท้ายหมดเรี่ยวหมดแรงเพราะแก่ชรา
แม้แต่ความมั่งมี ขณะที่พระท่านบางครั้งก็ให้พรว่า ขอให้มีความมั่งมีศรีสุข ท่านก็จะบอกในเวลาเดียวกันว่า ความมั่งมีก็ไม่ใช่เป็นสรณะอันประเสริฐเท่าไหร่ หมายความว่า แม้จะมั่งมี มันก็ไม่ใช่ทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง คนรวยแต่ว่ากลุ้มใจ เครียด เป็นโรคประสาท หรืออย่างต่ำ ๆ นอนไม่หลับ อันนี้มีเยอะมาก มิหนำซ้ำ ถ้าไปลุ่มหลงกับมันมาก มันก็ชักนำให้ทำความชั่วได้ เช่น ไปโกง ไปลักขโมย หรือถึงแม้จะไม่ทำอย่างนั้น แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งคือว่า ของพวกนี้มันไม่เที่ยง ทรัพย์ที่มี สมบัติที่สะสมมา อาจจะมีอันเป็นไป ถูกแย่งชิงไป หรือว่าเสื่อมถอย หุ้นที่เคยทำความมั่งคั่งร่ำรวยให้ วันดีคืนดี หุ้นราคาตก ก็กลายเป็นยาจกหรือว่าเป็นหนี้เป็นสินไปมี คือมันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นจะเอามันเป็นสรณะไม่ได้ อันนี้ก็เป็นความจริงที่เราก็ต้องรับรู้ด้วย มาวัดก็ต้องเปิดหู เปิดตา เปิดใจ รับฟังเรื่องพวกนี้ด้วย ไม่ใช่แต่รอสิ่งปลอบประโลมใจ หรือว่าคำมั่นสัญญาว่ามาทำบุญแล้วจะรวย รวย รวย แม้รวยจริง มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง และมิหนำซ้ำ มันก็ไม่มีทางที่จะรวยไปได้ตลอดกาล มันก็ต้องมีขึ้นมีลงบ้าง เพราะว่ามันไม่เที่ยง
นอกจากสรรพสิ่งไม่เที่ยงแล้ว พุทธศาสนาก็ยังสอนว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ คำว่าเป็นทุกข์ หมายความว่า มันเสื่อม มันดับ มันก็คล้าย ๆ กับอนิจจัง หรือความไม่เที่ยงนั้นแหละ แต่เป็นความไม่เที่ยงในความเสื่อม เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนแต่ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ ร่างกายที่หนุ่มที่สาว สุดท้ายต้องแก่ ต้องชรา หรือว่าต้องเจ็บต้องป่วย บ้านเรือนก็ต้องมีวันเสื่อม มีวันผุพังไป ชื่อเสียงเกียรติยศที่มี ในที่สุดมันก็ต้องเสื่อม ต้องดับไป อันนี้คือความจริงที่พุทธศาสนาบอกเราอยู่บ่อย ๆ มาวัดบางทีพระท่านพูดเรื่องนี้ มันคือความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากฟัง อยากจะฟังแต่สิ่งดี ๆ ว่า รวย รวย รวย แต่พอพระท่านพูดว่า สิ่งที่มีไม่นานมันก็ต้องหมดไป สิ่งที่ได้มา ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเสียไป ไม่ว่าจะเจอกันแน่นแฟ้น แน่นหนาแค่ไหน ในฐานะของเพื่อน ในฐานะของคนรัก สุดท้ายก็ต้องจาก พบกับพรากเป็นของคู่กัน อันนี้คือความจริงที่ถ้าไม่เจอวันนี้ มันก็รอเราวันหน้า อย่างที่คนทำวัตรเช้า ทุกเช้าเราจะสวด เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว อันนี้ก็คือคำสอน ความจริงที่เราต้องเปิดใจฟัง ไม่ใช่เปิดรับแต่คำให้พรของพระว่า อายุ วรรณโณ สุขัง พลัง อันนั้นคือสิ่งดี ๆ ที่มันเป็นบวก แต่ว่าพร้อม ๆ กันนั้นมันมีสิ่งที่เป็นลบ เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย
เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว หมายความว่า เนื้อตัวเรา ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี มันเป็นทุกข์ ไม่ว่าเราจะนั่งในท่าไหนที่สบายที่สุด ลองพิจารณาดูนะ เราอาจจะรู้สึกว่านั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ ตอนนี้มันเมื่อย เราคิดว่าถ้านั่งเก้าอี้แล้วจะสบาย มันก็สบายจริง ๆ แต่ถ้านั่งไปนาน ๆ มันก็เริ่มเมื่อยแล้ว เราคิดว่าถ้าเราพิงเสาสักหน่อยนะมันจะสบาย พอเปลี่ยนอิริยาบถมาพิงเสามันสบายจริง ความเมื่อยจากท่านั่งขัดสมาธิมันหายไป แต่พอพิงเสาไม่เท่าไหร่ไม่นาน เดี๋ยวก็เริ่มเมื่อยแล้ว คราวนี้เริ่มเอนแล้ว พอเอนลงไป ทีแรกเอนแบบสีหไสยาสน์ สบาย แต่สักพักก็จะเมื่อย แล้วนอนหงายดีกว่า ท่านอนใคร ๆ ก็ชอบ สบาย แต่เราคงสังเกตได้ เรานอนไปนาน ๆ ไม่ถึงชั่วโมงมันจะเริ่มเมื่อยแล้ว ต้องมีการพลิกตัว อันนี้มันเป็นตัวอย่างว่า ความทุกข์มันอยู่กับกายของเราตลอดเวลา เพียงแต่ว่ามันจะแสดงตัวออกมาเมื่อไหร่ ช้าหรือเร็ว นี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ความทุกข์นั้นก็ได้แก่อะไร ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความพลัดพราก อุปสรรค คำต่อว่า ด่าทอ รวมทั้งความตาย
อันนี้ก็เป็นความจริงที่ คนมาวัดจำนวนมากไม่อยากจะได้ยิน ไม่อยากจะได้ฟัง อยากจะได้ฟังแต่คำอวยพรที่มันรื่นหู ที่ทำให้มีความหวัง ทำให้มีกำลังใจ แต่ที่จริงการที่พระหรือว่าศาสนาพูดถึงความทุกข์ในลักษณะต่าง ๆ อย่างที่ว่ามา มันเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรจะรับรู้เอาไว้ เพราะว่าถ้าเรารับรู้ เราก็จะได้อย่างน้อยก็มีความคุ้นกับมัน หรืออาจจะมีความพร้อมมากขึ้นในการที่จะเผชิญกับมัน ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วย ถึงเวลาพลัดพรากสูญเสีย ถึงเวลาถูกต่อว่าด่าทอ มันก็ทำใจได้ เพราะว่าเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจจากอะไร จากการที่ได้ยินพระท่านพูดหรือว่าได้ยิน ได้เรียนรู้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า
คนที่เอามืออุดหู ไม่อยากเปิดใจรับฟังเรื่องแบบนี้ พอถึงเวลาเจอความทุกข์เข้า ก็เสียศูนย์ได้ง่าย คนที่อยากจะได้ยินแต่พระพูดว่าร่ำรวย รวย รวย มั่งมีศรีสุข ไม่อยากจะฟังเรื่องความไม่เที่ยง ความทุกข์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอถึงเวลาเจอเข้าจริง ๆ เจอความทุกข์ เจอความไม่เที่ยง เจอความไม่จีรัง ฝ่ายลบ เรียกว่าเสียศูนย์ไปได้ง่าย ๆ เลย ตรงข้ามกับคนที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วนำมาพิจารณาใคร่ครวญ และเห็นจริงตามนั้น ว่าเออข้างหน้าเรามัน วันนี้สุขก็จริง แต่ข้างหน้าอาจจะเจอทุกข์ เจอความไม่เที่ยง ก็มีการเตรียมตัวเตรียมใจไว้
