แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า เงินเป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว หมายความว่าถ้าเราใช้เงิน รู้จักใช้ มันก็ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ทั้งกับตัวเราเองและกับผู้อื่นและส่วนรวม แต่ถ้าเกิดว่าเราปล่อยให้เงินครอบงำจิตใจ จนมันกลายเป็นนายเรา อันนี้ก็จะเกิดความทุกข์ และอาจถึงขั้นความหายนะได้ เราคงได้ยินคนที่หลงใหล ยึดมั่นเอาเงินเป็นสรณะ จนกระทั่งไปขโมย ไปปล้น ไปฆ่า คนเหล่านี้เขาต้องการเงิน เงินมันชักจูงให้เขาทำสิ่งเหล่านั้น อันนี้เรียกว่าเงินได้กลายเป็นนายเขาไปแล้ว และเมื่อกลายเป็นนายก็สามารถจะทำให้เขาทำความชั่วอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่แค่ปล้น ไม่ใช่แค่โกง บางครั้งก็ถึงกับฆ่าพี่ฆ่าน้องเพื่อแย่งชิงมรดก หรือบางทีก็ถึงขั้นฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เพราะต้องการทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่
พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเงิน เห็นว่าเงินก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะถ้ารู้จักหาเงินด้วยวิธีการที่ชอบธรรม หามาได้แล้วก็ต้องใช้ ถ้าไม่ใช้พระพุทธเจ้าก็ตำหนิด้วยซ้ำ ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีในเมืองสาวัตถีที่ร่ำรวยมาก แต่ว่าอยู่อย่างตระหนี่ถี่เหนียว กินข้าวปลายหัก กินแบบอด ๆ อยาก ๆ ก็ว่าได้ เสื้อผ้าก็ปุปะ ไม่ได้แบ่งให้ใครใช้เลย พอตายก็ปรากฏว่ามีเงินทองเยอะมากมาย สุดท้ายก็ตกเป็นของหลวง เพราะว่าประเพณีของอินแดียสมัยก่อน ถ้าไม่มีทายาทสมบัติก็ตกเป็นของหลวงไป เข้าพระคลังหลวง พระพุทธเจ้าก็ตำหนิเศรษฐีคนนี้ว่าเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้จักใช้เงินให้เกิดประโยชน์ คือ เลี้ยงตัวเองให้มีความสุข และเลี้ยงผู้อื่น เช่น ลูกหลาน พ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ บริษัท บริวาร รวมทั้งนำเงินนั้นไปช่วยอุปถัมภ์สมณะชีพราหมณ์ พูดง่าย ๆ คือ ช่วยส่งเสริมศาสนา แล้วก็เกื้อกูลส่วนรวม
บางคนเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาปฏิเสธเงิน แต่ความจริงไม่ใช่ มันอยู่ที่ว่าเรามีท่าทีกับเงินอย่างไร ถ้าเรารู้จักใช้ก็เกิดประโยชน์มาก แต่ถ้าเราปล่อยให้มันกลายมาเป็นนายเรา อันนั้นคือเกิดความเดือดร้อนขึ้นมา ไม่ต้องถึงกับไปฆ่าไปแกงใคร เพียงแค่เงินหายแล้วทุกข์ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือว่าให้เงินเพื่อนยืมไปและเพื่อนไม่คืน จะเป็นพันเป็นหมื่น หรืออาจจะแสนก็ตาม เสร็จแล้วก็เสียใจ คับแค้น ไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ปล่อยให้ร่างกายผ่ายผอม อันนี้ก็ถือว่ากำลังปล่อยให้เงินเป็นนายเรา โทรศัพท์หายเรากลุ้มอกกลุ้มใจ ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่ามันเป็นนายเรา ไม่ใช่เราเป็นนายมัน สร้อยเพชร รถยนต์ ถูกขโมยไป เราเป็นยังไง ตรอมตรมไหม ถ้าเราตรอมตรม กลุ้มอก กลุ้มใจ หรือบางทีโทษคนนู้นโทษคนนี้ ไม่ต้องรถหาย เพียงแค่ลูกขีดรถเป็นรอย ก็โกรธลูก จนตีลูก อันนี้ก็ถือว่าไม่ได้ใช้รถแล้ว ไม่ได้เป็นนายของรถแล้ว ปล่อยให้รถเป็นนายเรา นอกจากเงินจะเป็นบ่าวที่ดี เป็นนายที่เลวแล้ว
ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศ อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลว คือถ้าได้ยศ ได้ตำแหน่ง หรือว่ามีฐานะ มีอำนาจ แล้วใช้มันให้เกิดประโยชน์ อันนี้ก็ถือว่าเป็นนายมัน มันเป็นบ่าวของเรา แต่ถ้าเกิดว่ายอมทำชั่วเพื่อมัน ยอมทำชั่ว ยอมหักหลังเพื่อน เลื่อยขาเก้าอี้ใครต่อใครเพื่อให้ตัวเองได้มีฐานะตำแหน่งสูงขึ้น หรือว่าใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง อันนี้แสดงว่ามันกำลังเป็นนายของเรา มันสามาถที่จะบงการให้เราทำชั่วได้นี้ก็เป็นอื่นไปไม่ได้ แสดงว่ามันเป็นนายเรา และเราเป็นบ่าวหรือเป็นทาสของมัน พุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เพียงแต่ว่าอย่าไปยึดติด ถือมั่นกับมันจนกระทั่งมันกลายเป็นนายเรา บางคนอาจจะไม่ถึงกับทำชั่ว หรือคดโกงกลั่นแกล้งเพื่อน ๆ เพื่อให้ตัวเองได้มีตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่เวลาที่ตัวเองต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือว่าต้องออกจากยศถาบรรดาศักดิ์ และมีความเศร้า มีความเสียใจ หรือว่าถูกคนเขาแย่งชิงตำแหน่งไปแล้ว ก็เสียใจ คับแค้นใจ นี้ก็ถือว่ามันกำลังเป็นนายเรา เรากลายเป็นบ่าวของมัน เราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เวลาถูกเลื่อนตำแหน่งให้ อาจจะเคยเป็นผู้จัดการ อาจจะเคยเป็นหัวหน้า แล้วถูกลดชั้นลงก็เสียใจ กราดเกรี้ยว อันนี้ก็แสดงว่ามันเป็นนายเราแล้ว
มีเรื่องเล่าว่า มีผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง อยู่ในจังหวัดที่ใหญ่พอสมควร ก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นพ่อเมืองของจังหวัดนั้น เพราะเป็นจังหวัดระดับเอ แต่ว่าพอเกษียณก็เสียใจ หงอยเหงาเพราะไม่มีคนห้อมล้อมเหมือนแต่ก่อน ก็อยู่แบบหงอย ๆ เซื่องซึม อันนี้เรียกว่าจมไม่ลง วันหนึ่งมีจดหมายมาเชิญให้ไปยังจังหวัดที่ตัวเองเคยเป็นผู้ว่าฯ ก็ดีใจ ดีใจที่จะได้ไปพบลูกน้อง ดีใจที่จะได้ไปเจอบรรยากาศเก่า ๆ ที่มีความสุข แต่พอไปถึงแล้วก็ผิดคาด เพราะว่าลูกน้องที่เคยมาห้อมล้อมก็ไม่สนใจใยดี เขาก็ไปห้อมล้อมผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน พ่อค้าวาณิชที่เคยมาแห่แหน เคยเอาของมาให้ เคยมาทักทาย เขาก็ไม่ค่อยได้มาสนใจเท่าไร เขาก็ไปห้อมล้อมแห่แหนผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน แกก็ถึงขั้นที่เรียกว่าช็อคเลย อกหักไปเลย ผิดหวังมาก กลับไปบ้านก็เสียใจยิ่งกว่าเดิม เรียกว่าตรอมใจเลย และไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรือเปล่าจึงทำให้แกอายุสั้น อยู่ไม่นานก็ตาย หกสิบต้น ๆ เท่านั้นเอง อันนี้ก็แสดงว่า ปล่อยให้ยศถาบรรดาศักดิ์กลายเป็นนายของตัวไปแล้ว ถ้าเราเป็นนายมัน มันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ใจได้ เราก็มีแต่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาต้องหลุด หรือต้องวางก็วางได้ เรื่องนี้เราอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว แต่ที่จริงยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่มันเป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว สิ่งนั้นก็คือ ความคิด
