แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทำวัตรเย็นเพิ่งเสร็จไปเมื่อสักครู่ บทที่เราสวดหลายคนคุ้นเคย เริ่มต้นด้วย กุสลาธรรมา หลายคนก็นึกไปถึงงานศพทันที ที่จริงบทสวดที่เราสาธยายไปเมื่อสักครู่ ก็คือ การสวดอภิธรรม 7 คัมภีร์ ซึ่งเป็นธรรมะขั้นสูง มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับความตายเลย แต่ว่าหลายคนก็จะนึกไปถึงงานศพทันที เพราะว่าพระท่านนิยมสวดอภิธรรม แต่ที่จริงถ้าไม่มีงานศพ โอกาสที่พระจะสวดบทที่เป็นธรรมะขั้นสูงนี้คงยาก เพราะว่าคนส่วนใหญ่ก็อยากจะให้พระสวดมนต์ก็นิมนต์ให้สวดเรื่องที่เกี่ยวกับความเจริญ ความผาสุก ซึ่งบทที่พระนิยมสวดก็คือ บทเจริญพุทธมนต์ เนื้อหาจะเป็นเรื่องของธรรมะและอวยชัยให้พร คนส่วนใหญ่อยากจะฟังคำสวดหรือคำอวยพรที่พระสวดให้เราฟัง การที่จะนิมนต์ให้พระหรือเปิดโอกาสให้พระสวดธรรมะขั้นสูง ซึ่งเข้าใจยากและมักจะไม่ค่อยมีโอกาส ก็จะอาศัยงานศพนี้เพื่อเป็นโอกาสที่จะสวดธรรมะขั้นสูง หลายคนก็เพิ่งจะรู้ความหมายของบทสวดที่ได้ยินในงานศพจากที่นี่นี้เองเพราะปกติพระจะไม่ค่อยได้สวดแปลเท่าไร
หลวงพ่อคำเขียน ตอนก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้สั่งไว้ว่า การสวดอภิธรรม ในงานศพของท่าน ขอให้แปลด้วยเพื่อจะได้เข้าใจความหมาย เพราะหากเข้าใจความหมายแล้ว จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิต แต่ถ้าจะพูดไปแล้ว ถ้าจะเข้าใจความหมายของพระอภิธรรมได้ต้องมีพื้นฐาน ทั้งในแง่ปริยัติและปฏิบัติ ไม่งั้นจะไม่เข้าใจ ถ้าจะเข้าใจก็ต้องเข้าใจในลักษณะของการโยงถึงงานศพ แต่ถ้าจะโยงหรือให้นึกถึงงานศพ ถ้านึกดี ๆ ก็มีประโยชน์ คนที่นึกไม่เป็นจะนึกไปถึงความหดหู่เศร้าหมอง หรือนึกไปถึงว่าเป็นการแช่ง คนที่ไม่เข้าใจในบทสวดมักจะเป็นแบบนี้
สมัยที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านยังเป็นเด็กอายุ 3-4 ขวบ ตอนที่เป็นเด็กกินอาหารและมีความสุขเพลิดเพลินในอาหาร จู่ ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาว่า อรหัง สัมมา เพียงเท่านี้โยมแม่ก็ด่าเลย ด่าว่ามึงจะตายก็ไปตายคนเดียว อย่ามาแช่งให้คนอื่นตายด้วย มึงไม่รู้หรือว่า อรหัง เขาไว้สวดตอนคนใกล้ตาย นี่มึงจะชวนให้คนอื่นตายด้วย ที่จริงอรหัง สัมมา เป็นคำที่มีความหมายดี เป็นคุณนามของพระพุทธเจ้า อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ถ้าพูดขึ้นมาแล้วก็น่าจะเป็นสิริมงคล สวดพุทธมนต์ที่ไหนโอกาสใดก็ต้องขึ้นด้วย อรหัง สัมมา แต่ที่โยมแม่ของท่านพูดอย่างนั้น เพราะว่าประเพณีชาวบ้าน เวลาคนใกล้ตายก็นิยมนำทางคนใกล้ตายด้วยการบอกอรหัง เพราะว่าให้คนใกล้ตายนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จิตจะได้เป็นกุศล เกิดศรัทธาเป็นพื้นฐาน พอนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะได้มีจิตปิติปราโมทย์ ไม่กลัวตาย แต่ว่าชาวบ้านจำนวนมากไม่เข้าใจว่า เวลาพูดถึง อรหัง จะนึกถึงงานศพ หรือคนใกล้ตายขึ้นมา