แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาทิตย์ที่แล้วได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณสัก 40 เขาเล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ กำลังทำงานอยู่ก็มีตำรวจโทรศัพท์เข้ามา บอกว่าภรรยาเขาป่วยหนัก แล้วก็ตอนนี้อยู่ที่ห้องไอซียู อาการหนักมาก เขาได้ยินเขาก็ตกใจ ช็อกไปเลย เป็นลมไปเลย แล้วพอรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างแรกที่นึกถึง ก็ต้องไปเยี่ยมภรรยา แต่ว่าไม่มีเรี่ยวแรงขับรถ ก็ต้องให้เพื่อนขับ ขับไปก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีรายละเอียดเลยว่าภรรยาเป็นอะไร อยู่ที่ไหน โรงพยาบาล ชั้นอะไร ก็เลยโทรกลับไปที่ตำรวจ ถามไปถามมาปรากฏว่าตำรวจโทรผิด ภรรยาเขาไม่ได้เป็นอะไร สบายดี วันนั้นทั้งวัน เขาดีใจมาก มีความสุขมากเลย ที่จริงวันก่อนนั้นกับวันนั้น มันก็ไม่ได้ต่างกัน วันก่อนนั้นเขาก็ยังเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ อยู่เลย แต่วันนั้นเขากลับมีความสุขมาก ทั้งที่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่ได้ถูกหวยรางวัลที่ 1 แต่ว่าเขามีความสุข สุขเพราะอะไร สุขที่รู้ว่าภรรยายังไม่ตาย ภรรยายังปกติดี เมื่อวานก็ยังปกติดีเหมือนกัน แต่ทำไมไม่มีความสุข ทำไมไม่ดีใจ ความแตกต่างอยู่ที่ว่าในวันนั้น ความคิดว่าภรรยากำลังจะตายมันชัดเจนมาก พอคิดว่าภรรยากำลังจะตายแล้ว ปรากฏว่าภรรยายังปกติดี อาการ 32 ครบก็มีความสุข
คนเราบางครั้ง ไม่ได้มีความสุขเพราะว่าได้อะไรมา แต่มีความสุขเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรัก มันยังไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่กับเรา คนเราถ้าได้นึกซะหน่อยว่า สิ่งที่เรามี คนรักที่อยู่กับเรา วันหนึ่งก็ต้องล้มหายตายจากไป เพียงแค่นึกถึงวันที่เขาตายจากไปนี่ มันก็ทำให้เรารู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันทีที่พบว่าเขายังไม่ตาย วันนี้ก็ยังอยู่กับเรา ของที่เรามีหรือว่าคนที่อยู่กับเรา จริง ๆ ถ้าเราตระหนักสักหน่อยว่า สักวันหนึ่งเขาก็จะไม่อยู่กับเรา ของที่มีสุดท้ายก็ต้องสูญหายไป เพียงคิดแค่นี้มันก็ทำให้เรารู้สึกแล้วว่า เราโชคดีที่คนรักก็ดี ของรักก็ดียังอยู่กับเรา ยังไม่ได้ไปไหน ไม่ได้สูญหายไปไหน