ความคิด เป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว ให้ลองพิจารณาดี ๆ จริงอยู่ที่เราต้องใช้ความคิดในการทำการงานต่าง ๆ เราจะมีชีวิตที่ปกติสุข เจริญงอกงาม ก็ต้องอาศัยความคิด โดยมีความรู้เป็นอุปกรณ์ มีความรู้แล้วก็ใช้ความคิดนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ ความคิดก็พาเรามาที่นี่ พาเรามาปฏิบัติ ความคิดเป็นสิ่งที่จะช่วยเราแก้ปัญหา เวลาเรามีปัญหาเราก็อาศัยความคิดนี้แหละเพื่อหาทางออก เวลาเพื่อนเรามีปัญหา เราก็ใช้ความคิดของเราไตร่ตรองเพื่อช่วยพาเพื่อนเราออกจากความทุกข์ ความคิดมีประโยชน์แน่นอน ตราบใดที่เราเป็นนายมัน แต่ถ้าเราเผลอปล่อยให้มันเป็นนายเราเมื่อไรก็แย่ ลองสังเกตดูว่าชีวิตเราในแต่ละวันเราปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรามากน้อยแค่ไหน เวลาเรานอน เรานอนหลับไหม ถ้านอนไม่หลับ เพราะว่าความคิดฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่ นี้แสดงว่ามันเป็นนายเราแล้ว เพราะถ้าเราเป็นนายมัน เราต้องสั่งให้มันหยุดได้ เราต้องรู้จักวางมันลงได้ เหมือนเครื่องมือ มันเป็นประโยชน์เพราะเรารู้จักใช้ ถึงเวลาใช้เราก็หยิบมันขึ้นมา ถึงเวลาไม่ใช้เราก็วางมันลง อันนี้เรียกว่าเราเป็นนายความคิด เมื่อถึงเวลาเราก็ใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหา เพื่อทำความเข้าใจผู้คน ซึ่งเกิดประโยชน์กับเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่ความคิดมันปั่นหัวเราไม่หยุด อันนี้แสดงว่ามันเป็นนายเราแล้ว
เวลาที่เราเจริญสติเราคงจะเห็นเลยว่า ความคิดนี้มันพาเราไปไหนเตลิดเปิดเปิง มันพาเราให้ไปจมอยู่กับอดีต เศร้า เสียใจ รู้สึกผิด โกรธแค้น อารมณ์นี้ทำให้ทุกข์ไหม ไม่มีใครปฏิเสธว่ามันทำให้ทุกข์ แต่ทำไมก็ยังคิดอยู่ ยังคิดจมกับเรื่องนั้นอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งแค้น ยิ่งคับใจ แต่ทำไมยังไม่หยุดคิด แล้วก็หยุดคิดไม่ได้ นั่นแหละแสดงว่ามันเป็นนายเราแล้ว บางคนก็กังวล กังวลเรื่องลูก กังวลเรื่องหลาน เมื่อวานก่อนก็มีโยมพาแม่มา แม่อายุประมาณเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้ว ลูกสาวก็อยากให้แม่ปล่อยวาง ลูกสาวอยากให้แม่หายห่วงเลิกห่วงลูกสาว แม่ก็บอกมันหยุดห่วงไม่ได้ มันยังห่วงอยู่นั่นแหละ อันนี้ก็เป็นอาการที่แสดงว่า ความคิดมันเป็นนายเรา เพราะว่าที่ห่วง เพราะห่วงก็เลยต้องคิดถึงเขาอยู่เรื่อย ๆ เขาก็อยู่สุขสบายดี ก็คิดไปทางวิตกจริตว่าเขาจะเป็นทุกข์ เขาจะลำบากไหม สิ่งที่คิดมันไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงเลย แต่ก็หยุดคิดไม่ได้ คิด ๆ จนนอนไมหลับ ลูกสาวก็บอกว่าถ้าห่วงมาก ๆ บางทีตายก็ไม่สงบ แม่ก็รู้แต่บอกว่ามันหยุดห่วงไม่ได้ ห่วงเพราะอะไร ห่วงเพราะคิด พอคิดไปในทางร้ายก็เกิดวิตก เกิดกังวลขึ้นมา อันนี้ก็เรียกว่าความคิดเป็นนาย เราเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ห่วงลูก แต่ห่วงนั้นห่วงนี้ ห่วงงานการ มาถึงที่นี่แล้วก็ยังคิดถึงเรื่องงานการ บางทีก็คิดถึงลูก คิดถึงพ่อแม่ คิดแล้วก็เศร้า กังวล หรือบางทีก็คิดถึงเพื่อนที่เขาทำไม่ดีกับเรา ก็เกิดความเสียใจ เกิดความคับแค้น เกิดโทสะ เดินจงกรมไปก็คิดไป คิดเป็นวรรคเป็นเวร ทำไมถึงคิดไม่รู้จักหยุดทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเรากำลังมาเดิน มาเจริญสติ นั่นก็เพราะมันกลายเป็นนายเราไปแล้ว