ซึ่งก็มีความเชื่อมโยงกันที่เด็กชายปาน เอ่ยคำว่า อรหัง เพราะว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน ยายท่านใกล้จะเสียชีวิต ผู้คนก็เศร้าโศก ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ที่คนมาบอก อรหัง ให้คุณยาย ท่านก็จำคำนั้นมาและก็ไม่รู้ความหมาย แต่ว่าวิสัยเด็ก พอจำได้ นึกขึ้นได้ก็พูดขึ้นมา เด็กก็ไม่รู้ความหมาย ส่วนโยมแม่ก็ไม่รู้ความหมาย ถึงด่าว่าพูดในคำที่ไม่เป็นสิริมงคล ถ้าเรารู้ความหมาย อรหัง สัมมา เป็นสุดยอดของคำที่เป็นมงคลเลย เพราะแปลว่า ผู้ที่ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง หรือโดยตนเอง ตอนหลังเมื่อเด็กชายปาน โตขึ้น บวชพระ รู้ความหมาย ก็เลยมาบอกให้โยมแม่ฟัง โยมแม่ก็เลยเข้าใจ โยมแม่ก็ร้อง อ๋อ อรหัง นี้เป็นคำดี ไม่ใช่ว่าเป็นคำที่เหมือนกับเป็นลาง ให้นึกถึงคนตาย กลายเป็นการแช่ง
ขณะเดียวกัน กุสลาธรรมา คนก็นึกถึงความตาย นึกถึงงานศพ ที่จริงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แต่นึกก็ดีเหมือนกัน ถ้านึกแล้วก็ทำให้เกิดความไม่ประมาท ว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องตาย คนเราถ้าไม่นึกถึงความตายไว้บ้างมันก็ประมาท เหตุการณ์อะไรก็ตาม ถ้าหากว่าทำให้เราระลึกถึงความตาย ทำให้เราระลึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ย่อมถือว่าเป็นเรื่องดีและคนฉลาด ต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เตือนให้เราไม่ประมาทในชีวิต แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ แต่ถ้าหากว่ามันเตือนให้เราคิดถึงความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต แล้วทำให้เราไม่ประมาท ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เรื่องคุ้มค่า
เมื่อ 2 ปีที่แล้วมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ จอห์น โรเจอร์ เป็นชายอายุ 60 ปี กำลังเดินจูงหมาอยู่หน้าบ้าน เดินออกจากบ้านไม่ทันไร ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 30 ปีเศษ มาชนข้างหลัง จนแกล้มลงไป ที่แรกนึกว่าเพื่อนล้อ แต่ทำไมเล่นหนักอย่างนี้ หันไปมอง ก็เห็นว่าไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้เลย แล้วผู้หญิงคนนี้ก็เอามีด มีดครัวจ้วงแทงตามตัว ตามแขน ตามขา แทงแล้วแทงอีก 40 แผล แล้วก็ทิ้งให้แกจมกองเลือด โชคดีที่มีคนเห็นเหตุการณ์พาส่งโรงพยาบาลได้ทัน ก็เลยรอดตาย ระหว่างที่แกรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็มีข่าวว่าจับผู้หญิงคนนี้ได้ แล้วก็พบว่าเมื่อในช่วง 10 วันที่ผ่านมา แกแทงคนตายไปแล้ว 3 คน แล้วก็อาการสาหัสปางตายอีก 2 คน ซึ่งรวมถึงจอห์นคนนี้ด้วย พอจับตัวผู้หญิงคนนี้ได้ ผู้สื่อข่าวก็มาสัมภาษณ์ผู้เป็นเหยื่อ 1 ใน 2 ของผู้หญิงคนนี้ ก็คือ จอห์น ถามว่ารู้สึกอย่างไร แกก็บอกว่า ตอนนั้นคิดว่าคงตายแน่ ๆ แล้ว นักข่าวก็ถามต่อไปว่า ตอนนี้จับผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว มีอะไรจะบอกเขาบ้างไหม แกก็บอกว่า ทำไมถึงทำอย่างนี้เพราะว่าไม่รู้จักกันเลย นักข่าวก็ถามต่อไปว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม แกก็ตอบว่า ทำให้แกได้คิดว่าวันหนึ่งถ้าตื่นเช้าขึ้นมา เดินเล่นอยู่อาจจะโดนรถโดยสารแล่นทับก็ได้ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ทำให้แกได้คิดว่าควรทำสิ่งที่ดีที่สุดเสียแต่วันนี้ ความหมายก็คือ อาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้ก็ได้
การที่แกพูดเช่นนี้ก็ถือว่าแกได้คิดและได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คนธรรมดาถ้าหากเจอเหตุการณ์นี้ก็คิดว่าทำไมซวยแบบนี้ อาจจะน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา วาสนา เราไปทำกรรมอะไรไว้ และอาจจะคิดถึงเรื่องการไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ซึ่งมันก็ดี แต่มันก็ไม่ดีเท่ากับว่าใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน ชีวิตเราไม่เที่ยง จะตายวันนี้วันพรุ่งก็ได้ทั้งนั้น อันนี้เรียกว่าเป็นการมองบวกหมายความว่า เป็นการรู้จักหาประโยชน์จากเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น เห็นข้อดีของมันหรือใช้ประโยชน์จากมัน มองบวกหรือคิดบวก บางคนอาจจะหมายถึงว่าการมองโลกในแง่ดี หรือมองว่าอนาคตของเราจะโชติช่วงชัชวาล ไปมองถึงเรื่องที่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่มองบวกที่พูดถึง หมายถึงรู้จักใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ อย่างกรณีนี้ จอห์น โรเจอร์ ซึ่งจริง ๆ แกก็ไม่ใช่พุทธ แต่ว่าแกก็ได้แง่คิดชีวิตนี้ไม่เที่ยง จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คนเราถ้ารู้จักมองแบบนี้ เหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นถือว่าเป็นของดี ถือว่าคุ้ม ๆ จากการเจ็บตัว แต่ว่าได้ธรรมะ ดีกว่าเจ็บตัวไม่ได้อะไรเลย แถมเคียดแค้นชิงชัง อันนี้เรียกว่า ขาดทุน คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี เอาเหตุการณ์ร้าย ๆ มาเป็นเครื่องเตือนใจ
อันนี้ที่แกพูดว่า เหตุการณ์นี้เตือนให้แกรู้ว่าอะไร ๆ ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด หรือทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ คำว่าทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ มันคล้าย ๆ กับสิ่งที่เราคุ้นเคย ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่อาตมาคิดว่า ประโยคแรกให้ความหมายชัดเจนกว่า คือ ทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ ก็คือว่า สิ่งดี ๆ ที่ควรทำ อย่าผัดผ่อนรีบทำเสียตั้งแต่วันนี้ ส่วนคำว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด บางทีความหมายมันเบลอ ๆ คนหลายคนก็พูดจนติดปาก แต่ก็ไม่รู้ความหมายคืออะไร ทำแค่ไหนถึงจะดีที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำแค่ไหน แต่ถ้าเราพูดว่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ ความหมายมันชัดเจนคือ อย่าผัดผ่อนอะไรที่ควรทำให้รีบทำ อย่างที่ ๒ วันก่อนก็พูดว่า ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้วันพรุ่งนี้ อันนี้คือสิ่งที่จอห์น โรเจอร์ ได้ข้อสรุปจากเหตุการณ์ร้าย ๆ ซึ่งก็ทำให้ไม่ประมาทในชีวิต คนเราถ้าระลึกถึงตรงนี้ไว้บ้าง เราจะไม่ผัดผ่อนอะไรที่ควรทำ เราจะรีบทำทันที
