แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทพุทธคุณ 100 บทที่เราได้สาธยายไปสักครู่ นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อการสรรเสริญพระองค์แล้ว สิ่งที่ควรทำควบคู่ไปด้วยก็คือการใคร่ครวญกับพิจารณา อย่างเช่นให้สังเกตว่าคุณวิเศษทั้ง 100 ประการของพระองค์ ไม่มีข้อใดที่เกี่ยวเนื่องกับอิทธิปาฏิหาริย์เลย ความสามารถในการดำดินบินบน หรือว่าเสกสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามความต้องการของเรา อันนี้ไม่ได้จัดว่าเป็นพุทธคุณทั้ง 100 ประการ อาจจะมีบางบทที่บอกว่าพระองค์ทรงมีญาณ ญาณเวช หรือว่ามีเวช เวชนี้ก็ไม่ใช่เวชมนต์แต่หมายถึงญาณที่เป็นเครื่องทะลุโมหะ ก็คือทำให้เกิดความรู้แจ้งขึ้นมา อันนี้เป็นเวชที่ยิ่งใหญ่ประเสริฐกว่าเวชมนต์คาถา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็แสวงหา เวลาจะพึ่งพาใคร เวลาจะแสวงหาพระที่จะเป็นที่ศรัทธานับถือ หลายคนก็ไปดูตรงนี้แหล่ะ ดูที่การมีเวชมนต์คาถา มีความสามารถในการทายใจ หรือว่าดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเรา
ที่จริงพระพุทธองค์ก็มีความสามารถส่วนนี้ แต่ว่าก็ไม่จัดว่าเป็นพุทธคุณใน 100 ประการที่ว่านี้ ที่เราสาธยายก็ลองพิจารณาดูว่าอะไรคือพุทธคุณที่ประเสริฐ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อยู่ที่คุณธรรมและการเข้าถึงสัจธรรมจนพ้นทุกข์ เรียกว่าสิ้นทุกข์หมดกิเลส อันนี้ที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของพระองค์ซึ่งเกิดจากความเพียร ไม่ได้ติดมาแต่กำเนิด เมื่อเราพิจารณาแบบนี้แล้ว ก็จะได้นำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิตของเรา เพียงยกเอาพุทธคุณข้อใดข้อหนึ่งมาเป็นแบบอย่างหรือจะเป็นจุดหมายก็ได้ โดยเฉพาะการมีปัญญาที่เป็นเครื่องดับกิเลส นำมาเป็นจุดหมายของชีวิตเพื่อที่จะได้ทำความเพียรให้ได้เข้าใกล้สภาวะนั้นให้มากที่สุด อีกอันหนึ่งที่อยากจะให้สังเกตว่าพุทธคุณ 100 ประการนั้นไม่มีข้อไหนที่บอกว่าพระองค์จะไม่ถูกตำหนิติเตียน จะไม่ถูกต่อว่าด่าทอหรือไม่มีผู้ใดใส่ร้าย ไม่มี พระองค์แม้จะทรงคุณวิเศษหรือว่าประเสริฐอย่างไรก็ยังมีคนตำหนิติเตียน มีคนต่อว่าด่าทอหรือยิ่งกว่านั้นคือใส่ร้าย ไม่ได้ใส่ร้ายธรรมดา ใส่ร้ายว่าไปอยู่เบื้องหลังการฆ่าผู้หญิง เป็นข้อหาที่ร้ายแรงมาก
ไม่มีข้อใดในพุทธคุณ 100 บทที่บอกพระองค์จะไม่มีวันแก่ แล้วก็จะเป็นอมตะ หรือว่าไม่มีข้อใดที่บอกว่าพระองค์ไม่เป็นผู้ที่มีสุขภาพดีตลอด ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่มีเลย ทำไมถึงไม่มี ก็เพราะว่ามันเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครหนีพ้น เราเองก็ต้องเจอ ถูกต่อว่าด่าทอ มีคนเกลียดชัง มีคนไม่เข้าใจหรือมีคนเข้าใจผิด ต้องเจ็บต้องป่วย ต้องสูญเสียพลัดพรากจากคนรักของรัก ข้อนี้ทุกคนต้องประสบ พระพุทธองค์เองก็เจออยู่บ่อยๆหรือไม่น้อยเลย ไม่มีใครที่จะมีคุณวิเศษชนิดที่ว่าปราศจากคนตำหนิติเตียน คนต่อว่าด่าทอ หรือมีแต่คนสรรเสริญไปทั่วทั้งโลกโดยไม่มีใครเกลียดชังเลย พระองค์ก็ไม่มีคุณสมบัติข้อนี้เพราะว่ามันเป็นการฝืนธรรมชาติ ทรงคุณวิเศษอย่างไรก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องป่วยและก็ต้องตาย