คนเรานี้ถ้าหากว่าปล่อยให้ความคิดเป็นนาย มันก็จะหลงเชื่อความคิดทุกอย่างเลย มันจะพาไปไหนก็ไปกับมัน มันจะสั่งให้ด่าก็ด่า มันสั่งให้ว่าให้ทำร้ายก็ว่าก็ทำร้าย อันนี้มันเป็นเพราะว่าปล่อยให้ความคิดมันเป็นนายเรา สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าความคิดกำลังเป็นนายเรา ก็คือ การที่เราหลงเชื่อความคิดทุกอย่าง มันคิดอะไรก็ทำตามมัน และนั่นแหละคือที่มาของความทุกข์ และก็อาจจะเป็นที่มาของการสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นด้วย
เมื่อสัก 20-30 ปีก่อนนี้ สมัยที่หลวงพอคำเขียนยังอยู่ที่ท่ามะไฟหวาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเพิ่งบวชใหม่ ๆ พี่ชายพามาให้มาปฏิบัติกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็รับเขาเอาไว้ แล้วก็ให้เขาเดินจงกรม เขาก็เดินแบบไม่ค่อยตั้งใจเท่าไร ดูไม่ค่อยเต็มใจกับการปฏิบัติ ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็มาขอสึก หลวงพ่อก็ไม่ยอมสึกให้ ให้เขาไปเดินจงกรมต่อ เดินไปสักพักไม่ถึงชั่วโมงก็กลับมาอีก จะขอสึกอีกแล้ว และก็บอกว่าที่เขามาบวชนี้ ไม่ได้มาบวชเพื่อปฏิบัติ หรือเพื่อเดินจงกรม เขามาบวชเพราะพี่ชายขอให้บวช ตอนนี้เขาก็บวชแล้วจะสึกแล้ว หลวงพ่อคำเขียนก็ไม่ยอม ให้เขาไปเดินจงกรมต่อ ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็กลับมาอีก รบเร้าจะขอสึกให้ได้ ทีนี้หลวงพ่อก็เลยถามเขาว่า อะไรทำให้ท่านมาหาผม เขาก็คิดสักพัก และก็บอกว่าความคิดครับ หลวงพ่อคำเขียนก็เลยถามเขาว่า ถ้ามันคิดแล้วทำตามความคิดทุกอย่างจะไม่แย่หรือ? แล้วท่านก็ไม่สึกให้ พระรูปนั้นก็ไม่พอใจ วันรุ่งขึ้นเช้าตรู่ พอเขาเห็นหลวงพ่อคำเขียนมา เขาก็รีบเดินมาหาท่าน แต่คราวนี้ไม่ได้รบเร้าขอสึกแล้ว มากราบเพื่อขอบคุณ ขอบคุณหลวงพ่อที่ไม่สึกให้เขา เขาบอกว่าถ้าเขาสึกไปเขาต้องไปฆ่าคนแน่นอน เพราะว่าตลอดสองสามวันที่เดินจงกรม คิดแต่เรื่องจะฆ่าคนสองคน คงเป็นภรรยากับชู้ เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาเงิน หาปืนจากไหน จะไปฆ่าอย่างไร ฆ่าแล้วจะเอาปืนไปทิ้งที่ไว้ไหน และจะหนีอย่างไร คิดวางแผนไว้หมดเลย แต่เป็นเพราะหลวงพ่อห้ามเขาเอาไว้ และก็พูดท้วงเขาด้วยว่าถ้าทำตามความคิดทุกอย่างไม่แย่หรือ? เขาก็เลยได้สติขึ้นมา ก็เลยตัดสินใจไม่สึก และก็มาขอบคุณหลวงพ่อ
พระรูปนั้นในที่สุดก็ไม่ได้สึก และบวชต่อไปอีกเป็นสิบปี อันนี้เป็นตัวอย่าง ถ้าคนเราทำตามความคิดแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นตามมา คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักทักท้วงความคิดเท่าไร พอคิดปุ๊บก็ทำตามมันปั๊บเลย ไม่ว่าจะทำตามด้วยการคิดเตลิดเปิดเปิงไป หรือว่าทำตามที่มันสั่ง เราต้องรู้จักทักท้วงความคิด แต่ถ้าเกิดว่าเราปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา เราก็จะทำตามความคิดทุกอย่างเลย ในทางตรงข้ามถ้าเกิดว่าเราเป็นนายมัน เราจะสามารถเลือกเฟ้นได้ว่า หรือใคร่ครวญว่า อันไหนดี อันไหนไม่ดี อันไหนควรทำตาม อันไหนไม่ควร เราเคยทักท้วงความคิดบ้างรึเปล่า หรือว่าเราทำตามความคิดทุกอย่างเลย ถ้าความคิดเป็นบ่าวของเรา เราต้องรู้จักทักท้วงมัน แล้วคนทุกวันนี้คิดเก่งก็จริง แต่คิดไป คิดไป กลายเป็นว่ามันเป็นนายเรา