จริง ๆ ทุกวันนี้ขณะนี้ก็ยังมีของดี ๆ อยู่กับตัว ไม่ใช่แค่คนรักที่อยู่กับเรา เช่น พ่อแม่ลูกหลาน ของดี ๆ ที่มีอยู่กับเรา แต่ว่าเราไม่ค่อยเห็นค่าเท่าไหร่ เพราะว่ามันอยู่กับเราจนชิน อยู่ไปนาน ๆ ก็เลยไม่ค่อยเห็นคุณค่าเท่าไหร่ อย่างเช่น ตา พอเกิดมาก็มีตามองเห็น แต่เราลองนึกว่าสักวันหนึ่งเราตาบอด มันจะเกิดอะไรขึ้น เรามีมือมีไม้เดินเหินได้ปกติ และถ้าวันหนึ่งเราเกิดไม่มีแขนไม่มีขา พิการ อัมพฤกษ์อัมพาต เราจะรู้สึกเลยว่าการที่เรายังมีตามองเห็นอย่างดี มีมือมีเท้าไปไหนมาไหนได้ มันเป็นเป็นโชค พอคิดได้ว่าสักวันเราต้องสูญเสียมันไป แล้วกลับมามองว่า ตอนนี้มันยังอยู่กับเรา เพียงแค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขได้ง่าย และไม่ใช่ว่าเราจะรักตาเรามากขึ้น
ลองสมมุติว่าเป็นคนตาบอดสักวันหนึ่ง มีคนที่เป็นดารา ไปร่วมรายการเรียลลิตี้โชว์ คือรายการที่ให้คนที่ไม่มีประสบการณ์จริงในบางเรื่อง เช่น สมมุติเป็นคนตาบอด ตื่นเช้าขึ้นมาตาบอด แล้วมันจะเริ่มรู้สึกเลยว่ามันยาก จะเดินไปถูฟัน ล้างหน้า เดินไปอาบน้ำ เดินไปทำอะไรต่ออะไร กินข้าว กิจวัตรที่มันเคยทำได้ปกติ มันกลายเป็นความยากลำบากมาก อ่านเฟสบุ๊คก็ไม่ได้ เล่นไลน์ก็ไม่ได้ ดูหนังก็ไม่ได้ ไม่สามารถจะเห็นหน้าคนรัก ไม่สามารถจะเห็นของสวยของงามได้ มันจะรู้สึกทรมานมาก และยิ่งถ้าคิดว่าเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตก็ยิ่งทรมานเข้าไปใหญ่ ในคนที่แกล้งตาบอดสักวันหนึ่งนี่ คือไม่ลำบาก แต่ก็ยังรู้ดีว่ามันเป็นของชั่วคราว วันรุ่งขึ้นก็กลับมาเป็นคนปกติ แต่ถ้าลองนึกต่อไปว่า เราต้องตาบอดไปตลอดชีวิตจะเป็นอย่างไร จะทรมานมาก ถึงตอนนั้นแหละถึงจะรู้ว่าการที่เราจะมีตามองเห็นมันเป็นโชค มีตามองเห็นก็ถือว่าเป็นความสุขแล้ว หลายคนก็รู้สึกอย่างนั้น วันดีคืนดีตาเกิดบอดขึ้นมา มันมีปัญหาที่ประสาทตาแล้วก็ตาบอด อยู่สองสามวันพอตาดีกลับมาปกติ เขาจะมีความสุขมากเลยทุกอย่างยังเหมือนเดิม เมื่อ 3 - 4 วันก่อน กับวันนี้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกเปลี่ยนไป เพราะวันนี้ดีใจที่ตามองเห็น และที่ดีใจเพราะว่ามันมีการเปรียบเทียบว่า เมื่อตาบอด เมื่อสูญเสียนัยน์ตาไป มันเกิดอะไรขึ้น คนเราจะมีความสุขได้ง่าย ถ้าเกิดว่าเรานึกถึงว่า สิ่งที่เรามีสักวันหนึ่งมันสูญหายไป ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ หรือว่าอวัยวะ อะไรก็ตามที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่า พอมันหายไป เราจะเห็นคุณค่าของมันขึ้นมาทันที แล้วถ้าได้กลับคืนมาแล้วเราก็จะดีใจ
มีเรื่องเล่านัสรูดิน นัสรูดินก็เป็นเป็นคล้าย ๆ ตัวละครในนิทานของตะวันออกกลาง วันหนึ่งไปรับจ้าง ทำงานเหนื่อยแต่ว่าได้ค่าตอบแทนแค่ 20 บาท สมมุติว่า 20 บาท กลับมาบ้านเขาก็หงุดหงิดมาก หัวเสียเลย เหนื่อยทั้งวันได้มาแค่นี้เอง เงิน 20 บาทเขาไม่เห็นค่าของมันเลย แทบจะขว้างทิ้งเลย เขาโยนไว้บนโต๊ะ ไม่คุ้มค่าเลย อุตส่าห์เหนื่อย ก็เผอิญเพื่อนมาเยี่ยมแล้วเขาก็บ่นว่าเงินกิ๊กก๊อก 20 บาท