แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานอาตมาได้ไปร่วมงานหนึ่งที่ธรรมศาสตร์ เป็นการแสดงธรรมของพระชาวเกาหลีรูปหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมาก ในประเทศเกาหลี จะเรียกได้ว่าในหมู่ชุมชนเกาหลีทั่วโลกก็ได้ ท่านชื่อพระอาจารย์ พอมยุน สุนิม พระเกาหลีต้องลงท้ายด้วยสุนิมกันทุกรูป ท่านเป็นพระเซนซึ่งเป็นนิกายใหญ่ นิกายหนึ่งในประเทศเกาหลี อายุ 60 ต้นๆใกล้ ๆ กับอาตมา อาตมารู้จักท่านมาสิบกว่าปีแล้ว เพราะประชุมร่วมกันอยู่บ่อย ๆ ในเมืองไทย แต่ยังไม่เคยได้ฟังธรรมของท่าน ในบรรดาพระเกาหลีท่านพอมยุน เรียกว่าเป็นที่รู้จักดีที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ คำบรรยายหรือธรรมะของท่านเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คิดว่าคงมากกว่าบรรดาพระเกาหลีรูปอื่น ๆ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ เยาวชนคนหนุ่มสาว หรือคนที่ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ไม่ว่าหญิงหรือชายรู้จักท่าน หรือได้สนใจติดตามคำบรรยายของท่าน ที่จริงจะเรียกว่าเป็นคำบรรยายก็ไม่ถูก เพราะว่าท่านถนัดให้คนถามและท่านตอบ เมื่อวานท่านบรรยายในลักษณะนี้ คือมีคนถามและท่านตอบ
เวลาท่านไปบรรยายที่ไหน ได้ทราบว่ามีคนหนุ่มสาวไปฟังเป็นพัน ๆ เกาหลีซึ่งเป็นคนนิยมดารา พวก K-Pop ต่าง ๆ แต่กับท่านพอมยุน เขาก็สนใจเหมือนกันคนหนุ่มสาว ได้รับนิมนต์ไปพูดไปแสดงธรรมในประเทศต่าง ๆ ที่มีชุมชนเกาหลีอยู่เยอะมาก องค์กรที่ท่านตั้ง ทำงานกระฉับกระเฉงมาก มีสาขาทั่วประเทศ และคนที่มาทำงานล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ศรัทธาในตัวท่านสละงาน สละอาชีพ มากบ้างน้อยมาก อาจจะครึ่งปี หนึ่งปีหรือว่าอาจจะสละยาวเลย มาทำงานให้กับหน่วยงานของท่านซึ่งทำหลายเรื่องหลายอย่าง เรื่องธรรมะ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสันติภาพ เพราะว่าเกาหลีเรียกว่าอยู่ในภาวะสงคราม
สงครามเกาหลีเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ยังไม่เคยมีการประกาศยุติเป็นทางการ หมายความว่าในทางกฎหมายยังเป็นคู่สงครามกันอยู่ ท่านพยายามเชื่อมโยง เชื่อมประสานความเข้าใจระหว่างคนเกาหลีเหนือกับคนเกาหลีใต้ ซึ่งเกลียดชังกัน คงเกลียดชังกันมาก บ้านเราเกลียดชังกันอย่างไรระหว่างคนสีเหลืองกับสีแดง ที่เกาหลีน่าจะหนักกว่านั้น เพราะเคยถึงขั้นทำสงครามกันมาแล้ว คนตายกันเป็นล้าน 3 ล้านคนได้ เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ความเกลียดชังยังมีอยู่และการคุกคามยังมี ท่านพยายามประสานความเข้าใจแต่นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่ทำงานแข็งขันคือเรื่องสิ่งแวดล้อมและเรื่องธรรมะ