ในสมัยพุทธกาล มีเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อเช้านี้ท่านน้อยก็พูดถึงท่านพาหิยะ ท่านมีประวัติน่าสนใจ เป็นคนมีฐานะ เป็นพ่อค้า วันหนึ่งก็เดินเรือ เรือสมุทร เรือแตกโชคดีที่ไม่ตาย แต่ว่าพอมาถึงฝั่งก็หมดเนื้อ หมดตัว เนื้อตัวก็ล่อนจ้อน เสื้อผ้าไม่หลงเหลือเลย ต้องเอาใบไม้มาห่อหุ้มตัว เนื่องจากว่าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ก็คิดว่าถ้าเราลองหลอกผู้คนว่าเราเป็นพระอรหันต์ ก็จะมีคนเอาอาหารมาให้ ความจำเป็นบางครั้งก็ต้องหลอกลวง ไม่งั้นเราก็ไม่รู้จะอยู่รอดได้อย่างไร คนธรรมดาพอเห็นคนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีเสื้อผ้าก็คิดว่าเป็นผู้วิเศษ ผู้ปฏิบัติธรรมขั้นสูง ปล่อยวางแล้ว ก็เลยมากราบไหว้ ให้อาหาร ให้เงิน ให้ทอง พาหิยะก็เลยสบายใจ แต่บังเอิญก็มีเทวดา ที่เคยเป็นเพื่อนในชาติก่อน ๆ มาบอก มากระซิบว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ มีพระอรหันต์ที่แท้จริงอยู่ที่เมืองสาวัตถี
พาหิยะก็ได้สติขึ้นมาก็เลยเดินทางแน่วแน่ตรงไปหาพระพุทธเจ้า ระยะทางร้อยโยชน์ แต่ว่าเดินไม่หยุด เรียกว่าเกิดศรัทธา เพราะว่ามีพื้นหลังของการเป็นผู้ใฝ่ธรรม ถึงแม้ว่าเดินไปผิดทางชั่วคราว แต่ก็ได้สติจากคำเตือนของเพื่อน ก็เดินทั้งวันทั้งคืน จนกระทั่งไปถึงสาวัตถี ตอนเช้า ไปเชตวัน ก็ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ก็เลยตามเข้าไปในเมืองสาวัตถี ก็เห็นพระพุทธเจ้ากำลังบิณฑบาตอยู่ พาหิยะก็ดีใจมาก เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทันที และก็ขอให้พระองค์แสดงธรรม พระพุทธเจ้าเห็นว่าพาหิยะเดินทางมาเหนื่อย แล้วก็เห็นว่ามีไฟอยากรู้ธรรมมาก ทั้ง 2 ประการนี้มันเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เข้าใจธรรมะได้ คนเราเหนื่อย ๆ จะเรียนรู้อะไรก็ลำบาก แถมมีความอยากรู้มาก เกิดไฟแรงกล้า มันเป็นอุปสรรคเพราะใจไม่สมดุล พระพุทธเจ้าก็เลยปฏิเสธ เห็นว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
พาหิยะก็ไม่ยอมและทูลขอเป็นครั้งที่ 2 และให้เหตุผลว่า ไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไหร่ และเขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าพระพุทธองค์ก็จะมีอันเป็นไปในวันนี้หรือวันพรุ่ง เพราะฉะนั้นก็เลยขอฟังธรรมะเดี๋ยวนี้เลย พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธเป็นครั้งที่ 3 พาหิยะก็ยังยืนยัน อ้างถึงความไม่เที่ยงของชีวิต พระองค์คงเห็นว่าพาหิยะ ได้พักบ้างแล้ว และใจเริ่มสงบแล้ว ก็เลยแสดงธรรมว่า เมื่อใดเห็นสักแต่ว่าได้เห็น เมื่อใดได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อใดทราบสักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งในอารมณ์สักแต่ว่ารู้แจ้งในอารมณ์ เมื่อนั้นตัวเธอจะไม่มี ไม่มีทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และระหว่างโลกทั้งสอง เมื่อนั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ พาหิยะได้ฟังก็บรรลุธรรมทันที กลายเป็นพระอรหันต์ เป็นคนที่รู้ธรรมเร็วมาก เสร็จแล้วก็เลยตัดสินใจจะออกบวช พระพุทธเจ้าก็ถามว่ามีบาตร มีจีวรหรือยัง พาหิยะก็บอกว่าไม่มี ก็เลยรีบไปหา พอก้าวออกไปไม่กี่ก้าว วัวแม่ลูกอ่อนกำลังดุ พอมันเห็นมันก็เลยขวิดท่านพาหิยะตายคาที่ กลายเป็นว่าไม่มีโอกาสได้บวช แต่ก็ไม่สำคัญเพราะว่าท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะที่รู้ธรรมหรือตรัสรู้ธรรมได้รวดเร็วฉับพลัน พระพุทธเจ้ากล่าวไม่กี่ประโยคก็ตรัสรู้เลย แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็อย่างที่ว่า ถ้าหากท่านพาหิยะไม่รบเร้าขอฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าในตอนนั้น ก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะว่าตายเสียก่อน ที่ท่านพูดไว้ ในแง่หนึ่งเป็นการแสดงถึงความไม่ประมาทในชีวิต และเหมือนกับว่ารู้ชะตากรรมล่วงหน้า ที่กล่าวว่าขอฟังธรรมเดี๋ยวนี้เลย เพราะไม่รู้ว่าวันนี้วันพรุ่งจะตายหรือไม่ หรือพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานหรือไม่ ถ้าหากว่าท่านพาหิยะผัดผ่อนก็อาจจะไม่รู้ธรรมเลยก็ได้
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า ประการที่หนึ่ง ความตายเกิดขึ้นได้ไม่มีเวล่ำเวลา สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วมาก ประการที่สอง สิ่งดี ๆ ของดีอย่าผัดผ่อน ถ้ามีโอกาสก็รีบทำทันที คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักเรื่องนี้สักเท่าไร คิดว่าตนเองยังอยู่ได้อีกนาน มันเป็นธรรมชาติของคนเราแม้แต่แก่ ๆ อายุ 70 ปียังคิดว่ายังไม่ตายง่าย อย่างที่พูดเมื่อวาน ลูกชวนแม่อายุ 80 ปีกว่า เข้าวัดฟังธรรมจะได้พร้อมเผชิญความตาย แต่แม่ก็บอกว่า วันหลังแล้วกัน แม่ยังอยู่อีกนาน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น เวลาลูกจะควบคุมอาหารไม่ให้แม่กินข้าวเหนียวทุเรียน แม่วิงวอนร้องขอ ให้แม่ได้กินเถิด อ้างเหตุผลว่า อีกไม่นานแม่ก็ตายแล้ว เวลาจะกินของดี ๆ ก็อ้างว่าใกล้ตายแล้ว แต่เวลาจะชวนเข้าวัดก็อ้างว่ายังอยู่ได้อีกนาน อันนี้เรียกว่าประมาท ขนาดอายุ 80 ปีกว่าแล้วยังประมาท นับประสาอะไรกับคนที่ยังหนุ่มยังแน่น เพราะว่าความประมาททำให้คนตายมานักต่อนักแล้ว คนเราก็รู้ว่าเราต้องตาย และก็รู้ว่าความตายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มักจะหาข้ออ้าง
มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าว่า กลับไปเยี่ยมบ้าน บ้านอยู่ต่างจังหวัด ช่วงสงกรานต์ ก็อยู่กับน้องชาย คุยกับน้องชายพักใหญ่ประมาณวันสองวัน ตอนเช้าน้องชายจะขี่มอเตอร์ไซด์เข้าไปในหมู่บ้าน พี่สาวเป็นพยาบาลก็เลยสนใจเรื่องความปลอดภัยก็เลยบอกน้องชายให้สวมหมวกกันน็อค น้องชายปฏิเสธ บอกว่าคนเราถ้ามันถึงคราวตายมันก็ตาย พูดเหมือนกับว่า ถึงแม้นจะใส่หมวกกันน็อค ถ้ามันถึงคราวตายมันก็ตาย แต่ที่จริงพูดอย่างนี้อันที่จริงไม่ใช่อะไรหรอก เป็นข้ออ้างว่าตัวเองจะได้ไม่ต้องใส่หมวกกันน็อค เพราะในใจคิดว่ายังไงฉันยังไม่ตายหรอก ฉันยังหนุ่ม อายุแค่ไม่ถึง 30 ปี ขี้เกียจใส่หมวกกันน๊อคแล้วก็เชื่อว่าตัวเองยังไม่ตาย ก็เลยอ้างให้เหตุผลว่า คนเราเมื่อถึงคราวตายมันก็ตาย ฟังดูมันเหมือนธรรมะ แต่ว่าเหตุผลหรือแรงจูงใจที่พูด เพราะลึก ๆ เชื่อว่าตัวเองยังไม่ตายและขี้เกียจใส่หมวกกันน็อค ปรากฏว่า ขี่จักรยานได้ไม่ถึง ๕ นาทีก็แหกโค้งชนเสาไฟฟ้าตาย พี่สาวเสียใจมาก ช็อคเลย เพราะว่าเพิ่งคุยกับน้องชายหยก ๆ ว่าให้ใส่หมวกกันน็อค คนเราบ่อยครั้งมันประมาท และเหตุผลที่ประมาทเพราะว่าเป็นหนุ่ม เป็นสาว มีสุขภาพดี แต่ความตายมันอยู่ใกล้ตัวเรามาก
มันมีคำพูดที่เป็นภาษิตของชาวทิเบตที่บอกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าระหว่างวันพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คนมักคิดว่ากว่าชาติหน้าจะมาก็ต้องมาวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้มาก่อนชาติหน้ามาทีหลัง แต่ไม่แน่ หลายคนพ้นจากวันนี้หลายคนก็กลายเป็นชาติหน้าแล้ว มีคนประมาณแสนห้าหมื่นคน วันนี้คือวันสุดท้ายของเขา พ้นจากวันนี้ไปก็คือชาติหน้าแล้วทั่วโลก พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าแล้ว เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่ เพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว แต่ถ้ายังไม่ข้ามวันมันก็มีโอกาสที่จะมีอันเป็นไปหรือตายได้ทั้งนั้น ดังนั้นความไม่ประมาทกับชีวิต มันเป็นสิ่งที่จะต้องมีอยู่ประจำใจอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าในยามที่มีความสุข มีสุขภาพดี
มีคำสอนของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าอนาคตภัย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนาคตภัย 5 ประการ พระพุทธเจ้าสอนพระแต่ที่จริงเอามาใช้กับญาติโยมได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าในยามที่เป็นหนุ่ม มีกำลังวังชา ก็ขอให้ระลึกว่า สักวันหนึ่งเราก็อาจจะแก่เฒ่า ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ถึงตอนนั้นก็จะปฏิบัติธรรมได้ลำบาก เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังเป็นหนุ่มมีกำลังวังชาก็ให้รีบปฏิบัติธรรม ประการที่สองในขณะที่เรามีสุขภาพดี มีทุกข์เวทนาน้อย ก็ให้ระลึกว่าวันหน้าเราอาจจะเจอโรคภัยไข้เจ็บ ถึงตอนนั้นเราจะปฏิบัติธรรมได้ยาก เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้รีบทำเสีย ประการที่สาม ในขณะที่เรายังมีอาหารกินไม่ขาดแคลน