แทนที่เราจะเป็นนายมัน คิดเก่งจนกระทั่งหยุดคิดไม่ได้ แล้วก็เลยนอนไม่หลับ กินก็คิด เข้าห้องน้ำก็คิด นอนก็คิด ฝันก็ยังคิดต่อ เรียกว่ากลางคืนฝัน กลางวันฟุ้ง กลางคืนฝันนั้นไม่เป็นไร แต่ตอนกลางวันนี้ทำอะไรก็ยังคิดไม่หยุด คนทุกวันนี้ภูมิใจในความคิดของตัว หารู้ไม่ว่าปล่อยให้มันเป็นนายเราไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ถ้าเราเป็นนายมันเราต้องรู้จักทักท้วง ทักท้วงมันได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้มันเป็นนายเรา ก็ตามมันตะพึดตะพือ เชื่อมันทุกอย่าง
สมัยที่หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็มีญาติโยมมาปฎิบัติกับท่านเยอะ ชาวบ้านทั้งผู้ชายและผู้หญิง โยมผู้หญิงหลายคนก็มาขอบวชชีกับท่าน บางคนจะเรียกว่าบวชด้วยศรัทธาก็ไม่เชิง อย่างเช่นไปทะเลาะกับสามีมา ก็หอบผ้าหอบผ่อนมา มาหาท่านบอกว่าจะขอบวชชี แล้วก็พูดถึงขั้นว่าจะบวชตลอดชีวิตแล้ว เพราะว่าเบื่อแล้วกับชีวิตครอบครัว มันมีแต่ทุกข์ หลวงพ่อก็มักจะทัดทานเขาว่าอย่าเพิ่งคิดอย่างนั้น ให้ลองมาบวชดูสักสองสามวัน หรือว่าสองสามอาทิตย์ดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบวชตลอดชีวิตหรือไม่ หลายคนก็จะบอกว่าตัดสินใจแน่นอนแล้วต้องบวชตลอดชีวิต ไม่สึกแล้ว ปรากฏว่าบวชได้สองสามวัน หรือบางทีสองสามอาทิตย์ ผัวมาของ้อ ไม่ทันไรเลยก็หอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านเลย ก็เป็นเช่นนี้บ่อยมากเลย ประเภทบวชตลอดชีวิตเสร็จแล้วพอแฟนมาคืนดีด้วยก็เปลี่ยนใจ ใจอ่อน หลวงพ่อท่านก็เลยพูดว่า อย่าไปเชื่อมันจิตนี่ จิตในที่นี้ก็คือความคิด แต่ที่ส่วนใหญ่ก็เชื่อ เพราะว่ามันกลายเป็นนายของตัวเองไปแล้ว ก็เลยทำตามที่มันสั่งทุกอย่าง เราหลงเชื่อความคิดไป จนกระทั่งเกิดปัญหามากมาย กี่ครั้งกี่หนแล้ว บางคนเห็นแฟนอยู่กับผู้ชายในร้านกาแฟสตาร์บัคเสียด้วย ดูท่าทางมีความสุขมาก เขาไม่เคยคุยกับเรามีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย ก็ปักใจเชื่อว่าแฟนเรากำลังนอกใจ พอเจอแฟนที่บ้านก็เลยทะเลาะกัน แฟนก็บอกไม่ใช่ ไม่ได้นอกใจ นั่นเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนไม่ได้เจอกันมานาน สามีก็ไม่ยอมก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งบางทีเกิดความระหองระแหง ความจริงอาจจะเป็นอย่างที่ฝ่ายหญิงพูดก็ได้ว่าไม่ได้นอกใจ แค่เจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานเท่านั้นเอง แต่พอปักใจเชื่อแล้วมันก็ไม่ยอมฟังทั้งสิ้น อันนี้ก็เรียกว่าหลงเชื่อความคิด ปล่อยให้ความคิดกลายเป็นนายเรา โดยที่ไม่รู้จักทักท้วง
เวลามันมีความคิด หรือข้อสรุปใด ๆ เกิดขึ้น เราเชื่อมันทุกอย่างรึเปล่า ประสบการณ์ของเราก็อาจจะบอกด้วยซ้ำว่าบางอย่างก็เชื่อไม่ได้ บางอย่างเราด่วนสรุปไป เสร็จแล้วก็พบว่าที่เราสรุปนั้นมันไม่ใช่ แต่เราก็มักจะเผลอด่วนสรุปไปโดยที่ไม่ทันคิด มีผู้ชายคนหนึ่งเขาเล่าว่า วันหนึ่งเขาขับรถไปลำปาง เส้นทางไปลำปางก็เป็นเส้นทางคดเคี้ยว เพราะว่ามันต้องขึ้นเขาด้วย มีช่วงหนึ่งขณะที่เขาขับรถด้วยความเร็ว ก็มีรถคันหนึ่งพ้นเหลี่ยมเขา ซึ่งเป็นทางโค้งแล่นตรงมาหาเขาด้วยความเร็ว แล้วรถนั้นก็ส่ายไปส่ายมา จนกระทั้งมากินเลนในฝั่งของเขา เขาก็เลยต้องรีบเหยียบเบรคหักรถหลบข้างทาง