ในเกาหลีชาวพุทธหรือคนที่นับถือพุทธศาสนา มีแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ และส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอายุ เพราะว่าพุทธศาสนาในเกาหลีค่อนข้างจะติดพิธีกรรมมาก และพระเองมีเมียได้ ท่านว่าประมาณซัก 10 เปอร์เซ็นต์ของพระในเกาหลีที่โสดคือ ถือพรหมจรรย์อีก 90 เปอร์เซ็นต์มีเมีย อันนี้คงได้อิทธิพลมาจากญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเคยยึดครองเกาหลี และพระญี่ปุ่นไม่ว่าลัทธินิกายใดเขามีเมียตั้งแต่สมัยราชวงศ์เมจิ คือประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีการปฏิรูปประเทศ และเหมือนกับว่ามีวิธีการ มีมาตรการที่จะบีบบังคับให้พระต้องมีเมีย เลยหาพระที่ถือพรหมจรรย์ยากในญี่ปุ่น แต่ที่เกาหลีเหมือนกัน แต่ว่ามากกว่าที่ถือพรหมจรรย์มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ถือว่าเยอะเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ที่เขานิมนต์ท่านพอมยุนมาเพราะว่าท่านสามารถที่จะปลุกศรัทธาในคนหนุ่มสาวได้ ที่บอกคนหนุ่มสาวเข้ามาเป็นจิตอาสาให้กับหน่วยงานของท่าน เรียกว่าสมาคมจุงโต
สมาคมจุงโต คนที่ไปเขาบอกว่าน่าสนใจ ฉือจี้ที่ไต้หวันน่าสนใจยังไง สมาคมจุงโตที่เกาหลีน่าสนใจกว่า เดี๋ยวนี้คนไทยไปดูงานที่มูลนิธิฉือจี้เป็นหมื่นแล้ว ประเทศไต้หวัน ฉือจี้เขาน่าศรัทธามาก ผู้ก่อตั้งและแกนนำเป็นภิกษุณี และมีภิกษุณีอยู่ประมาณไม่มาก 10-20 รูป แต่ว่าสามารถจะคุมหรือจัดการ เป็นแกนนำของมูลนิธิฉือจี้ ซึ่งมีสมาชิกเป็นล้าน ประมาณว่า 5 ล้านคนได้ หรือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไต้หวัน จุงโตก็เช่นกันมีคนศรัทธามากะ และที่น่าสนใจคือว่าสมาคมนี้ไม่มีการจ้างคนมาทำงาน มีแต่จิตอาสาล้วน ๆ จิตอาสา 100 เปอร์เซ็นต์เลยอันนี้หายากมาก วัดหลายแห่งในเมืองไทยยังต้องจ้างคนมาเป็นแม่ครัวบ้าง มาทำงานบัญชีบ้าง หรือถ้ามีโรงเรียนสอนปริยัติธรรม ต้องจ้างครูมาสอน แต่ว่าจุงโตทุกอย่างที่ทำ จิตอาสาล้วน ๆ และมีความรู้ด้วย แล้วอยู่แบบเรียบง่าย ที่หลับที่นอนไม่ได้สะดวกสบายมาก แต่คนก็มา มาทำงานเป็นจิตอาสา หลายคนอาจจะเคยเป็นวิศวกร เป็นสถาปนิก เป็นนักธุรกิจ แต่ว่าเป็นศรัทธา จากวิธีการของท่าน ทำไมถึงดึงดูดคนหนุ่มสาวได้มาก สร้างศรัทธาให้กับคนหนุ่มสาว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิธีการของท่าน เวลาแสดงธรรมท่านไม่เคยบรรยายแต่ว่าฟัง ฟังคนหนุ่มสาวว่าเขามีปัญหาอะไร สมัยนี้คนหนุ่มสาวหาคนที่ฟังเขายาก
ไม่ใช่เฉพาะเกาหลี เมืองไทยเหมือนกัน ไม่ค่อยมีใครฟังเขา ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ก็ไม่ฟังเขา พอโตขึ้นครูก็ไม่ฟังเขา แม้แต่เพื่อนยังไม่ค่อยฟังกันเลย เพื่อนของอาตมาคนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ที่มหิดล สอนเกี่ยวกับนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อม แต่ว่าก่อนเริ่มสอน ก่อนเริ่มบรรยาย ซึ่งคงไม่ใช่การบรรยายเป็นการสนทนากันมากกว่า จะให้นักศึกษาได้พูดถึงความรู้สึกของตัวในขณะนั้น ๆ เรียกว่าเช็คอิน ว่ารู้สึกอย่างไร คนที่เหลือก็ฟัง อาจารย์ก็ฟัง พูดกันไม่นานคนละนาที 2 นาที แต่ปรากฎว่าเป็นกิจกรรมที่นักเรียน นักศึกษาชอบมาก มีคนหนึ่งบอกว่ามันไม่เคยมีใครฟังผมเลย นี่เป็นกิจกรรมที่มีคนมาฟังผม เพื่อน ๆ ก็ไม่ฟัง