เวลาเราเจอหรือประสบภาวะแบบนี้ อย่าบ่นตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันทำความดีมาตั้งนานจึงไม่มีคนเห็นความดีของฉัน ที่เขาไม่เห็นความดีของเรานี้ยังดี เพราะว่าที่เขาสามารถจะทำได้มากกว่านั้นกับเรายังมีอีกเยอะ เช่นใส่ร้าย หรือว่าอย่างเบาะๆก็นินทาว่าร้าย ที่เขาไม่เห็นความดีของเราก็ถือว่าเป็นโชคแล้ว เพราะว่าเราอาจจะเจอมากกว่านั้นก็ได้ในวันหน้า ทำดีแค่ไหนก็อย่าไปคิดว่าเราจะปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ จะไม่เจ็บไม่ป่วย จะไม่สูญเสีย งานการจะไม่เจออุปสรรคหรือความล้มเหลว พวกนี้เป็นธรรมดา และที่พระพุทธองค์ทรงคุณวิเศษได้ก็เพราะทรงเห็นความเป็นธรรมดาเหล่านั้น จะแม้จะเจอกับความทุกข์ที่ว่ามาแต่ก็สามารถที่จะยกจิตเหนือสิ่งเหล่านั้น คือใจไม่ทุกข์ได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางโลกที่มันผันผวนปรวนแปร มีบวกมีลบ มีร้อนมีหนาว มีขึ้นมีลง มีสุขมีทุกข์ แต่พระองค์ก็สามารถจะยกจิตเหนือทุกข์ได้ เรียกว่าตัวอยู่ในโลกแต่ว่าใจอยู่เหนือโลกหรือพ้นโลก เราทุกคนตราบใดที่ตัวเองอยู่ในโลกมันก็ต้องเจอสารพัด ที่เรียกรวมๆว่า ทุกข์ อย่างที่เราสวดสาธยายกันเกือบทุกเช้า เกิดขึ้นมา ทันทีที่เกิดมาก็ทุกข์แล้ว
เด็กที่คลอดมาจากท้องแม่แต่ละคนๆ ก็ทุกข์ทั้งนั้น เด็กต้องร้องอุแว้อุแว้ เด็กต้องตื่นตกใจพยายามฝืนที่จะไม่ออกมาก็ไม่สำเร็จ อันนี้ก็เรียกว่าการเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ความเจ็บก็เกิดขึ้น และนั่นก็เรียกว่าทุกข์ ระหว่างนั้นก็ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก มีความโศกความร่ำไรรำพันความไม่สบายกายความไม่สบายใจความคับแค้นใจ ปรารถนาอะไรก็ไม่ได้หรือถึงได้ก็ได้ไม่พอ ได้ไม่สมอยาก ก็ทุกข์ อันนี้คือสภาวะที่ทุกคนต้องเจอมากบ้างน้อยบ้าง ถ้าหากว่าตัวอยู่ในโลก ไม่ได้อยู่บนสวรรค์นี่ก็ต้องเจอ แต่ว่าใจนี่สามารถจะเหนือโลกได้ เหนือโลกก็คือความผันผวนปรวนแปร ความไม่เที่ยงทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรจิตใจไม่ได้ อาจจะทำได้กับร่างกาย อาจจะทำได้กับข้าวของทรัพย์สมบัติหรือชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดจนคนรักคนรอบตัว อันนี้ความเสื่อมความสูญความไม่เที่ยง เกิดขึ้นอย่างหนีไม่พ้น แต่ว่าใจไม่เป็นทุกข์ เรียกว่าตัวอยู่ในโลก แต่ว่าใจนี่พ้นโลกหรือเหนือโลก ให้เราตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้นี่มันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับเราอยู่เสมอ แล้วก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ในยามที่เรามีความสุข ในยามที่เรามีสุขภาพดี ก็รู้ว่าที่เป็นอยู่ที่มีอยู่เป็นของชั่วคราว ไม่ว่าเป็นอะไร ไม่ว่ามีอะไรใน ที่สุดมันก็แปรเปลี่ยนไปทั้งนั้น