แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาวัดทั้งที อย่าคิดแต่ว่าจะมาเอาบุญ เพื่อจะได้ไปแลกเอาความมั่งมีศรีสุข ความร่ำรวย หรือว่าได้บุญแล้วก็อาจจะได้มีโชคมีลาภ อันนี้หลายคนก็มาวัดก็เพื่อเหตุนี้ มันยังหวังประโยชน์น้อยไปและบางทีมันก็เป็นความหวังที่ไม่รู้จะเป็นจริงหรือเปล่า ถูกหวยรวยเบอร์ หรือว่ามีโชคมีลาภ แต่ถ้าจะมาวัดนี่ก็ควรจะมาเพื่อหาทางออกจากทุกข์ ความมั่งมีศรีสุข ความร่ำรวย มันช่วยอย่างมากก็ทำให้ความทุกข์กายลดลง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความทุกข์ใจลดลงด้วย อาจจะลดลงชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว เสร็จแล้วก็ทุกข์ใหม่ อาจจะทุกข์เพราะทรัพย์สมบัติที่ได้มาก็ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงความทุกข์เดิมๆที่มีมาก่อน หรือว่าความทุกข์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามมาเพราะความพลัดพรากสูญเสีย เพราะความเจ็บความป่วย
“ธรรมะ” ให้อะไรกับเราได้มากกว่าประโยชน์หรือความสุขทางโลก ความสุขทางจิตใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า และความสุขทางใจที่สำคัญก็คือ “ความสงบ” เป็นความสงบที่ไม่ต้องพึ่งพิงอิงอาศัยสิ่งแวดล้อมมากเท่าไรก็ได้ หมายความว่าข้างนอกเสียงมันจะอึกทึกครึกโครมอย่างไร ใจก็สงบได้ แดดจะร้อน อากาศจะอ้าว แต่ว่าใจก็สงบเย็นได้ ความสงบเย็นเป็นความสุขอย่างยิ่ง ยิ่งถ้าเป็นความสงบเย็นเพราะไร้กิเลส หมดอวิชชาก็ยิ่งเป็นสุขอย่างไม่มีอะไรจะมาเทียบเคียงได้ด้วย ก็เป็นบรมสุข แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นได้ ก็ให้รู้จักความสงบเย็นเพราะไม่มีอารมณ์ต่างๆมาครอบงำ หรือว่ามารบกวนรังควาน เช่นความโกรธ ความเศร้า ความท้อแท้ ความเบื่อหน่าย ความผิดหวัง ซึ่งอารมณ์พวกนี้ที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่อยู่อยู่มันจะเกิดขึ้นได้ มันเริ่มจากการคิดก่อนหรือการนึก เราจะโกรธได้ไม่ใช่ว่าอยู่ดีจะโกรธขึ้นมาได้เลย จะให้โยมโกรธตอนนี้ก็โกรธไม่ได้ จะให้เศร้าตอนนี้มันก็เศร้าไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะนึกไปถึงใครบางคนที่ทำให้เราโกรธ นึกถึงใครบางคนที่เขาพูดร้ายเรา ใส่ร้ายเรา หรือนึกถึง คนรักที่สูญเสียพลัดพรากไป พอนึกมันจะโกรธได้ หรือนึกแล้วมันถึงจะเศร้าได้ หรือเว้นแต่ว่ามีคนมา พูดร้าย ทำร้าย กับเราในขณะนี้ อันนี้ก็โกรธได้เหมือนกัน แต่ในเวลาที่เราอยู่สบาย เช่นอยู่ตรงนี้ ขณะนี้ หรืออยู่ที่บ้านก็ได้ ทั้งๆที่มันก็ราบรื่นดี แต่พอคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด มันก็เศร้า เสียใจ อาลัยอาวรณ์ หรือมิเช่นนั้นก็โกรธ ถ้าไม่ใช่นึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็นึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็วาดภาพเป็นตุเป็นตะว่ามันจะต้องแย่อย่างงั้น ลำบากอย่างนี้ พอนึกเข้าก็เกิดความกลัว ความวิตกกังวล
