แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวันพระมาถึง ญาติโยมสาธุชนก็มาวัดกัน เพื่อทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลเติมความปีติอิ่มเอิบให้กับจิตใจ โดยการมาถวายทานบ้าง โดยการมารักษาศีลบ้าง แต่นอกเหนือจากการเติมความดีลงไปในจิตใจแล้ว ก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้ความหลงเข้ามาครอบงำใจด้วย บางทีมาวัดถึงแม้จะได้ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล ฝึกจิตให้ห่างไกลจากการพึ่งพากามสุข เช่นมาถือศีลแปด แต่ถ้าหากว่าไม่ระมัดระวังความหลงก็เข้ามาครอบงำใจได้ เช่นมาวัดแต่ว่าคิดห่วงกังวลคนที่บ้าน คิดห่วงกังวลหนักอกหนักใจเรื่องหนี้สิน อันนี้เรียกว่าโดนความหลงเล่นงานซะแล้ว คนเราไม่ได้หลงเพราะกินเหล้าเมายาเท่านั้น หลงด้วยหลายสาเหตุ การที่จิตใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอดีต หรือว่าไปกังวลกับเรื่องอนาคตมันก็ทำให้หลงได้
เมื่อมาวัดก็ต้องถือว่านอกจากเรามาทำความดี มาเพิ่มบุญกุศลให้กับจิตใจแล้ว ก็ยังเห็นว่าการขจัดปัดเป่าความหลงไปจากจิตใจนี้ก็เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่ง มาวัดก็ให้มาเติมความรู้ตัว ให้มันเพิ่มพูนขึ้นมาในจิตใจ จิตใจเรามันก็เหมือนกับเมืองที่มีความหลงอยากจะเข้ามายึดครอง ความหลงหรือว่ากิเลสหรือว่าอวิชชา มันก็พยายามที่จะเข้ามายึดครองจิตใจเรา เพื่อใช้ใจเรา ใช้กายเราด้วยซ้ำ ในการเผยแพร่ความหลงให้มันกว้างขวางออกไป รวมทั้งการไปทำความชั่ว มันก็เหมือนกับเชื้อโรค ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรามันก็เต็มไปด้วยเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรีย แล้วก็ที่น่ากลัวกว่าคือไวรัส ไวรัสที่ทำให้คนเราเกิดโรคเช่นหวัด หรือว่าเป็นเอดส์ พวกนี้พยายามจะเข้ามายึดครองร่างกายเรา มันเข้ามาในร่างกายก็เข้าไปยึดครองเซลล์ต่างๆในร่างกายเรา แล้วก็สั่งให้เซลล์เหล่านี้ผลิตไวรัสเผยแพร่พันธุ์ให้มากขึ้นเพื่อให้กระจายไปทั่วร่าง กระจายไปทั่วร่างไม่พอ ก็หาทางกระจายออกไปยังร่างของคนอื่น บางทีก็ผ่านทางน้ำลาย ผ่านทางสารคัดหลั่งหรือของเหลวในร่างกาย เวลาจามละอองน้ำลายมันก็กระจายฟุ้ง ในนั้นก็มีไวรัสติดไปด้วย มันก็เข้าร่างคนอื่นต่อไป อันนี้มันเป็นความอยู่รอดของไวรัส แล้วก็เป็นหน้าที่ของมันที่ต้องการยึดครองร่างกายของคนเราให้มากที่สุด
กิเลสและความหลงมันก็มีคุณสมบัติคล้ายๆกัน หรือหน้าที่คล้ายๆกัน ก็คือพยายามหาทางเข้ามาครอบงำใจเรา แม้แต่มาวัดมันก็หาทางเข้ามาที่จะเล่นงานจิตใจเราเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะเป็นเขตปลอดความหลง เพราะมันไม่มีทางที่จะกั้นได้ ไม่มีกำแพงไหนจะกั้นได้ เขตปลอดเชื้อนี้มนุษย์เราสามารถทำได้ ตามโรงพยาบาลต่างๆก็มีเขตปลอดเชื้อ เป็นห้องพิเศษไม่ให้เชื้อโรคเข้ามา แต่ว่าเขตปลอดกิเลสนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเขตปลอดกิเลสหมายถึงสถานที่ มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากิเลสมันไม่ได้มีอยู่แต่ในร้านเหล้าหรือว่าในแหล่งอบายมุข สถานเริงรมย์ บ่อนคาสิโนเท่านั้น ตามบ้านเรือนหรือแม้แต่ในวัดวาอารามมันก็เข้ามาได้ เข้ามาครอบนำจิตใจของคนที่มาปฏิบัติธรรม คนที่มารักษาศีลได้เหมือนกัน