คนที่มาสนใจพุทธศาสนาในเกาหลี เพราะว่าเขาประทับใจท่านอาจารย์พอมยุนที่ฟังเขา ฟังปัญหา ด้วยการเปิดโอกาสให้ถาม และคำตอบของท่านที่จริงไม่ได้เป็นการไปยัดเยียด ท่านไม่ได้พูดเรื่องนรกสวรรค์ให้กลัว แต่ท่านพูดเพื่อให้คนได้กลับมามองตัวเอง หรือกลับมาถามตัวเองว่าที่เราทุกข์ เป็นเพราะความยึดติดถือมั่นในใจเรารึเปล่า เป็นเพราะยึดติดในความต้องการ ยึดติดในความคิดของเราหรือเปล่า เช่น พ่อแม่ทุกข์เพราะลูก ลูกติดเกมส์ออนไลน์พ่อก็โกรธแม่ก็โกรธ อยากจะต่อว่าลูกแต่รู้ว่าต่อว่าไม่ดี แล้วจะทำยังไง ท่านให้คนที่ถามคือพ่อแม่ กลับมาดูใจเราว่าที่เราทุกข์เพราะว่าลูกไม่เป็นไปตามใจเราใช่หรือเปล่า เราทำหรืออยากจะว่าลูกเพราะตัวเรา เพราะความคิดของเรามากกว่า เพราะว่าปรารถนาดีต่อลูกหรือเปล่า
แล้วคนถามเขาได้คิด มาพิจารณาดูที่เราทุกข์เพราะว่าใจเรา คนอื่นไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก ถึงแม้คนอื่นเขาอาจจะทำไม่ดี แต่ถ้าเราวางใจถูกไม่ยึดติดถือมั่น เราก็ไม่ทุกข์ บางทีเรามองผิดด้วย บางทีภรรยาบ่นสามี สามีทุกข์เกิดความเกลียด เกิดความไม่พอใจ แต่ลองมองว่าที่เขาทำอย่างนั้น เพราะภรรยาเขาห่วงใยเรา พอคิดแบบนี้ใจมันพลิกเลย จากความเกลียดเป็นความรัก เป็นความเข้าใจว่าเขาห่วงใยเราถึงพูดอย่างงั้น อันนี้เป็นการเตือนให้เจ้าตัวหันมาปรับปรุง หันมาแก้ที่ใจของตัว มากกว่าคิดจะไปแก้คนอื่น คนอื่นทำไม่ถูกอย่างไร นั้นเรื่องหนึ่งแต่ข้อสำคัญคือเราวางใจถูกหรือเปล่า ถ้าเราวางใจผิดแม้คนจะดียังไง คนรอบข้างจะดียังไงก็ยังทุกข์
อาตมาเคยเจอพ่อแม่บางคนทุกข์เพราะลูกทั้ง ๆ ที่ลูกเรียนดี เรียนหมอ และไม่ได้เที่ยวเตร่อะไร แต่พอลูกเริ่มมีแฟนขณะที่เป็นนักศึกษาแพทย์ แม่ก็ทุกข์ละ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะลูกเริ่มเหินห่างแม่ ไปอยู่ใกล้แฟนไปให้เวลากับแฟนมากกว่า แค่นี้ทุกข์แล้ว ทุกข์เพราะน้อยใจ ทั้งที่เป็นธรรมดา เป็นความทุกข์เพราะอยากจะให้ลูกมาอยู่ใกล้ชิดกับเรา เหมือนกับตอนที่เขายังเป็นเด็ก อันนี้เรียกว่าทุกข์เพราะตัวเอง ทุกข์เพราะว่ายังมีความยึดในตัวเอง อยากจะให้เขามาพูดจาไพเราะกับเรา มาใกล้ชิดเรา ทั้งที่เขาควรจะมีวิถีชีวิตของตัวเอง เขามีแฟนเป็นธรรมดาที่เขาจะให้เวลากับแฟนมากกว่าในเมื่อการเรียนของเขาไม่เสีย อันนี้เป็นตัวอย่างว่าคนเราทุกข์เพราะตัวเองมากกว่า วางใจไม่เป็น
