แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อสัก 40-50 ปีที่แล้ว มีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งได้ขับเครื่องบิน เป็นเครื่องบินใบพัด แล้วก็เกิดอุบัติเหตุเครื่องตกบนเทือกเขาแอนดิสในอเมริกาใต้ เทือกเขานี้สูงมากแล้วก็มันมีแต่หิมะทั้งนั้น พอตกลงมาเครื่องก็พังยับเยิน ตัวก็ไม่ตายก็ต้องกระเสือกกระสนเดินฝ่าหิมะ เพื่อที่จะไปหาคนไปขอความช่วยเหลือจากผู้คน แต่ทั้งภูเขามันใหญ่มาก เดินฝ่าหิมะ 3 วัน ก็ยังไม่เห็นวี่แววผู้คน อากาศก็หนาวเหน็บจนกระทั่งหมดแรง แต่เขารู้ว่าถ้าล้มฟุบตรงนั้น ก็จะไม่สามารถจะลุกขึ้นมาได้อีกเลย ก็เลยพยายามลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อ เดินลุยหิมะไปได้ซักพักคงเป็นวัน ก็หมดแรง มันไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือเลย
ตอนนั้นก็เลยคิดว่าต้องตายแน่นอน ก็พร้อมที่จะตายล่ะ ก่อนที่จะหมดลมก็ร่ำลาเมียและลูก แต่ก่อนที่จะหลับตาและพร้อมที่ตายในหิมะ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเขาตายตรงนั้น แล้วไม่มีใครพบศพเขา เมียจะลำบาก ก็ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะได้รับเงินประกันชีวิต คือในฝรั่งเศสถ้าไม่พบศพ ต้องรอให้ศาลประกาศว่าเป็นบุคคลสูญหาย ซึ่งก็คงใช้เวลานานประมาณ 4 ปี ศาลจึงตัดสินให้เป็นบุคคลสูญหาย ถึงตอนนั้นประกันภัยถึงจะจ่ายเงินให้ เขาก็เลยคิดว่าเขาตายตรงนั้นไม่ได้ ก็เหลือบตามองเห็นหินก้อนหนึ่งมันโผล่ออกมาจากหิมะ อยู่ห่างประมาณร้อยเมตร เขาคิดว่านี่ถ้าเขาทิ้งร่างกายไว้ตรงนั้น บนหินก้อนนั้นก็คงมีโอกาสที่คนอื่นมาพบศพเขาได้ เขาก็เลยรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วก็เดินกระเสือกกระสนไปจนถึงหินก้อนนั้น แต่ปรากฏว่าสุดท้ายนี่ไม่ได้หยุดตรงนั้น เขายังมีแรงเดินต่อไปอีก 100 กิโลเมตร จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านแล้ว ก็มีคนช่วยชีวิตเขาไว้ได้
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ คนซึ่งไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงกำลังจะตายแล้ว แต่สุดท้ายด้วยความรักเมีย ด้วยความห่วงลูก เหตุผลง่าย ๆ คือ อยากจะให้เขาได้รับเงินประกันชีวิต มันทำให้มีเรี่ยวมีแรงมีพลัง ทีแรกคิดว่าเดินไปแค่ร้อยเมตรข้างหน้านี้ก็คงไม่ไหวแล้ว แต่กัดฟันเดินด้วยความรักเมีย ด้วยความห่วงลูก แต่สุดท้ายเรี่ยวแรงมันกลับเพิ่มขึ้นมาอีก จนสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเดิมพันเท่าทีเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงพลังจิตของผู้คนของคนเรา พลังใจทำให้มีเรี่ยวแรงมาก และสิ่งหนึ่งที่เป็นพลังให้คนเรานั่นก็คือ ความรัก ความห่วงใย คนเรามีพลังทั้งพลังบวกและพลังลบในตัว พลังลบก็ได้แก่ ความโกธร ความอาฆาตพยาบาท อันนี้ก็ทำให้มีพลังได้เหมือนกัน มีพลัง แต่ว่าพลังที่สร้างสรรค์คือ พลังบวก ความเมตตากรุณา ความรัก ความห่วงใย มันทำให้เราสามารถที่จะทำในสิ่งที่ปกติธรรมดาทำได้ยาก