เพียงแค่นึกถึงลูก ห่วงกังวลถึงงานการหรือว่าหนี้สินนี้มันก็หลงแล้ว เพราะว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วเกิดความทุกข์ขึ้นมา หลงทำให้ทุกข์ แล้วทุกข์ก็ทำให้หลงมากขึ้น แม้แต่คนที่มาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่แค่มารักษาศีล มาเดินจงกรมมาสร้างจังหวะ มันก็เป็นเหยื่อของความหลงได้เหมือนกัน หลวงพ่อคำเขียนยังเคยเล่า ว่ามีหลวงพ่อรูปหนึ่ง ท่านก็ตั้งใจปฏิบัติ เอาจริงเอาจังกับปฏิบัติมาก ทั้งเดินจงกรมทั้งสร้างจังหวะ แต่แล้วทำไปๆก็เครียด หน้าดำคร่ำเคร่ง เคร่งจนเครียด อีกสักพักก็เห็นท่านเอารองเท้าแตะฟาดหัว แล้วก็บ่นว่า “ทำไมมันคิดมากเหลือเกิน มันคิดมากเหลือเกิน” คือโมโห โกรธ โกรธา จิตใจที่มันเต็มไปด้วยความฟุ้ง และคิดว่าจิตใจก็อยู่ในหัวสมองนี้แหละก็เลยเอารองเท้าฟาดหัว อันนี้เรียกว่าหลงแล้ว ตั้งใจจะมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ตัว แต่สุดท้ายก็โดนความหลงเล่นงาน
หรือบางท่านปฏิบัติไปๆ จู่ๆประมาณตีสองตีสามก็ไปรออยู่หน้าวัด พร้อมทั้งอัฐบริขาร สะพายบาตรเตรียมเดินทาง ไปรอทำไมอยู่หน้าวัด ก็เพราะคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว แล้วก็เข้าใจว่าญาติโยมจะรับกลับบ้านไปสอนธรรมไปเผยแผ่ธรรม มันปรุงไปแต่งเอง ไม่ได้แค่ปรุงแต่งว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว แต่ยังปรุงแต่งว่าญาติโยมจะมารับเพื่อไปโปรดสัตว์ ให้พ้นจากความทุกข์ คิดไปเองทั้งนั้นแหละ เรียกว่ามโน อันนี้เรียกว่าความหลง หลงว่าตัวเองตรัสรู้ และหลงว่าตัวเองจะมีคนมาแหนแห่พาไปเผยแผ่ธรรม
บางคนก็ไปปฏิบัติที่วัดสนามใน จู่ๆก็ไปเดินจงกรมอยู่บนสะพานลอยแถวๆหน้าวัดสนามใน สะพานกรุงธน เดินจงกรมทั้งคืนเลย เป็นพระ ตำรวจเห็นก็แปลกใจ นิมนต์ให้ลงมาจากสะพานลอยก็ไม่ยอมลง บอกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นจะลงนี้ห้ามไม่ได้ คิดว่าตัวเองเป็นพระอาทิตย์แล้ว อันนี้เรียกว่าหลง คิดว่าตัวเองตรัสรู้ เป็นเหมือนพระอาทิตย์ อันนี้เป็นเพราะการปฏิบัติ ปฏิบัติไปปฏิบัติมากลายเป็นหลงไป กว่าจะแก้อารมณ์ได้หลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่กลับไปวัดสนามใน ต้องพาไปวัดป่าอุทยานโน่นเลย ชวนให้ขุดส้วม ขุดหลุมทำส้วม ดินมันแข็ง ที่นั่นมีหินลูกรัง ขุดไปขุดไปได้สักเมตรหนึ่ง ก็ให้ไปขุดที่อื่นต่อ ล่อให้ไปใช้แรงให้มันเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆมันก็จะหลุดจากวิปัสสนู หลุดจากนิมิตได้ กลับมาเป็นปกติ กลับมารู้ตัวใหม่
ความหลงนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแต่กับคนที่เมาเหล้า หรือว่าเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัวเท่านั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนที่เที่ยวกลางคืนเอาแต่สนุกสนานเท่านั้น คนที่อยู่ในวัดหรือว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ทั้งๆที่ต้องการจะสร้างความรู้ตัว เติมปัญญาให้กับจิตใจ ขับไล่ความหลงให้ออกไปจากชีวิต กลับพลาดท่าเสียทีให้ความหลงเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ความหลงหรือกิเลสนี้มันน่ากลัวเพราะว่ามันเก่งมาก มันมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ แม้กระทั่งตั้งใจมาวัดเพื่อทำความดี ตั้งใจมาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อทำให้เกิดความรู้ตัว ทำให้เกิดวิชา ทำให้เกิดแสงสว่าง แต่ทำไปทำไป ความมืดนี้มันกลับครอบงำจิตใจคือเกิดความหลงขึ้นมา ไม่ใช่หลงเพราะเมาเหล้า แต่หลงเพราะว่าติดนิมิตบ้าง หรือว่าหลงเพราะว่าขาดสติ ส่วนใหญ่ก็เพราะขาดสติทั้งนั้นจึงทำให้หลง อยู่ที่ว่าขาดสติเพราะอะไร คนธรรมดาคนทั่วไปก็ขาดสติเพราะกินเหล้า บางคนขาดสติเพราะความโกรธ มีความโกรธมากมันก็ลืมตัว ไม่ใช่ทำร้ายข้าวของหรือว่าต่อว่าด่าทอ
เมื่อวานได้อ่านข่าวที่ประเทศจีน โกรธแฟนมาก หญิงสาว ไม่รู้โกรธเรื่องอะไรไม่ได้ดูรายละเอียด เห็นแต่พาดหัวข่าว ก็เลยฉีกเสื้อผ้าให้มันขาด ก็คือเปลือยนั่นแหละ เปลือยร่างทั้งตัวเลยต่อหน้าผู้คน ไม่ใช่เฉพาะต่อหน้าแฟน อันนี้เพราะอะไร อันนี้แหละความหลง หลงเพราะอะไร หลงเพราะว่าโกรธ น้อยเนื้อต่ำใจ แต่นอกจากหลงเพราะเมาเหล้าหรือหลงเพราะเมาอารมณ์แล้ว มันก็หลงเพราะเมาการปฏิบัติก็มี เมาการปฏิบัติ ปฏิบัติไปปฏิบัติไปก็เมา ที่เมาเพราะความอยากได้อยากบรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมก็อยากจะบรรลุธรรม แทนที่ความหลงมันจะออกไปจากใจ มันกลับแพร่ระบาดลุกลามเข้ามายึดครองจิตใจเราหนักขึ้น ตัวหลงนี้มันเป็นนักฉวยโอกาส มันฉวยโอกาสเก่งมากเลย แม้แต่มาวัดเพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อจะขับไล่ความหลงออกไปจากใจ มันก็ยังหาช่องเข้ามาเล่นงานนักปฏิบัติได้ อาศัยช่องว่าง อาศัยช่องโหว่ ช่องโหว่เกิดจากอะไร ช่องโหว่ก็เกิดจากความอยาก อยากจะบรรลุธรรมไวๆ อยากจะให้ใจสงบ อันนี้เรียกว่าเป็นการเปิดช่องให้กิเลสและความหลงเข้ามา ที่จริงความอยากเป็นกิเลสในตัวมันเองอยู่แล้ว
คนเราก็มีความอยากได้หลายแบบ หยาบบ้าง ประณีตบ้าง อย่างหยาบๆก็อยากร่ำอยากรวย อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากเป็นเจ้าคนนายคน จนกระทั่งสามารถที่จะทำความชั่วได้ โกหกหลอกลวง คอรัปชั่น หรือว่าทรยศหักหลัง อันนั้นก็เพราะความอยาก อยากมากๆก็ลืมตัว อยากจะทำความดี อยากจะไปทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ไปสมัครเป็นสส. เป็นรัฐมนตรี แต่ความอยากได้อยากเป็นก็ทำให้ยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งความชั่วเพื่อจะได้ไปบรรลุวัตถุประสงค์ แต่พอได้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ได้เป็นสส.ได้เป็นรัฐมนตรีก็แทนที่จะทำความดีตามอุดมคติก็กลายเป็นการหาประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง อันนี้ก็เรียกว่าโดนความหลงเล่นงาน โดนกิเลสครอบงำ อยากจะทำความดีแต่ลงท้ายกลายเป็นทำชั่ว
ไม่ต้องเป็นนักการเมืองก็ได้ คนทั่วไปธรรมดานี้ ทำความดีเช่นดูแลพ่อแม่ พ่อแม่ป่วยอุตส่าห์ลางานทิ้งงานการมาดูแลพ่อแม่ อยากจะให้พ่อแม่หายป่วยก็พยายามกวดขันเรื่องการกินการใช้ชีวิตของพ่อแม่ พ่อแม่เป็นเบาหวานก็ไม่อยากให้กินของหวาน ไม่อยากให้กินพวกน้ำตาลเยอะ แต่คนที่เป็นเบาหวานส่วนใหญ่ก็เพราะกินมากนั่นเอง ที่กินเพราะชอบ ก็เลยติดเป็นนิสัย พ่อแม่บางทีก็แอบกินพวกข้าวเหนียวทุเรียน พวกของหวาน ลูกรู้ก็โมโห ต่อว่าพ่อแม่ว่าอุตส่าห์ลางานมาทิ้งงานมาดูแลพ่อแม่ แล้วทำไมทำตัวอย่างนี้แย่มาก ก็ด่าไป อันนี้เราทำด้วยความหลง เพราะว่าถ้าไม่หลงคงไม่ด่าพ่อแม่ บางทีพ่อแม่บางคนก็อาจจะแอบสูบบุหรี่ ขนาดเป็นมะเร็งปอดแล้วก็ยังแอบสูบบุหรี่ พอลูกเห็นก็ว่าแรงๆ เสร็จแล้วก็มาเสียใจ ที่ว่านั่นเพราะอะไร ก็เพราะความหลงนั่นเอง อยากจะให้พ่อแม่มีความสุข กลับสร้างความทุกข์ให้กับพ่อแม่เพราะว่าด่าพ่อแม่ อันนี้เป็นเพราะความหลงมันหาโอกาส มันเป็นนักฉวยโอกาสมากทีเดียว
ความหลงและกิเลสนี้ประมาทมันไม่ได้ มันฉวยโอกาสที่จะครอบงำจิตใจของเรา มาเป็นนายเหนือหัวเรา แม้กระทั่งคนที่ทำความดีมันก็ฉวยโอกาสเข้ามาครอบงำจนกลายเป็นทำชั่วไป หรือว่าสร้างปัญหาสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อยากจะช่วยพ่อแม่แต่กลับสร้างความทุกข์ให้กับพ่อแม่โดยการต่อว่าด่าทอเขาอันนี้เรียกว่าหลงแล้ว ตัวหลงนี้มันเป็นนักฉวยโอกาสมากทีเดียว กิเลสนี้เราต้องระวัง และถ้าเราจะสู้กับความหลง เราจะเอาชนะความหลงได้เราจะต้องฉวยโอกาสเก่งกว่าตัวหลง หลวงพ่อคำเขียนบอกว่านักภาวนาจะต้องเป็นนักฉวยโอกาส ถ้าเราไม่ฉวยโอกาส ความหลงก็จะฉวยโอกาสเล่นงานเรา เราต้องฉวยโอกาสที่จะเปลี่ยนความหลงให้กลายเป็นความรู้ หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอ เปลี่ยนหลงให้เป็นรู้ เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนโกรธให้เป็นความไม่โกรธ อันนี้ก็ต้องอาศัยการฉวยโอกาส นักภาวนาที่เป็นนักฉวยโอกาส ถ้าเราไม่ฉวยโอกาส กิเลสความหลงก็จะฉวยโอกาสเล่นงานเราแทน เพราะฉะนั้นเราต้องฉวยโอกาสเก่งกว่าตัวหลงตัวกิเลส