ทำแทบตายได้มาแค่นี้เอง ไม่คุ้มเลย บ่นไปบ่นไป มีช่วงหนึ่งนัสรูดินก็เข้าห้องน้ำ เพื่อนเขาก็เลยถือโอกาสซ่อนเงินนั้น เหรียญ 20 มันเป็นเหรียญไม่ได้เป็นแบงค์ นัสรูดินออกมาจากห้องน้ำหาไม่เจอ พอหาไม่เจอก็เสียดาย ตอนนี้เริ่มเกิดเสียดาย หาใหญ่เลยมันหายไปไหน ก็หาอยู่นั่นแหละ ก่อนหน้านั้นยังบอกอยู่ว่าเงินนั้นไม่ค่อยมีค่า เงินกิ๊กก๊อก จิ๊บจ๊อย ตอนนี้หา หาอยู่นานเป็นชั่วโมงก็หาไม่เจอ พอนัสรูดินเผลอเพื่อนก็เอาเงิน เงิน 20 บาทนั้นมาวางไว้ที่เดิม นัสรูดินเห็น เขาก็ดีใจใหญ่เลย ดีใจมาก ก่อนหน้านี้ไม่ดีใจ ดูถูกว่าเป็นเงินเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดีใจแล้ว เพราะอะไร เพราะว่ามันหายไปแล้ว พอมันหายไปก็เริ่มเกิดเห็นค่ามันขึ้นมา พอได้กลับคืนมาก็ดีใจ
คนเราสิ่งที่เรามีนี้ เมื่อใดก็ตามที่มันอยู่กับเราไปนาน ๆ เราจะไม่ค่อยเห็นคุณค่ามันเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ กลับไปบ้านเจอพ่อแม่ทุกวัน ก็เลยเฉย ๆ แต่ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งพ่อแม่เกิดล้มหายตายจากขึ้นมา นึกเสียดาย นึกเสียดายวันคืนที่เคยมีพ่อมีแม่ มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง แกเล่าว่าอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เล็ก แม่ก็ตาย อยู่กับพ่อตั้งแต่เล็ก ก็สนิทสนมกันเลย สมัยที่ยังเด็กไปไหนก็ไปเที่ยวด้วยกัน แล้วก็พอโตเป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษาก็ยังไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอเรียนจบมีงานมีการทำ ก็เริ่มเหินห่างกับพ่อ แต่ก่อนนี้ปกติต้องกลับมากินข้าวเย็นด้วยกัน พอไปทำงานก็มีเพื่อน มีสมาคม มีเพื่อนฝูง มีแวดวง เลิกงานแล้วก็สังสรรค์ต่อ กลับมากินข้าวเย็นบ้าง บางวันก็ไม่กิน พ่อก็โทรศัพท์มาตามว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน ลูกบอกให้กินไปก่อน พ่อก็ไม่ยอมกินรอลูกกลับมา ลูกกลับมาถึงบ้าน 3-4 ทุ่ม พบว่าข้าวนี่ พ่อยังไม่แตะเลย ในแง่นี้ก็รู้สึกผิด แต่อีกแง่หนึ่งก็รู้สึกว่าพ่อนี่ทำไมทำให้มันเป็นเรื่องยากแบบนี้ ทำไมไม่กินข้าว เขาว่าพ่อ ว่าทำไมไม่กิน ก็เป็นแบบนี้อยู่นาน บางวันก็กำลังสนุกสนานกับเพื่อน ในห้าง ในร้านอาหาร พ่อก็โทรมา เมื่อไหร่จะกลับมากินข้าว เขาคงรำคาญตอนหลังเวลาได้โทรศัพท์จากพ่อ หรือว่าตอนเย็น ๆ จะรำคาญมาก เสาร์อาทิตย์พ่อก็ถามว่า เมื่อไหร่จะไปเที่ยวกัน แต่ก็ไม่มีเวลา บางทีก็นัดหมายกันแล้วว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด พอถึงเวลาก็เลื่อน พ่อก็ต่อว่า ลูกชายบางทีก็เถียง