มันเป็นเพียงแค่ของชั่วคราวชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ว่าจะเป็นความหนุ่มความสาว ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่มี ไม่ว่าจะเป็นคนมีสุขภาพดี ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นคนเก่งเป็นอะไรก็ตาม มีอะไรก็ตาม มันก็จะหมดหรือว่าจะผันแปรไปไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสไปประเทศนอร์เวย์ ก่อนที่ไปประชุมเป็นวันอาทิตย์ก็เลยได้ไปชมสวน ส่วนหนึ่งที่มีชื่อมากนักท่องเที่ยวก็นิยมไปกัน โดยเฉพาะวันอาทิตย์นี่ร้านค้าเขาปิด ประเทศนี้วันอาทิตย์เราจะไปซื้ออะไรไม่ได้เลย ยากมากเขาปิด ก็มีสวนนี่ที่เปิด พิพิธภัณฑ์หลายแห่งก็ปิด แต่ว่าสวนนี้ชื่อว่าสวน Frogner Park หรือว่า Vigeland Park เปิด 24 ชั่วโมง Vigeland เป็นชื่อของศิลปินซึ่งทำสลักเป็นรูปต่างๆ หรือว่าเป็นรูปคน ในนั้นจะมีรูปสลักประมาณ 200 กว่าชิ้น เป็นรูปคนทั้งนั้นแหล่ะ ตอนที่เดินไปช่วงต้นๆ ก็เป็นรูปเด็ก เด็กน่ารัก เด็กกำลังสนุกสนานร่าเริง แต่พอเดินไป ๆ เด็กก็ค่อยๆ หายไป กลายเป็นผู้ใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว ก็มีความสุข มีความเพลิดเพลินยินดีที่จะอยู่ร่วมกัน มีความรัก
แต่พอเดินไปอีกหน่อยภาพที่เห็นหรือรูปสลักที่ปรากฏก็เริ่มมีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นกับคนเหล่านั้น เช่น ความสูญเสีย ความพลัดพราก เดินไปอีกหน่อยรูปที่เห็นก็เป็นรูปคนแก่หญิงและชาย ก็กำลังเศร้าโศก ไม่ทราบว่าเศร้าโศกเพราะอะไร อาจจะสูญเสียคนรัก สูญเสียลูก หรืออาจจะกำลังเจ็บป่วยอยู่ รูปทั้งหมดที่ว่ามา 200 กว่ารูปนี้ ล้วนแล้วแต่เปลือย เป็นร่างที่เปลือย อันนี้เขาคงต้องการที่จะบอกว่า ต้องการสื่อถึงความเป็นมนุษย์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยชาติ ด้วยศาสนา คือถ้าใส่เสื้อมันก็จะบ่งบอกชาติ บ่งบอกวัฒนธรรม ซึ่งมันจะทำให้สิ่งที่เขาต้องการสื่อนี่มันคับแคบลง เขาก็ต้องการสื่อความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหลาย ว่ามันเริ่มต้นด้วยความสุขสนุกสนานความร่าเริง สุดท้ายก็ต้องไปลงเอยด้วยความเศร้าโศก ความแก่ชรา
แล้วท้ายๆ ก็จะเป็นภาพเป็นเสาหินใหญ่สูง 10 กว่าเมตร เป็นรูปคนนอนก่ายกองกัน จะว่ามองเป็นซากศพก็ได้ หรือว่าจะมองเป็นความล้นเหลือของผู้คน คนที่นอนอยู่เขาก็ไม่ได้แสดงหน้าตาให้เราเห็น บางจุดก็เป็นรูปคนที่นอนก่ายกองกันเป็นวงกลมเหมือนกับเป็นวัฏจักร จะมองว่าคนเรานี่มันเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน สัมพันธ์กันก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นวัฏจักรแห่งความเกิดและความตาย ต้องเกิดอยู่เรื่อยไป