เวลาใครทำอะไรเรา ใครเขาด่าเราใครเขาต่อว่าเรา เขาทำด้วยความหลงเราก็อย่าไปหลงตามเขา ยิ่งเขาหลงมากเท่าไหร่เราก็ต้องตั้งสติ เอาตัวรู้มาเป็นหลักเป็นประธานให้ได้ แล้วก็ใช้ความหลงที่เขาระบายใส่เรา เปลี่ยนให้เป็นตัวรู้เสีย คือเป็นอุปกรณ์หรือเป็นวัตถุดิบในการสอนธรรม อย่ามองว่ามันเป็นอุปสรรคของการปฏิบัติ มันไม่ใช่อุปสรรคแต่มันเป็นอุปกรณ์ เป็นเครื่องฝึก เป็นการบ้าน เขาว่าเราด้วยความหลงด้วยความเมาในอารมณ์ เราต้องฉวยโอกาสเอาตอนนั้นแหละมาเป็นอุปกรณ์สอนธรรมให้กับเรา อย่างที่หลวงพ่อท่านพูดว่า แม้ถูกด่าก็เห็นสัจธรรมได้ ถ้าเป็นนักฉวยโอกาสเปลี่ยนหลงให้เป็นรู้ พอใครด่าเราเราก็เอามาใช้เป็นเครื่องเสริมสร้างปัญญาเสียเลย ว่านี่เขากำลังแสดงสัจธรรมให้เราเห็น เห็นเรื่องอะไร เรื่องโลกธรรมแปด ว่าสรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน ให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยงว่าเมื่อวานนี้เขายังอารมณ์ดีอยู่เลย ตอนนี้เขากลายเป็นยักษ์เป็นมารไปแล้ว ดังนั้นคนเรานี้ไม่เที่ยงเลย ไม่ใช่ไม่เที่ยงแปลว่าแก่ ป่วย เท่านั้น บางทีคนดีๆกลายเป็นยักษ์กลายเป็นมารได้ นี้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน
บางคนคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่พอติดดีเข้าก็ทำชั่วได้ง่าย ความติดดีก็เป็นจุดอ่อนของนักปฏิบัติที่เปิดช่องให้ตัวหลงหรือว่ากิเลสเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ เพราะว่าพอติดดีแล้วมันก็เกิดความหลงตัวลืมตนขึ้นมา อันนี้เรียกว่ามานะว่าฉันดีกับคนอื่น หรือไม่ก็อยากจะให้คนอื่นดีเหมือนเราหรือว่าทำดีเหมือนอย่างที่เราคิด ความอยากตัวนี้ก็เป็นกิเลสได้ง่าย อยากให้ลูกดีเหมือนเรา อยากให้ลูกดีเหมือนอย่างที่เราคิด พอลูกไม่ดีเหมือนอย่างที่เราคิดก็โกรธ ก็ด่าว่าลูก ลูกก็เถียงก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ บางทีก็ลงไม้ลงมือ มีพ่อคนหนึ่ง ลูกไปชกต่อยกับเพื่อนจนถูกโรงเรียนลงโทษ ตัดคะแนน พอลูกกลับมาบ้าน พ่อรู้ พ่อก็ว่าลูกว่าทำไมทำอย่างนั้น ทำไมใช้ความรุนแรง ลูกบอกว่าเขามาด่าเรา พ่อก็บอกว่าเขาด่าเรา เราทำไมต้องใช้ความรุนแรงด้วย ทำไมต้องไปต่อยเขา มันต้องใช้สันติวิธี เขาว่าเรา เราก็เถียงกลับ ไม่เห็นต้องใช้ความรุนแรง ลูกก็เถียงพ่อ เถียงไปเถียงมาก็ว่าพ่อ ว่าพ่อเป็นคนอ่อนแอ ใครเขาว่าอะไรเราก็ยอมแพ้ พ่อโกรธมากพ่อก็เลยตบหน้าลูก เมื่อกี้พ่อเพิ่งสอนลูกอยู่หยกๆว่าให้ใช้สันติวิธี อย่าใช้ความรุนแรง แก้ปัญหาด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง แต่พ่อก็กลับใช้ความรุนแรงกับลูก เพียงเพราะว่าลูกไม่เห็นด้วยกับพ่อ
บางทีการยึดติดในความดีมันก็ทำให้เผลอทำชั่วได้เหมือนกัน ยึดติดในสันติวิธีก็ทำให้เผลอใช้ความไม่สันติแก้ปัญหาก็ได้ ความยึดติดนี้มันเป็นอุปาทาน มันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ถ้าเรายึดติดแม้แต่ยึดติดความดีมันก็เปิดช่องให้ความหลงเข้ามาครอบงำได้ พ่ออยากจะให้ลูกเป็นคนที่รักสันติไม่ใช้ความรุนแรง แต่พอลูกไม่เป็นอย่างที่พ่อคิด ไม่เป็นอย่างที่พ่อปรารถนา พ่อก็ชักโกรธไม่พอใจ แถมลูกเถียงเสียอีก นี่ยังดีแค่ตบลูก บางรายเถียงไปเถียงมาพ่อโกรธลูกมากเอาปืนยิงลูกตาย เสร็จแล้วตัวเองพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากยิงไปแล้ว รู้ตัวขึ้นมาว่าทำอะไร รู้ว่าผิด รู้ว่าบาปมหันต์ เสียใจ รู้สึกผิด หรือกลัวว่าจะถูกตำรวจจับ สังคมลงโทษประณาม ก็เลยยิงตัวเองตาย อยากจะให้ลูกเป็นคนดี พอลูกไม่ดีอย่างที่ตัวเองคิดก็โกรธ ตรงนี้แหละที่มันทำให้ความหลงเข้ามาครอบงำใจได้ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง
เพราะฉะนั้นต้องระวังว่าตัวหลงนี่เป็นนักฉวยโอกาสชั้นยอดเลย มันทำให้เราลืมตัวทำให้เราขาดสติ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่าเป็นเพราะขาดสตินี่แหละที่ทำให้หลง คนเราหลงด้วยหลายสาเหตุ หลงเพราะขาดสติก็มี หลงเพราะอวิชชาก็มี หลายคนถึงแม้ว่ายังมีสติดีแต่ว่าก็มีอวิชชานอนเนื่อง อันนี้เป็นการหลงที่รื้อถอนได้ยากมาก เฉพาะพระอริยเจ้าถึงจะรื้อถอนได้หมด ไม่มีอวิชชา ไม่มีความหลงอีกต่อไป ก็คือเห็นว่าทุกอย่างนั้นมันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกขัง อนัตตา แต่ถ้ามีอวิชชาอยู่ ก็ยังมีความลึก มีความเห็นลึกๆว่าอะไรๆก็เที่ยง หรือว่ายึดอยากให้ตัวเองเที่ยง ไม่แก่ไม่ป่วย ยึดอยากจะให้สิ่งต่างๆนี้มันให้ความสุขกับเราไปนานๆ แล้วก็ยึดว่าเป็นตัวเป็นตน อันนี้ก็เป็นความหลงที่ละเอียดมาก
ถึงแม้เราจะยังรื้อถอนความหลงตัวนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยความหลงเพราะขาดสติอันนี้ มันอยู่ในวิสัยที่เราจะจัดการได้ ก็คือพยายามทำให้มีสติมีความรู้ตัว ต้องฉลาดในการเปลี่ยนหลงให้เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธให้เป็นความไม่โกรธ นี่ต้องอาศัยสติ สติมันจะทำให้เราสามารถที่จะเปลี่ยนลบให้เป็นบวกได้ แล้วถ้าเรามีสติเมื่อไหร่ความหลงก็เข้ามาเล่นงานจิตใจเราไม่ได้ เวลาทำอะไรแม้แต่เวลาทำความดีก็ต้องให้มีสติเอาไว้ ให้ทานก็ต้องมีสติมีความรู้สึกตัว รักษาศีลก็อย่าลืมอย่าทิ้งสติ อย่าทิ้งความรู้สึกตัวไป ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าหลายคนก็มาปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว แต่ปฏิบัติไปปฏิบัติมา กลายเป็นหลงแทนอย่างที่เล่าไว้ตอนต้น หลงว่าตรัสรู้บ้าง หลงเอารองเท้าฟาดหัวบ้าง หรืออย่างต่ำๆก็หลงเครียด กลัดกลุ้ม แน่นหน้าอก นี้ต้องระมัดระวัง ไม่ว่าเราจะเป็นนักปฏิบัติธรรม เป็นคนวัด หรือเป็นคนที่รักษาศีล ประมาทตัวหลงไม่ได้ มันสามารถจะเข้ามาจู่โจมเล่นงานเราได้ตลอดเวลา รวมทั้งเวลาเราทำความดี แม้แต่เวลาเราปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้ตัว มันก็สามารถจะทำให้การปฏิบัติธรรมกลายเป็นการเพิ่มความหลงก็ได้ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วจะดีเสมอไป ยิ่งทำยิ่งหลงก็มีเยอะ
เหมือนกับเวลาการให้ทานรักษาศีลยิ่งทำไปยิ่งหลงก็เยอะ ให้ทานก็หลงอยากได้โน่นอยากได้นี่ กิเลสครอบงำ ให้ทานแต่ละทีกิเลสก็เล่นงานจิตใจ ถวายสิบอยากได้ร้อย ถวายร้อยอยากได้ล้าน หรือว่าอยากจะไปอวดโชว์คนนั้นคนนี้ว่าฉันเป็นคนมีใจบุญสุนทาน อันนี้ก็เรียกว่าหลงแล้ว ให้ทานรักษาศีลก็เหมือนกัน ก็ทำได้ความหลงก็ได้ ทำบุญแต่ว่าความหลงมันครอบงำจิตใจนี้เกิดขึ้นเยอะ นับประสาอะไรแม้ว่าการปฏิบัติธรรม ก็ทำด้วยความหลงมากทีเดียวก็เยอะเหมือนกัน จึงต้องระวังต้องหมั่นมีสติรู้ตัวกลับมาดูจิตดูใจเสมอ เวลาทำความดี ใจฟูขึ้นมาก็ให้เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็น เวลามีปีติเกิดขึ้นก็อย่าเข้าไปเป็นมัน เห็นมัน เห็นความปีติ เห็นความดีใจ เห็นใจที่มันฟู ไม่ใช่หลงเข้าไปเป็นมัน
เวลาปฏิบัติธรรม เจริญสติ สร้างจังหวะ เดินจงกรม มันเครียดก็รู้ทันมัน ก่อนจะปฏิบัตินี้มันอยากจะสงบ อยากจะเห็นรูปงาม อยากจะบรรลุธรรมก็ให้รู้ทันมัน อย่าทำด้วยความอยาก ถ้าทำด้วยความอยากแล้วก็จะเป็นจุดอ่อนให้ความหลงเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ มาใช้ใจเรามาใช้กายเรานี้เพื่อเพิ่มความหลง แพร่กระจายออกไป เหมือนตัวไวรัสที่มันครอบงำเซลล์ร่างกายเราเพื่อจะแพร่กระจายออกไป ต้องฉลาดในการรู้ทัน จึงต้องเป็นนักฉวยโอกาสด้วย ฉวยโอกาสทุกเวลา ทำอะไรก็ถือว่าเป็นการเจริญสติไป ทำอะไรด้วยความรู้ตัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลากราบพระ ทำวัตร อาบน้ำ ล้างหน้า ถูฟัน กวาดใบไม้ ซักเสื้อผ้า ต้องฉวยโอกาสสร้างสติ เติมความรู้สึกตัวลงไป ฉวยโอกาสให้เป็นการปฏิบัติธรรมไป อยู่บนรถแทนที่จะปล่อยใจลอย ก็ใช้โอกาสนั้นแหละในการเจริญสติ คลึงนิ้วไป
ขณะที่รถติดหรือว่ารอเพื่อนอย่ามัวปล่อยให้ความเครียดมันเล่นงานจิตใจเรา ก็ฉวยโอกาสใช้เวลานั้นแหละปฏิบัติธรรมเจริญสติไปคลึงนิ้วไป ยกมืออาจจะพลิกมือไปพลิกมือมาก็ได้ ไม่ใช่ว่าต้องมาวัดถึงจะปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเวลาเดินจงกรม สร้างจังหวะเท่านั้นถึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม อยู่ว่างๆก็ปฏิบัติธรรมได้ ก็เติมความรู้สึกตัวลงไป หรือแม้แต่มีคนมาต่อว่าด่าทอเราทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็ถือโอกาสใช้มันเป็นอุปกรณ์ในการเจริญสติ เป็นเครื่องฝึกสติไป เจ็บป่วยก็ใช้โอกาสนี้เป็นโอกาสในการฝึกสติ ไม่ใช่ปล่อยให้ความหลงครอบงำเวลาเจ็บเวลาป่วย เวลาของหายความหลงมันเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ง่ายมากเลย ของหายก็ได้แต่ทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ เสียใจหรือเสียดายเจ็บป่วยก็เครียดกังวลวิตก ตัวหลงนี่มันฉวยโอกาส ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราฉวยโอกาสที่จะเข้ามาเล่นงานจิตใจเรา เราก็ต้องฉวยโอกาสกลับไป ตรงข้าม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เจออะไรก็ใช้เป็นแบบฝึกหัดในการฝึกจิตฝึกใจของเราให้มีสติ ให้มีความอดทน ดูให้มีความไม่ประมาท