ก็ให้ระลึกว่าวันหน้าข้าวปลาอาหารจะหาลำบากถึงตอนนั้นการปฏิบัติธรรมก็เป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นรีบทำเสียแต่วันนี้ ประการที่สี่ ในขณะที่บ้านเมืองยังปกติสุขอยู่ ก็ให้ระลึกว่าวันหน้าจะเกิดความวุ่นวาย เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม เกิดศึกสงคราม ถึงตอนนั้น จะปฏิบัติธรรมลำบาก ผู้คนก็อาจจะเข้ามาพักในวัด ไม่มีความสงบสุข บรรยากาศไม่เอื้อกับการปฏิบัติ ต้องทำเสียแต่วันนี้ ข้อที่ห้า พระสงฆ์ หมู่สงฆ์ยังมีความสามัคคีกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็ขอให้ตระหนัก ว่าวันหน้าอาจจะทะเลาะเบาะแว้งกัน อาจจะเกิดเรื่องกินแหนงแคลงใจกัน ถึงตอนนั้นปฏิบัติธรรมลำบาก เพราะฉะนั้นให้รีบปฏิบัติธรรมะเสียตั้งแต่วันนี้
อันนี้เป็นคำสอนที่เป็นการมองถึงอนาคต ว่าอะไร ๆ นั้นไม่แน่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกว่า ห้ามมองถึงอนาคต มันมีบทสวดบทหนึ่ง ที่เราได้สวดเมื่อสองสามวันก่อน บุคคลไม่ควรคิดลวงตามไปถึงซึ่งอาลัย และไม่พะวงถึงสิ่งที่มาไม่ถึง อันนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรคิดถึงอดีต คิดได้แต่ต้องคิดให้เป็น ไม่เกิดความหลง เกิดความอาลัยอาวรณ์ คิดเพื่อให้หาบทเรียน อย่างจอห์น โรเจอร์ เขาคิดถึงอดีตที่ผ่านไปว่ามันมาสอนเรา และไม่ได้ห้ามคิดถึงอนาคต แต่ต้องไม่คิดด้วยความหลง คือคิดไม่เป็นนึกถึงอนาคตด้วยความพะวง ความห่วงกังวล แต่ถ้าคิดเพื่อเตือนใจให้ไม่ประมาท กระตุ้นเตือนให้รู้จักวางแผน อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีควรทำ
การอยู่กับปัจจุบัน เป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ได้แปลว่าไม่ให้นึกถึงอดีต ไม่ให้นึกถึงอนาคต นึกได้ แต่ต้องนึกให้เป็น นึกด้วยสติ ปัญญา เพื่อหาบทเรียนในอดีต และเตือนใจไม่ให้ประมาท ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องเข้าใจว่าการคิดถึงอนาคต คิดได้ ไม่ใช่ว่าสอนให้อยู่กับปัจจุบันแล้วห้ามคิดถึงอนาคต คิดถึงอนาคตเพื่อเตือนใจไม่ประมาท จะได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่วันนี้ ก็คือ คิดเพื่อให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มันต้องโยงมาถึงปัจจุบัน ถ้าเราจะคิดถึงอดีต อนาคต จุดมุ่งหมายเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุดหรือทำสิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน หรือทำเสียตั้งแต่วันนี้ ไม่ผัดผ่อนหรือไม่ประมาทว่าเรายังหนุ่มยังสาว ไม่ประมาทว่าเรายังไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ประมาทว่าเรามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ไม่ประมาทว่าบ้านเมืองยังปกติสุข ไม่ประมาทว่าหมู่สงฆ์ ชุมชนสงฆ์ยังอยู่กันอย่างเรียบร้อย เพราะอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นฟังไว้แล้วก็ลองใคร่ครวญกับชีวิตของเรา เพื่อตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต