แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีเพลง ๆ หนึ่งไม่รู้ว่าพวกเราเคยได้ฟังหรือว่าดูมิวสิควิดีโอหรือเปล่า เป็นเพลงที่แพร่หลายพอสมควรในยูทูป ชื่อว่า ห้านาทีบรรลุธรรม ชื่อเพลงน่าสนใจมาก ไม่ได้แต่งโดยคนแก่แต่งโดยคนหนุ่ม เนื้อหาก็ถือว่าโดนใจผู้คนพอสมควรและทำนองก็ใช้ได้ เขาทำเป็นมิวสิควิดีโอ ที่ได้ดูเนื้อหาทำนองว่า ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งก็เป็นแฟนกันแล้วความสัมพันธ์ก็ราบรื่น จนวันหนึ่งชายหนุ่มก็ขอแต่งงานกับหญิงสาว แต่ปรากฏว่าหญิงสาวปฏิเสธแล้วก็ทิ้งเขาไป เขาเสียใจมาก เมื่อเสียใจแล้วเขาก็เลยเข้าวัดและตัดสินใจบวช ช่วงที่โกนผมเขาก็พูดกับหลวงพ่อ ถามหลวงพ่อว่า ทำไมคนที่รักกันต้องลาจากกัน เป็นเพราะกรรมหรือเปล่า หรือว่าไปทำอะไรไว้ในอดีตชาติอะไรนองนั้น ถึงต้องไม่สมหวังในความรัก ต้องแยกทางกัน
อันนี้คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของหลายคน เวลาที่ความรักมันกลายเป็นความผิดหวัง หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ตอบตรง ๆ แต่พูดว่าพระพุทธเจ้าท่านก็เคยแสวงหาว่า สาเหตุแห่งทุกข์คืออะไร และถ้าโยมอยากจะรู้ว่าสาเหตุแห่งทุกข์คืออะไรก็ให้ทดลองทำ ให้โยมลองลืมตาซักห้านาทีแล้วก็ไม่หลับตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าลมมันจะแรงแค่ไหนก็ต้องไม่หลับตา ผู้ชายคนนั้นก็ทดลองทำ ปรากฏว่ามันทำได้ยากมาก ต้องฝืนทีเดียวเลยในการที่จะลืมตาโดยไม่หลับตา ก็เลยว่ามีความทุกข์จากการทดลองทำเช่นนั้น แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่ต้องมีการโรยลา เมื่อลืมตา ในที่สุดก็ต้องมีหลับตา ถ้าฝืนไม่ยอมหลับตาก็จะมีน้ำตาไหล อันนี้แหล่ะคือคำเฉลยของหลวงพ่อสำหรับคำถามที่ว่าเมื่อรักกันแล้วทำไมต้องลาจากกัน ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วท่านก็บอกว่า มันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ ความจริงอันนี้มันก็แสดงให้เห็นง่าย ๆ จากการที่เราลืมตา แล้วธรรมชาติของการลืมตา ซักพักก็ต้องหลับตา ถ้าเราไม่ยอมหลับตา เมื่อไหร่พยายามฝืนเอาไว้ก็จะเกิดมีน้ำตา น้ำตานี่ก็เป็นสัญลักษณ์หมายถึงความเศร้า ความโศก ความร่ำไรรำพัน อย่างที่เราเจอเมื่อสักครู่ ชายหนุ่มก็เข้าใจจากการที่ได้ทดลองทำตามที่หลวงพ่อแนะนำแค่ห้านาทีก็เข้าใจ มันเป็นเช่นนั้นเอง
ต่อมาชายหนุ่มก็พบว่าหญิงสาวที่ทิ้งเขาไป เพราะว่าหญิงสาวป่วย คงจะเป็นโรคอะไรซักอย่าง เพราะว่าอาเจียนออกมาเป็นเลือด หญิงสาวก็ยังรักชายหนุ่มอยู่ แต่เห็นว่าตัวเองกำลังจะตายด้วยโรคร้ายก็เลยตัดใจทิ้งชายหนุ่มไป กว่าชายหนุ่มจะรู้อีกที หญิงสาวก็เสียชีวิตแล้ว ก็กลายเป็นว่าชายหนุ่มก็ต้องไปงานศพของหญิงสาว แล้วก็เลยเข้าใจ เพราะว่าพอไปที่ศาลาสวดศพก็เข้าใจสัจธรรมเลยว่า รักแค่ไหน รักมากเท่าไหร่ มันก็ต้องมีการจากลา ถ้าไม่จากเป็นก็จากตาย อันนี้ก็เป็นเนื้อหาของเพลงและมิวสิควิดีโอเรื่องนี้ สิ่งที่เขาเขียนเนื้อหาของเพลงที่เขาอยากจะบอกเราก็คือว่า มันไม่มีอะไรที่เที่ยงแม้แต่สิ่งที่เรารัก หรือแม้แต่คนที่เขารักเรา ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้ความไม่เที่ยง
คำว่า ความไม่เที่ยง ไม่ใช่ว่ามันลองให้เห็นตอนที่คนรักทิ้งเราไป หรือว่าตอนที่คนรักล้มหายตายจากไป อันนั้นมันนานกว่า ที่จะรู้ก็ต้องใช้เวลานาน อาจจะเป็นเวลานานหลายอาทิตย์ หลายเดือนหรือหลายปี แต่ที่จริงความไม่เที่ยงมันแสดงให้เราเห็นตลอดเวลา แสดงได้จากอะไร อย่างที่หลวงพ่อแนะนำ ท่านมีอุบายให้เราเห็นให้ชายหนุ่มคนนั้นเห็นแล้วว่า ความไม่เที่ยงมันเกิดขึ้นกับร่างกายเราตลอดเวลา เพียงแค่เราลืมตาในที่สุดเราก็ต้องหลับตา อันนี้คือความไม่เที่ยงที่ร่างกายมันแสดงให้เราเห็น แต่เราไม่ทันสังเกต เวลาเราลืมตาพอเมื่อยตาเราก็หลับตา แล้วเราก็ไม่สังเกตว่าการลืมตาโดยที่ไม่หลับตานี่เป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่ต่างจากเวลาเราหายใจเข้าแล้วถ้าเราไม่หายใจออกมันก็ต้องตาย ไม่มีใครที่จะหายใจเข้าไปตลอด มันก็ต้องมีหายใจออก แต่เราไม่รู้สึกเลยว่านี่คือ สัจธรรมที่สะท้อนถึงความเป็นอนิจจัง เพราะว่าเราทำจนเป็นธรรมดาไปแล้ว เวลาเราหายใจเข้าเราจะไม่รู้สึกถึงทุกข์เลยถ้าหากว่าไม่หายใจออก เพราะว่าพอเราหายใจเข้าซักพัก เราก็หายใจออกแล้วจะไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น แต่ถ้าเราลองทดลองหายใจเข้า ไม่หายใจออก ความทุกข์มันแสดงตัวให้เห็นทันที เกิดความอึดอัดขึ้นมานั่นแหล่ะเรียกว่า ทุกข์ และทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไร ทุกข์เกิดขึ้นเพราะฝืนความจริง นี่ล่ะคือคำตอบที่หลวงพ่อท่านบอกโดยที่ไม่ได้เฉลยโดยตรง
อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกว่า อยากจะรู้ว่าสาเหตุแห่งทุกข์คืออะไร คำตอบมันก็แสดงตัวมาจากการที่ว่า สาเหตุแห่งทุกข์ก็คือ การที่เราฝืนความจริง เราไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง เราไม่ยอมรับความจริงว่ามันมีเกิดแล้วก็มีดับ มีเข้าแล้วก็มีออก มีลืมตาก็ต้องมีหลับตา ฉะนั้นธรรมะจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างเพลงหรือมิวสิควิดีโอเรื่องนี้ เขาก็เอาเรื่องง่าย ๆ มาทำให้เราเห็นว่าจริงแล้ว ธรรมะมันอยู่กับเราตลอดเวลา แล้วก็เป็นธรรมะที่สำคัญด้วย ไม่ต้องรอให้คนรักตายจาก ไม่ต้องให้มีการทิ้ง ไม่ต้องรอให้พ่อแม่ตายก่อน จึงมาซาบซึ้งถึงอนิจจังหรือถึงตระหนักว่าชีวิตนั้นไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงมันแสดงตัวให้เราเห็นตลอดเวลา