มีภาษิตของฝรั่ง เขาบอกว่าให้เราหวังว่าจะได้พบสิ่งดี Hope for the best และเตรียมพร้อมที่จะเจอสิ่งที่แย่ ๆ Prepare for the worse ให้เราหวังที่จะพบสิ่งดี ๆ แต่ก็พร้อมที่จะเจอสิ่งแย่ ๆ นี้มันเป็นหลักในการดำเนินชีวิต หลักในการอยู่ในโลกนี้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็จะสนใจแค่ประโยคแรก หรือวลีแรก ก็คือว่า หวังว่าจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา เวลามาวัด หรือมาทำบุญหวังว่าจะร่ำรวย หวังว่าจะประสบโชคลาภ หวังว่าจะถูกลอตเตอรี่ หวังในสิ่งดี ๆ ที่อาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับเราเลย เช่นถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง หรือมั่งคั่งร่ำรวย อันนี้หวังไว้บ้างดี แต่ว่าถ้าทำแค่นั้นมันไม่พอ มันต้องทำอย่างที่สองด้วย คือ เตรียมหรือพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่แย่ ๆ ด้วย ชาวพวกเราจำนวนมาก มาวัดเพื่อหวังว่าจะได้เจอสิ่ง ดี ๆ แต่ว่าไม่ค่อยได้คิดที่จะเตรียมตัว ไม่ได้คิดที่จะมาวัดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญสิ่งที่แย่ ๆ
พวกเราถ้าจะมาที่นี่ อย่างที่สองสำคัญมาก หรือไม่ว่าจะไปวัดไหนก็ตาม มาเพื่อที่จะมีความพร้อมมากขึ้น ในการที่จะเผชิญสิ่งที่แย่ ๆ ด้วยการเปิดใจฟังเวลาพระท่านสอน เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กิเลสของคนเรามันไม่ค่อยอยากจะรับรู้เรื่องพวกนี้ ไม่อยากจะรับรู้ว่า สิ่งที่เรามีวันนี้ วันหน้าอาจจะแปรผัน ไม่อยากจะรับรู้ว่า ร่างกายของเราวันนี้สุขก็จริง แต่วันหน้าแก่ชรา แล้วก็เจ็บป่วย และสุดท้ายต้องตาย ไม่อยากจะรับรู้แม้กระทั่งว่า ไอ้ตัวกูมันไม่มีจริง มันไม่มีอะไรที่จะยึดว่าเป็นตัวกูของกูได้สักอย่าง อันนี้คือเรื่องอนัตตา แล้วเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เป็นเรื่องที่จะเรียกว่า อัตตา หรือตัวกู มันไม่อยากจะฟัง มันฟังยากที่สุด ความไม่จีรังพอจะเห็นอยู่ ทุกวันนี้มันก็แสดงให้เห็นชัด อาทิตย์ขึ้น อาทิตย์ตก หรือว่ากลางวันแล้วก็กลางคืน นี้คืออนิจจัง ความทุกข์ยังพอเห็น นั่ง นั่งไปนาน ๆ สักพัก เดี๋ยวเมื่อยแล้ว ถ้าไม่ขยับยิ่งเมื่อยใหญ่ กินข้าวไปสักพัก อ้าวปวดท้องแล้ว ถ้าไม่ไปเข้าห้องน้ำ ไม่ระบายถ่ายทุกข์ มันยิ่งทุกข์มากขึ้น นี้พอมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง แต่ว่าอนัตตา ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือว่าไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลยสักอย่างเดียว มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แล้วก็ในจิตใจส่วนลึก มันปฏิเสธ เพราะว่ามันปรุงหรือว่าสร้างตัวกูขึ้นมาอย่างเหนียวแน่น
คนสมัยนี้เรื่องของตัวกูเหนียวแน่นมาก เวลาจะทำอะไรก็ต้องทำไม่เหมือนใคร เดี๋ยวนี้คำว่า เซลฟี่ กลายเป็นเรื่องสำคัญของคนในยุคนี้ จะทำอะไรก็ต้องประกาศให้โลกรู้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย จะต้องอัพรูปสวย ๆ ที่ถ่ายอย่างพิถีพิถัน หรือเลือกแล้วเลือกอีก จากสองร้อยภาพเหลือภาพเดียว รูปพวกนี้เราเรียกว่าเซลฟี่ เซลฟี่คืออะไร คือตัวกูแหละ เดี๋ยวนี้เซลฟี่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ความยึดมั่นในตัวกู ปัจจุบันมันแน่นหนามาก เพราะฉะนั้นเวลา เวลามีอะไรมากระทบตัวกูมันรับไม่ได้ ยิ่งความจริงที่ว่า สักวันหนึ่งร่างกายต้องเสื่อมต้องดับไป หรือว่าสักวันหนึ่งเราต้องตายไป มันรับได้ยากเหลือเกิน ใจมันจะต่อต้านขัดขืน ต่อสู้ ไม่อยากฟัง แต่ยิ่งทำอย่างนั้น มันก็ยิ่งทุกข์ เพราะว่าพอมีอะไรมากระทบ หรือมีอะไรเกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเคยยึด หรือกำลังยึดอยู่ว่าเป็นตัวกู เป็นของกู มันจะทรมานมาก อย่างเช่นเวลาร่างกายมันเริ่มแก่ เช่น เริ่มผมหงอก หนังก็เริ่มเหี่ยวเริ่มย่น ร่างกายเริ่มหย่อนเริ่มยาน มันทุกข์มากเลย จะพยายามทำอย่างไรให้มันตึง ให้มันดูหนุ่มให้มันดูสาว ดูกระชุ่มกระชวย ก็ทำได้ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วมันเสื่อมใหม่ เสร็จแล้วก็กลุ้มอกกลุ้มใจ แต่ถ้าเราเรียนรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไว้นะ เราเตรียมใจไว้แล้ว ถึงเวลามันเกิดขึ้น เราก็จะทุกข์น้อยลง
แต่ว่าการที่เรามาเข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจะเข้าใจกันในระดับหัวสมองนี้ไม่พอ เช่นไปเรียนรู้จากตำราหรือฟังครูบาอาจารย์พูดมาว่า ชีวิตเราความจริงนี้มันต้องหนีไม่พ้นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แค่นี้ไม่พอหรอก มันต้องฝึกจิตไว้ด้วย เช่น ฝึกจิตให้ ให้ยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เวลาเจอสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมา แม้หัวหรือเหตุผลมันจะบอกว่าเป็นความจริงนะ แต่ว่าอารมณ์หรือจิตใจมันยอมรับไม่ได้ เช่นเราก็รู้ว่า คำวิจารณ์มันมีประโยชน์ รู้ด้วยหัว แต่พอเจอคำวิจารณ์ ใจมันยอมรับไม่ได้ มันเกิดความโกรธความหงุดหงิด หรือเรารู้ว่าอะไร ๆ มันก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่สามารถจะควบคุมให้เป็นตามใจเราได้ แต่เพียงแค่มีเสียงดัง เสียงรถมอเตอร์ไซด์ เสียงโทรศัพท์ดังในห้อง ในศาลา หลายคนก็เริ่มหงุดหงิดทันที เพราะอะไร เพราะใจมันไปต่อต้าน ใจมันไปต่อสู้ ใจมันไปปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น
ตรงนี้แหละเป็นเหตุแห่งความทุกข์ เสียงดังมันไม่ใช่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ใจ ความทุกข์ใจ สาเหตุคือใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ผลักไส ทั้ง ๆ ที่อาจจะรู้นะว่าเสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา นี้มันเป็นความคิด แต่ว่าใจมันยังไม่ยอมรับ มันก็จะเกิดอาการผลักไส เกิดอาการต่อต้าน และยิ่งไม่ชอบสิ่งใด ใจก็ยิ่งจดจ่อสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ หรือตัวบุคคล เราไม่ชอบใคร ใจก็ยิ่งไปจดจ่ออยู่กับคนคนนั้น บางทีมีงานเลี้ยงคนเป็นร้อย แต่พอคนที่เราเกลียดหรือโกรธโผล่มาในงาน สายตาเรา หรือทั้งเนื้อทั้งตัวก็จะไปจ่อ ไปจดจ้องอยู่ที่คน ๆ นั้น ทั้ง ๆ ที่ เขาอาจจะอยู่ไกล เขาพูดอะไรก็ไปเงี่ยหูฟังว่าเขาพูดอะไร ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบเขาแต่ยิ่งจดยิ่งจ่อ คอมเม้นท์ในเฟชบุ๊คในไลน์ ประโยคไหนที่เราไม่ชอบ เรายิ่งเก็บเอามาคิด หรือว่ามาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูบ่อยๆเพราะอะไร ยิ่งเกลียดมันยิ่งจดจ่อ ทั้ง ๆ ที่ใจมันผลักไส แต่ว่าในอีกด้านหนึ่งมันยิ่งจดจ่อมากขึ้น และเกิดอะไรขึ้นตามมา เกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด เกิดความทุกข์
เพราะฉะนั้น มันต้องฝึกใจเราด้วย เพียงแค่ว่าเราอ่าน เราได้ฟัง ได้ยินว่า มันอะไรไม่เที่ยง อะไรมันก็ไม่เป็นไปดั่งใจ แต่ถ้าใจเราไม่ได้ฝึก โดยเฉพาะฝึกให้มีสติ มันก็จะไปจดจ่อ มันจะไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ เหตุการณ์ผ่านไปนานแล้ว ผ่านไปเป็นปี บางทีสิบปี ก็ยังชอบหวนคิดถึงมัน คนที่โกหกหักหลังเรา คนที่โกงเงินเรา คนที่ยืมเงินไปแล้วไม่ใช้เงิน ไม่ใช้หนี้ เบี้ยว หรือว่าความล้มเหลว ความผิดพลาดในอดีต มันผ่านไปนานเป็นปี แต่ใจพอหวนคิดเป็นไง ทุกข์ โกรธ เศร้า ทั้ง ๆ ที่ในหัวสมองมันบอกว่าอะไรที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ควรปล่อยควรวาง
อันนี้คือสิ่งที่เรียนมาจากตำรา หรือจากการได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์พูด หรือจากการได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่มันอยู่แค่ในหัวนะ ใจมันไม่คล้อยตาม ดังนั้นต้องฝึกด้วย ฝึกจิต การเจริญสติ มันช่วยทำให้ใจเราเป็นกลางกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู หรือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว แม้มันจะอยู่ในความทรงจำ แม้มันจะเคยทำให้เราเจ็บปวดอย่างไร ทำให้เราโกรธแค้นแค่ไหน แต่ว่าถ้าเราฝึกสติไว้ดี ฝึกจิตเอาไว้ มันจะไม่ไปหวนเอาเรื่องเหล่านั้นมาย้ำคิด ย้ำครุ่น หรือถ้าฝึกจิตดี มันก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อดีตผ่านไปแล้วก็ยอมรับมัน หรือแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น เสียงดัง แดดร้อน อากาศหนาว คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักว่า เวลาเจอสิ่งเหล่านี้มากระทบ ใจเรามีปฏิกิริยาอย่างไร
ถ้าหากใจมีปฏิกิริยาในทางลบ เช่น ไม่ยอมรับ มันทุกข์ใจทันทีเลย ความทุกข์ใจมันเกิดจากอาการดิ้นของจิต ลองสังเกตดู ความทุกข์ใจ ดิ้นมันมีสองอย่าง ดิ้นเพราะอยากได้ กับดิ้นเพราะอยากผลัก ดิ้นเพราะชอบ เมื่อชอบก็ดิ้น อยากจะเอา อยากจะได้ อยากจะครอบครอง ถ้าชอบผู้หญิงคนไหน ชอบผู้ชายคนไหน เป็นทุกข์มากถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ หรือไม่ได้มาเป็นแฟนเรา หรือว่าของแบรนด์เนม อยากได้แต่ไม่ได้ ก็จะทุกข์ เราดิ้นเพราะอยากได้ กับดิ้นเพราะอยากผลักไส เพราะมีความยินร้าย ดิ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น แต่ถ้าเรามีสติ จิตจะกลับมาเป็นปกติได้ไว