แล้ววันหนึ่งพ่อก็ป่วย ป่วยไม่นานก็ตาย พอตายแกก็เริ่มรู้สึกเลยว่าแต่ก่อนนี้เคยมีโทรศัพท์จากพ่อทุกวันทุกวัน แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว โทรศัพท์ของพ่อ โทรศัพท์จากพ่อ ไม่มีเสียงจากพ่อ แต่ก่อนนี้เวลาพ่อโทรศัพท์มา รู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้กลับโหยหา กลับรู้สึกอยากจะได้ยินเสียงโทรศัพท์พ่อ แต่ไม่มีโอกาสแล้ว เพราะพ่อตายไปแล้ว ความสุขมันเปลี่ยนไปเลย แต่ก่อนนี้ถ้าวันไหนไม่มีโทรศัพท์จากพ่อนี่ สุขสบายใจ แต่หลังจากพ่อตายไป มันเหงามากเลย ไม่มีโทรศัพท์จากพ่ออีกแล้ว แล้วก็นึกถึงว่า เสียดายโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวกับพ่อ แต่ก่อนนี้พ่อชวนลูกไปเที่ยว ลูกบอกไม่มีเวลา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเราสูญเสียโอกาสนั้นไป ถ้าได้ไปเที่ยวกับพ่อนี่จะได้ใกล้ชิด ตอนนี้นึกเสียดายที่ไม่ได้พาพ่อไปเที่ยว อยากจะพาไปเหลือเกิน แต่มันไม่มีโอกาสแล้ว โอกาสทองหลุดลอยไปแล้ว เสียใจ รู้สึกผิด แล้วก็ทำยังไงรู้ไหม เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิด ในเมื่อพาพ่อไปเที่ยวไม่ได้ เขาก็เอารองเท้าพ่อไปเที่ยวแทนพ่อก็แล้วกัน เวลาเขาไปไหนเขาก็จะเอารองเท้าของพ่อใส่ไว้ในตรงเบาะหลังรถ แล้วก็บอกพ่อไปเที่ยวด้วยกัน ไปต่างจังหวัดไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ภูเก็ต บอกพ่อว่าเราไปเที่ยวด้วยกัน ตอนพ่ออยู่ไม่สนใจพาพ่อไปเที่ยว แต่พอพ่อตายแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็ทำได้แค่เอารองเท้าของพ่อไปเที่ยว มาเริ่มเห็นคุณค่าของการที่จะมีพ่อได้ไปเที่ยวด้วยกัน ก็ต่อเมื่อสูญเสียไปแล้ว พ่อไม่อยู่แล้ว
คนหลายคนเป็นอย่างนี้ มาเห็นคุณค่าของคนรักของคนใกล้ชิด ก็ต่อเมื่อเขาจากไป มาเห็นคุณค่าของเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ต่อเมื่อเขาจากไปแล้ว มาเห็นคุณค่าของการที่ได้ไปเที่ยวเขาด้วยกันก็ต่อเมื่อเขาไม่อยู่แล้ว แต่ทำไมเราต้องมาเห็นคุณค่าหรือมีความสุขเมื่อเขาไม่อยู่แล้ว ทำไมเราไม่เห็นคุณค่าของเขาขณะที่เขายังอยู่ ทำไมเราไม่คิดว่าจะมีความสุขเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์จากเขาในขณะที่เขายังอยู่กับเรา ไม่ใช่เป็นเสียงอัดเทป การระลึกถึงความตายของคนที่เรารัก มันมีประโยชน์เหมือนกัน มีประโยชน์มากด้วย ถ้าเรานึกว่าสักวันหนึ่งคนรัก ของรัก หรืออวัยวะของเราจะต้องสูญเสียไปหรือหายไป ถ้ารู้สึกจริง ๆ ว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนที่เราคิดอาจจะรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่พอเราพบว่าคนเหล่านั้นของเหล่านั้นยังอยู่กับเรา เราจะดีใจ เราจะเห็นคุณค่า เราจะไม่เมินเฉย