ปรากฎว่ารถคันนั้นคนขับเป็นผู้หญิง ก่อนที่รถจะแล่นผ่าน คนขับก็ชะโงกหน้าออกมาที่หน้าต่างตะโกนว่า ควาย เขาโกรธมากเลย คนที่เล่านี้เขาก็ตะโกนด่าออกไปเลย อีควาย หนอยแน่ขับรถผิดกฎจนจะเกิดอุบัติเหตุล้ำเข้ามาในเลนเขา แล้วนี่ยังมาด่าเขาอีก ยังดีที่ด่าทันก่อนที่เขาจะแล่นผ่านเลยไป คราวที่กำลังกรุ่น ๆ อยู่ก็ขับรถต่อไป ปรากฏว่าพอหักเลี้ยวโค้งก็ไปเจอควายฝูงใหญ่เลย เบรคไม่ทัน ชนไปไม่รู้ควายตายรึเปล่า แต่รถก็บุบไป เขาเลยได้คิดว่า อ๋อที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเตือนเขาว่าควายอยู่ข้างหน้า แต่เวลามันสั้นนิดเดียวเขาเลยพูดได้ไม่มาก แทนที่จะบอกว่าระวังควายอยู่ข้างหน้า ก็พูดว่าสั้นๆ ว่าควาย อาจจะเป็นคนจากภาคใต้ก็ได้ พูดสั้น ๆ แต่ว่าสรุปแล้ว เชื่อแล้ว ว่าเขาด่าเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องด่ากลับ ก็ด่าอีควาย เขาเตือนเราด้วยความหวังดี แต่เรากลับไปคิดว่าเขาด่าเรา ทั้งนี้ก็เพราะไปหลงเชื่อความคิด ไปด่วนสรุป แล้วคนเรานี้สร้างความทุกข์ให้กันและกันเพราะการด่วนสรุปเช่นนี้มากทีเดียว
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่า เคยมีเด็ก ๆ อายุสักสี่ห้าขวบป่วยหนัก พ่อพามาก็ต้องแอดมิททันที และหมอก็บอกพ่อว่า เวลาหมอขึ้นเวรตอนเช้า ให้อยู่ด้วย เพราะว่าถ้ามีอะไรจะได้บอกพ่อให้ช่วยดูแลลูก เพราะลูกยังเด็กไง พ่อของเด็กก็รับปาก วันแรกหมอขึ้นเวรก็ไม่มีอะไร พ่อก็อยู่ วันที่สองก็พ่อก็ยังอยู่ วันที่สามก็ยังอยู่ แต่พอวันที่สี่พ่อหายไปแล้ว ไม่อยู่ หมอก็ยังไม่ว่าอะไร วันที่ห้าขึ้นเวรอีกพ่อก็ไม่อยู่ หมอชักไม่พอใจแล้ว พอตกเย็นหมอเจอหน้าพ่อของเด็ก ก็ต่อว่าเลยว่าทำไมไม่อยู่ดูแลลูกตอนที่หมอขึ้นเวร ลูกของคุณอาการหนัก คุณควรจะใส่ใจ ควรจะรับผิดชอบมากกว่านี้ ปรากฎว่าพ่อของเด็กก็ยกมือไหว้เลย บอกว่าหมอผมขอโทษด้วยครับ แต่ว่าข้าวที่ผมเอามามันหมด สามวันก็หมดแล้ว ผมไม่มีข้าวเหลือเลย ต้องไปกินข้าววัด วัดใกล้ ๆ โรงพยาบาล กว่าจะได้กินข้าวก็ต้องรอให้พระฉันเสร็จ ฉันเสร็จ ตัวเองกินข้าวเสร็จก็ต้องเก็บถ้วยล้างชาม กว่าจะเสร็จกลับมาที่โรงพยาบาลก็ไม่เจอหมอแล้ว หมอได้ฟัง หมอก็เสียใจว่าเราอุตสาห์ไปว่าเขา ว่าเขาไม่รับผิดชอบ ทั้งที่จริงเขาน่าสงสาร เขายากจน มาที่นี่ก็เอาข้าวติดตัวมา เงินก็มีไม่เท่าไร ข้าวหมดก็ต้องไปพึ่งวัด เขาก็ได้บทเรียนว่า ก่อนจะว่าใคร ก่อนจะตำหนิใคร มันต้องไต่ถามให้รอบคอบก่อน อย่าไปด่วนสรุป อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของคนที่เชื่อความคิด ไม่รู้จักทักท้วงความคิด หรือว่าไม่คิดเผื่อบ้าง เช่น ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าหากเป็นคนที่รู้จักความคิดดี จะไม่เชื่อความคิดทุกอย่าง เขาจะลองคิดเผื่อดูว่าพ่อหายไปไหน อาจจะเป็นพราะเขามีเหตุจำเป็นหรือเปล่า คนเราถ้าลองคิดเผื่ออย่างนี้ดูบ้าง การที่จะทะเลาะเบาะแว้งกันหรือสร้างความทุกข์ให้กันก็จะน้อยลง แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีสติ ต้องรู้จักยั้งคิด หรือยั้งจิต มันคิดขึ้นมาแว่บหนึ่งว่าพ่อคนนี้ไม่มีความรับผิดชอบ คนที่มีสติเขาจะยังไม่ด่วนสรุป เขาจะลองคิดเผื่อว่าอาจจะมีเหตุจำเป็นก็ได้ที่ทำให้พ่อไม่อยู่ อันนี้แหละที่เรียกว่า ความคิดเป็นบ่าวของเรา เราเป็นนายความคิด คือเรารู้จักไตร่ตรอง รู้จักพิจารณา รู้จักเลือกเฟ้นความคิด ไม่ใช่หลงเชื่อมันตะพึดตะพือ