มีอีกรายคือ คุณหมออัมรา มะลิลา เล่าให้ฟังว่ามีผู้ชายคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ช็อค ไตวายฉับพลัน ตอนถึงโรงพยาบาลก็โคม่าแล้ว อาการหนักมาก หมอบอกว่าอาการเป็นตายเท่ากัน ในช่วงที่เขาไม่รู้สึกตัวคือโคม่านี่ มันก็มีความทุกข์เวทนาเกิดขึ้นกับเขามากมาย คนที่โคม่าไม่ใช่เขาไม่รับรู้ เขารับรู้ เขารู้สึก เขาอาจจะได้ยินอะไรด้วยซ้ำ ผู้ชายคนนี้เล่าว่า ตอนที่เขาโคม่ามันทรมานมาก และจิตว้าวุ่น ฟุ้งซ่านไปหมด จิตมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางช่วงบางขณะเหมือนมันจะหลุดออกจากร่างให้ได้ แต่แล้วในช่วงเวลาเหล่านั้น เขารู้สึกว่ามันมีพลังอะไรบางอย่างแผ่มาที่ตัวเขา ให้ช่วยทำให้จิตของเขากลับมา กลับมาอยู่กับกาย ทำให้จิตของเขานิ่งลง ทำให้ทุกขเวนามันเบาบางลง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกตัว เขาก็เลยรู้ว่า อ๋อมันเป็นเพราะอย่างนี้เอง คือมีหัวหน้าพยาบาลคนหนึ่ง เวลาขึ้นเวรก็จะมาเยี่ยมผู้ป่วยทีละเตียงทีละเตียง พูดคุยให้กำลังใจ คนไหนที่โคม่า พูดไม่ได้ไม่รู้สึกตัว เธอก็จะเอามือสัมผัส สัมผัสตัวเขา แผ่เมตตา แล้วก็สวดมนต์ให้กำลังใจให้ฟื้นจากโคม่า ให้หายไว ๆ ให้พลังแห่งความเมตตาที่สัมผัสผ่านมือของเธอ สามารถส่งไปถึงเขาได้ จนกระทั่งจิตใจก็รับรู้ได้ ก็ทำให้ผู้ชายคนนี้แกรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพยาบาลคนนี้มาก
อย่างไรก็ตามหลังจากรู้สึกตัวแล้ว ก็มีบางช่วงที่มีอาการยังกำเริบ เพราะอาการยังวิกฤตอยู่ ภาวะกึ่งรู้สึกตัวนี่ มันไม่ใช่ว่าจะอยู่รอดปลอดภัย มีกลางดึกคืนหนึ่ง แกปวดมากเลย หายใจลำบากมาก มีความรู้สึกเหมือนว่าแบกกระสอบข้าวสารเดินขึ้นเขา มันหายใจลำบาก แล้วความรู้สึกตอนนั้นมันอยากจะตาย ไม่ไหวแล้ว แต่ช่วงที่เขารู้สึกว่ากำลังจะตาย เขาก็นึกถึงพยาบาลคนนี้ เขานึกว่าถ้าเกิดรุ่งเช้าพยาบาลคนนี้มา แล้วมาพบว่าเตียงของเขาเป็นเตียงเปล่าไปแล้ว ถ้าพบว่าเขาตายไปแล้ว พยาบาลก็จะรู้สึกเสียใจว่า เอ๊ะ..เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาถึงตายไป
ผู้ชายคนนี้เขาบอกว่า แกอยากจะบอก อยากจะร่ำลาพยาบาลคนนี้ว่า ถ้าเกิดผมตายไปไม่ใช่ความผิดของพยาบาล คุณทำดีที่สุดแล้ว แต่ผมไม่ไหวจริง ๆ ผมก็ต้องตาย แกก็เลยรวบรวมกำลัง รวบรวมความอึดทั้งหลาย เพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ถึงตอนเช้า เพื่อจะได้บอกพยาบาลอย่างที่ว่า แล้วแกก็สามารถจะอยู่ทนไปจนถึงตอนเช้าได้ พอถึงตอนเช้าแกก็รู้สึกดีขึ้น พยาบาลมาเยี่ยม แกก็ลืม ลืมบอกพยาบาลไป พอตกกลางคืนอาการแกก็กำเริบใหม่ จะตายให้ได้ เสร็จแล้วก็นึกถึงพยาบาลว่า เอ๊ะเรายังตายไม่ได้ เราต้องร่ำลาพยาบาลก่อน บอกให้เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอถ้าผมจะตาย แต่ร่างกายผมไม่ไหวจริง ๆ แกก็พยายามรวบรวมกำลังและอยู่จนถึงเช้า พอถึงตอนเช้าเจอพยาบาลก็ลืมอีก แล้วตกดึกก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