อันนี้เป็นประโยชน์ของการเจริญมรณสติ ระลึกถึงคนที่เรารักที่เขาจะต้องจากไป มันไม่ใช่เป็นการแช่งแต่มันเป็นการทำให้เรากลับมาได้สติ ได้ระลึกว่าเราโชคดีที่ยังมีพ่อมีแม่มีลูกมีหลานอยู่กับเรา มีคนรักอยู่กับเรา ยังมีอวัยวะ 32 ครบ ยังมีลมหายใจ ยิ่งถ้าเราคิดถึงว่าเราต้องตาย ถึงแม้ว่าไม่อยากจะคิดแต่ถ้าคิดแล้วมันก็ดี เพราะว่ามันทำให้เรารู้สึกเลยว่า การที่เรามีลมหายใจอยู่มันเป็นโชค การที่เรายังมีชื่ออยู่ในโลกนี้มันเป็นโชค คิดแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว แล้วมันทำให้เราเร่งทำความดี เพราะว่าถ้าเรานึกถึงความตายเมื่อไหร่ เราก็ต้องได้คิดต่อไปว่าเงินทองที่สะสมมา ทรัพย์สมบัติที่มีเอาไปไม่ได้สักอย่าง มีแต่บุญกุศลเท่านั้นที่จะตามไป อีกอย่างที่จะตามไปก็คือบาป ดังนั้น การระลึกถึงความตาย นอกจากจะทำให้เรารู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และมีความสุขที่เราพบว่าเรายังไม่ตาย เรายังมีลมหายใจ มันจะทำให้เราขวนขวายทำความดีมากขึ้นด้วย
มีนักดนตรีคนหนึ่ง เป็นชาวอังกฤษอายุ 60 กว่า วันหนึ่งหมอก็บอกว่าเขาเป็นมะเร็ง มะเร็งตับอ่อนมันไม่มียารักษา และก็ตายเร็วมาก กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็งมันมักจะลุกลามไปมากแล้ว แทนที่เขาจะทุกข์ พอเขาออกจากโรงพยาบาล เขากลับรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมันสว่างไสวเลย รู้สึกว่าชีวิตนี้มันกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ สายลมเอย ต้นไม้เอย ดอกไม้มันสวยงาม แต่ก่อนไม่เห็นมันสวยขนาดนั้นเลย เวลามีลมมาพัดสัมผัสกาย รู้สึกมีความสุขมาก รู้สึกมีชีวิตชีวา ถึงกับบอกว่า ทำไมความรู้สึกแบบนี้มันไม่เกิดขึ้นมาก่อน แปลกมาก คนที่รู้ว่าตัวเองต้องตายในอีกไม่กี่เดือน ก็กลับรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นมันสวยงาม สิ่งธรรมดาสามัญ เช่น ดอกไม้ สายลม ผีเสื้อ มันกลายเป็นของสวยของงามขึ้นมา เพราะอะไร ก็เพราะรู้ว่า ต่อไปจะไม่ได้เห็นแล้ว เพียงแค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นมัน ทำให้สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดานี้มันมีคุณค่าขึ้นมา แล้วมันทำให้รู้สึกว่าวันแต่ละวันมีความหมายที่เราต้องเร่งทำความดี จึงสร้างสมความดีเอาไว้ ในความดีมันจะมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