อันนี้เป็นปัญหาของคนในยุคนี้มาก มีความวิตกกังวลสูง เพราะว่าชอบนึกไปข้างหน้า แล้วก็วาดภาพว่ามันจะแย่อย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เช่น รถติด รถติดที่จริงมันก็ไม่มีอะไรแค่รถติด มันแค่ทำให้เสียเวลา แต่ว่าพอปล่อยใจลอยให้ฟุ้ง มันไม่ใช่แค่เสียเวลาแต่มันเสียอารมณ์ หรือบางทีเสียสติ เพราะนึกปรุงแต่งไปว่า ถ้ารถติดนานกว่านี้ เดี๋ยวจะไปส่งลูกไม่ทัน เดี๋ยวจะตกเครื่องบิน เดี๋ยวจะผิดนัดสำคัญ พอนึกไปแล้วก็คิดต่อไปถึงว่า จะเกิดผลเสียตามมายังไงบ้าง ถ้าตกเครื่องบิน ถ้าผิดนัด ถ้าส่งลูกไม่ทัน หรือว่าไปประชุมสาย เกิดความเสียหายตามมาอย่างนั้นอย่างนี้ พอคิดไปใจก็เสียเลย เครียด ทั้งๆที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่ว่าทุกข์เรียบร้อยแล้ว อันนี้เรียกว่า ไม่ใช่แค่เสียเวลา แต่ว่าเสียอารมณ์ เสียสติ
อารมณ์ทั้งหลายที่มันทำให้จิตใจเราไม่เป็นสุข มันก็มาจากความคิด แล้วก็ร้อยทั้งร้อยมันก็เกิดจากความคิดที่เผลอ เกิดจากความหลงหรือว่าลืมตัว อย่างนั่งตรงนี้ ใจมันก็ลอยไปแล้ว คิดโน่น คิดนี่ เสร็จแล้วก็เป็นไง ทุกข์ บางทีก็นึกถึงบ้าน ก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ความคิดถึงบ้านเขาเรียกว่าเป็นความเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ฝรั่งเรียก Homesick sick แปลว่า ป่วย สิ่งเหล่านี้แหละที่มันทำให้ทุกข์ใจ มันไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอก ไม่ใช่เพราะดิน ฟ้า อากาศ ไม่ใช่เพราะผู้คนที่อยู่แวดล้อมเรา อันนั้นเป็นส่วนประกอบรองๆ ส่วนปัจจัยสำคัญก็คือความคิดที่ปรุงแต่ง หรือถูกปรุงแต่งให้เกิดความทุกข์ เกิดอารมณ์ อกุศลตามมา ความทุกข์ใจเราก็เรียกว่าเป็นความป่วยชนิดหนึ่ง ความป่วยมีสองอย่าง ป่วยกายกับป่วยใจ ป่วยกายอาจจะเกิดจากเชื้อโรค อาจจะเกิดจากสารพิษ ส่วนป่วยใจก็เกิดจากอารมณ์ที่เป็นพิษ อารมณ์อกุศล หรือความคิดที่มันเป็นพิษต่อจิตใจของเรา
คราวนี้จะทำยังไงให้หยุดความเจ็บป่วยทางใจมันหายไป หลายคนก็นึกถึง การพยายามกำจัดไม่ให้มีความคิดเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะถ้าคิดแล้วมันทุกข์ มันมารบกวนจิตใจเหลือเกิน เพราะฉะนั้นก็เลยมาวัดเพื่อจะมาทำสมาธิภาวนา ก็ตั้งใจคาดหวังว่า ความคิดเหล่านี้มันจะไม่มารบกวนจิตใจ อยากจะรู้วิธีว่าจะจัดการ กำจัดมันอย่างไร จิตใจจะได้สงบสุข ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ทุกข์ ความตั้งใจแบบนี้มีประโยชน์ แต่ว่ามันก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะว่าพอเรามาปฏิบัติธรรม มาเจริญกรรมฐาน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาจะกดข่มความคิดที่มันเผลอคิด มันโผล่มาทีไรก็ตะปบมัน กดข่มมัน จัดการมัน แต่ถ้าเกิดว่ามันยังคิดไม่เลิก คิดไม่หยุด