แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ใคร ๆ ก็ปรารถนาความสุข ไม่ใช่ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุขอย่างที่เราแผ่เมตตาเมื่อสักครู่เท่านั้น ยังปรารถนาให้ตัวเองมีความสุขด้วย พวกเราในที่นี้ก็เช่นกันปรารถนาความสุข แต่ก็น่าแปลกว่าผู้คนจำนวนมากมายที่เรียกว่าส่วนใหญ่ทั้งที่ปรารถนาความสุข แต่ก็หาความสุขไม่เจอ ไม่มีความสุข อันนี้เราก็ดูได้จากสถิติหรือพฤติกรรมของผู้คน เช่น ไปที่ไหนคนก็บ่นว่าเครียด ไม่ใช่แค่คนที่อยู่รอบตัวเราที่บ่นว่าเครียด บ่นว่าหนักใจ วิตกกังวล แต่ยังสังเกตได้จากยาที่คนซื้อมาบริโภค ยาที่ขายดีก็จะเป็นยาที่เกี่ยวกับเรื่องลดความเครียด หรือว่ายาที่ผ่อนคลายประสาท เช่น ช่วยให้นอนหลับ อันนี้น่าคิดเป็นเพราะอะไร ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ช่วยทำให้มีความสุขได้ง่ายขึ้น สิ่งบันเทิงเริงรมย์ หรือว่าหนัง เพลง เดี๋ยวนี้ก็เข้าถึงง่ายมาก เรียกว่า มันลอยอยู่ในทุกอณูของอากาศเพียงแค่เปิดโทรศัพท์มันก็มาแล้ว อยู่ตรงไหนก็สามารถจะเสพสิ่งที่ให้ความสุขกับเราได้ง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเงินที่มีมากขึ้นมากขึ้น รายได้ที่เพิ่มพูนขึ้น ถึงแม้ในบางช่วงมันอาจจะเพิ่มขึ้นช้าหน่อยเพราะเศรษฐกิจชะงักงัน สิ่งที่ช่วยลดความเหน็ดความเหนื่อย เครื่องทุ่นแรงก็เยอะแยะไปหมด เดี๋ยวนี้ทำมาหากินก็ไม่ต้องหลังขดหลังแข็ง ไม่ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทำงานคือว่าทำงานในห้องแอร์ นั่งโต๊ะแต่ทำไมคนก็ยังมี ก็ยังบ่นว่าไม่มีความสุข ทำไมคนก็ยังบ่นว่าเครียด อันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าไม่ปรารถนาความสุข แต่ก็ไม่รู้จักความสุขดีพอ
ส่วนใหญ่ไปคิดว่าความสุขมันมีชนิดเดียว อันนี้เรียกว่า ความสุขที่เกิดจากสิ่งเร้า สิ่งเร้ากาย เร้าใจ เร้าตา เร้าหู เร้าจมูก เร้าลิ้น จะเรียกว่าเป็นสิ่งเร้าจิตกระตุ้นกายก็ได้ ให้เราสังเกตความสุขที่ผู้คนปรารถนา ที่โหยหา และแย่งชิงกัน จนกระทั่งขายดิบขายดี นี้มันก็เป็นความสุขที่เกิดจากการเร้า เช่น อาหารอร่อยก็เพราะว่ามันกระตุ้นลิ้น ถ้าอาหารจืด ๆ นี้ขายไม่ค่อยออก แต่ถ้ามันมีรถชาด เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กระตุ้นลิ้นนี้มันจะขายดี เพลงถ้าเพลงเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ คนก็ไม่ฟังต้องมีการกระแทกกระทั้น มีการเร่งเร้า จนบางคนก็อยู่นิ่งไม่ได้ก็ต้องเต้น หรือว่าต้องดิ้น อันนี้เป็นความสุขจากการเร้าจิตกระตุ้นกาย หนังจะสนุกได้ต้องมีแอ็คชั่น มีการยิง มีการต่อสู้ เรียกว่าต้องเป็นหนังบู๊ที่ต้องกระตุ้นอารมณ์ แม้แต่หนังผี ก็ยังกระตุ้นให้เกิดความกลัว ความตื่นเต้น คือมันต้องกระตุ้นให้ใจมันตื่นเต้น จึงจะเรียกว่าเป็นหนังที่เพลิดเพลิน ดูแล้วมีความสุข อันนี้ก็รวมไปถึงสิ่งเร้าทางกายอย่างอื่นด้วย เช่น เซ็กส์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เป็นยอดปรารถนาของคนมาก เซ็กส์นี้ก็ให้ความสุขกับผู้คนเพราะมันเร้ากาย มันเร้าทุกอย่าง ดังนั้นคนก็เลยรู้สึกว่าความสุขจากเซ็กส์เป็นที่แสวงหากันมาก แม้แต่แก่แล้วก็ยังไม่หยุดแสวงหา ถ้าเกิดว่าไม่สามารถหาความสุขทางเพศได้ รู้สึกว่าชีวิตมันแห้งแล้ง เพราะมันเป็นเหมือนกับว่าเป็นความสุขสุดยอด และเป็นความสุขที่ผู้คนรู้จักและจะเรียกว่าเป็นความสุขอย่างเดียวที่รู้จักก็ว่าได้