แต่ที่จริงเราไม่ต้องรอว่าให้ใกล้ตายเสียก่อน ถึงค่อยมาเห็นค่าของสิ่งที่เรามี และเห็นความจำเป็นของการสร้างสมบุญกุศล ตอนที่เราปกติดี ยังหนุ่มยังสาว ไม่ป่วยไม่ไข้ มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ตระหนักว่า เรื่องการทำความดีสร้างบุญกุศลเป็นเรื่องสำคัญกว่า คนเราความสุขที่เรานึกถึงส่วนใหญ่ก็เป็นความสุขแบบโลก ๆ เช่นการมีทรัพย์สมบัติ การมีอายุยืน การมีสุขภาพดี แต่ที่จริงแล้วมันมีสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น ก็คือบุญกุศล คือความดี ความดีที่ทำให้เกิดความสุข เรียกง่าย ๆ ว่าธรรมะ บางทีพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าอริยทรัพย์ อริยทรัพย์นั้นสำคัญกว่าทรัพย์ที่เราเห็น ที่จับต้องได้ คนฉลาดจะเห็นและให้ความสำคัญกับอริยทรัพย์หรือว่าธรรมะ มากกว่า รู้ว่ามันเป็นของที่ประเสริฐ ให้ความสุขที่แท้มากกว่าเงินทองทรัพย์สมบัติหรือแม้กระทั่งการมีสุขภาพดีด้วยซ้ำ มีสุขภาพดีแต่ว่าจิตใจเข้าไม่ถึงธรรมะ มันก็ทรมาน
มีผู้ชายคนหนึ่งอายุ ๙๗ แล้ว อายุยืนทั้งที่กินเหล้าสูบบุหรี่ เรียกว่าเหล้า บุหรี่ การพนัน ครบหมดเลย รวมทั้งผู้หญิงด้วย ขนาดกินเหล้าหนัก สูบบุหรี่ก็เยอะ ไม่เจ็บไม่ป่วย มีอายุยืน อายุถึง 97 ตาก็มองเห็น หูก็ดี อันนี้เรียกว่าโชคดีมากเลย แต่ว่าแกไม่มีความสุขทั้งที่มีเงินทอง เมียก็เป็นเมียสาว แกแต่งงานตอนที่ตัวเองอายุ 60 เมียอายุ 20 ห่างกัน 40 ปี แต่พอตัวเองอายุ 97 เมียก็ประมาณสัก 57 ปี วัน ๆ นี้ไม่สามารถจะอยู่บ้านได้ จะต้องขอให้เมียขับรถไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ ไปเที่ยวไหนก็ได้ขอให้เที่ยว และต้องพาไปกินอาหารที่อร่อย มีเงินเยอะ ตอนหลังเมียทนไม่ไหว เพราะว่าแกคอยรบเร้าให้เมียพาไปเที่ยวตลอดเวลา เมียก็หนีไป หลานก็มาทำหน้าที่แทน หลานนี้ก็เป็นทุกข์มากเลย เพราะว่าอยู่บ้านไม่ติด อยู่กับปู่ ต้องการให้พาไปเที่ยวทั้งวัน แล้วก็ทุกวันด้วย วันไหนไม่เที่ยวนี่แกก็จะโวยวายอาละวาด ตะโกน บางทีก็ทุบประตู เห็นแล้วก็น่าสงสาร น่าสงสารทุกฝ่ายเลย สงสารปู่คนนี้ด้วย แกก็มีโชค สุขภาพก็ดี อายุ 97 อายุยืน ต้องเรียกว่าได้ทำบุญทำกุศลมา ไม่ใช่ชาตินี้ คงต้องเป็นชาติที่แล้ว เพราะชาตินี้แกไม่ทำบุญทำกุศลเลย มีเงินก็ไม่เคยทำบุญ วัดวาก็ไม่สนใจ เรียกว่ามีมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติคือการมีทรัพย์ การมีสุขภาพดี และมีคนดูแลเอาใจใส่ แต่ว่าใจไม่สามารถจะสัมผัสรับรู้ถึงความสุขจากอริยทรัพย์ได้ แล้วก็ทรมานมาก อยู่กับบ้านไม่ได้ ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ ต้องหาทางหนีไปเที่ยวตลอดเวลา อันนี้เรียกว่าน่าสงสาร มีมนุษย์สมบัติแล้ว แต่ว่าไม่มีความสุข เพราะว่าขาดธรรมะ