เป็นอย่างนี้อยู่หลายวัน จนร่างกายก็ดีขึ้นกลับมาเป็นปกติ แล้วก็กลับออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนหลังหัวหน้าพยาบาลเกษียณ มีการจัดงานเลี้ยง แกก็ได้รับเชิญให้มา แกก็เล่าว่า แกขอบคุณ แกเป็นหนี้บุญคุณพยาบาลอย่างไรบ้าง หัวหน้าพยาบาลคนนี้ เรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ความรัก ความห่วงใย หรือความเมตตามันมีพลัง มันไม่ใช่แค่ความเมตตาของพยาบาล ที่ช่วยทำให้ผู้ชายคนนี้ มีเรี่ยวมีแรงและมีอาการดีขึ้น แต่มันยังเป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงความเมตตาของคนไข้ คนไข้มีความห่วงใยพยาบาล ไม่อยากให้พยาบาลเสียใจ หรือเข้าใจผิด หรือรู้สึกผิดที่ตัวเองต้องตาย แกก็พยายามที่จะอยู่ให้ได้เพื่อที่จะบอกพยาบาลว่า ไม่ใช่ความผิดของคุณ อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องของความเมตตากรุณา ความปรารถนาที่จะไม่ให้เขามีความทุกข์ คือถ้าผู้ชายคนนี้แกไม่มีความเมตตากรุณา หรือความห่วงใยพยาบาล แกคงตายไปนานแล้ว และการตายในภาวะเช่นนั้น บางทีมันง่ายกว่าการอยู่ด้วยซ้ำ แต่เมื่อรู้ว่าจะต้องอยู่เพื่อจะบอกพยาบาล เพื่อที่จะช่วยเขา มันก็ทำให้มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป แม้แต่เพียงชั่วไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แต่กำลังใจที่ช่วยทำให้อยู่ไปอีกหลายชั่วโมง มันกลับทำให้มีพลังที่จะอยู่ไปได้นานขึ้น
ก็เหมือนกับผู้ชายชาวฝรั่งเศสคนนั้น พอมีแรงที่จะเดินไปได้ถึงร้อยเมตร ก็เกิดกำลังใจที่จะเดินไปได้ต่อ เอ๊ะเราทำได้นี่ เกิดความมั่นใจมากขึ้นสามารถเดินต่อไปได้อีกถึงร้อยกิโลเมตร ความเมตตากรุณา คือ ความนึกปรารถนาดีต่อผู้อื่น และก็ไม่ได้นึกอย่างเดียว แต่พยายามที่จะช่วย พยายามที่จะลงมือทำเพื่อช่วยเขา แม้จะเป็นการช่วยลดความทุกข์ในจิตใจก็ตาม เมื่อนึกถึงผู้อื่นกลับส่งผลดีกับตัวเอง เมื่อคิดจะช่วยผู้อื่น มันกลับกลายเป็นการช่วยตัวเอง ทำให้มีเรี่ยวมีแรงดีขึ้น ทำให้มีกำลังมากขึ้น อันนี้เป็นเพราะอะไร การที่นึกถึงผู้อื่น การที่คิดอยากช่วยผู้อื่น มันกลับเป็นประโยชน์กับเราเอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข เมื่อเราคิดอยากช่วยผู้อื่น มันเกิดความสุข มันเกิดพลัง เกิดกำลังใจ และผลอีกประการหนึ่ง คือ มันทำให้ทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็ก เรายอมที่จะทุกข์ได้มากกว่านี้เพื่อช่วยเขา