แม้กระทั่งขณะที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าเรานั่งแล้วไม่ขยับ เกิดอะไรขึ้น เกิดทุกข์ขึ้นมาทันที เพราะธรรมชาติของกายเมื่อนั่งในท่าใด มันก็จะต้องมีการเปลี่ยนท่า เหมือนลืมตาก็ต้องหลับตา เหมือนหายใจเข้าก็ต้องหายใจออก เรานั่งในท่าใด เราไม่ขยับ ทุกข์ก็จะแสดงให้เห็น แต่เราไม่รู้สึกเพราะว่าพอเราเริ่มปวดเริ่มเมื่อย เราก็ขยับ แต่ถ้าเราลองฝืนดู ไม่ยอมขยับมันก็จะเกิดความทุกข์
ฉะนั้นสาเหตุแห่งทุกข์ก็คือ การที่เราไม่เห็นความจริง หรือว่าไม่ยอมรับความจริงว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง มันแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สาเหตุแห่งทุกข์ในที่นี้หมายถึง ความทุกข์ใจ แต่ความทุกข์กายนี่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบางทีอาจจะเกิดจากแดดร้อน อากาศหนาว หรือว่าเจอหนามแหลมมาทิ่ม แต่จะว่าไปอาการเหล่านั้นมันก็สะท้อนถึงการที่มันไม่เที่ยงเหมือนกัน เพราะว่าอากาศที่มันแปรเปลี่ยนไปจากร้อนเป็นหนาว จากสบายเป็นอ้าวก็เป็นตัวสะท้อนถึงความไม่เที่ยงเหมือนกัน เรื่องการที่ได้เห็นธรรมะจากการฟังเพลง ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของเฉพาะยุคนี้เท่านั้น เพลงสามารถจะเป็นสื่อให้เราเข้าใจธรรมะได้เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักฟัง
ในสมัยพุทธกาลก็มีพระรูปหนึ่งท่านก็เดินจาริก เวลาที่ท่านเดินจาริกก็เดินผ่านสระเห็นบัวมันบาน เมื่อโดนแสงอาทิตย์ เดินไปสักพักก็เห็นผู้หญิงเป็นนางทาสหรือว่านางทาสีกำลังร้องเพลง เนื้อหาของเพลงก็คือว่า คนเราต้องตาย คนเราสักวันต้องตายเหมือนกับดอกบัวที่บาน เมื่อโดนแสงแดดหรือว่าโดนแสงอาทิตย์ ท่านฟังก็ไม่ได้ฟังผ่าน ๆ ท่านฟังไปก็พิจารณาไป ปรากฏว่าจิตของท่านสว่างวาบเลย เกิดปัญญาและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่บรรลุธรรมได้เพราะการฟังเพลงนี่มี แล้วก็ฟังเพลงจากหญิงสาวด้วย คนบางคนก็เข้าใจว่าการฟังเพลงนี่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ มันเป็นก็ต่อเมื่อเราฟังเพื่อความเพลิดเพลินเพื่อสนองต่อกิเลส แต่ถ้าเราตั้งใจฟังหรือว่าฟังอย่างพิจารณาแล้ว เนื้อหาของเพลงก็อาจจะสอนใจหรือว่าเปิดใจเราให้เห็นธรรมะ เห็นความจริง โดยเฉพาะเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต
เรื่องความไม่เที่ยงของชีวิตเป็นสัจธรรมที่เราต้องระลึกนึกถึงอยู่เสมอ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และความทุกข์ของผู้คนก็เกิดจากการที่ไม่เห็นความจริงข้อนี้ คือการไม่ยอมรับจริง เมื่อร่างกายที่เคยหนุ่มเคยสาว มันเริ่มแก่หลายคนเป็นทุกข์ ไม่ต้องรอให้แก่ถึงขั้นผมหงอกหรือว่าผิวหนังเหี่ยวย่น ถ้าเพียงแค่ว่ามันเริ่มมีสิวมีฝ้าตกกระขึ้นมา หลาย ๆ คนก็ทุกข์แล้ว ยอมรับความจริงไม่ได้ แต่สมัยนี้แทนที่เราจะทำใจยอมรับความจริง มันมีช่องทางให้เราหนี ให้เราหลบ ให้เราเลี่ยง เช่น ถ้ามีสิวมีฝ้าก็เอาครีมอะไรซักอย่างทา หรือว่าถ้าเหี่ยวย่นก็ดึงหน้าให้ตึง ฉีดโบท็อกซ์เข้าไป เดี๋ยวนี้ก็ไปถึงขั้นว่าถ้ามันเหี่ยวมาก ๆ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนหน้าใหม่ได้เลย สามารถจะออกแบบหน้าใหม่ที่ต้องการได้ อย่างที่นักร้องหรือคนดังเขาเป็นข่าว ดูเหมือนดี ดูเหมือนเป็นความหวังของคนที่ต้องการหนุ่มต้องการสาวเสมอ แต่ว่ามันกลายเป็นโทษเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่ทำให้เราเรียนรู้การยอมรับความจริง และในเมื่อเรายอมรับความแก่ไม่ได้เราก็จะยอมรับความเจ็บป่วยไม่ได้เหมือนกัน พอเจ็บป่วยก็จะมีความทุกข์ขึ้นมา กลุ้มอกกลุ้มใจ ความเจ็บป่วยมันทำให้ทุกข์กายอยู่แล้ว แต่พอวางใจไม่เป็น ไม่ยอมรับความจริงในเรื่องของอนิจจังก็จะทุกข์ และความทุกข์ใจมันก็จะไปซ้ำเติมทำให้ทุกข์กายแย่ลง
คนที่เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าอยู่ได้ ๓ เดือน ปรากฏว่าทำใจไม่ได้ อาจเป็นว่าโรคมันร้ายถึงขั้นว่าตายในเวลาไม่กี่เดือน ความทุกข์ใจก็ทำให้ตายเร็วเข้า จาก ๓ เดือนที่หมอพยากรณ์ไว้ก็แค่ ๑๒ วันแค่นั้นเอง เมื่อพูดถึงความตายแล้วก็ยิ่งทำใจไม่ได้ แต่ที่จริงแล้วเราก็ต้องพิจารณาหรือว่าเตือนใจอยู่เสมอในเรื่องความตาย ว่ามันเป็นของที่จริงแท้แน่นอนที่ต้องเกิดขึ้นกับเราและมันจะมาเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ การเตือนใจให้เราระลึกถึงความตายเป็นสิ่งที่เป็นธรรมะข้อหนึ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านได้สอนอยู่เสมอ ในเรื่องนี้น่าสนใจ
มีคราวหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่เมือง ๆ หนึ่ง ชื่อเมืองอาฬวี เมืองนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นลูกสาวของช่างหูกหรือว่าช่างทอผ้า เมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็อยากจะไปฟังธรรม ที่จริงพระพุทธเจ้าเคยมาที่เมืองนี้ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ ๓ ปีก่อน แล้วก็หญิงสาวคนนี้ก็ได้ฟังธรรม ตอนนั้นเธออายุ ๑๖ ปี ตอนนั้นพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องมรณสติ เรื่องว่าชีวิตมันไม่เที่ยง ความตายต่างหากที่มันเที่ยง แล้วก็มนุษย์เราทุกคนก็ต้องมีความตายเป็นที่สุด ดังนั้นจึงต้องระลึกถึงความตายอยู่เสมอ นางสาวคนนี้ชื่อ กุมาริกา เธอประทับใจในคำสอนนี้มากก็พิจารณาในมรณสติอยู่เสมอ และเมื่อได้ทราบว่าพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมก็อยากจะไปฟัง