ถ้ามีธรรมะก็จะอยู่คนเดียวได้ อยู่บ้านก็มีความสุขเพราะว่าได้ฟังธรรมะ ได้ทำความสงบ ด้วยการตามลมหายใจ หรือว่ารู้จักประมาณ รู้จักพอดี หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้ร่างกายที่ดี ไปทำบุญทำกุศลให้เกิดความปีติความอิ่มเอิบใจ แต่เพราะว่าจิตใจตัวเองไม่เคยรู้จักความสุขจากอริยทรัพย์เลย มันก็เลยอยู่อย่างทรมาน ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอะไรมากแต่ก็ไม่มีความสุข กระสับกระส่ายทุรนทุรายทั้งวันอยากจะเที่ยวอยากจะกิน แม้แต่เรื่องผู้หญิงก็ยังไม่เลิก อายุ ๙๗ แล้วก็ยังมีความต้องการอยู่ อันนี้น่าสงสาร คนบางคนแม้ว่าจะมีโชคมีลาภมีสุขภาพดี แต่ว่าไม่มีความสุขเพราะว่าไม่สนใจอริยทรัพย์ ไม่สนใจธรรมะ คนที่มีธรรมะในทางตรงข้ามถึงแม้เจ็บแม้ป่วย เขาก็มีความสุขได้ เขาก็พอใจกับชีวิตที่มีอยู่ อาศัยธรรมะนี่แหละช่วยรักษาใจให้เป็นสุขได้ แม้ว่าร่างกายนี้มันจะย่ำแย่ คนเราถ้าเราไม่ค่อยไม่ได้นึกถึงความตายไปบ้าง มันจะไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการมีอริยทรัพย์ ไม่ได้เห็นว่า สักวันหนึ่งเมื่อเราต้องแก่ต้องเจ็บ เราจะอยู่อย่างไรถึงจะมีความสุขได้ และเมื่อถึงเวลาตาย เราจะตายได้ยังไงด้วยใจที่สงบ มันก็มีแต่ธรรมะที่จะช่วยได้ ไม่ใช่เงินไม่ใช่ทอง ไม่ใช่การมีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วยแต่ว่าไม่มีความสุข มีเงินมากมายแต่ก็หาความสุขไม่เจอ คนที่ฉลาดมีปัญญาเขาก็จะเห็นว่าอริยทรัพย์นี้สำคัญกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ในสมัยพุทธกาลมีอุบาสิกาท่านหนึ่ง วันหนึ่งได้ข่าวว่ามีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาแสดงธรรม พระท่านนั้นก็คือพระโสณะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์มาเยี่ยมบ้าน อุบาสิกาท่านนี้ก็สนใจไปฟังธรรม ท่านแสดงธรรมตอนกลางคืน คนไปฟังกันเยอะเลย ก็มีโจรกลุ่มหนึ่ง พอเขารู้ก็ฉวยโอกาสไปปล้นข้าวของ ไปขึ้นบ้านของเศรษฐีนีคนนี้ ให้ลูกน้องไปขนเอาทรัพย์สมบัติออกมาให้หมด ส่วนหัวหน้าก็คอยซุ่มอยู่ตรงศาลา คอยดูว่าเจ้าของบ้านเขาจะกลับมาบ้านไหม ถ้าเขากลับบ้านก็ต้องฆ่าเพื่อไม่ให้มาขัดขวางการปล้น ระหว่างที่โจรค้นบ้านยกข้าวยกของอยู่ ก็มีคนมาบอกอุบาสิกาเศรษฐีนีคนนี้ว่า มีโจรมาปล้นบ้านแล้ว แทนที่จะตกใจหรือเสียดาย กลับบอกว่าโจรจะปล้นก็ปล้นไป จะเอาก็เอาไป ฉันจะฟังธรรม เขาก็เตือนอีกว่ารีบกลับไปบ้านเร็ว ๆ โจรมันกำลังจะเอาทรัพย์สมบัติไปหมดแล้ว
เศรษฐีนีก็บอกว่าอย่ามารบกวนฉัน ใครจะเอาก็เอาไป ฉันจะฟังธรรม พูดอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง หัวหน้าโจรที่ซุ่มอยู่ พอได้ยิน เกิดความสงสัยขึ้นมาเลยว่า ธรรมะนี่สำคัญอย่างไร ขนาดรู้ว่าโจรจะปล้นบ้านแล้วยังไม่สนใจเลย เห็นว่าธรรมะสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ ก็เกิดความสนใจธรรมะขึ้นมา