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่าผู้คนก็ต้องพยายามขวนขวายหาเงินหาทอง เพราะว่าความสุขประเภทนี้มันต้องซื้อจึงจะได้เสพ ต้องซื้อจึงจะได้ครอบครอง แม้ไม่มีเงินก็ยังอยากไปเที่ยวห้าง เพราะได้เห็นสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ มันก็เร้าจิต กระตุ้นกาย กระตุ้นทุกอย่าง ตาก็ดี จมูกก็ดี เพราะเขาก็มีการโปรยด้วยกลิ่นที่จะชวนให้ผ่อนคลาย ชวนให้อยากซื้อ หรือชวนให้มีความสุข พอสุขแล้วมันก็ควักเงินได้ง่าย ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่พอควักไปแล้วถึงค่อยเครียดตามมา เพราะว่ามันหมดไปเยอะ หรือบางทีก็เป็นหนี้เป็นสิน เพราะใช้เครดิตการ์ด เดี๋ยวนี้เราก็จะเห็นเด็ก ๆ ก็รู้จักความสุขชนิดนี้แทบทั้งนั้นและอย่างเดียวด้วย เพราะฉะนั้นเด็กก็อยากจะได้ อยากจะกิน อยากจะเสพ อยากจะเที่ยว ใหม่ ๆ ก็ชอบของหวาน เพราะของหวานนี้มันกระตุ้นลิ้น ผักมันไม่ค่อยมีรสชาติเด็กก็ไม่ค่อยกินจะกินแต่น้ำหวาน กินของหวานเพราะกินแล้วมีความสุข เพราะมันกระตุ้นลิ้น และนี่คือ ความสุขที่คนรู้จัก แต่ว่าข้อดีคือ มันทำให้สุขได้เร็ว พอได้เสพปุ๊บก็สุขปั๊บเลย เสพนี้ไม่ว่าจะเสพทางตา เสพทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกายก็แล้วแต่ คำว่าเสพนี้ความหมายกว้าง รวมทั้งการได้ใช้ เช่น ได้ใช้โทรศัพท์ มันสุขได้ไว แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ มันเบื่อง่าย ความสุขมันจางคลายได้เร็ว
อันนี้ก็สังเกตได้จากประสบการณ์ของเราเองก็ได้ เวลาซื้อของได้ของชิ้นหนึ่งมาทีแรกก็ดีใจ เพราะเป็นของใหม่ แต่ว่าพอได้มาแล้วอยู่ ๆ ไปก็ชักเบื่อไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า หรือว่าเทคโนโลยี่ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มีหรือใช้ไปได้สัก 2-3 เดือนก็เบื่อแล้ว ยิ่งเขามีรุ่นใหม่ออกมา เช่น โทรศัพท์ ที่มีก็เบื่อแหละ อันนี้ก็รวมถึงความสุขที่เกิดจากสิ่งเสพชนิดอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นของใช้ หรือของกิน อาหารที่ว่าสุดยอดอร่อยทีแรกหรือช้อนแรกก็อร่อย แต่ว่าช้อนต่อ ๆ ไป หรือว่ากินมื้อต่อ ๆ ไปมันเริ่มจะไม่อร่อยแหละ สมมุติว่าเราชอบกินหูฉลาม ถ้าเรากินทุกมื้อ ทุกมื้อ ๆ ๆ ทุกวัน ๆ ไปสักอาทิตย์หนึ่ง ที่อร่อยมันก็เริ่มกลายเป็นเฉย ๆ และถ้ายังกินอย่างนี้ต่อไปเฉย ๆ ก็จะกลายเป็นเบื่อ และถ้ากินต่อไปเบื่อก็กลายเป็นเอียน และถ้ายังต้องกินอยู่ หรือเพราะถูกบังคับ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่แค่เอียนมันอยากจะอาเจียน อันนี้เป็นลักษณะของความสุขชนิดนี้ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า กามสุข กามสุขก็คือ สุขที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าใคร่ น่าพอใจ ซึ่งหน้าที่ของมันคือ กระตุ้น กระตุ้นเร้าจิต กระตุ้นกาย อะไรก็ตามถ้ามันถูกกระตุ้นมากๆ มันก็จะเริ่มด้าน เท้าเรานี้ เท้าที่บอบบางถ้าเกิดว่าเดินเท้าเปล่า หรือมีสิ่งกระตุ้นบ่อย ๆ เจอกรวด เจอดิน เจอทรายอยู่ บ่อย ๆ มันก็จะเริ่มด้าน พอด้านแล้วเจอหนามบางทีก็ไม่รู้สึก