อย่างสองคนที่พูดนี้ ถ้าเขาคิดถึงแต่ตัวเองนี่ เขาคงไม่รอด เพราะว่าคนเราถ้าคิดถึงความทุกข์ของตนเอง มันจะเห็นความทุกข์ของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่มาก แล้วคิดว่าตายดีกว่า แต่พอคิดถึงผู้อื่นนี่ ความทุกข์ของตัวเอง ความลำบากของตัวเอง มันกลายเป็นเรื่องเล็ก ยอมได้ ทนได้เพื่อเขา แล้วก็ทำให้ในที่สุดเกิดกำลังที่จะอยู่รอดต่อไปได้ อันนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า เมื่อรักษาตนก็เท่ากับรักษาผู้อื่น เมื่อรักษาผู้อื่นก็เท่ากับรักษาตน การนึกถึงผู้อื่นหรือการพยายามช่วยผู้อื่น มันไม่ได้แยกจากการช่วยตัวเอง เมื่อเราคิดจะช่วยผู้อื่น มันก็เลยส่งผลเป็นการช่วยตัวเองไปในตัวด้วย พระองค์ตรัสว่า เมื่อรักษาผู้อื่นก็เท่ากับรักษาตน เมื่อรักษาตนก็เท่ากับรักษาผู้อื่น แล้วพระองค์ก็อธิบายว่า รักษาตนอย่างไร รักษาตนด้วยการปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก เจริญให้มาก ก็คือ การปฏิบัติธรรมหรือการเจริญในองค์มรรค ในไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้ชื่อว่ารักษาตน รักษาผู้อื่นทำอย่างไร ก็ทำด้วยความมีขันติ อวิหิงสา คือการไม่เบียดเบียน ด้วยจิตเมตตา มุ่งเกื้อกูลผู้อื่น เพียงแค่นึกถึงผู้อื่นก็เป็นการช่วยเหลือตัวเอง อย่างสองตัวอย่างข้างตน
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอติดเชื้อ HIV ได้เชื้อ HIV จากสามี สามีป่วยด้วยโรคเอดส์ คงไปเที่ยวผู้หญิงมา เป็นเหตุการณ์ในภาคเหนือ สามีก็แพร่เชื้อไปให้ภรรยา ภรรยาพอรู้ว่าตัวเองเป็นมีเชื้อ HIV ก็ไม่ได้โกธรสามี ก็ยังดูแลสามีที่ป่วยเป็นเอดส์จนตายไป เมื่อเธอกลายเป็นแม่หม้าย เธอก็นึกถึงหัวอกของแม่หม้ายหรือผู้หญิงที่ติดเชื้อด้วยกัน เธอก็เลยพยายามช่วยเหลือด้วยการให้กำลังใจ ด้วยการให้ความรู้ เป็นจิตอาสา ช่วยผู้หญิงที่ติดเชื้อให้สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ และก็สามารถที่จะอยู่รอดได้ ตอนหลังก็คิดไปถึงคนที่ยังไม่ติดเชื้อ ซึ่งก็ได้แก่เด็กและเยาวชน เธอก็เลยไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ไปให้การศึกษา ไปเป็นวิทยากรเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ตอนหลังคิดไปไกลถึงว่า จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้คนติดเอดส์ ก็ต้องช่วยให้เขามีความรู้ มีวิชาอาชีพที่ดี เพราะถ้าไม่มีความรู้ก็ไปขายตัวในกรณีที่เป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายก็ไปเป็นกรรมกร เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวซ่องก็ติดเชื้ออีก ก็เลยไปทำงานเรื่องการพัฒนาการศึกษา สร้างอาชีพ พัฒนาทักษะให้กับเด็กและเยาวชน ตอนหลังก็ขยายไปถึงการพัฒนาหมู่บ้านเลย กิจกรรมที่เธอทำก็กลายเป็นงานใหญ่ขยายวงกว้าง เธอได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามที่ต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องเอดส์ ทั้งเรื่องการศึกษาและเยาวชน