แล้วก็เลื่อมใสศรัทธาในเศรษฐีนีคนนี้ สุดท้ายก็กลับไปบอกลูกน้องว่าไม่ต้องปล้นแล้ว เอาของคืน เพราะว่าคล้าย ๆ แพ้น้ำใจเศรษฐีคนนี้ และคิดว่าเศรษฐีนีคนนี้มีของดี ของดีที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติ ของดีที่ว่านี่คืออะไร คือธรรมะ คือศรัทธาในพระธรรม ตอนหลังหัวหน้าโจรก็เกิดสมาทานในพระรัตนตรัยแล้วก็บวชพร้อมกับลูกน้อง อันนี้ก็น่าคิด ถ้าเกิดว่าเศรษฐีนีคนนี้แกห่วงทรัพย์ มีคนมาบอกว่ามีโจรกำลังจะปล้นบ้านเอาทรัพย์สมบัติไป ถ้าแกหวงทรัพย์แกคงตายไปแล้ว เพราะว่าหัวหน้าโจรคอยเตรียมเก็บ คอยกำจัด ถ้าเกิดว่าเจ้าของบ้านกลับบ้านมาแล้วก็จะฆ่าเลย ไม่ให้ขัดขวางการปล้นทรัพย์ของตัว แต่ว่าคาดผิด เจ้าของบ้านไม่สนใจทรัพย์เพราะเห็นว่าอริยทรัพย์มีความสำคัญกว่า
พวกเราชาวพุทธ ต้องเห็นความสำคัญว่าอริยสัจนี้ประเสริฐกว่าทรัพย์ธรรมดา มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก คราวหนึ่งก็มีพระมาบวชได้ชั่วคราว คงไม่ได้บวชนาน พอบวชได้ครบกำหนดแล้วก็จะสึก ก่อนจะสึกก็มากราบหลวงปู่ดู่ แล้วก็ขอพรจะได้เป็นสิริมงคล ให้หลวงปู่ดู่พรมน้ำมนต์ให้ด้วย หลวงปู่ท่านก็ทำให้ ตอนที่พรมน้ำมนต์พระท่านนั้นก็อธิษฐานว่าขอให้ร่ำรวยมหาศาล ขอให้ลาภผลทวี มีเงินใช้ มีกินมีใช้ไม่หมด จะได้แบ่งมาทำบุญบ้าง หลวงปู่ดู่พรมน้ำมนต์ไป พอเสร็จท่านก็พูดขึ้นมา สิ่งที่ท่านคิดมันต่ำเกินไป ทำไมไม่คิดให้สูงเข้าไว้ล่ะ แล้วที่ท่านคิดนี้จะตามมาเอง พระรูปนั้นตกใจเลย หลวงปู่รู้ได้ไงว่าเขาคิดอะไรในใจ สิ่งที่ท่านเตือนนี้ดี หวังลาภหวังผลให้ทวีร่ำรวยมหาศาล นี้ถือว่าเป็นการคิดต่ำ เรียกว่าใฝ่ต่ำก็ได้ เพราะว่ามันมีสูงกว่านั้น มันมีสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น ก็คือธรรมะ คือนิพพาน คือความสุขที่เกิดจากคุณธรรมความดี อันนี้อย่างสูง สูงกว่านั้นสูงสุดก็คือนิพพาน ถ้าจะคิด ถ้าอยากจะได้ก็นึกถึงนิพพานไปเลย ไม่ใช่อยากจะรวย ขอให้มีลาภมีโชค
ดังนั้น เวลาเราทำบุญก็เหมือนกัน อย่าคิดแต่เรื่องขอให้รวย ขอให้มั่งมี อันนี้เรียกว่าคิดต่ำ มันมีที่สูงกว่านั้น คนสมัยก่อนเขาฉลาด เวลาเขาจะทำบุญก็อธิษฐานสั้น ๆ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ไว้เป็นปัจจัยไปสู่นิพพาน เรื่องได้โชคได้ลาภมีลาภมีผล มันเล็กน้อยไป เพราะว่ามีเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ทำให้มีความสุขอะไรได้ หรือแม้แต่มีสุขภาพดีก็ไม่ทำให้มีความสุขได้ อายุยืนเป็นร้อยแต่ว่าอาจจะอยู่แบบทุรนทุรายก็ได้ ที่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยอย่างคุณปู่คนที่ว่าถ้าไม่มีธรรมะ อยู่ที่ไหนก็หาความสุขได้ยาก แม้ทรัพย์สมบัติจะเพียบพร้อมก็ตาม