อันนี้ก็ทำให้เราสามารถที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ได้ และเป็นสิ่งหนึ่งที่เราควรจะเรียนรู้จากการมาวัด หรือจากการที่ได้มาใกล้ชิดพุทธศาสนา หลายคนมาวัดก็เพราะอยากจะได้ความสงบ อยากจะได้ความสุขใจ มาวัดได้ความสุข ได้ความสงบ อย่างที่ต้องการนะ หลายคน แต่ว่ามันอาจจะเป็นความสุขความสงบชั่วคราวก็ได้ เพราะว่ามาวัดแล้วได้เจอบรรยากาศที่สงบ สงัด มันพลอยทำให้ใจสงบไปด้วย หรือว่าอาจจะได้มาทำสมาธิภาวนา ใจก็สงบ ห่างไกลจากปัญหาที่บ้าน ห่างไกลจากปัญหาในที่ทำงาน ใจมันก็สงบและเป็นสุขได้
แต่เท่านั้นไม่พอ ในการมาวัดหรือในการปฏิบัติธรรม เพียงแค่เจอความสุขความสงบไม่พอ มันต้องฝึกจิตจนถึงขั้นว่า เจอความไม่สงบ หรือว่าเจอกับสิ่งที่ไม่เป็นสุข เราก็สามารถจะอยู่กับมันได้โดยไม่ทุกข์ ถ้าหากว่าเจอความสงบ หวังความสงบ และได้ความสงบ หวังความสุข แล้วก็มาพบความสุขที่วัดหรือว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าทำได้แค่นี้ ยังไม่น่าไว้วางใจ มันต้องมาถึงขั้นที่ว่า แม้เจอกับสิ่งที่ไม่ใช่ความสุข แม้ความสงบจะหายไป แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ และนี่คือสิ่งที่เราควรฝึก เวลาบอกให้เราพร้อมเจอสิ่งที่แย่ ๆ
นอกจากการมาเรียนรู้ว่า สิ่งทั้งปวงมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว ก็ต้องมาฝึกใจเราด้วย ฝึกใจให้พร้อม ที่จะรับมือกับความทุกข์ กับสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่รัก พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่ไม่สมหวังได้ ด้วยการเจริญสติ ด้วยการทำสมาธิ เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ว่าสามารถทำใจให้เป็นปกติได้ จนมันอยู่เหนือความชอบ ความชัง จนอยู่เหนือความยินดี ยินร้าย อันนี้แหละจะเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เราอยู่กับโลกนี้ และมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ คือมีการเตรียมพร้อมเสมอ ตอนนี้เรามีความสุข ตอนนี้เรามีความสำเร็จ อันนี้ดีแล้ว แต่อย่าประมาท อย่าตายใจ วันข้างหน้า อะไร ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ มีครอบครัวก็กลัวลูกป่วยหนักหรือว่าตัวเราเอง เกิดป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย เกิดอุบัติเหตุเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เจอเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าเราฝึกถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ก่อน ถึงเวลาเกิดขึ้น ใจไม่ทุกข์ ร่างกายมันทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ หรือว่างานการอาจจะไม่ราบรื่น งานการอาจจะล้มเหลวในวันหน้า แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์