ก็จะเกิดความหงุดหงิด บางคนปฏิบัติไปแค่ 5 นาที ความคิดไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลย มันโผล่มา ๆ ๆ พยายามกด พยายามข่มเท่าไร มันก็ไม่หยุดไม่เลิกสักที ก็เลยเกิดความหงุดหงิด แล้วก็ตามมาด้วยความท้อแท้ เพราะทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จสักที มีพระบางรูปหงุดหงิดจนลืมตัว โมโห จนลืมตัว เอารองเท้าแตะฟาดหัว ทำไมมันคิดมากอย่างนี้ ๆ คิดมากนี่มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วของจิต มันไม่ใช่ปัญหาที่เป็นปัญหาคือใจที่ไม่ชอบ ใจที่ไม่ชอบสิ่งนี้ ใจที่ไม่อยากให้มันคิด ใจที่คาดหวังจะให้มันสงบไม่คิด ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดความทุกข์
จริง ๆความคิดเหล่านี้มันเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่ามันจะมารบกวนจิตใจเราได้เสมอไป ถ้าเรามีสติรู้ทันมันก็ทำอะไรจิตใจไม่ได้ เช่น มีความคิดร้ายเกิดขึ้น มีความวิตกกังวลตามมา ถ้าเรารู้ทัน เห็นมัน มันทำอะไรใจเราไม่ได้ มันเหมือนกับไฟที่วูบขึ้นมาแล้วก็หายไป เพราะฉะนั้นวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยทำให้ความป่วยใจสงบได้ก็คือ “การเพิ่มสติ เพิ่มความรู้สึกตัวให้มากขึ้น” วิธีหนึ่งเป็นการพยายามกำจัดหรือลดความคิดฟุ้งซ่านให้มันน้อยลง อีกวิธีหนึ่ง ไม่ไปทำอะไรกับความคิดนั้น แต่ไปเพิ่มสติ เพิ่มความรู้สึกตัว เพราะว่าสติและความรู้สึกตัวนี่จะไปควบคุม หรือว่าทำให้ความคิดและอารมณ์เรานั้น มันรบกวนจิตใจเราไม่ได้
อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับการรักษาความเจ็บป่วยของร่างกาย ความเจ็บป่วยบางครั้งก็เกิดจากเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส หรือว่าเกิดจากสารพิษ บางทีก็เกิดจากเนื้อร้าย เช่น เนื้อร้ายที่เป็นมะเร็ง วิธีที่คนเขานึกถึงหรือใช้กันบ่อยก็คือ กำจัดเชื้อโรค เช่น กินยาปฏิชีวนะ หรือว่าฉายแสง ฉีดเคมีบำบัด หรือว่าผ่าเอาเนื้อร้ายออก วิธีนี้มันก็ได้ผลเร็ว แต่บางทีก็มีปัญหาคือว่า เชื้อโรคมันดื้อยา เดี๋ยวนี้เชื้อโรคหลายชนิด แบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่มากในโรงพยาบาลมันดื้อยามาก ยาปฏิชีวนะที่แรงที่สุดเท่าที่มนุษย์ผลิตได้ ตอนนี้ไม่สามารถจะฆ่า หรือกำจัดพวกแบคทีเรียหรือเชื้อบางชนิดได้ เพราะฉะนั้นคนตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือดเดี๋ยวนี้ก็มีเยอะ ผ่าตัด ไม่ตายเพราะโรคหัวใจ แต่ดันตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด รู้ว่าติดเชื้อ แต่ว่ายาเอาไม่อยู่
อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ เขาใช้ในการบรรเทาความเจ็บป่วยหรือทำให้สุขภาพกายมันดีขึ้น กลับมาเป็นปกติ ก็คือการเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย แทนที่จะไปกำจัดเชื้อโรค ก็ไปเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ภูมิคุ้มกันในร่างกายมันก็จะเข้าไปคุมเชื้อโรค ไม่ถึงกับไปกำจัดให้หมดไป แต่ว่าไปคุมไม่ให้มันลุกลาม ขยายตัว เชื้อโรคยังมีอยู่ในร่างกาย แต่ว่าไม่เจ็บไม่ป่วย มันทำอะไรร่างกายเราไม่ได้ เพราะภูมิคุ้มกันเอาอยู่ อย่างขณะนี้หลายคนที่ไม่เจ็บไม่ป่วย ในตัวก็มีเชื้อโรคหลายชนิด แม้แต่อาจจะมีมาลาเรีย อาจจะมีปอดบวม เชื้อปอดบวมอยู่ หรือเชื้อวัณโรค แต่ว่าเราไม่ป่วยเพราะอะไร ภูมิคุ้มกันร่างกายนี่มันคุมเอาไว้ วิธีนี้ได้ผลยั่งยืน บางทีก็สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดยา ฉีดวัคซีนเข้าไป เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย บางทีก็ใช้วิธีการออกกำลังกาย กินอาหารที่ถูกต้อง พอเหมาะ พักผ่อนพอเพียง มันก็ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น รวมทั้งการทำสมาธิภาวนาด้วย ทีนี้พอภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น เชื้อโรคมันก็ไม่ถึงกับทำให้เจ็บป่วย บางทีมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกาย แต่ว่ามันก็ไม่ลุกลาม จนกลายเป็นโรคมะเร็งก็เพราะว่าภูมิคุ้มกันร่างกายเราแข็งแรง อันนี้เป็นวิธีการรักษาสุขภาพหรือว่าฟื้นฟูให้สุขภาพดี โดยที่ไม่ต้องไปกำจัดเชื้อโรค
การที่เราจะมีความสุขใจ สงบใจก็เหมือนกันอย่าไปคิดแต่วิธีการกำจัดความคิดอารมณ์แบบอย่างตะพึดตะพืออย่างเดียว การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนไม่ได้เน้นที่การไปกำจัดหรือว่าลดความคิดให้มันน้อยลง จนไม่เหลือ แต่ว่าไปเป็นวิธีการเพิ่มสติ ความรู้สึกตัว แล้วสติความรู้สึกตัวนี่แหละมันก็จะไปจัดการกับความคิดฟุ้งซ่าน และอารมณ์อกุศลเอง วิธีนี้มันสบายกว่าเยอะ มันเหมือนกับมีน้ำเน่าอยู่ในท้องร่อง น้ำเน่ามันมันส่งกลิ่นเหม็น เราจะทำยังไง วิธีหนึ่งก็คือว่าไปสูบหรือว่าถ้าไม่มีเครื่องสูบ ก็ตัก วิดน้ำเน่าออกไปจากท้องร่อง อย่างนี้ทำเป็นวัน เหนื่อย อีกวิธีหนึ่งมันดีกว่าคือ ปล่อยน้ำดีเข้ามา พอน้ำดีเข้ามาน้ำดีมันก็ไล่น้ำเสียเอง เราไม่ต้องกำจัดน้ำเสียปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้ำดี
อันนี้ก็เหมือนกับเราสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้เข้มแข็ง แล้วภูมิคุ้มกันในร่างกายมันก็ไปจัดการกับเชื้อโรค ไม่ถึงกับไปกำจัดให้หมด แต่ว่าคุมไม่ให้มันอาละวาดก่อปัญหากับเรา ปล่อยน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือเมื่อเราไม่ชอบความมืด จะกำจัดความมืดยังไง มันก็ทำยาก แต่เพียงแค่เราจุดไฟ จุดเทียนให้มากขึ้น เราเพียงแต่เพิ่มความสว่าง อาจจะเปิดหน้าต่างก็ได้ แล้วความสว่างมันก็จะไปไล่ความมืดเอง เราไม่ต้องไปทำอะไรกับความมืด เพียงแต่เพิ่มความสว่างให้มากขึ้น ความมืดในจิตใจก็เหมือนกัน เราจัดการมันก็ด้วยการเพิ่มความสว่างในจิตใจ ก็คือ เพิ่มสติและความรู้สึกตัว แล้วสติ ความรู้สึกตัว ก็เข้าไปจัดการกับความคิดฟุ้งซ่านและอารมณ์ เวลามีความโกรธเกิดขึ้น หลายคนทุกข์ เพราะว่าความโกรธมันเผาใจให้รุ่มร้อน หลายคนก็นึกถึงว่า กำจัดความโกรธอย่างไร ทำอย่างไรจะกำจัดความโกรธให้หมดไปได้
เคยมีคนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น รุ่นแรกๆเลย ก็ถามท่านว่า ทำอย่างไรจะตัดความโกรธให้ขาดได้ ท่านตอบว่า ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมัน รู้ทันมันก็หายไปเอง ให้เราสังเกตไหมเวลามีความโกรธ เรากดข่มมันได้ชั่วคราว เรากดมันไม่ให้คิดได้ชั่วคราว เสร็จแล้วมันก็โผล่มาใหม่ คิดใหม่ บางทีกดเอาไว้ ไม่ให้มันมารบกวนรังควาน แต่มันไม่ได้ไปไหน มัน มันซ่อนอยู่ มันสะสม เสร็จแล้วพอมีใครมาพูดกระทบ เพียงแค่นิดหน่อยมันก็ปรี๊ดเลย อาการปรี๊ดมันเกิดจากความทุกข์ที่มันสะสม อัดอั้นมานาน ใครที่อัดอั้นเพราะไปกดข่มมันเอาไว้ พอถึงจุดหนึ่งกดไม่ไหว มีใครมาพูดกระทบนิดเดียว ระเบิดเลย หรืออย่างน้อยก็ปรี๊ด ใครที่ชอบที่มีอาการปรี๊ดบ่อย ให้รู้ว่าเป็นเพราะชอบไปกดข่มมันเอาไว้ ซึ่งมันก็มีประโยชน์ มันมีประโยชน์ชั่วคราว ถ้าเรากดข่มได้เราก็ไม่เผลอด่า ไม่เผลอทำร้ายข้าวของในตอนนั้น แต่ว่ามันอาจจะเกิดขึ้นหรือจะทำอย่างนั้นในวันข้างหน้าก็ได้ ถ้าเกิดสะสมหรืออัดอั้นมานาน แต่ถ้าเราแทนที่จะไปกดมัน เราใช้วิธีรู้ทันมัน แทนที่จะไปลดความโกรธให้น้อยลง แต่เราไปเพิ่มสติ เพิ่มความรู้ทัน เพิ่มความรู้สึกตัวให้มากขึ้น มันเอาอยู่ อันนี้ดีกว่า
เวลาเราปฏิบัติ มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น อย่าไปพยายามกดข่มมัน บางคนก็ไปพยายามหาทางกำจัดหรือว่าลดความคิดให้น้อยลงด้วยการปิดตา เปิดตานี้มันฟุ้งมาก ปิดตา ยกมือแล้วมันฟุ้งก็ นั่งเฉยๆ นิ่งๆ บางทีก็ไปเพ่งที่ลมหายใจ บางทีก็ไปเพ่งที่ท้อง วิธีนี้มันก็ทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน มันลดน้อยลง แต่ว่าพอเผลอมันก็พรั่งพรูมา พวกนี้มันฉลาด มันจะเล่นงานเรา ตอนเราเผลอตอนเราสติอ่อน แต่บางคนพอไปกด ไปเพ่งนี่ เกิดความเครียดตามมา ปวดหัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เพราะเวลาไปกดข่มความคิดเราก็จะกลั้นลมหายใจตามไปด้วย ไม่รู้ตัวว่ากลั้นลมหายใจตอนที่ไปกดไปห้ามความคิด เสร็จแล้วพอกลั้นไปนานนาน มันก็ทำท่าจะหน้ามืด หรือว่าปวดหัว แน่นหน้าอก นี่เพราะไปพยายามกดข่มความคิดด้วยการไปเพ่งมัน บางคนไม่มีอาการ ก็สงบดี แต่ว่าพอออกไปเจอสิ่งภายนอก เจอสิ่งเร้า เหมือนเดิม เจอเสียง เจอความอึกทึก เจอคนพูดไม่น่ารัก อ่านเจอข้อความในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมันระดม วันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันอย่าง สิ่งที่กระทบ สิ่งที่มาปลุกเร้า หรือมากระตุ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย สมัยนี้มันเยอะมาก แทบจะทุกวินาที หรือทุก 5 วินาที พอมากระทบกับตัวเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็ปรุงความคิดขึ้นมา ตอนนี้แหละเอาไม่อยู่แล้ว