Vigeland ซึ่งเป็นศิลปินคนนี้ เขาก็สลักภาพเหล่านี้มาตั้งแต่ 100 กว่าปีที่แล้ว แต่ว่าดูแล้วมันก็ได้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ว่าจริงๆแล้วคนเราก็หนีความทุกข์ไม่พ้น หนีความสูญเสีย ความโศกความร่ำไรรำพัน หลายคนไม่เข้าใจว่าเขาสลัก หรือว่าเขาทำงานชุดนี้เพื่ออะไร ต้องการสื่ออะไร ทำไมคนถึงต้องเปลือยหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กคนแก่ อันนี้ก็น่าจะเป็นเพราะว่า เขาต้องการสื่อถึงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ก็ล้วนแล้วแต่มีความดีใจ มีความเสียใจ มีความสุขและก็มีความทุกข์ ศิลปินก็เห็นคนแก่นี่ล้วนแล้วแต่มีหน้าตาหม่นหมอง เพราะสูญเสีย เพราะพลัดพราก เพราะเจ็บป่วยหรือเพราะแก่ชราก็ตาม แต่ที่จริงแล้วในมุมมองพุทธศาสนานี่ แม้ว่าความแก่จะเป็นทุกข์ แม้ว่าความป่วยจะเป็นทุกข์ แต่ว่ามันเป็นทุกข์กาย ใจไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ แก่แล้วแต่จิตใจยังเป็นปกติสุขก็มีเยอะ ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วยก็ได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนด้วยว่า เมื่อป่วยก็ให้ป่วยแต่กายอย่าให้ใจป่วย อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากว่า แม้คนเราจะหนีวัฏจักรแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย สูญเสียพลัดพรากไม่พ้น แต่เราก็สามารถจะยกจิตให้มันอยู่เหนือภาวะที่เป็นทุกข์เหล่านั้นได้ อันนี้เหมือนกับเป็นสิ่งที่ให้ความหวัง และก็กำลังใจกับคนเรา
ในด้านหนึ่งพระองค์ก็ทรงสอน ก็เตือนว่าในขณะที่มีความสุขยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังมีสุขภาพดี ก็ระวังอย่าประมาท เพราะว่าสักวันหนึ่งก็ต้องแก่ต้องเจ็บ อย่าไปเพลิดเพลินกับความสุข อย่าไปเพลิดเพลินกับทรัพย์สมบัติที่มี เพราะว่าจะหมดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คำพูดแบบนี้คนไม่ค่อยอยากฟังเท่าไหร่ คนที่กำลังเพลิดเพลิน คนที่ยังหนุ่มยังสาวไม่อยากได้ยินว่าสักวันหนึ่งฉันต้องแก่ สักวันหนึ่งฉันต้องป่วย คนที่กำลังร่ำรวยหรือมีเกียรติยศชื่อเสียงก็ไม่อยากได้ยิน คำสอนที่ว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสื่อม ต้องหมดไปจากสภาวะนั้น
ที่สวนโมกข์จะมีที่โรงมหรสพทางวิญญาณ มีภาพคนที่ปิดหูไม่อยากฟังพระเทศน์พระสอน มาวัดแต่ไม่อยากฟัง คนจำนวนมากก็เป็นแบบนี้ คือมาวัดก็อยากจะได้ฟังเรื่องราวดีๆ ที่มันรื่นหู เช่นอายุ วรรณะ สุขะ พละ พอมาฟังเรื่องว่าอายุก็ไม่เที่ยง สุขะ พละ ก็ไม่เที่ยง แต่ว่าเวลาแก่เวลาเจ็บเวลาทุกข์นี่ พระพุทธเจ้าก็จะพูดอีกแบบหนึ่ง ว่าในท่ามกลางความทุกข์มันก็ใจไม่ทุกข์ก็ได้ อาจจะมีความสุขให้เราได้สัมผัสก็ได้ อย่างที่พระองค์ตรัสว่าผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ เวลาสุขพระองค์ก็เตือนว่าอย่าเพลินในความสุข แต่เวลาทุกข์พระองค์ก็บอกว่าอย่าไปจมอยู่ในความทุกข์ เพราะว่ามันยังมีสุขให้เราได้พบได้สัมผัสได้ ดังนั้นใครที่มีทุกข์ตอนนี้ จะเป็นเพราะความแก่เพราะความเจ็บเพราะความพลัดพราก ลองมองดูดีๆมันมีสุขให้เราได้เก็บได้เกี่ยว เจ็บป่วยแค่ไหนมันก็ยังมีโอกาสที่จะยิ้มได้ แม้กายมันจะเต็มไปด้วยทุกขเวทนา