ทำอย่างนี้เป็นสิบปี จนถึงปีที่ยี่สิบแล้ว ป่านนี้ก็คงยี่สิบกว่าปีแล้ว เธอก็ยังอยู่ เธอก็ยังไม่ป่วย และที่น่าแปลกคือเธอไม่ได้กินยาต้านเชื้อ แต่เธอก็เหมือนมีสุขภาพดี มีคนหนึ่งแปลกใจว่าเธอทำงานเยอะอย่างนี้ เธอไม่กลัวป่วยเหรอ เขาคงอยากจะถามเธอตรง ๆ ว่าทำงานเยอะ ๆ อย่างนี้ ช่วยเหลือคนอื่นมากมายเธอไม่กลัวตายเหรอ เธอตอบดี เธอตอบว่า ถ้าฉันคิดถึงตัวเอง ฉันคงตายไปนานแล้ว ฉันป่วยไปนานแล้ว ถ้าฉันคิดถึงแต่ตัวเอง คนธรรมดาที่เจ็บป่วยก็มีแนวโน้มจะคิดถึงแต่ตัวเอง เริ่มตั้งแต่ทำไมต้องเป็นฉันทำไมต้องเป็นฉัน แล้วก็จะหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเอง เพราะทุกขเวทนาธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อคิดถึงแต่ตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแย่ลงแย่ลง แต่พอคิดถึงคนอื่นและไม่ได้คิดถึงแต่คนอื่นอย่างเดียว แต่ช่วยด้วยมันทำให้เกิดกำลัง ทั้งกำลังใจและกำลังกาย ผู้หญิงคนนี้แกไม่ได้กินยาต้านเชื้อเลย แต่ที่แกอยู่ได้คงจะเป็นเพราะ เมื่อแกมีจิตเมตตา มีจิตกรุณา มันก็คงไปทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเธอมันแข็งแรง ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมันคงไปช่วยทำให้เชื้อนี้ไม่ลุกลาม ก็สามารถอยู่กับโรคเชื้อ HIV ได้อย่างปกติสุข
คนเราเวลามีความทุกข์นี่ สิ่งหนึ่งที่เราจะช่วยเหลือตัวเองได้ นอกจากการเยียวยาร่างกายด้วยยา หรือเยียวยาทุกขเวทนาด้วยเหตุปัจจัยก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่มันจะช่วยเพิ่มพลังให้กับจิตใจ และทำให้จิตใจมีปกติสุขมากขึ้นก็คือ ความเมตตากรุณา มันมีผลทั้งต่อจิตใจและร่างกายได้เยอะเลย อย่าว่าแต่ความรัก ความห่วงใย ไม่ว่าคนใกล้ชิด คนที่รู้จักหรือคนที่อยู่ไกลออกไป แม้กระทั่งความรัก ความห่วงใยในสัตว์ มันก็ช่วยได้ ก็เพราะว่าคนที่ป่วยด้วยโรคหัวใจ ป่วยหนักประเภทกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีโอกาสตายสูง มีการพบว่าคนที่คนเหล่านี้ ถ้าเกิดที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง มีโอกาสที่จะตายภายในหนึ่งปี น้อยกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง คนป่วยที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงถึงหกเท่า คือถ้าอยู่คนเดียวตายเร็วมากเลย แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงคอยดูแลสัตว์ มันช่วยทำให้มีอายุยืนขึ้นหรือว่าตายน้อยลง มันเกี่ยวอย่างไรการมีสัตว์เลี้ยงกับสุขภาพ ส่วนหนึ่งถือว่ามันช่วยกระตุ้นเมตตากรุณา มีสัตว์เลี้ยงทำให้มีความรัก ความเมตตากรุณา นอกเหนือจากความรู้สึกไม่เหงา สัตว์เลี้ยงมีประโยชน์หลายอย่าง ทำให้ไม่เหงาและกระตุ้นเมตตากรุณาด้วย