การที่เรามาเจริญสตินี้ก็เพื่อที่ให้เรามาฝึกจิตจนกระทั่งสามารถเป็นนายความคิดได้ มันคิดขึ้นมาก็รู้ทัน เห็นมัน และเราคงจะประสบด้วยตัวเราเองว่า ในระหว่างที่เรามาปฏิบัติสองสามวันนี้ เรารู้ทันความคิดแค่ไหน ความคิดนี้มันพาเราให้ทุกข์เพียงใด พอมันคิดสักเรื่องหนึ่ง มันก็สามารถจะพาเราให้ลืมตัว เดินอยู่นี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังเดิน คิดไปแล้ว คิดไปไม่ใช่แค่เรื่องเดียว คิดต่อเนื่องกันเป็นสิบเรื่องก็มี บางคนเดินแค่สามเมตรนี้ยังไม่ถึงสุดทางเลย คิดไปแล้วสามเรื่อง ดีที่ว่าพอถึงสุดทางนี้หยุดแล้วก็เลี้ยว ถ้าไม่เลี้ยว ถ้าไม่หยุดก็คงคิดต่อไป แล้วความคิดมันพาให้เรารู้สึกเบื่อ มันพาให้เรารู้สึกง่วง พาให้เรารู้สึกหงุดหงิด รำคาญในระหว่างที่เราปฏิบัติ หลายคนจะรู้สึกเลยว่าเดินจงกรม สร้างจังหวะที่จริงก็ไม่มีอะไร แต่ทำไมมันยากแบบนี้ เพราะอะไร เพราะความคิดมันอยากจะดึงเราออกจากการปฏิบัติ บางทีมันก็นึกถึงอาหารที่อร่อย ไอศครีมที่ชวนกิน อันนี้เรียกว่าทำให้เกิดกามฉันทะ บางทีมันก็ฟุ้งซ่าน คิดสาระพัดร้อยแปด จนกระทั่งอยากจะเลิกปฏิบัติ อันนี้คือ อุทธัจจะกุกกุจจะ
บางทีก็เกิดความหงุดหงิดเพราะว่าไปนึกถึงเพื่อนที่เขาต่อว่า ก็ไม่พอใจ หรือเขาส่งเสียงดัง ใจเราก็ไปจดจ่ออยู่กับการกระทำ คำพูดของเขา ใจก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมา หรือบางทีเกิดความขุ่นเคือง ไม่ใช่ขุ่นเคืองกับสิ่งที่อยู่รอบตัว แต่ไปขุ่นเคืองกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ทำให้ไม่อยากปฏิบัติ อันนี้เรียกว่าเกิดพยาบาทขึ้นมา พยาบาทไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปคิดทำร้ายเขา แต่ว่ามันเป็นอาการของโทสะ บางทีเขาใช้คำว่าปฏิฆะ และที่มันรบกวนเรามากคือ ความลังเลสงสัย สงสัยว่าที่มานี้เราคิดถูกแล้วหรือ เขาพามา ไม่น่าเชื่อเขาเลย เพราะเกรงใจเขาเราถึงมา พอมาแล้วก็ทุกข์แบบนี้ คือว่าสงสัยว่าที่ทำนี้ถูกไหม อาจจะคิดว่าการปฏิบัตินี้ยังไม่เหมาะกับเราก็ได้ เรายังหนุ่มยังสาวอยู่ เอาไว้แก่แล้วค่อยมาปฏิบัติดีกว่า มันก็อยากจะเลิก นี้ความคิดทั้งนั้นแหละ อันนี้เรียกว่า วิจิกิจฉา ไม่ต้องพูดถึงความง่วงเหงา หาวนอน คือพอมันไม่คิดขึ้นมาก็ง่วงนอนแทน ให้ลองสังเกตดูมันเป็นความทุกข์เพราะความคิดทั้งนั้น แต่ที่จริงคิดแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ จะโทษว่าคนเราทุกข์เพราะความคิดก็ไม่ใช่ แต่ที่ว่าเรียกว่าทุกข์เพราะไม่รู้ทันความคิดมากกว่า ทุกข์เพราะไม่รู้ทันความคิด และความคิดมันจะฟุ้งซ่านออกมาสิบเรื่องยี่สิบเรื่องหรือร้อยเรื่อง ถ้าเรารู้ทันมัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้เลย มันเกิดขึ้นปุ๊บเรารู้ทัน มันก็สลายตัวไป แม้แต่ความหงุดหงิดเกิดขึ้น เรารู้ทันมันก็หายไป ความลังเลสงสัยเกิดขึ้น เรารู้ทันมัน มันก็ไม่สามารถจะรบกวนจิตใจเราได้ มันจะไม่สามารถจะครอบงำ กำหนด หรือบงการจิตใจเราได้ ไม่สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้เลย ถ้าหากว่าเรารู้ทันมัน การรู้ทันมันนี้แหละที่จะทำให้เราสามารถจะเป็นนายมัน และทำให้มันกลายเป็นบ่าวที่ดีของเรา
