แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราที่นี่มาวัดป่าสุคะโต เพราะว่าปรารถนาความสงบ หลายคนก็คงรู้ว่าที่นี่ไม่มีวัตถุมงคลจะให้ หรือว่าไม่ได้มาเพราะว่าหวังจะมาเอาบุญที่จะทำให้ร่ำรวยหรือว่าประสบความสำเร็จในการงาน คนที่ปรารถนาอย่างนั้นก็คงจะไปที่อื่นที่เขาจะให้ความหวังในลักษณะนั้นได้มากกว่า ส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็เพราะว่าความไม่สงบมันผลักให้เรามาหา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าความสงบของที่นี่มันดึงดูดเชิญชวนให้มา ถ้าหากว่าเราปรารถนาความสงบแล้ว ความสงบที่ปรารถนาก็คือ การไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม หรือว่าไม่มีความวุ่นวายที่นี่ก็มีให้ แม้จะไม่ถึงกับสงัดนัก แต่ว่าเราก็มีความสงบ ไม่มีความอึกทึกครึกโครม ไม่มีความวุ่นวายหรือแม้กระทั่งความเร่งรีบที่นี่เรามีให้ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ว่าแม้จะมาพบกับความสงบสงัดที่นี่ ไม่มีความอึกทึกครึกโครม ไม่มีความวุ่นวายแต่ว่าใจเราอาจจะไม่สงบก็ได้
ความไม่สงบที่ใจนี่มันเป็นปัญหาของผู้คนมากกว่าความอึกทึก ความวุ่ยวาย จริงอยู่โลกภายนอกมันมีความอึกทึก ความวุ่นวายเยอะเดี๋ยวนี้จะหาที่ ๆ มันไม่มีเสียงอึกทึก ไม่มีความวุ่นวายยากโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ แม้จะหลบเข้าไปอยู่ในบ้านมันก็มีเสียงดังจากเทคโนโลยี่ต่าง ๆ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนที่จะปราศจากเสียงริงโทนเสียงโทรศัพท์นั้นยาก แม้แต่ในชนบท หรือเผลอ ๆ ก็ที่นี่วัดป่าสุคะโต เมืองไทยโดยเฉพาะเมืองใหญ่ ๆ หรือแม้แต่ในหมู่บ้านชาวต่างประเทศที่มาจากตะวันตก หรือมาจากญี่ปุ่นก็ตามเขาตั้งข้อสังเกตว่าเสียงดังมาก ยิ่งกรุงเทพฯ ด้วยแล้วไม่ว่าตรงไหนก็เสียงดังอึกทึกกล่างค่ำกลางคืนก็ไม่เว้น
เมื่อเราไปเมืองนอกยุโรปก็ดี อเมริกาก็ดีหรือว่าญี่ปุ่นเราจะสังเกตว่ามันมีความสงบมาก เสียงรบกวนมีน้อยยิ่งกลางคืนด้วยแล้วก็จะสงบ แต่ว่าผู้คนในประเทศเหล่านั้นก็ยังหาความสงบไม่ได้ หลายคนถึงกับข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย มาทำอะไร ก็มาหาความสงบใจ ความอึกทึกเสียงดัง ความวุ่นวาย เขาก็เจอ ๆ มาเยอะหรือแม้ไม่มีเสียงอึกทึกคึกโครมเลย แต่ว่ามันก็มีความวุ่นวาย ๆ ที่ไหนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในวุ่นวายใจ เสียงดังนี่จริง ๆ แล้วมันเป็นความไม่สงบที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความไม่สงบชนิดอื่น ความวุ่นวายใจ สิ่งเหล่านี้ที่มันผลักดันให้คนออกมาแสวงหา บางทีก็ไม่รู้แสวงหาอะไร แต่รู้ว่าอยู่ที่เดิมไม่ได้ อันนี้ก็มีมานานแล้ว ไม่ใช่มีเฉพาะสมัยนี้ ที่ฝรั่งออกมาแสวงหาความสงบในจิตใจในเอเชีย ในอินเดียหรือว่าประเทศไทย