อย่าว่าแต่สัตว์เลี้ยงเลย แม้กระทั่งต้นไม้ มีต้นไม้และดูแลต้นไม้ด้วยตนเอง มันมีผลดีต่อสุขภาพ ในอเมริกาเขาทำวิจัยศึกษาคนแก่ในบ้านพักคนชรา แก่แบบจนช่วยตัวเองไม่ได้ ลูกหลานดูแลไม่ไหวก็ให้มาอยู่บ้านพักคนชรา และก็ได้รับการดูแลอย่างดี เจ้าหน้าที่ที่เอาใจใส่เรื่องการกิน การอยู่ การเข้าห้องน้ำ ยานี่เพียบ ยาเสริม วิตามินนี่เพียบ แต่ก็พบว่าคนชราที่มีต้นไม้อยู่ในห้องของตัว แล้วก็รดน้ำต้นไม้ด้วยตัวเอง อัตราการตายลดลงครึ่งหนึ่งของคนชราที่ไม่ได้รดน้ำต้นไม้ แค่นั้นแหละ แค่มีต้นไม้อยู่ในห้องแล้วก็รดน้ำเอง แม้ว่าจะเดินไม่ค่อยสะดวก แต่การที่ได้รดน้ำด้วยตัวเอง มันทำให้จิตใจชุ่มชื่น รดน้ำต้นไม้ไม่ใช่แค่ต้นไม้ที่เขียวขจีเท่านั้น แต่มันช่วยทำให้ใจสดใสด้วย ก็เหมือนที่เราเมื่อวานนี้ทำกิจกรรมจัดดอกไม้ เราไม่ได้จัดดอกไม้เท่านั้น ดอกไม้ก็จัดใจเราด้วย เมื่อเราได้รดต้นไม้ เห็นต้นไม้มันโตมันก็มีความสุข และความห่วงใย ความผูกพันที่มีต่อต้นไม้ มันทำให้จิตใจชุ่มชื่น มันกระตุ้นพลังบวกคือ เมตตา กรุณาในใจเรา และเมตตา กรุณานี้ก็ทำให้มีส่วนช่วยให้อายุยืนขึ้น ตายช้าลง
อันนี้เป็นแค่ดูแลต้นไม้ ไม่ต้องพูดถึงการดูแลสัตว์ เดี๋ยวนี้บ้านพักคนชราก็เอาสัตว์มาเลี้ยง ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่เลี้ยง แบ่งให้คนชราได้เลี้ยงด้วย พาไปเดินเล่นบ้าง ให้อาหารนกบ้าง ให้อาหารแมวบ้าง สุขภาพจิตดีขึ้น กินยาน้อยลง แล้วก็มีอายุยืนขึ้น อันนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่การนึกเอา แต่ว่ามันมีการศึกษาวิจัยมากมาย พบว่ามันมีส่วนช่วยได้มากทีเดียว ทั้งหมดนี้สรุปที่เรื่อง ความเมตตากรุณา ความเมตตากรุณา ทำให้ป่วยน้อยลง หรือถ้าป่วยก็ทำให้อายุยืนมากขึ้น หรือกำลังจะตายก็ทำให้มันมีเรี่ยวแรงที่จะอยู่ อยู่อย่างมีความหมาย ไม่ใช่อยู่แบบไร้จุดหมาย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเมตตา กรุณา ช่วยให้อายุยืนขึ้น ช่วยให้รอดตาย แต่ถ้าถึงเวลาต้องตายจริง ๆ บางทีก็ต้องวางเหมือนกัน รักใคร ห่วงใคร ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นเมีย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง ก็ต้องปล่อยต้องวาง เพราะถ้าไม่วาง บางทีมันทำให้ทุรนทุราย คนเรานี่ไม่ว่าจะห่วงใยอะไร ใครแค่ไหน มันก็มีช่วงเวลาที่ต้องรู้จักวาง และช่วงเวลาที่สำคัญคือ ช่วงเวลาที่กำลังจะตาย ต้องวางให้หมด แม้แต่การทำบุญทำกุศลนี่ หรือการช่วยใครก็ต้องวางเหมือนกัน