หลายคนเวลาปฏิบัติก็สงบดี เพราะว่าพยายามกดข่ม กำจัดให้ความคิดมันน้อยลง แต่พอไปข้างนอก ความคิดมัน พรั่งพรูออกมาเยอะแยะเลย ก็เลยหงุดหงิด ก็เลยเครียด แล้วก็โกรธง่าย มีหลายคนมาปรึกษาอาตมาว่า เขาก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ่อย แต่ทำไมยังโกรธอยู่ ทำไมยังโกรธง่าย อันนี้เพราะว่าเวลาเขามาปฏิบัติเขาเน้นแต่เรื่องการบังคับ ควบคุมจิตให้มันสงบ ควบคุมความคิดให้มันน้อยๆ แต่ก็ไม่คิดจะเพิ่ม ตัวสติ และความรู้สึกตัวให้มากขึ้น พอไปข้างนอก กลับไปบ้าน กลับไปทำงานอยู่สภาพเดิม เจอสิ่งเร้า ก็ฟุ้งใหม่ แล้วพอฟุ้งไปมันก็เกิดอารมณ์ เครียด วิตกกังวล โกรธ กลับมาเหมือนเดิม แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว เพิ่มกำลังให้กับสติ ความรู้สึกตัว ตั้งแต่มาปฏิบัติที่วัด พอกลับไปก็ยังคงทำอย่างนั้นอยู่ ยังคงรักษาสติ ความรู้สึกตัวเอาไว้ได้ มีสิ่งเร้าภายนอกอย่างไรมากระทบ ความคิดมันเกิดขึ้นมากเพียงใด สติ ความรู้สึกตัวก็เอาอยู่ ใจก็สงบได้ สงบได้ไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งเร้า ไม่มีสิ่งกระทบ สิ่งกระทบก็ยังเหมือนเดิม แต่สงบได้ สงบได้ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่มีความคิดเกิดขึ้น มันมี ไม่ใช่เพราะไม่มีอารมณ์เกิดขึ้น มันเกิดแต่ว่าสติ ความรู้สึกตัวนี้จัดการมันได้ พอรู้ทันว่าเผลอคิดไป สงบเลย พอรู้ทันว่ากำลังโกรธอยู่ ความโกรธมันก็ค่อยๆละลายหายไป หรือถึงจะยังไม่หายไปทีเดียว แต่ว่ามันก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็แค่เกิดขึ้นในใจ แต่ว่าไม่รบกวนจิตใจอีกต่อไป
ครูบาอาจารย์ท่านจะไม่ได้สอนให้เราไปกำจัดกิเลสอย่างเดียว หรือว่าไม่ได้สอนให้เราคิดแต่จะหนีกิเลสอย่างเดียว แต่ท่านจะสอนให้เราอยู่กับมันอย่างไม่ทุกข์ได้ หลวงพ่อชาฯ ท่านเคยสอนลูกศิษย์ว่าภาวนาไม่ใช่เพื่อให้เราหนีกิเลส และไม่ใช่ให้กิเลสหนีเรา แต่จงอยู่กับกิเลสอย่างมีสติ ท่านพูดว่า จงอยู่กับกิเลสอย่างมีสติ เหมือนน้ำกับใบบัว น้ำกับใบบัวอยู่ด้วยกัน แต่ว่าน้ำซึมใบบัวไม่ได้ เราอย่าคิดแต่สู้กิเลสหรือหนีกิเลสอย่างเดียว มันก็มีประโยชน์อยู่ ไม่ว่าจะสู้กิเลส หนีกิเลส สู้กับความโกรธ หรือว่าหนีความโกรธ แต่ว่าให้ฝึกวิธีการที่จะอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ เหมือนน้ำกับใบบัว หรือเหมือนน้ำกับน้ำมันก็ได้ ก็คือว่ามันมีอยู่แต่มันทำอะไรไม่ได้
ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นแต่ว่าเราเห็นมัน วิธีที่ช่วยให้อยู่กับมันได้ อย่างสงบก็คือ เห็นมัน เห็นมันด้วยสติ ถ้าเราอยู่กับกิเลสด้วยสติคือว่า เห็นกิเลสนั้นมันโผล่ขึ้นมา แต่ว่ามันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ มันสั่งให้เราด่าไม่ได้ มันสั่งให้เราโลภก็ไม่ได้ อันนี้เป็นศิลปะการปฏิบัติธรรม “อยู่กับกิเลสอย่างมีสติ” และต่อไปก็ใช้กิเลสเป็นครูสอน สอนธรรมให้เรา ไม่ใช่แค่สอนให้มีขันติ ไม่ใช่สอนให้มีความอดทน หรือว่าเป็นเครื่องมือฝึกสติเท่านั้น แต่ยังสอนธรรมให้เราเกิดปัญญาได้ด้วย เพราะกิเลสก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง และมันก็สอนไตรลักษณ์ สอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้เหมือนกับธรรมะที่เป็นกุศลธรรม เมตตา กรุณา ความโกรธ นี่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ก็คือมันสอนธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้กับเราได้
ถ้าเราเห็นกิเลส เห็นความทุกข์ เห็นอารมณ์ ต่อไปจะไม่ใช่แค่ว่า รู้ว่ามันมีอยู่ แต่ก็จะเห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน กลายเป็นว่ามันกลายเป็นครูสอนเรา การอยู่กับกิเลสอย่างมีสติ หรือการเห็นกิเลสด้วยสติด้วยความรู้สึกตัวนี่ ก็จะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์จากกิเลสและอารมณ์อกุศลพวกนี้ได้ ถ้าหนีมัน ตะพึดตะพือ จะเห็นอะไรจากมัน จะเรียนรู้อะไรจากมันได้ ถ้าเอาแต่สู้รบกับมัน พยายามกดข่มมันเอาไว้ ก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นธรรมะที่มันสอนเรา ทำนองเดียวกันถ้าไปกดข่มความโกรธ กดข่มความคิด นอกจากจะทำไม่สำเร็จ ในระยะยาวแล้วก็ยังเสียโอกาสที่จะเห็นธรรมะจากมัน มันจะเกิดขึ้นก็เกิดไปแต่ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะว่าเราเห็น ไม่เข้าไปเป็นมัน เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ เห็นความโลภไม่เป็นผู้โลภ นี่เรียกว่าอยู่กับมันอย่างมีสติ ให้ลองมาฝึกวิธีนี้ดูบ้าง เราใช้วิธีกดข่ม ใช้วิธีหนี ใช้วิธีสู้ ใช้วิธีพยายามกำจัดมันมาบ่อยครั้งแล้ว ลองใช้วิธีที่จะมีสติรู้ทันมัน การปฏิบัติ การเจริญสติ จริงๆแล้วถึงที่สุดมันไม่ใช่เป็นการควบคุมความคิด เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อควบคุมความคิด แต่ว่าปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ยอมให้มันเกิดขึ้น จึงเปิดตา หรือว่ายอมให้มันเกิดขึ้นจึงไม่ไปเพ่งมัน หลายคนไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น ก็เลยไปเพ่ง เอาจิตไปบังคับ บังคับจิตให้อยู่ที่มือ ที่เท้า ที่ลมหายใจ ปิดตาอีกด้วย เป็นการพยายามที่จะไม่ให้มีความคิดเกิดขึ้นหรือควบคุมไม่ให้มันโผล่มา
แต่ว่าการปฏิบัติจะไม่ทำอย่างนั้น เราอนุญาตให้ความคิดมันเกิดขึ้น แต่เราจะเรียนรู้วิธีที่จะรักษาใจไม่ให้มันมาควบคุมจิตใจของเรา เกิดก็เกิดไป แต่ทำอะไรใจเราไม่ได้ เพราะว่ามีสติเป็นเครื่องรักษา เพราะว่าเป็นผู้เห็นไม่เข้าไปเป็น และต่อไปการเห็นนี่จะช่วยทำให้เรา ไม่ใช่แค่เห็นว่ามันมีอยู่ แต่ยังเห็นธรรมะที่มันแสดงด้วย อันนี้เรียกได้ว่าได้ประโยชน์จากมัน