อย่างหลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่างานล้มเหลว แต่ตัวหลวงพ่อไม่ล้มเหลว คือท่านไม่ว่าเจออะไร จะสุข จะสมหวัง จะดีแค่ไหน หรือจะร้ายแค่ไหน ใจท่านก็ไม่กระเพื่อม อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราควรจะฝึก ในขณะที่เรามีโอกาส มีเวลา มาวัดแล้วก็ต้องฝึกใจให้พร้อม ที่จะเผชิญกับสิ่งแย่ ๆ ได้ ซึ่งรอเราอยู่ข้างหน้า
ทั้งหมดนี้ก็เริ่มต้นจากการที่เราเรียนรู้ที่จะรับฟังความจริง ที่อาจจะไม่ค่อยรื่นหูเท่าไหร่ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน หรือว่ามีขึ้นแล้วก็ต้องมีลง มีเจริญ แล้วมีเสื่อม เรียนรู้เอาไว้บ้าง พวกนี้มันไม่ใช่การแช่ง บางคนไปเข้าใจว่าถ้าฟังเรื่องพวกนี้มาก ๆ มันจะเป็นการแช่ง ลบเจอลบ หรือว่าลบดึงดูดลบ ที่จริงถ้าเราเรียนรู้เพื่อที่จะเตือนใจให้ไม่ประมาท และเท่านั้นไม่พอ จะต้องฝึกใจด้วย เมื่อถึงเวลาเจอมันเข้า จริง ๆ จะสามารถรักษาใจให้ปกติได้ อาศัยสติก็ดี อาศัยสมาธิก็ดี รวมถึงการฝึกใจจนถึงขั้นมีปัญญาเห็นว่า ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย แต่ถ้ามีปัญญาถึงขั้นนั้น อะไรเกิดขึ้นกับคนรักของเรา อะไรเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเรา อะไรเกิดขึ้นกับแม้กระทั่งร่างกายของเรา ความที่ไม่ได้ยึดว่ามันเป็นของเราอย่างแท้จริง มันทำให้ใจไม่ทุกข์ เห็นว่ามันเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเอง
แต่ถ้าเรายังยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราเมื่อไหร่ มีความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่ยึดนั้นจะทำความทุกข์ให้กับเรา อย่าลืมว่าอะไรที่ให้ความสุขกับเรา สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้กับเราได้ ร่างกายที่ให้ความสุขกับเรา วันดีคืนดีมันก็อาจจะสร้างความทุกข์ให้กับเรา เวลามันแก่ เวลามันชรา เวลามันป่วย ทรัพย์สมบัติที่ให้ความสุขกับเรา ก็สามารถจะทำความทุกข์ให้กับเราได้ เวลามันเสื่อมไป รถที่เคยให้ความสุขกับเรา มันสามารถทำให้เราคลุ้มคลั่งจนอาจจะกลายเป็นบ้าได้ เวลามันถูกชน หรือว่ามีคนขโมยไป ลูกที่ให้ความสุขกับเรา ก็สามารถทำให้เราเป็นทุกข์ได้ เวลาเขาเจ็บ เวลาเขาป่วย เวลาที่เขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ไม่ฟังคำสอนของเรา ไม่เรียนตามคณะที่เราต้องการ หรือไม่ประกอบอาชีพที่เราเลือกให้ ก็ทุกข์
อันนี้คือความจริงที่เราต้องรู้ ต้องตระหนัก และถ้าไม่อยากจะทุกข์ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมันมาก อะไรที่มันให้ความสุขกับเราก็รู้ ก็เตือนอยู่เสมอว่า วันหน้าอาจจะแปรผัน และถ้าเราตระหนักอย่างนี้อยู่เสมอ แล้วก็ทำใจได้เวลามันแปรผันไป ใจไม่ทุกข์ ความสุขอะไรที่มีอยู่ ไม่ยึดมันว่า มันจะต้องเที่ยง รู้ว่าไม่นานมันก็แปรผัน แปรเปลี่ยนไป เรียกว่าอยู่กับสุข โดยที่ไม่ไปยึดมั่นกับมัน มันก็จะทำให้ใจไม่ทุกข์ เวลาสุขนั้นแปรเปลี่ยนไป นี้คือสิ่งที่เราควรฝึก แล้วก็อย่างน้อย ๆ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ถึงเวลามันเกิดขึ้นจริงจะได้ไม่ฟูมฟาย ไม่ตีอกชกหัว หรือว่าไม่เสียศูนย์