จิตของเราที่มันถูกกระตุ้นเร้าบ่อย ๆ มันจะเริ่มด้าน เพราะฉะนั้นถ้าหากเจอของเดิมซ้ำ ๆ มันไม่รู้สึกแล้ว มันต้องเจอของใหม่ ต้องเสพของใหม่ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมากกว่าเดิม เหมือนกับคนที่ติดกาแฟ ทีแรกกินครึ่งแก้วก็ตาสว่างแล้วแต่ต่อไปก็ต้องกินเต็มแก้ว และต่อไปก็ต้องเพิ่มจาก ๑ แก้วเป็น ๒ แก้ว ๓ แก้ว ๔ แก้วมันถึงจะได้ความกระชุ่มกระชวยเท่าเดิม บุหรี่ก็เหมือนกัน ทีแรกสูบไปสักครึ่งมวนก็มึน ๆ แล้ว แต่ต่อไปมันต้องสูบหลายมวน เซ็กส์มันก็เหมือนกัน ถ้าเสพไป ๆ มันเบื่อ ถ้าไม่เปลี่ยนท่วงท่า ก็ต้องเปลี่ยนคน หรือว่าต้องมีมากกว่าเดิม ธรรมดาคนเราถ้าหากว่าอยู่ด้วยกัน เพราะอาศัยสุขทางเพศมาเป็นเครื่องผูกพันนี้อยู่ไป ๒-๓ เดือนก็เบื่อแล้วเปลี่ยนคนอย่างที่เราเห็น ได้ยินเป็นข่าวคราวอยู่เรื่อย ๆ เขาอยู่กันแค่ไม่ถึงปีเขาก็เลิกกันแล้ว อันนี้เพราะเขาอยู่กันด้วยความสุขทางเพศ ซึ่งมันเบื่อหน่ายเจือจางได้เร็ว บางคนอุตส่าห์เสียแรง เสียชื่อเสียงไปแย่งชิงคนรักของคนอื่นมาเป็นข่าวคราว แต่ว่าพอได้มาแล้วไม่ถึงปีก็เลิก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังบ่อย เพราะว่ามันเป็นลักษณะของความสุขชนิดนี้ ซึ่งทำให้คนเราเหนื่อยหรือว่าเบื่อ หรือว่าหน่ายเร็ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าต้องไปแย่งเขามา ต้องเหนื่อยในการรักษา และสิ่งเหล่านี้พอมันเสื่อมไป พอมันเสียไปก็ทุกข์
คราวนี้มันมีความสุขอีกชนิดหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้จักจะเรียกว่า เป็นความสุขที่ตรงข้ามกันเลยก็ได้ เป็นความสุขจากจิตที่สงบ ความสุขชนิดแรกมันต้องเร้าจิตให้ตื่นเต้น และความตื่นเต้นก็มีหลายระดับ ถ้าเป็นพวกที่เบื่อหน่ายอะไรมาก ๆ ก็อาจจะต้องเร้าใจด้วยการไปผจญภัย เช่น แก๊งแข่งรถซิ่ง พวกนี้เขาเบื่อและจิตมันกระด้างมาก หยาบมาก อะไร ๆ ก็ไม่สามารถจะเร้าได้ก็ต้องไปเร้าด้วยอะไรที่มันตื่นเต้นจริง ๆเช่นขับรถซิ่งแข่งกัน อันนี้มันตื่นเต้น มันเร้าจิต กระตุ้นกายเต็มที่เลย แต่ความสุขที่ตรงข้าม เป็นความสุขจากจิตที่สงบ หรือความสุขเพราะความสงบก็ได้นั้นคือ จิตยิ่งสงบเท่าไรยิ่งเป็นสุขมากเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี อันนี้เป็นความสุขที่ประเสริฐกว่า แต่ข้อจุดอ่อนมันก็คือ เข้าถึงยาก เกิดขึ้นได้ยากในความสงบนี้ ต้องใช้เวลา มันไม่รวดเร็วทันใจเหมือนกันสิ่งเสพ สิ่งเร้าที่ให้สุขได้ง่าย แต่เมื่อสุขแล้วสงบแล้วมันจะอยู่ได้ยืนนานกว่า มันไม่เบื่อง่าย แล้วก็ไม่ต้องไปต่อสู่แย่งชิงกับใคร ไม่มีใครจะมาแย่งชิง มาขโมยได้ ความสุขจากความสงบหรือความสุข