แต่เช้าวันนั้น พ่อซึ่งเป็นช่างหูกช่างทอผ้ากำลังทอผ้าค้างอยู่ แล้วด้ายมันขาด ด้ายไม่พอก็สั่งให้เธอไปกรอด้าย สถานที่กรอด้ายก็อยู่อีกที่หนึ่ง เธอก็ต้องเดินจากบ้านไปโรงกรอด้าย กรอด้ายเสร็จก่อนจะกลับมาหาพ่อก็อยากจะไปฟังธรรม ส่วนพระพุทธองค์เมื่อไปที่เมืองนั้น พระองค์ฉันภัตราหารเสร็จแล้วแทนที่จะแสดงธรรม พระองค์ก็ไม่แสดงธรรม คนก็แปลกใจว่าทำไมพระองค์ไม่แสดงธรรม เพราะว่าพระองค์รอนางกุมาริกา พอเธอมาพระองค์ก็สนทนากับเธอ ถามเธอว่าเธอมาจากไหน เธอตอบว่า ดิฉันไม่ทราบค่ะ เธอจะไปไหน ดิฉันไม่ทราบค่ะ เธอไม่ทราบใช่ไหม ดิฉันทราบค่ะ แล้วเธอทราบหรือ ดิฉันไม่ทราบค่ะ พวกเราฟังแล้วงงไหม ชาวบ้านเขาฟังแล้วก็ไม่พอใจคำตอบของนางกุมาริกา ว่าตีฝีปาก ไม่ตอบให้มันชัดเจนลงไป รู้อยู่แล้วว่ามาจากไหน ก็มาจากโรงกรอด้าย แล้วจะไปไหนก็จะกลับไปบ้านไง ก็ไปต่อว่านางกุมาริกา พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเพิ่ง ๆ ฟังนางก่อน ให้ฟังนางก่อน
ที่พระพุทธเจ้าถามนางว่ามาจากไหน ทำไมตอบว่าไม่ทราบค่ะ นางกุมาริกาตอบว่า พระพุทธเจ้าตั้งใจจะถามนางว่า ก่อนเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เธอมาจากไหน เธอก็เลยตอบว่าไม่ทราบ คือไม่ทราบว่าชาติที่แล้วเป็นใคร แล้วที่พระพุทธเจ้าถามว่าจะไปไหน ที่จริงพระพุทธเจ้าตั้งใจจะถามว่าตายแล้วเธอจะไปไหน เธอก็ตอบว่าไม่ทราบ พระพุทธเจ้าถามว่า เธอไม่ทราบหรือ ที่จริงพระพุทธเจ้าตั้งใจจะถามว่า เธอไม่ทราบหรือว่าจะต้องตาย เธอตอบว่า ทราบว่าต้องตายแน่ แล้วที่พระพุทธเจ้าถามว่า แล้วเธอทราบหรือ ทำไมเธอถึงตอบว่า ไม่ทราบ เธอก็บอกว่า ที่พระพุทธเจ้าถามว่าเธอทราบหรือ หมายถึงว่า เธอทราบหรือว่าเธอจะตายเมื่อไหร่ เธอตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไหร่ ปรากฏว่าที่เธอตอบนี่ตรงกับความตั้งใจของพระพุทธเจ้า ผู้คนก็เลยสรรเสริญ เพราะว่าเธอเป็นคนฉลาด หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมสั้น ๆ ว่ามนุษย์นี้ส่วนใหญ่เหมือนคนตาบอด น้อยคนที่จะเห็นทางสว่าง น้อยคนที่จะรู้แจ้ง น้อยคนที่จะไปสวรรค์ เหมือนกับนกที่น้อยตัวนัก จะหลุดออกจากตาข่ายของพรานที่ดักจับนกได้ เธอฟังเท่านี้ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เสร็จแล้วเธอก็ไม่ลืมหน้าที่ที่พ่อฝากไว้ก็คือ เอาด้ายไปส่ง ตอนที่เอาด้ายไปส่ง พ่อรอเธอจนหลับ พอเธอไปถึงก็วางตะกร้ากรอด้าย เกิดส่งเสียงดังขึ้นมา พ่อตกใจตื่น เมื่อตื่นขึ้นมาก็เผลอเอาฟืนพุ่งใส่ ปรากฏว่ามันไปปักอกเธอตาย ตายคาที่เลย อันนี้ก็เป็นอุทาหรณ์ว่า ความตายนี่มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อกี้เธอก็ยังพูดกับพระพุทธเจ้าอยู่หลัด ๆ เลย ว่าไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไหร่ ปรากฏว่าไม่ถึงชั่วโมงหรือไม่ถึง ๑๕ นาที เธอก็ตายเสียแล้ว แต่ว่าก็เป็นการตายที่ไม่สูญเปล่า เพราะว่าเธอก็ได้เป็นพระโสดาบันก่อนที่จะเสียชีวิต เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจเราเรื่องของความไม่เที่ยงของชีวิต แม้แต่คนที่รู้ว่าชีวิตไม่เที่ยงก็อาจจะตายแบบรวดเร็วฉับพลันก็ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราพึงตระหนักว่าความตายมันเป็นธรรมดาของชีวิต และมันสามารถที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีเพื่อนบอกว่า มีเพื่อนนักศึกษาปริญญาโทมาทำบุญด้วยกันที่วัด แถวปทุม แถวรังสิต พอทำบุญถวายอาหารเสร็จก็กลับไปทำงาน นั่งรถกับเพื่อนรุ่นพี่ ปรากฏว่าไปไม่ถึงที่ทำงานโดนรถคันหนึ่งเป็นรถเบนซ์ขับด้วยความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเลนซ้าย ชนรถของสองคนนั้นซึ่งเป็นรถฟอร์ด แล้วก็ไฟเกิดลุกท่วม ทั้งสองคนตายในรถ ออกมาไม่ได้ถูกไฟคลอกตาย อันนี้มันเป็นเรื่องที่ปัจจุบันทันด่วนมากเลย เคสนี้เป็นข่าวใหญ่เพราะว่าเจ้าของรถเบนซ์นี่รวย แล้วก็คิดดูขับรถเบนซ์ในกรุงเทพ ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมขับเลนซ้าย แล้วก็ดูจะมีเส้นสายใหญ่โต แต่ว่าประเด็นที่อยากจะพูดคือว่า ความตายมันเกิดขึ้นได้เร็วมาก เพราะฉะนั้นเราต้องเตือนใจเราเสมอว่า ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา และนอกจากนั้นไม่พอ ต้องเตือนในใจด้วยว่าคนที่เรารักก็สามารถที่จะจากเราไปได้ทุกเมื่อ จะประมาทไม่ได้เลย
มีเรื่องเล่าว่า อันนี้เป็นเรื่องจริง พยาบาลคนหนึ่ง วันหนึ่งป้าป่วยก็มารักษาที่โรงพยาบาลของเธอ ป้าคนนี้เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็ก แม่ไม่ค่อยได้เลี้ยง ป้าเป็นคนเลี้ยง จนกระทั่งเธอจบมัธยมเธอก็ไปเรียนพยาบาลอีกจังหวัดหนึ่ง และนับจากนั้นมาก็ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมบ้าน เรียนหนัก จนเรียนจบเธอก็ทำงานต่อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ราชบุรี เธอก็ไม่ค่อยได้มีเวลากลับไปเยี่ยมป้าผู้มีพระคุณ ไม่ต้องพูดถึงการตอบแทนบุญคุณ แล้ววันหนึ่งป้าก็เกิดป่วย ป่วยหนัก ป้าก็มารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเธอ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ อยู่ห้องไอซียู เธอก็ดีใจ เพราะว่าเธอจะได้มีโอกาสดูแลป้าของเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ค่อยได้ดูแล เพราะว่างานเยอะ โรงพยาบาลเดียวกัน แต่ไม่มีเวลาแม้กระทั่งไปเยี่ยม แล้วก็เธอตั้งใจว่าเสาร์อาทิตย์นี้เธอจะไปเยี่ยมป้า วันนั้นคือวันพฤหัส ปรากฏว่าพอเช้าวันศุกร์เพื่อนมาชวนไปเที่ยวพัทยาในเย็นวันศุกร์ เธอเป็นคนภาคกลางไม่เคยเจอทะเล เพื่อนชวนไปพัทยาก็ตกลงไป แล้วคิดว่าเดี๋ยวกลับมาวันอาทิตย์ค่อยไปเยี่ยมป้าก็แล้วกัน เดิมทีตั้งใจไปเยี่ยมวันเสาร์ แล้วเธอก็ไปเที่ยวพัทยาสนุกสนาน พอวันอาทิตย์เธอก็กลับมาถึงโรงพยาบาลประมาณค่ำ ๆ ค่ำวันอาทิตย์ ก็เดินตรงไปที่ห้องไอซียูที่ป้าอยู่ ปรากฏว่าไปไม่ถึง เจอเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า ป้าเธอเสียชีวิตแล้วในเช้าวันอาทิตย์นั่นเอง เธอเสียใจมากเลย เธอรู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่ปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป ป้าที่มาป่วยที่โรงพยาบาลก็นานเป็นอาทิตย์แล้ว เธอก็ไม่ยอมไปเยี่ยมซักที ครั้นจะไปก็มาปล่อยโอกาสให้หลุดไปอีกเพราะว่าเห็นแก่การเที่ยว เห็นแก่ความสนุกสนาน ก็กลายเป็นแผล เป็นความรู้สึกผิดที่ติดตรึงค้างคาใจเธอมาเป็นเวลา ๑๐ ปีเลย เธอก็ยังรู้สึกเสียใจ
อีกรายหนึ่ง เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไปเข้าคอร์สอบรมเพื่อจะมาเป็นวิทยากร ก็มีช่วงหนึ่งที่วิทยากรต้องการเน้นให้กลับมาเห็นความสำคัญของคนรอบข้าง ที่อาจจะมีความขัดแย้งกัน เธอก็ให้แต่ละคนได้พูดถึงคนใกล้ชิดที่มีความรู้สึกเหินห่างหมางเมิน ซึ่งหลายคนก็เลือกเอาพ่อบ้าง แม่บ้าง คนรักบ้าง แล้วผู้หญิงคนนี้แกก็เลือกเอาพ่อ เธอมีปัญหากับพ่อ วิทยากรก็บอกว่าลองนึกอีกมุมหนึ่งว่าเขามีบุญคุณกับเราอย่างไรบ้าง เขาเคยทำดีกับเราอย่างไรบ้าง หรือว่าเราเคยมีความรู้สึกดี ๆ ร่วมกันอย่างไรบ้าง ก็ให้เขียน เขียนเสร็จก็ให้ลองพูดถึงความรู้สึกว่า ถ้าเกิดว่าเขาอยู่ต่อหน้าเรา เราอยากจะบอกอะไรเขา เธอก็พูดถึงความรักที่เธอมีต่อพ่อ พ่อดูแลเธอตอนเด็ก ๆ พูดถึงความดีของพ่อหลายอย่างแล้วก็อยากจะบอกพ่อว่ารักพ่อ เขียนไปก็น้ำตาก็ซึม เพราะว่ารู้สึกว่าเรื่องที่เราขัดแย้งกับพ่อ ที่จริงพ่อก็ดีกับเรามาก
เขียนจบ ยังไม่พอ วิทยากรบอกว่า เอาล่ะ ให้ทุกคนโทรศัพท์ไปถึงคนที่เรากำลังเขียนถึงเลย ทุกคนช็อคเลย เพราะว่าจะพูดเรื่องแบบนี้ทางโทรศัพท์ หลายคนไม่กล้าพูดก็เพราะว่า มีเรื่องขัดแย้งกันมีเรื่องทะเลาะกัน แล้วจะมาพูดเรื่องความรู้สึกดี ๆ ต่อกันก็พูดยาก แต่หลายคนตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา ส่วนคนนี้เธอไม่ยอมทำ เธอบอว่าเดี๋ยวมะรืนนี้เธอก็จะกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวก็เจอหน้าพ่อ ก็จะบอกพ่อ เอาไว้พูดเมื่อได้เจอหน้าพ่อก็แล้วกัน เธอก็หาทางผัดผ่อน หรือว่ามันจะเป็นคำแก้ตัวของเธอก็ว่าได้ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นทางบ้านโทรมาบอกว่า พ่อเสียชีวิตแล้ว พ่อแขวนคอตาย พ่อเป็นโรคประสาท เธอเสียใจมากเลย เพราะว่าถ้าคืนนั้นเธอโทรไปหาพ่อ พ่ออาจจะไม่ฆ่าตัวตายก็ได้ พ่ออาจจะรู้สึกดีใจที่ลูกมีความรู้สึกดีกับพ่อ ตัวอย่างแบบนี้มันเป็นเพราะว่าอะไร มันเกิดขึ้นเพราะว่าความรู้สึกชะล่าใจ รู้สึกว่ายังมีเวลา สิ่งที่ควรทำ หลายครั้งเราไม่ยอมทำ หลายครั้งเราผัดผ่อน เพราะเราคิดว่ามีเวลา ไม่ทำวันนี้ทำพรุ่งนี้ก็ได้ บ่อยครั้งงานการมันก็เอาเวลาไปจากเรา ไม่มีเวลาไปเยี่ยมป้า เพราะว่างานเยอะ แต่พอมีเวลาขึ้นมาก็นึกถึงแต่ความสนุกสนาน เพื่อนชวนไปเที่ยวพัทยาไปว่ายน้ำทะเล แล้วก็ผัดผ่อนไปเรื่อย สุดท้ายโอกาสทองก็หลุดลอยไป อันนี้เรียกว่า ความประมาท