ฉะนั้นถึงแม้ว่าพวกเราหลายคน ซึ่งเริ่มมาปฏิบัติได้วัน สองวัน สามวัน อาจจะรู้สึกว่ามันลำบาก มันทรมาน ก็อยากจะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เราควรจะยอมแลก เพราะว่ามันจะทำให้เราสามารถจะเป็นนายเหนือความคิดได้ เราปล่อยให้มันเป็นนายเรามานานแล้ว เรากลายเป็นทาสของมันนานแล้ว มันลากลู่ถูกังจิตใจเราไปตะพึดตะพือเป็นวักเป็นเวรมาจนกระทั่งทุกข์แล้วทุกข์เล่า ยังดีที่อย่างน้อยเราก็มาถึงตรงนี้ บางคนนี้ความทุกข์มันเล่นงานจนกระทั่งเป็นโรคจิต โรคประสาท หรือบางทีคลุ้มคลั่งถึงกับฆ่าตัวตาย คนที่ฆ่าตัวตายก็เพราะว่าปล่อยให้ความคิดเล่นงาน ครอบงำจิต มันสั่งให้ฆ่าตัวเองก็ทำ ทั้ง ๆ ที่มันผิด มันขัดกับสัญชาตญาณของมนุษย์ นี้ก็เพราะว่าความคิดมันเป็นนายที่เลว เราต้องยอมเหนื่อยหน่อย เพื่อที่จะมาเป็นนายเหนือความคิด และเมื่อไรก็ตามที่เราสามารถที่จะควบคุมความคิด หรือว่าเป็นนายความคิดได้ ความคิดมันก็จะช่วยให้เราได้ประสบกับความสุข มันคิดเมื่อถึงเวลาคิด และมันหยุดคิดได้เมื่อไม่ใช่เวลาของมัน เช่น เวลานอน อาจจะมีฟุ้งบ้างตามวิสัยของจิต แต่ว่ามันก็ไม่รบกวนเพราะว่าเรารู้ทันมัน
และถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเรารู้จักความคิด รู้ทันมันดีพอ เราก็จะพบว่า มันมีประโยชน์หลายเรื่องก็จริง แต่บางเรื่องมันช่วยอะไรไม่ได้ มันมีข้อจำกัด มันมีขีดจำกัด เหมือนกับที่เราจะใช้ความคิดเข้าใจว่า รสอร่อยเป็นอย่างไร ความหวาน มัน เค็มเป็นอย่างไร เราไม่มีทางใช้ความคิดในการเข้าใจมันได้เลย จนกว่าลิ้นเราจะได้รับรสนั้นเอง เราไม่อาจสามารถใช้ความคิดในการเข้าใจความรัก ความเมตตาได้ เราไม่สามารถใช้ความคิดในการที่จะเข้าใจภาวะที่สงบลึกซึ้งเพราะการปล่อยวาง ไม่ต้องพูดถึงการที่ไม่สามารถใช้ความคิดในการเข้าใจความสุขที่ชื่อว่า นิพพานได้ มันมีข้อจำกัด แต่ถ้าเราศึกษา เราดู รู้ทันความคิดบ่อย ๆ เราจะรู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไรและมีข้อจำกัดอย่างไร ถึงตรงนี้แหละจะทำให้เราไม่ไปหลงเชื่อความคิด หรือว่าไม่ไปพึ่งพาอาศัยความคิดในทุกเรื่อง
ทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นได้จากการที่เรามาเจริญสติอย่างนี้แหละ ฝึกดูกาย รู้กายก่อนแล้วก็ค่อยมารู้ใจ รู้ใจ คือ รู้ทัน เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น และอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามมา แม้ว่าตอนนี้อาจจะเหนื่อย อาจจะทุกข์เพราะความคิดมันปั่นป่วน มันจะก่อกวนเรา จะเรียกว่ามันกลัวที่เราจะมีอำนาจเหนือมันก็ได้ มันเคยเป็นนายเรา แต่ตอนนี้เราจะพยายามเป็นนายมัน มันก็จะพยายามปั่นป่วน พยายามก่อกวนเราเพื่อให้เราเลิกปฏิบัติ เราจะได้เป็นทาสของมันต่อไป แต่ว่าเราต้องไม่ยอม เราต้องทำต่อไปจนกระทั่งสามารถที่จะเป็นนายเหนือมันได้ เหมือนกับม้าพยศ ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมมัน มันจะกระโดด มันจะพยศ มันจะอาละวาดยังไงเรายอมแพ้ เราก็ไม่มีทางที่จะฝึกให้มันเชื่องได้ และก็ไม่สามารถที่จะใช้งานมันได้ เราต้องกล้า ต้องเพียร ต้องพยายาม ต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ไม่ว่ามันจะพยศยังไงก็ตามเราต้องไม่ท้อถอย ในที่สุดมันก็จะยอมแพ้ มันจะยอมเป็นม้าที่เชื่อง อันนั้นแหละคือ ภาวะที่เราเป็นนายของมัน