เพราะจิตที่สงบเป็นสิ่งที่คนแสวงหากันมาก บางทีก็ยอมทุ่มเทเงินทองมากมายเพื่อจะได้ที่ ๆ มันสงบ ความสุขจากจิตที่สงบสำหรับคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่สงบ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีคนมารบกวน และสมัยนี้มันไม่ใช่เท่านั้น มันต้องไม่มีสัญญาณด้วย เพราะถ้ามีสัญญาณแล้ว เช่น สัญญาณโทรศัพท์ แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็อดไม่ได้ จิตที่มันยังโหยหาความตื่นเต้น ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเปิดโทรศัพท์ดูหนัง หรือว่าเปิดโทรศัพท์รับข้อความ หรือว่ามีสิ่งเร้าผ่านมาทางโทรศัพท์ หลายคนยอมเสียเงินแพง ๆ เพื่อจะไปอยู่โรงแรม หรือ รีสอร์ตที่ไม่มีสัญญาณอะไรเลย ไม่เช่นนั้นก็ห้ามใจไม่ได้ พอได้พบกับความสงบ เพราะไม่มีสิ่งเร้า ก็รู้สึกว่าได้ผ่อนคลาย
แต่ว่าความสงบ ถ้าหากว่าอาศัยสิ่งแวดล้อมแบบนี้มันก็ไม่ยั่งยืน เหตุผลก็คือ มันไม่ใช่ชีวิตจริง ชีวิตจริงมันต้องออกมาเจอผู้คน ต้องออกไปทำงานโดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง อีกอย่างก็คือว่าแม้จะอยู่ในที่ ๆ สงบ ไม่มีสิ่งเร้า แต่จิตมันไม่สงบ มันยังมีความวิตก มีความห่วงงาน มันมีความฟุ้งซ่าน มันมีความกลัว หลาย ๆ คนจะเป็นอย่างนี้แม้ว่าจะอยู่ที่วัด แม้ว่าจะอยู่ในป่าเป็นรีสอร์ต แต่ว่ามันจะยังมีเสียงดังอยู่ในหัว ความปรุงแต่ง คิดโน่น คิดนี่ เพราะฉะนั้นจะหาความสงบได้มันจะต้องหาทาง ในด้านหนึ่งก็ปิดการรับรู้ ปิดการรับรู้ทางตา ทางหู อันนี้เป็นหลักเลย เช่น เวลาจะหาความสงบแบบนี้ก็ต้องนั่งหลับตา สมาธิ ภาวนา หลายคนก็ทราบว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใจสงบได้ หลายคนเวลาจะทำสมาธิก็ต้องเก็บตัวอยู่ในห้องพระ อยู่ในห้องแอร์ มีกระจกคอยกันเสียงดังจากภายนอก อันนี้ถ้าเกิดว่ายังไม่สามารถจะไปอยู่ป่าอยู่ที่วิเวกได้ก็ต้องมีห้องแอร์ปิดเพื่อตัดสัญญาณ ต้องปิดโทรศัพท์เพื่อจะได้ไม่มีอะไรมากระตุ้นเร้าทางตา ทางหู บางทีก็ต้องกำชับไม่ให้ใครมายุ่มย่าม มารบกวน แล้วก็ปิดตาเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นอะไร เท่านั้นไม่พอ ต้องบังคับควบคุมจิตให้มันหยุดคิดไปด้วย เช่น ให้มันไปบังคับจิตให้เพ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ลมหายใจบ้าง ท้องพองยุบบ้าง หรือว่าที่เท้าบ้าง ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยมันไปมันจะฟุ้งซ่าน หรือมิฉะนั้นก็ใช้การนับ เพื่อเป็นการผูกจิตให้อยู่กับที่กับทาง หรืออยู่กับอารมณ์เดียว คือ อยู่กับการนับ หรืออยู่กับคำบริกรรมก็ทำให้สงบได้ อันนี้ก็สงบเพราะไม่รู้หรือเพราะตัดการรับรู้ ความสงบนี้คนรู้จักง่าย ๆ คือ ว่าไปไหนก็ปิดโทรศัพท์ ปิดโทรศัพท์มันก็สงบ หรือว่าไม่ต้องออนไลน์ก็รู้สึกว่าเออไม่ต้องไปรับรู้อะไรมากใจก็สงบ