ผู้คนทำผิดพลาดแล้วก็เกิดความรู้สึกผิดติดค้างใจมากมาย ก็เพราะว่าความประมาท ตัวอย่างแบบนี้มีเยอะมาก ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไป เพราะว่าคิดว่าพรุ่งนี้ยังมี มีภาษิตทิเบตบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่า พรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน อย่าไปคิดว่ามีพรุ่งนี้แล้วค่อยมีชาติหน้า บางคน จากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย ในโลกนี้มีประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นคนที่วันนี้คือวันสุดท้ายของเขา พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นหนึ่งในแสนห้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น การเจริญมรณานุสตินี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะช่วยเตือนใจให้เราระลึกว่า อะไรที่ควรทำก็ต้องรีบทำ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกชั่วโมงคือโอกาสทอง คือนาทีทองที่เราจะได้ทำสิ่งดี ๆ ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่เรารัก แต่จะรวมถึงสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจของเรา เช่น การปฏิบัติธรรม การทำบุญทำกุศล แล้วถ้าเราผัดผ่อน เราหลีกเลี่ยง เพราะคิดว่าพรุ่งนี้ยังมี อันนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะว่าพอถึงวันพรุ่งนี้ โอกาสดี ๆ ที่เราจะได้ทำกับคนที่เรารักก็หมดแล้ว เพราะเขาจากไปซะก่อน หรือบางทีก็เป็นเราเองที่ไป
เพราะฉะนั้นให้เราระลึกถึง ความไม่เที่ยงของชีวิต คือ มรณสติเอาไว้เสมอ ในขณะเดียวกันก็เผื่อใจไว้ด้วย สำหรับความสูญเสียพลัดพราก บางทีมันก็ไม่ได้พลัดพรากถึงตาย แต่ว่ามันก็อาจจะมาในรูปของความสูญเสียคนรัก คนรักเขาจากไป เขาทิ้งไปหรือว่าสมบัติของรักของหวงมันเสื่อมไป มันสามารถจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เงินถูกโกง บ้านถูกยึด รถถูกขโมย หรือว่างานการที่สำเร็จก็กลายเป็นล้มเหลว ที่เคยมีงานมีการดี ก็ปรากฏว่ากลายเป็นคนตกงาน ที่เคยมีหน้ามีตาก็กลายเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้ารุมประณาม มันเป็นไปได้ทั้งนั้น ในสิ่งที่เรามีที่เราเป็นในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นตรงกันข้ามในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ดังนั้น ถ้าเราเปิดใจไว้แบบนี้ เวลาที่เราเจ็บป่วยก็ดี เวลาที่เราสูญเสียก็ดี เวลาที่เราพลัดพรากจากคนรักก็ดี เวลาชีวิตมันเข้าสู่ช่วงเวลาขาลงก็ดี ก็จะทำใจได้