มีคุณลุงคนหนึ่งแกเป็นคนที่ธรรมะธัมโมมาก เป็นจิตอาสาชอบพาคน ชอบชักชวนเพื่อน ๆ ไปทำบุญทอดผ้าป่า ทอดกฐิน เพื่อสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ในวัดที่ไกลวัดชนบท ยิ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารมากเท่าไหร่แกก็ยิ่งใส่ใจ แกก็ทำมาเป็นสิบยี่สิบปีหรือนานกว่านั้น แล้วพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง แล้วมะเร็งก็ลามเร็วมาก จนกระทั่งสุดท้ายก็อยู่ในระยะสุดท้ายที่โรงพยาบาล พออยู่ในระยะท้าย ๆ แกพูดไม่ได้แล้ว แกมีอาการกระตุกกระสับกระส่าย ลูกหลานก็เห็นว่า แกเป็นคนธรรมะธัมโม ถ้าได้ฟังเทปธรรมะ พระสวดมนต์ ก็คงจะสงบ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ผล แกก็ยังมีอาการกระสับกระส่าย ลูกหลานก็แปลกใจ เอ๊ะทำไมคนธรรมะธัมโมได้ฟังเทปธรรมะ พระสวดมนต์ แล้วนี้ยังไม่สงบ จนกระทั่งเพื่อนสนิทมาถึง พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อนก็เลยพูดกับคนไข้ข้างเตียงว่า โบสถ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จไม่ต้องห่วง พวกเราจะช่วยกันสร้างให้เสร็จ ปรากฏว่าแกนิ่งเลย คำพูดอย่างนี้ไปโดนใจแก คือแกคงห่วงเรื่องว่าโบสถ์หลังนี้ยังเสร็จเลย แกก็เลยรู้สึกว่ายังตายไม่ได้ เกิดความวิตก เกิดความกังวล แต่พอเพื่อนพูดอย่างนี้ทำให้แกสบายใจ ปล่อยวางได้ ในที่สุดก็ตายอย่างสงบ ไม่มีอาการทุรนทุรายกระสับกระส่าย
อันนี้ก็เป็นเรื่องเตือนใจว่า การสร้างโบสถ์ การทำบุญทำกุศล หรือว่าความห่วงใยในวัด ในศาสนาก็แล้วแต่ แม้มันจะดีอย่างไงแต่เมื่อถึงเวลาจะตายก็ต้องวาง ถ้าไปยึดติด แม้จะเป็นบุญกุศล มันก็สามารถกลับมาเป็นโทษต่อตัวเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นต้องรู้จักวาง อะไรที่ยังไม่เสร็จก็ต้องวาง แต่ลุงแกวางใจไม่ได้ ยังดีที่เพื่อนมาช่วยทำให้วาง แต่บางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราวางหรือปล่อยได้หรือเปล่า เมื่อพึ่งใครไม่ได้ก็ต้องพึ่งตัวเอง ก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางด้วยตัวเอง เมตตา กรุณามีประโยชน์ แต่ว่าต้องรู้จักความพอดีว่าต้องรู้จักการวางด้วยเหมือนกัน การทำความดี การทำบุญ ทำกุศล การสร้างวัดสร้างวาเป็นการดีมีประโยชน์ เป็นบุญกุศลมาก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องวาง เพราะถ้าไม่วางนี่ แม้กระทั่งความดีถ้ายึดติด มันก็สามารถจะกลับมาเป็นโทษแก่ตัวเราเองได้
อาจารย์พุทธทาสบอกว่า ความดีถ้ายึดติดมันก็สามารถจะกัดเจ้าของได้ ต้องวาง พระพุทธเจ้าจึงเปรียบว่า ความดีหรือธรรมะที่พระองค์แสดง เหมือนกับแพ แพมีไว้เพื่อให้เราข้ามฝั่ง ข้ามฝาก เมื่อถึงฝั่งแล้วเราก็เดินขึ้นฝั่ง ไม่ต้องแบกเอาแบกติดตัวไปด้วย พระองค์เปรียบว่า ธรรมที่พระองค์แสดงเปรียบเหมือนกับแพ ต้องรู้จักปล่อย ต้องรู้จักวาง ขนาดธรรมะหรือกุศลธรรมก็ยังต้องรู้จักวาง นับประสาอะไรกับอกุศลธรรม ยิ่งแตะต้องไม่ได้ใหญ่