เมื่อเดือนที่แล้วก็เหมือนกัน ได้ดูคลิปวีดีโอของคนๆหนึ่ง เธออายุก็ประมาณ 20 ปลายๆ 30 ต้นๆ ชื่อจอย ตอนนี้เธอป่วยด้วยโรคพุ่มพวง แล้วก็ค่อนข้างแรง ร่างกายผิดปกติไปหมด หน้าก็บวม มือไม้กระดูกนิ้วก็คดงอ เรียกว่ามีทุกขเวทนาเต็มไปทั้งร่าง อยู่ในห้อง ICU มาเป็นปีที่ 4 แล้ว แต่เธอก็จะเรียกว่าหน้าตาแจ่มใสก็ได้ ทั้งๆที่หายใจแต่ละทีก็ยาก เวลาจะพูดแต่ละคำก็ต้องรวบรวมกำลัง พูดได้ซัก 4-5 คำก็ต้องหยุดหายใจแล้วก็พูดต่อ คนที่อยู่ในห้อง ICU มา 3-4 ปีนี่ไม่ใช่น้อย ๆ คนธรรมดานี่ไปอยู่ที่ห้อง ICU แค่คืนเดียวบางทีก็กระสับกระส่ายแล้ว เพราะว่านอนไม่ค่อยหลับ มีเสียงสัญญาณต่างๆดัง ไฟก็เปิดสว่างทั้งคืน ไม่ใช่แค่กลางวัน แต่เธออยู่มาเป็นปีที่ 4 แล้ว เธอเล่าว่าตอนที่เริ่มเป็นโรคนี้ ตอนนั้นยังอยู่ในเป็นช่วงวัยรุ่น เธอก็เป็นคนหน้าตาดี แต่พอเป็นแล้วนี่เธอก็ทุกข์ใจมากรู้สึกอาย อายเพื่อน มารักษาตัวที่บ้าน ไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะอายเพื่อน เคยสวยเคยหน้าตาดี อยู่บ้านเพื่อนมาเยี่ยมก็บอกแม่ว่า ให้บอกเพื่อนว่าตัวเองไม่อยู่ เพื่อนมาทีไรก็ไม่เคยได้เจอเธอเลย เพราะเธอพยายามที่จะไม่ต้อนรับ บอกแม่บอกให้ปฏิเสธ ปฏิเสธยังไงก็ได้ว่าฉันไม่อยู่ เพื่อนก็ไม่เคยมาเจอเธอเลย
แต่ตอนหลังนี่พอเธอป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล มันก็มีความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเธอ ร่างกายแย่ลงแต่จิตใจดีขึ้น เธอก็ยอมรับความเจ็บความป่วยได้ แล้วพบว่าจริงๆแล้ว เธอไม่ได้ต้องการปฏิเสธเพื่อน เธอต้องการเพื่อนด้วย เธอมานึกย้อนถึงชีวิตของเธอตอนที่ป่วยใหม่ๆแล้วก็ไม่อยากเจอหน้าเพื่อน เธอบอกว่าเธอทำไม่ถูกเลย เพราะสิ่งที่เธอทำคือการหนีความสุข ความสุขมันมาหาเธอถึงบ้าน แต่เธอก็ปฏิเสธ เธอไม่ยอมรับ แล้วจริงๆตอนที่เธอป่วยเธอก็พบว่าถ้าเธอวางใจดีๆ เธอก็พบความสุขได้เหมือนกัน คำว่าหนีความสุขไม่ใช่หมายความเพียงแค่หนีเพื่อน ไม่อยากเจอหน้าเพื่อน หรือไม่ให้เพื่อนมาเจอหน้าตัวเองเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความที่ไม่รู้จักมองหาความสุขที่มันมีอยู่ หรือเกิดขึ้นกับตัวเองแม้ในยามเจ็บยามป่วย และเธอพบว่าความสุขอย่างหนึ่งที่มันเกิดขึ้นได้ก็คือการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งที่เธอป่วยมือก็จับอะไรไม่ค่อยได้ แต่เธอก็พยายามทำของเล่นไปให้เด็กที่ยากไร้ เด็กที่ป่วยแล้ว ก็ชักชวนเพื่อนๆทำ เธอพบว่าจริงๆแล้วความสุขก็เกิดขึ้นกับเธอได้ แม้ว่าจะยังเจ็บยังป่วยอยู่ ตอนหลังก็ไม่อายเพื่อนแล้วและก็ไม่อายใครด้วย กล้าที่จะให้คนถ่ายวีดีโอแล้วเอาไปเปิดให้ใครๆต่อใครดู ขึ้น YouTube ให้คนทั้งโลกดู ไม่ได้อายหน้าตาของตัวเองที่หน้าตานี้บวม หรือว่าอยู่ในภาวะที่ทุพพลภาพ
อันนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอหลายอย่าง จากคนที่เคยอายเพื่อน ตอนนี้ก็ไม่อาย จากคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ตอนนี้ก็พบว่าตัวเองมีคุณค่าแล้ว ก็คือการได้ทำประโยชน์กับเด็กเล็กๆ ที่เจ็บป่วย ใจใหญ่ ทั้งๆที่ตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอดแล้ว จะพูดแต่ละประโยค ๆ ต้องหยุดหายใจ แต่ว่าก็ยังพยายามทำสิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีประโยชน์กับผู้อื่นซึ่งก็ช่วยทำให้เธอมีความสุข การช่วยผู้อื่นมันทำให้ใจมีความสุข เป็นความสุขที่หาได้ง่าย เพียงแค่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเท่านั้น เธอบอกว่าแต่ก่อนเธอไม่มีความหวังในชีวิตเลย แต่ตอนนี้เธอมีความหวังล้นเปี่ยม ความหวังอย่างหนึ่งของเธอคือว่าตายดี ตายสวย ตายสวยในที่นี้ไม่ได้แปลว่าตายแบบหน้าตาดีสระสวย แต่หมายถึงว่าตายแบบใจสงบ ก็สามารถจะหาความหวังได้ท่ามกลางความเจ็บป่วยซึ่งหมอจนปัญญารักษาไม่ได้ อันนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนซึ่งเจ็บป่วย จนกระทั่งไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ แต่ว่าก็สามารถจะอยู่กับมันได้อย่างปรกติสุข กายป่วยแต่ว่าใจมีความสุข และเธอพบว่าจริงๆแล้วชีวิตนี้มันไม่ได้เลวร้ายอะไร ชีวิตมันไม่ได้เต็มไปด้วยทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะว่าเราหนีความสุขต่างหาก
คนจำนวนมากทั้งที่มีสุขภาพดี มีกินมีใช้ แต่ว่าจิตใจเต็มไปด้วยทุกข์เพราะว่าเขาหนีความสุข หรือเขาปฏิเสธไม่ยอมรับความสุขที่มันมีอยู่กับตัวเขาอยู่แล้ว เช่นใครที่ดูคลิปวีดีโอของจอยก็จะรู้ว่า ที่เราไม่ป่วยนี่ ที่เรายังสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้คือสุขแล้ว ที่เรายังสามารถจะกินอะไรก็ได้ ไม่ต้องกินทางสายยาง อยากจะกินอะไรก็เดินไปกิน หรือว่านั่งรถไปกินอันนี้แหละสุขแล้ว แต่คนจำนวนมากมองไม่เห็น มีพ่อมีแม่มีคนรักอยู่รอบข้างนี่ก็สุขแล้ว แต่มองไม่เห็น มองไม่ถูก มองไม่เป็น ว่านั่นแหล่ะคือสุขแล้ว ก็เอาแต่บ่นว่า ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ มันไม่ใช่เพราะชีวิตมันเต็มไปด้วยทุกข์อย่างเดียว แต่เป็นเพราะตัวเองมองไม่เห็นความสุข หรือว่าหนีความสุขด้วยซ้ำ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้จะประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ อันนี้มันเป็นความจริงที่เราต้องทำความเข้าใจ โดยเฉพาะเวลาทุกข์เมื่อไหร่ก็ลองพิจารณาดู มันมีสุขมากมายที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว หรือว่ามีสุขมากมายที่เราจะสามารถสร้างขึ้นได้ ไม่ยาก มีสุขมากมายที่เราสามารถเก็บเกี่ยวได้ ถ้าใจเราเปิด หรือว่าวางไว้ถูก เริ่มต้นจากการที่เรายอมรับสิ่งที่เป็น ว่าเป็นธรรมดา ไม่โวยวาย ไม่ตัดพ้อต่อว่าชะตากรรม พอใจมันยอมรับได้ จิตก็เปิด เปิดอะไร เปิดรับความสุขที่มี ไม่ปฏิเสธ ไม่หันหลัง หรือไม่หนีอย่างที่เคยทำมาก่อน เพราะฉะนั้น แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะบอกเรา ย้ำกับเราอยู่เสมอว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว แต่ว่าอย่าลืม มันยังมีความสุขที่เราสามารถจะพบได้ หรือเป็นความสุขที่มันเกิดกับเราอยู่แล้วเพียงแต่เรามองไม่เห็นเราวางใจไม่ถูก