อันนั้นเป็นวิธีการของท่านพอมยุน ที่สามารถจะทำให้คนหนุ่มสาวหันมาสนใจพุทธศาสนาได้ ที่จริงวัตรปฏิบัติส่วนตัวของท่านเป็นที่น่าเคารพ ท่านอยู่ง่าย ทั้ง ๆ ที่องค์กรของท่านมีเงินบริจาคเข้ามาคิดว่าคงจะเป็นร้อยล้านพันล้าน เพราะมีกิจกรรมมาก คนที่ศรัทธานับถือก็มาก ท่านเป็นที่รู้จัก ชนิดว่าเป็น Celeb พระที่ไปดูงานของท่าน บอกว่าเวลาท่านไปที่ไหน เดินบนท้องถนน จะมีคนมาทัก มีคนมาขอถ่ายรูปเหมือนกับเป็นดารา แสดงว่าท่านเป็นที่รู้จักมาก เมืองไทยไม่รู้จักท่านหรอก ยกเว้นชุมชนเกาหลีจะรู้จักท่าน แต่ในเกาหลีท่านมีชื่อเสียงมาก ท่านอยู่ง่ายและถ่อมตัวด้วย ท่านทำงานหนัก ในช่วงตอนตบท้ายรายการ มีการเปิดโอกาสให้คนฟังมาซักถาม พระรูปหนึ่งถามว่า ท่านได้ไปประเทศต่าง ๆ มามากมายทั่วโลกได้พบได้เห็นได้พูดคุยกับพระในพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ เช่นเถรวาท มหายาน วัชรยานหรือทิเบต ท่านคิดว่าพระควรจะประพฤติตัวอย่างไร อะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญของพระ ข้อแรกท่านตอบ คือเรียบง่าย และปฏิบัติตามพระธรรมวินัย พระวินัยถ้าปฏิบัติตามก็เรียบง่ายอยู่ในตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าเคร่งครัดจริง ๆ ก็ไม่มีแม้กระทั่งทรัพย์สมบัติอะไรมาก นอกจากบริขารที่จำเป็น ต้องเรียบง่าย และเพื่อนที่ไปเยี่ยมท่านก็บอกว่าท่านเรียบง่ายจริง ๆ
บางทีมีคราวหนึ่งเป็นช่วงฉันเช้า แขกก็ดี อาคันตุกะก็ดี ก็ฉันไป ส่วนท่านยังมีแขก พอพระฉันเสร็จ โยมเจ้าหน้าที่ของสมาคมก็กินต่อคล้าย ๆ เมืองไทย พระฉันก่อนโยมกินต่อ พอโยมกินเสร็จก็เหลือข้าวกับข้าวไม่มากเท่าไหร่ ท่านเสร็จธุระท่านมาเก็บตกจากอาหารที่เหลือ อาหารที่ลูกน้อง อาหารที่ญาติโยมกินเหลือ ท่านมาเก็บตกต่อ โดยที่ไม่ต้องเรียกร้องให้ลูกศิษย์เอาอาหารมาเพิ่ม มาทำใหม่ ท่านฉันจนหมด เรียกว่าไม่ให้เหลือ ขนาดท่านเรียกว่าเป็นประธานองค์กรที่ใหญ่มากร่ำรวยมีเงินเยอะ แต่ว่าคนในองค์กรตั้งแต่ท่านลงมาอยู่แบบง่าย ๆ เงินก็เอาไปใช้ประโยชน์เพื่อให้เกิดคุณค่าต่อส่วนรวม ข้อที่หนึ่งอยู่ง่าย
ข้อที่สองท่านบอกว่า ถ้าเราต้องสุข ต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น น่าสนใจ พระเราต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น ในขณะที่มีบริขารน้อยกว่าอยู่เรียบง่ายกว่า แต่ต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น เพราะว่าพระเรามุ่งพระนิพพาน และเราปฏิบัติก็เพื่อพระนิพพาน เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น ฆราวาสเขายังต้องทำมาหากินเขาอาจจะไม่มีโอกาส ไม่มีเวลามาปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นจะหวังให้เขามีความสุขมากกว่าเราคงยาก พูดแบบนี้คนคงจะเข้าใจยาก เพราะว่าพระตามอุดมคติต้องมีของน้อย มีทรัพย์สมบัติน้อย เที่ยวก็ไม่ได้ มีครอบครัวก็ไม่ได้ แล้วจะมีความสุขมากกว่าคนอื่นได้อย่างไร เขาไปมองว่าความสุขเกิดจากวัตถุ แต่ที่จริงแล้วความสุขที่แท้อยู่ที่ใจ อยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่การฝึก ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาน่าสังเกต พระต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น น่าจะรวมไปถึงนักปฏิบัติธรรมด้วย รวมถึงแม่ชีด้วย เราควรจะมีความสุขมากกว่าฆราวาส ทั้งที่เรามีสิ่งเสพน้อยกว่า ไม่ใช่สูงกว่า บางทีไปคิดว่าพระต้องสูงกว่าฆราวาส หรือแม้แต่นักปฏิบัติธรรมต้องสูงกว่าคนทั่วไป เพราะเราถือศีล 8 ศีล 10 นี่ไม่จำเป็น สูงกว่าเป็นเรื่องสมมุติไม่ใช่สาระ แถมทำให้เกิดความหลง ลืมตัวลืมตน เกิดทิฐิมานะ แต่สิ่งที่จำเป็นหรือสำคัญมากกว่า คือมีความสุขมากกว่า เราต้องถามตัวเราเองว่า เราบวชมาเรามีความสุขเพิ่มขึ้นไหม จากตอนก่อนบวช แท้ที่จริงความสุขนั้นที่จะช่วยหล่อเลี้ยงให้เราดำรงชีวิตพรหมจรรย์ หรือดำรงชีวิตนักบวชที่เรียบง่ายได้ ในเมื่อเราไม่มีความสุขจากวัตถุมาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกสบายให้กับเรา เราก็ต้องมีสิ่งอื่นทดแทน มีความสุขอย่างอื่นทดแทน นั่นคือความสุขทางใจ
ไม่ใช่ว่า ความสุขทางวัตถุหรือว่าความสุขจากกาม เราไม่ได้ แล้วความสุขจากจิต ความสุขทางใจเราก็ไม่มี แบบนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปรียบเหมือนกับไม้ฟืนที่ถูกเผาทั้ง 2 ข้าง แล้วตรงกลางเปื้อนขี้ คือเป็นไม้ที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ไม้ที่ปลายเป็นถ่าน เอาไปเผาอะไรไม่ได้ แล้วตรงกลางที่ไม่เป็นถ่าน แต่มันก็เปื้อนขี้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ที่พระพุทธเจ้าตรัส หมายถึงพระที่ความสุขทางกามก็ปฏิเสธจึงมาบวช ส่วนความสุขทางใจก็ไม่มี อย่างน้อยต้องมีสักอย่างหนึ่ง อย่างฆราวาสมีความสุขทางกามเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ยอมลำบากในการทำมาหากิน ชีวิตฆราวาสลำบาก ต้องทำมาหากินตื่นแต่เช้า ต้องสู้รบตบมือกับอุปสรรคทั้งหลาย แต่ว่ามีความสุขทางกามช่วยหล่อเลี้ยงไปวัน ๆ หนึ่ง ส่วนพระเรามีสิ่งที่ดีกว่าคือความสุขทางใจ ในเมื่อความสุขทางกามเราไม่เอาแล้ว หรือว่าเกี่ยวข้องน้อยที่สุด ก็ต้องมีความสุขทางใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสุขมากกว่าคนอื่น เราควรจะมีความสุขมากกว่าคนอื่น
และข้อที่สาม คือต้องรู้จักช่วยคนอื่น เวลาเขามีความทุกข์ เมื่อเขามีความทุกข์เราก็ช่วยเขา ให้เขาพ้นทุกข์ อันนี้คือเป็นสิ่งที่ท่านพอมยุนท่านก็ทำ 3 อย่างนี้มีอยู่ในตัวท่าน ท่านอยู่แบบเรียบง่ายแล้วท่านมีความสุขแม้จะทำงานมาก แต่ที่ทำงานมากเพื่อช่วยคนให้มีความทุกข์น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางใจ หรือทุกข์เพราะความหวาดวิตก สงครามหรือเพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อันนี้เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วได้สดับฟังมาจากรายการเมื่อวาน