อันนี้คือ สิ่งที่คนทำได้ง่าย ๆ และมักจะทำกัน แต่มีน้อยคนที่จะหันมาใช้วิธีฝึกสมาธิ ภาวนา ซึ่งสมาธิ ภาวนาก็หนีไม่พ้นตัดการรับรู้ ปิดตา อยู่ในห้องพระ อยู่ในห้องแอร์ ซึ่งก็ทำให้สงบได้เร็ว สำหรับคนที่ฝึกมาจนกระทั่งสามารถคุมจิตให้มันนิ่งได้ แต่ก็มีปัญหาคือ ว่ามันเป็นของชั่วคราว เพราะว่าสุดท้ายก็ต้องออกไปทำงาน ออกจากห้องพระไปเจอลูก เจอคนในบ้าน เจอครอบครัว ซึ่งบางครั้งอาจมีเรื่องกระทบกระทั่ง บางครั้งก็มีภาระที่ต้องทำ ทำให้เกิดความหนักอกหนักใจ ไปเจอเพื่อนร่วมงาน ไปเจอรถติด หลายคนพอสงบ เพราะว่าไม่เจอสิ่งเร้า ทันทีที่ออกไปเจอสิ่งเร้า จิตกระเจิงเลย อย่างที่เคยเล่า ผู้ชายคนหนึ่งนั่งปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งหนึ่งเช้าจรดเย็น จิตสงบมาก เพราะว่าเขาให้ปฏิบัติในห้องแอร์ แต่ละคนก็ไม่พูดไม่คุยกัน ทุกคนต้องปิดโทรศัพท์ พอตกเย็นออกมาจะกลับบ้านรถที่จอดปรากฏว่าออกไม่ได้เพราะว่ามีคันจอดซ้อนอยู่ คนที่จอดซ้อนนี้ก็เห็นแก่ตัว เพราะว่าเห็นแก่ตัว เพราะว่าไม่ถูกนี่แหละทำให้นักปฏิบัติธรรมคนนี้โกรธมาก คนเราบางทีก็โกรธเพราะว่าตัวตนถูกกระทบ บางทีเพราะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ในกรณีของคนนี้ 2 อย่างเลย รถก็ออกไม่ได้และแถมยังทำผิดระเบียบ โกรธโมโหส่งเสียงตะโกนด่าสติแตกไปเลยทั้งที่เมื่อกี้ยังสงบอยู่เลย แต่พอเจอสิ่งเร้าหรือว่าสิ่งที่ไม่ถูกใจมันระเบิดออกมาเลย อันนี้ก็เป็นกับนักปฏิบัติธรรมหลายคน ซึ่งถามว่าเป็นเพราะอะไร เหตุผลอันหนึ่งก็เพราะวิธีการภาวนาเขาเน้นเรื่องการสร้างความสงบ โดยตัดการรับรู้หรือเรียกว่าสงบเพราะไม่รู้ ปิดตาก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไร อยู่ในห้องแอร์ก็ไม่ต้องรับรู้อะไร เสียงดัง เสียงมอเตอร์ไซด์ก็ไม่รับรู้ ปิดโทรศัพท์ก็ต้องไม่รับรู้ข่าวสารโลกภายนอก เออสบาย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ตลอด มันทำได้ชั่วคราว พอออกไปรับรู้ก็สติแตก หรือใจกระเพื่อมได้ง่าย ไม่สงบแล้วคราวนี้
คราวนี้มันมีความสงบอีกอย่างหนึ่งในบรรดาความสงบใจ นอกจากความสงบเพราะไม่รู้แล้วยังมีความสงบเพราะรู้ด้วย รู้ในที่นี้คือ รู้ใจ รู้ทันอารมณ์ เวลาใจกระเพื่อมนี้มันรู้ทันก็เรียกว่าเพราะมีสติ สงบแบบนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีสติแล้วรู้ว่าที่ใจไม่สงบเพราะใจมันไปผลักไสกับสิ่งที่มากระทบทางตา ทางหู อันนี้ก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว โยมที่นิมนต์หลวงพ่อชาไปประเทศอังกฤษแล้วระหว่างหลวงพ่อชากำลังพาคนสมาธิก็มีเสียงจากผับจากบาร์ตรงข้าม พระโยมหลายคนก็นั่งสมาธิไม่เป็นสุข พอทำสมาธิเสร็จก็มีคนมาขอโทษหลวงพ่อชาว่าขอโทษที่เสียงดนตรีมารบกวนทำให้นั่งสมาธิไม่ได้ หลวงพ่อท่านก็เลยบอกว่าโยมอย่าไปคิดว่าเสียงดนตรีมารบกวนเรา ที่จริงเราต่างหากที่ไปรบกวนเสียงดนตรี โยมคนที่มาขอโทษแกรู้จักความสงบชนิดเดียวคือ ความสงบเพราะไม่รู้ ถ้าเกิดไปรู้ขึ้นมาเพราะ เช่น รู้ว่ามีเสียงดังก็ไม่สงบแล้ว แต่หลวงพ่อชาท่านรู้จักความสงบเพราะรู้ก็คือ รู้ว่าใจมันเริ่มไปทะเลาะเบาะแว้งกับเสียงแล้วมันก็เลยไม่สงบ พอรู้เช่นนั้นก็ทำให้จิตกลับมาเป็นปกติ จิตที่เคยไปทะเลาะกับเสียง จิตที่ไปรบกวนเสียงนั้นมันก็นิ่งหรือเป็นกลาง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความสงบ เสียงยังดังอยู่แต่ใจนี้สงบ
อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เรื่องของหลวงปู่บุดดาที่ท่านเคยไปฉันเพลที่บ้านโยมที่กรุงเทพ พอฉันเสร็จท่านจะกลับวัดที่สิงห์บุรี แต่โยมก็ขอให้ท่านพักผ่อนก่อนเพราะสิงห์บุรีมันไกล สมัยก่อนเมื่อสัก 50-60 ปีที่แล้ว ขับรถก็ต้อง 2 ชั่วโมงกระมัง หลวงปู่ก็แก่แล้ว 80 ปีแล้ว ก็หาห้องให้ท่านพัก ลูกศิษย์ 3-4 คนก็มานั่งเป็นเพื่อน เวลาจะคุยกันก็กระซิบกระซาบไม่อยากให้รบกวนหลวงปู่ แต่ว่าห้องที่หลวงปู่พักติดกับร้านชำ ร้านชำนี้คนจีนเป็นเจ้าของ คนจีนสมัยก่อนก็สวมเกี๊ยะ เวลาเดินก็เสียงดัง เสียงดังเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่จำวัดอยู่ ลูกศิษย์ไม่พอใจก็พูดขึ้นมาว่าเดินเสียงดังจังเลยไม่เกรงใจกัน หลวงปู่ท่านจำวัดแต่ไม่หลับ ท่านได้ยินก็เลยเปรยขึ้นมาเบา ๆ ว่าเขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง ลูกศิษย์จิตไม่สงบเพราะอะไร เพราะมีเสียงดังมากระทบแต่หารู้ไม่ว่าที่จิตไม่สงบเป็นเพราะว่าเอาหูไปรองเกี๊ยะ เพราะตอนนั้นจิตไม่มีสติ หูก็ไปรองเกี๊ยะ ก็เลยทุกข์ ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้หงุดหงิดเพราะเสียงดัง แต่เป็นเพราะเอาหูไปรองเกี๊ยะ และทั้ง ๆ ที่เอาหูไปรองเกี๊ยะก็ยังไม่รู้ตัว ถ้ารู้นี้ ก็จะไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะ เมื่อไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะ แม้เสียงจะยังดังแต่ใจจะสงบได้ อันนี้เรียกว่า สงบเพราะรู้ รู้ในที่นี้คือ รู้ว่ากำลังเอาหูไปรองเกี๊ยะ คือ รู้ใจ รู้จิต รู้ว่าใจมันกำลังจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเสียงดัง พอรู้ปุ๊บมันถอนจิตออกมา หรือว่าจิตมันก็กลับมาเป็นอุเบกขา เป็นกลาง เป็นปกติ
สงบเพราะรู้ คือแม้เราจะไปได้เห็น ได้ยิน ได้รับรู้อะไรก็ยังสงบได้ ออกไปข้างนอก กลับไปทำงาน กลับไปบ้าน หรือยู่บนท้องถนนมีเสียงดังอย่างไรก็ยังสงบได้ เพราะเวลาใจกระเพื่อมทีไร มันก็รู้ทันแล้วก็วาง จะเป็นความหงุดหงิด ความหนักใจ ความกังวล พอรู้อารมณ์นั้นก็หายไป รวมทั้งความโกรธ ที่หลวงปู่ดุลย์บอกว่าไม่มีใครตัดความโกรธให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมันก็ดับไปเอง คำว่ารู้ทันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ก็เรียกว่าเป็นคีย์เวิร์ดของการภาวนาก็ได้ ไม่ใช่ไปบังคับจิตให้สงบ ไม่ใช่ไปบังคับจิตไม่ต้องไปรับรู้อะไร ไม่กลัวการรู้ จะรู้ก็ได้ จะได้ยินก็ได้ จะเห็นก็ได้ แต่ว่าใจไม่กระเพื่อม เพราะว่ารู้ทัน แล้วก็รู้แบบรู้ซื่อ ๆ รู้เฉย ๆ ก็คือ ไม่ได้ไปทำอะไรกับอารมณ์นั้น ไม่ได้ไปทำอะไรกับความหงุดหงิด ไม่ได้ไปทำอะไรกับความโกรธ ไม่ได้ไปทำอะไรกับความวิตกกังวลนั้น แค่รู้เฉย ๆ มันก็ค่อย ๆ ละลายหายไป อันนี้เรียกว่า สงบเพราะรู้ หรือสงบทั้ง ๆ ที่รู้ ต่างจากความสงบอย่างแรก คือ สงบเพราะไม่รู้