สมัยพุทธกาล 2,600 ปี มีคนที่ทิ้งความวุ่นวาย หนีความวุ่นวายออกมาหาความไม่วุ่นวาย แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ว่าขอหนีมาก่อนอย่างที่มีชื่อ คือ พระยสะ อันนี้ก็มีเรื่องราวจารึกไว้ในสมัยพุทธกาล พระยสะเดิมทีก็เป็นลูกเศรษฐี เศรษฐีร่ำรวยมากพอ ๆ กับเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระเจ้าสุทโธทนะคือ มีปราสาทสามหลัง ยสะมีปราสาทสามหลัง ปราสาทสามฤดู มีสิ่งปรนเปรอความสุขไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย วัน ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร มีสิ่งบำรุงบำเรอ คืนหนึ่งหลังจากที่ได้ดูการละเล่นฟ้อนรำจนดึกดื่น ขณะที่นางระบำ นางฟ้อนทั้งหลายต่างพากันอ่อนเพลียนอนเกะกะก่ายกัน คือเรียกว่า ฟ้อนรำกันจนเพลียก็ไม่อยากไปไหนก็นอนกันตรงนั้น
ยสะเห็นสภาพนี้แล้วก็ปลงที่จริงคงมีความว้าวุ่นข้างในอยู่แล้ว ยิ่งมาเป็นสภาพที่นางระบำทั้งหลายนอนก่ายกองกันตามเรื่องก็ว่าเหมือนกับซากศพ อันนี้ก็คล้ายกับฉากคืนสุดท้ายที่เจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จบรรพชา ยสะก็เหมือนกันก็เลยเดินออกมาอย่างคนที่ไม่มีจุดหมายแล้วก็พูดขึ้นมาว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ รำพึงขึ้นมาสะท้อนถึงความรู้สึกภายในใจ วุ่นวาย ขัดข้องมันน่าเบื่อหน่ายก็เดินสะเปะสะปะไปเรื่อย ปราสาทก็อยู่แถว ๆ เมืองพาราณสี เดินไปไกลทีเดียว
จนกระทั่งไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พาราณสีอยู่ชานเมือง พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญกรณียกิจอยู่ตรงนั้นพอดี คืนนั้น ได้ยินเสียงว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ทำให้ยสะเกิดความสนใจขึ้นมาว่ามีด้วยหรือ ที่ไม่วุ่นวาย ที่ไม่ขัดข้อง ยสะเดินออกมาจากปราสาทเป็นกลางค่ำกลางคืน ซึ่งเงียบสงบ มันสงบสงัดมาก ผู้คนนอนหลับกันหมดแล้ว ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงประโคม แต่ว่ายสะไม่มีความสุขเลย ไม่มีเสียงอึกทึกรบกวนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความสุขเพราะอะไร เพราะหาความสงบในจิตใจไม่ได้ แต่พอพระพุทธเจ้าทักเช่นนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมา ก็เลยสนทนาธรรมกัน ในที่สุด พระองค์ก็แสดงธรรมให้ยสะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน และเช้าวันนั้นตอนสาย ๆ ก็บวชแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์
ที่ยกเรื่องพระยสะขึ้นมาก็เพื่อเชื่อมให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วเสียงที่ดัง เสียงอึกทึก ไม่ใช่เป็นปัญหาของผู้คนมากเท่าไหร่ ที่มันเป็นปัญหามากกว่าคือ ความไม่สงบในจิตใจ ความเสียงดังภายนอกยังไม่เท่าไร แต่เป็นความไม่สงบที่อยู่ภายในจิตใจ ส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดจากความวุ่นวายภายนอก ชีวิตที่เร่งรีบชีวิตที่ต้องดิ้นรนแสวงหาไขว่คว้า ยิ่งสมัยนี้กระตุ้นให้ผู้คนแสวงหาดิ้นรน กระเสือกกระสนก็ว่าได้ ได้เท่าไรก็ไม่พอ ยังไม่สามารถจะเติมเต็มจิตใจได้ ความรู้สึกพร่องในจิตใจนี้ทำให้คนต้องกระเสือกกระสน ดิ้นรนแสวงหาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ได้มาแล้วก็ดีใจชั่วคราว นึกว่าจะพอใจแล้วคิดว่าจะเติมเต็มแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกอิ่มเอมสักที ก็คิดว่าเป็นพราะยังมีไม่พอ ยังได้ไม่มากพอเลยต้องดิ้นรนอีก เมื่อคนหิวก็ต้องกระเสือกกระสน เพื่อหาอาหารมาใส่ท้อง