สงบเพราะรู้มี 2 อย่าง คือ รู้ทันอารมณ์ หรือจะเรียกว่า รู้ตัวก็ได้ เพราะว่าถ้าอารมณ์มันครอบงำก็ไม่รู้ตัว รู้ชนิดนี้เรียกว่า รู้ด้วยสติ รู้อีกอย่างหนึ่งคือ รู้ความจริง ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าภายนอกหรือภายใน คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ภายนอกคือ เหตุการณ์ที่เราไปรับรู้ รวมทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รู้ความจริงของมัน อันนี้เรียกว่า รู้ด้วยปัญญา รู้ว่ามันเป็นธรรมดา รู้ว่ามันไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น พอมันเกิดมีการกระทบขึ้นมา จิตก็สงบได้ เสียงมันจะดัง หรือมีคนต่อว่าด่าทอ ใจก็สงบเพราะรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นโลกธรรม สูญเสีย พลัดพราก ก็ไม่ทุกข์ จิตก็สงบได้เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ของเรา มันไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นได้ อันนี้ก็เรียกว่ารู้ด้วยปัญญา อย่างเช่น มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นช่างไฟฟ้า วันดีคืนดีก็เกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าแรงสูงมันก็ไปถูกเข้ากับต้นขาทั้งสองข้าง ต้องผ่าขาทั้งสองข้าง กลายเป็นพิการตลอดชีวิต ไม่นานต่อมาภรรยาก็ทิ้งไป อื้อหือเสียขาแล้ว ยังถูกเมียทิ้งอีก เราจะรู้สึกอย่างไร ก็มีคนไปถามผู้ชายคนนี้ชื่อ ดำริ ถามว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่ภรรยาทิ้งไป เขากลับตอบว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คุณคิดดูซิแม้แต่ขาทั้งสองข้างมันยังไม่อยู่กับผมเลยแล้วจะให้เมียอยู่กับผมได้อย่างไร แกเสียขาเสียเมียแต่ใจแกสงบ เพราะแกเห็น เพราะแกรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย เป็นสิ่งที่เป็นความรู้ที่อาจจะเกิดจากการที่ได้เสียขา โอ้แม้แต่ขาที่อยู่กับเราตั้งแต่เกิด วันดีคืนดีมันก็ไป และหลงคิดว่าเป็นของเรา ที่จริงมันไม่ใช่ของเราเลย พอคิดแบบนี้เข้าก็ทำให้สามารถจะเห็นได้ง่ายว่าเมียก็ไม่ใช่ของเราเหมือนกัน เขาจะทิ้งไปก็ไม่ได้ทุกข์อะไร
อันนี้เรียกว่า สงบเพราะรู้ ก็คือ รู้ในความจริงของสิ่งทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย เมื่อเสียไป ใจก็ไม่ทุกข์ หรือรู้ความจริงว่ามันไม่มีตัวกู ตัวกูเป็นสิ่งปรุงแต่ง อย่างที่เคยเล่าเหมือนกันว่าหลวงปู่บุดดาผ่านิ่วเสร็จ 15 นาทีก็จะออกไปแล้ว ท่านจะกลับวัดแล้ว หมอ พยาบาลก็ประหลาดใจว่าหลวงปู่จะกลับแล้วหรอ ไม่เจ็บเหรอ คนที่เขาผ่าน้อยกว่าท่านยังบ่นว่าเจ็บเลย โอดครวญ หลวงปู่ทำไงไม่เจ็บ หลวงปู่บอกว่าเจ็บซิ ทำไมไม่เจ็บ ร่างกายของหลวงปู่ก็เหมือนคนทั่วไป แต่ใจมันไม่ได้ปวดไม่ได้เจ็บไปกับร่างกายด้วย เพราะท่านเห็นว่าที่ปวดคือ กายปวด แต่ว่าไม่มีตัวกูเป็นผู้ปวดด้วย ท่านเห็นว่ากายปวดแต่ใจมันไม่ได้ปวด เพราะใจไม่ได้ไปยึดกับความปวดของกาย เพราะมันไม่มีตัวกูที่ไปเป็นผู้ปวดที่จะทำให้ใจปวดด้วย อันนี้ก็เรียกว่าใจท่านสงบทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่าใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังมีความปวด เราปวดกายอยู่แต่ใจสงบ อันนี้สงบเพราะรู้ คือ มีปัญญารู้ว่ามันไม่มีผู้ปวด จะเรียกว่า เห็นความจริงว่ากายกับใจแยกกันก็ได้ ดังนั้นกายปวดก็ปวดไป ใจไม่เดือดร้อน คนส่วนใหญ่ไม่เห็นตรงนี้
จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วถ้าเราอยากจะสงบจริง ๆ ต้องเพิ่มตัวรู้เข้าไปให้มาก ๆ หรือเพิ่มความสามารถในการรู้เยอะ ๆ ไม่ว่าจะรู้ด้วยสติ รู้ด้วยปัญญา จะคอยปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไร จะคอยไปควบคุมสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้มาส่งเสียงรบกวนเรา เพื่อให้พูดดีกับเรา พูดจาเพราะ ๆ ชมเรา เวลาจะโพสต์ใส่ก็กดไลค์เยอะ ๆ หน่อย อย่าคอมเม้นต์แรง ๆ ไม่เช่นนั้นฉันไม่สงบ ไม่เช่นนั้นฉันโมโห จะทำอะไรต้องทำดีต่อฉัน อย่าทำในสิ่งที่ขัดใจฉัน ฉันถึงจะสงบได้ แบบนี้อย่างนี้ก็ไม่รอด ทีนี้ก็จะหาความสงบไม่ได้ คนทุกวันนี้ไม่รู้จักความสงบชนิดนี้เท่าไรนัก อย่าว่าแต่ความสงบเพราะรู้เลย แม้กระทั่งความสงบเพราะจิตที่สงบหลายคนก็ยังไม่รู้ว่ามันมีหรือเป็นไปได้จนกว่าเจอเอง พอได้ทำแล้วโอ้โหจะติดใจ อย่าง อุ๋ย บุดดาเบส นี้เป็นคนที่เฮี๊ยวมาก แต่ว่าจับพลัดจับผลูมานั่งสมาธิแล้วพอจิตสงบชีวิตเปลี่ยนเลย เพราะไม่รู้ว่ามันเคยมีความสุขชนิดนี้ด้วยหรือ หันมาสนใจธรรม ปฏิบัติธรรม นี้ก็เกิดกับคนจำนวนมาก รวมทั้งพวกเศรษฐี นักธุรกิจ ที่เคยคิดแต่ว่ามันมีความสุขชนิดเดียว คือ ความสุขจากการเสพ หรือสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้ตื่นเต้น พอมาพบกับความสุขอีกชนิดหนึ่งแทบจะตรงข้ามคือ ความสุขจากจิตที่สงบ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปหาความสงบด้วยการบังคับจิตไม่ให้รับรู้ หลับตา ควบคุมจิตไม่ให้คิด อันนั้นไม่ถูก หรือยังไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน เพราะจิตมันควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ สิ่งนั้นมันคือ การที่รู้ทันเมื่อมันเกิดขึ้นและแค่นั้นแหละมันก็ทำอะไรไม่ได้
อยากจะย้ำว่าจุดหมายของการภาวนาแบบพุทธนี้ไม่ใช่เพื่อควบคุมความคิด แต่เพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ไม่ใช่เพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิด แต่ยังไงไม่ให้อารมณ์นี้มันมาควบคุมเรา ซึ่งคำตอบคือ การรู้ทันมัน รู้ทันหรือรู้ความจริงของมัน รู้ทันมันก็หายไป พอรู้ความจริงก็ไม่เอา อย่างที่หลวงปู่ดุลย์บอก หลวงปู่ไม่โกรธเหรอ ไม่มีโกรธเหรอ ท่านบอกมีแต่ไม่เอา เพราะท่านเห็นว่ามันไม่น่าเอาอยู่แล้วนี้ ความโกรธมันน่าเอาที่ไหนล่ะ ดังนั้นไม่ใช่ไม่มี ความโกรธมีแต่ว่ามันทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ไปยึดมันไม่เอามัน เพราะมีปัญญาเห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะยึดได้เลย และก็ไม่น่ายึดน่าเอาด้วย ฉะนั้นพยายามสร้างตัวรู้ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้ตัว หรือรู้ความจริง อันนี้สำคัญมากที่จะเป็นหลักประกันแห่งความสงบและความสุขที่ยั่งยืนและแท้จริง