แต่ว่าความหิวในที่นี้เป็นความหิวในจิตใจไม่ใช่ความหิวในท้อง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องหาอะไรมาเติมเต็มจิตใจ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็นึกว่าเป็นเงินทอง แต่ยิ่งกระเสือกกระสน ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งล้า และความรู้สึกหิวโหยหาข้างในก็ไม่ได้ลดลงเลย บางคนหาจนตายก็ยังไม่พบความอิ่มเอมหรือเติมเต็ม ทั้งนี้ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าความหิวข้างในใจมันไม่ได้เกิดจากการที่มีไม่พอ แต่เป็นเพราะสงบไม่พอต่างหาก
มันต่างกันเยอะมีไม่พอกับสงบไม่พอ มีไม่พอมันต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหามาให้ได้ แต่การทำเช่นนั้นกลับจะยิ่งทำให้รู้สึกหิวโหยมากขึ้น เพราะว่ามันเจอแต่ความวุ่นวาย ความสงบที่แสวงหาก็ยิ่งหายไปเรื่อย ๆ มีไม่พอมันทำให้เราต้องดิ้นรนแสวงหากระเสือกกระสน แต่ถ้ารู้สึกว่าสงบไม่พอ มันจะทำให้เราหยุดเพราะว่าขืนยังดิ้นรนต่อไป ขืนยังกระเสือกกระสนต่อไป ความสงบที่หาก็ยิ่งอยู่ห่างไกลมากขึ้น มันต้องหยุด ต้องหยุด แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าต้องหยุดที่กาย เพราะว่าแม้กายจะไม่ทำอะไรใจก็อาจจะยังไม่สงบได้ เพราะมีความว้าวุ่นอยู่ข้างในก็ได้
เรามาที่นี่ก็อย่างที่บอก ที่นี่ก็มีความสงบเงียบของสิ่งแวดล้อมให้กับเรา ชีวิตที่นี่ไม่วุ่นวายเท่าไร แต่ว่าเรามาที่นี่แล้วลงมือปฏิบัติติแล้ว อาจจะเจอกับความวุ่นวายในจิตใจก็ได้ ความวุ่นวายที่เกิดจากจิตที่มันคิดฟุ้งซ่าน เกิดจากอารมณ์ที่มันปะทุปะทั่ง ปะทุที่เกิดจากการกระทบกระทั่ง ตรงนี้แหละ คือ ความไม่สงบที่เป็นปัญหามากที่สุด เสียงดังภายนอก ความวุ่นวายภายนอกไม่เท่าไร แม้จะไม่มีเสียงดังภายนอกไม่มีความวุ่นวายภายนอก แต่ที่คนทนไม่ได้ก็คือ ความไม่สงบภายใน จะเรียกว่าความวุ่นวายภายในก็ได้ ส่วนหนึ่งก็เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก ทุกวันนี้มีสิ่งเร้ามากมาย แต่สิ่งเร้านี้ยังไม่ใช่ปัญหามากเท่ากับใจที่ฝันฟุ้งปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา อุตส่่าห์ทิ้งบ้านมาอยู่วัด มาอยู่ในป่า ตั้งใจจะหาความสงบก็พบแต่ความสงบภายนอก แต่ว่าความสงบภายในยังควานหาไม่เจอ ก็ต้องเผื่อใจไว้ หลายคนมาด้วยความตั้งใจว่าอยากจะพบความสงบ และคิดว่าถ้าหากมาอยู่ในที่ ๆ มันไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ไม่มีความวุ่นวายแล้วจะพบความสงบได้ มันก็พบได้แต่ความสงบภายนอก แต่ความสงบภายในอาจจะไม่เจอ
การภาวนาที่นี่เราไม่ได้มุ่งเน้นที่ความสงบภายใน หรือความสงบอย่างที่เราเข้าใจเท่านั้น บางคนคิดว่าจะมีความสงบภายในได้ก็ต้องหลับตา อุดหูไม่รับรู้อะไร หรือว่านั่งนิ่ง ๆ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจของใครหลาย ๆ คน รู้อยู่ว่าความสงบภายในจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่ว่านี่มันต้องปิดตา ต้องนั่งนิ่ง ๆ แล้วถึงจะพบความสงบในจิตใจได้ มันก็มีเหมือนกันเป็นไปได้ แต่ว่าก็อาจจะเป็นความสงบแค่ชั่วคราว เพราะพอลืมตาขึ้น ลุกขึ้นมาไปเจอผู้คนบางทีสนทนากันไม่กี่ประโยคความว้าวุ่นในจิตใจก็เกิดขึ้น ความสงบแบบนี้มันเป็นความสงบที่เกิดจากการไม่รับรู้ ความสงบเพราะไ่ม่รับรู้ ไม่รับรู้ทางตา ไม่รับรู้ทางหูด้วยการควบคุมเสียงไม่ให้ดังมากระทบ ถ้าเป็นที่บ้านก็อาจนั่งอยู่ในห้องแอร์ ปิดประตูหน้าต่าง รวมทั้งสกัดกั้นไม่ให้มีสิ่งเร้าจากภายนอก เช่น ปิดโทรศัพท์ ปิดโทรทัศน์ บางทีก็ปิดไฟด้วยให้มันมืด ๆ หลายคนก็คาดหวังว่ามาปฏิบัติที่นี่มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ที่นี่อย่างที่ทราบดีเราปฏิบัติแม้ปฏิบัติในรูปแบบตาก็ไม่ปิด เราลืมตาแล้วก็ไม่นั่งนิ่ง ๆ แต่ว่ายกมือเป็นจังหวะ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่ต้องการสร้าง คือ การสร้างตัวรู้ให้เกิดขึ้น ไม่ได้มุ่งที่การสงบ
การสงบที่เกิดจากการไม่รับรู้ ก็จะเป็นความสงบที่ปราศจากตัวรู้รองรับ มันสามารถจะไปเพิ่มความหลงให้ก็ได้ สงบเพราะหลงมันมีมากแล้ว คนสงบเพราะหลงซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการไม่รับรู้อะไร ความสงบที่เกิดขึ้นก็เลยเป็นความสงบชั่วคราว แต่พอไปรับรู้เห็นภาพทางตา ได้ยินเสียงที่ไม่ถูกใจ ความว้าวุ่นภายในก็เกิดขึ้นทันที แม้ว่ารอบตัวเราจะไม่มีเสียงอึกทึกเลย จะไม่มีความวุ่นวายเลย แต่ว่าความสงบก็จะเกิดขึ้นกับจิตใจเราไม่ได้ เพราะมันมีความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดฟุ้งซ่านนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะหลง มันเผลอไป ๆ ก็เลยคิดฟุ้งปรุงแต่ง และเราก็เผลอบ่อยซะด้วย ลองทดลองดูก็ได้ เราตั้งใจว่าเราจะอยู่นิ่ง ๆ นั่งนิ่ง ๆ โดยที่ไม่คิดอะไรเลยห้านาที หรือเอาแค่ลองตั้งใจว่าจะไม่คิดอะไรเลยหนึ่งนาที ดูว่าเราทำได้หรือไม่ ยังไม่ทันถึงนาทีบางที 30 วินาทีก็เผลอไปแล้ว แม้เราตั้งใจควบคุมความคิดไม่ให้มันคิดในเวลา 60 วินาที แต่ไม่ทันถึงครึ่งนาทีมันไปแล้ว มันไปไหน ไปอดีตบ้าง ไปอนาคต บ้างไปนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไปนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะอะไร เพราะหลง หลายคนยิ่งพยายามบังคับจิตไม่ให้คิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งฟุ้งมากขึ้น ความพยายามที่ว่านี่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากความหลง คือ พอไม่รู้ตัวก็พยายามไปบังคับกดข่มความคิดที่มันเกิดขึ้น
การปฏิบัติติที่นี่ เราไม่เน้นในเรื่องการไปบังคับจิตให้หยุดคิดมันจะได้สงบข้างในเสียที ไม่ใช่ไปบังคับจิตให้หยุดฟุ้งซ่าน แต่ว่าเราจะเพิ่มกำลังให้กับตัวรู้มากขึ้นให้ตัวรู้มันมีกำลังจนกระทั่งไปรู้ทันความคิดที่ฟุ้งซ่าน ไม่ได้ไปกดข่มมันให้มันหยุดคิดหรือว่าไม่ใช่ไปหาทางไปควบคุมสิ่งภายนอกเพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งเร้ามากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่ใช่เป็นการปิดการรับรู้ ปิดตา อุดหู แต่เราจะเน้นการสร้างตัวรู้ขึ้นมาในใจ ให้รู้ทันเวลาใจมันเผลอคิดไป เวลาเผลอคิดไปทีไรรู้ทันเมื่อไรความคิดมันก็ดับ เพราะว่ามันเกิดขึ้นได้เนื่องจากความหลง พอหลงหายมีรู้มาแทนที่ มันก็อยู่ไ่ม่ได้ ก็เหมือนกับไฟมันก็ต้องการออกซิเจน มีออกซิเจนเมื่อไร ไฟก็ยังลุกโพลงอยู่ แต่พอเราทำให้ออกซิเจนมันหายไป ไฟมันก็ดับเอง การดับไฟเดี๋ยวนี้ เขาก็ไม่ได้เน้นว่าจะต้องไปพ่นน้ำ ฉีดน้ำใส่กองไฟ เพียงแค่คุมไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงกองไฟ ไฟมันก็ดับเอง ใจมันฟุ้งปรุงแต่งเพราะความหลง จากความคิดที่ปรุงแต่งมันก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา ซึ่งอารมณ์นี้มันก็ยิ่งทำให้จิตใจว้าวุ่น รุ่มร้อน
เราลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต ความเศร้าจะเกิดขึ้น หรือมิเช่นนั้นก็กลายเป็นความโกรธ ความขุ่นเคืองหรือความคับแค้น ความที่มันไปปรุงแต่งอารมณ์และเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมันก็ปรุงแต่งความคิดทำให้คิดใหญ่เลย พอโกรธใครสักคนก็จะขุดคุ้ยประสบการณ์ในอดีตที่เคยมีกับคนนั้น เราอาจจะไม่พอใจเขา เริ่มต้นด้วยไม่พอใจเขาในบางเรื่องแต่ว่าพอโกรธเขาเราก็จะไปขุดคุ้ยเรื่องอื่น ๆ มาด้วยเพื่อไปรองรับสนับสนุน หรือว่าไปเพิ่มความโกรธให้มากขึ้น อันนี้อารมณ์ก็ไปปรุงแต่งความคิด ความคิดก็ปรุงแต่งหรือทำให้เกิดอารมณ์ อารมณ์ทำให้ความคิดนี่เรียกว่าฟุ้งมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะว่าหลงทั้งนั้น แต่สิ่งที่เรากระทำ คือว่าไม่ใช่ไปคุมจิตไม่ให้คิด ไม่ใช่ไปกดข่มอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น แต่เพื่อให้รู้ทันแค่นั้น รู้ทันเมื่อไร รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์เมื่อไร มันก็จะดับ หายไป เหมือนไฟที่มันไม่มีออกซิเจนหล่อเลี้ยง มันก็ดับไป
การเกิดสติ เรามาเน้นที่ตรงนี้ เน้นที่การสร้างตัวรู้ให้มากขึ้น ซึ่งมันทำงานควบคู่ไปกับสติ สติคือไม่ลืม สัมปชัญญะคือไม่หลง เวลาเราพูดถึงตัวรู้เราก็หมายถึงสัมปชัญญะ คือรู้ตัวการปฏิบัติ ที่นี่หลายคนอาจจะแปลกใจว่าทำไมไม่หลับตา ทำไมไม่นั่งนิ่ง ๆ จิตใจจะได้สงบ ๆ อย่างนั้นมันเป็นสงบชั่วคราว สงบเพราะไม่รู้ แต่คนเราถึงอย่างไรก็ต้องลืมตา ถึงอย่างไรก็ต้องลุกไปทำงาน ต้องเดิน ต้องขยับเขยื้อน ถ้าเรารู้จักแต่สงบเพราะว่าไม่ขยับเขยื้อน สงบเพราะปิดตา ความสงบที่เกิดขึ้นก็เป็นความสงบชั่วคราวแล้วพอลุกขึ้นมาลืมตามมีสิ่งมากระทบมีสิ่งเร้าภายนอกมาทำให้ใจกระเพื่อม มันก็จะฟุ้ง มันก็จะว้่าวุ่นขึ้นมาทันที แต่ถ้ามีตัวรู้ มีความรู้รู้ทันหรือว่ารู้ตัว ตัวรู้นี้มันเริ่มต้นด้วยการรู้ตัวก่อน รู้ตัวเผลอคิด รู้ตัวว่าเผลอฟุ้งไปแล้ว ความรู้ตัวนี่แหละก็ทำให้ความฟุ้งซ่าน ความคิดและอารมณ์มันดับไป และความสงบก็เกิดขึ้นในจิตใจ แม้ว่ารอบตัวเราอาจจะยังมีเสียงดัง อาจจะมีสิ่งเร้าภายนอกหรือแม้แต่มีความวุ่นวาย แต่ว่าในใจไม่วุ่นวาย เพราะว่ามีความรู้ตัวทั่วพร้อมที่ช่วยรักษาจิตให้สงบ เพราะมีสติที่ช่วยปกป้องรักษาใจไม่ให้อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามาครอบงำ
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัตินี้ เราก็วางใจให้ถูก เราปรารถนาความสงบ เรามาที่นี่ ทิ้งบ้านมาไกล เราคาดหวังความสงบ แต่ความสงบที่เราคาดหวังอาจจะไม่ใช่เป็นความสงบที่มันจะช่วยเราได้อย่างแท้จริงก็ได้ หรือวิธีการที่จะทำให้เราสงบที่เราคาดหวังมันอาจจะไม่ใช่เป็นวิธีการที่ทำให้เรามีความสงบอย่างแท้จริงก็ได้ เราเปลี่ยนจากการแสวงหาความสงบมาเป็นการเพิ่มตัวรู้ คือ สร้างความรู้ตัวให้มากขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใจก็รู้ไปหมด อย่างนี้ดีกว่าการที่เราพยายามไปควบคุมมันไม่ให้คิดไม่ให้ฟุ้ง