แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่งชื่อพระสุสิมะ ท่านสังเกตว่ามีพระสาวกหลายรูปซึ่งตั้งใจปฏิบัติไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าตนเองได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระพุทธองค์ก็จะทรงรับรอง พระสุสิมะจึงไปถามพระสาวกเหล่านั้นว่า พวกท่านสามารถจะแปลงกายเนรมิตร่างเป็นหลายคน หรือว่าสามารถจะเดินทะลุผ่านกำแพงได้ไหม สามารถจะเดินผ่านภูเขาได้ไหม สามารถจะดำดิน บินบนหรือเหาะเหินเดินอากาศได้หรือไหม พระเหล่านั้นก็ตอบว่าทำไม่ได้ พระสุสิมะก็เลยแปลกใจ เอ๊ะ! ทำไมเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่มีฤทธิ์
พระสุสิมะพกความสงสัย ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมพระที่ปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ ทำไมจึงไม่ฤทธิ์ ทำไมดำดิน บินบน เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ซักถามพระสุสิมะว่า ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเที่ยงหรือไม่ ท่านก็ตอบว่าไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์หรือไม่ ท่านก็ตอบเป็นทุกข์ มันใช่ตัวตนหรือไม่ ท่านก็ตอบไม่ใช่ตัวตน พระพุทธเจ้ายังถามเรื่องอื่นด้วย ถามธรรมะขั้นสูง เช่น ปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะบอกกับพระสุสิมะว่า พระอรหันต์เหล่านั้นทำความเพียรจนเข้าใจเรื่องพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท คือเหตุแห่งทุกข์ หรือพูดง่าย ๆ คืออริยสัจสี่ เมื่อมีปัญญาเช่นนี้แล้ว จำเป็นไหมต้องมีฤทธิ์ แปลงกายเป็นหลายคน เหาะเหินเดินอากาศได้ พระสุสิมะก็ยอมรับว่า โอ้! ถ้าคนที่มีปัญญาแบบนั้นเข้าใจว่าขันธ์ 5 มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีฤทธิ์มีเดช พระพุทธเจ้ายังอธิบายอีกว่าพระอรหันต์ ท่านทำความเพียรจนมีปัญญา รู้แจ้งเห็นธรรม จึงพ้นทุกข์ อันนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของการมีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ พระสุสิมะก็เลยเข้าใจ อ๋อ! พระอรหันต์ก็คือคนที่ทำความเพียรจนมีปัญญาเห็นแจ้ง หมดกิเลส พ้นทุกข์ มันคนละเรื่องกับการมีฤทธิ์ การมีปาฏิหาริย์
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่แต่พระสุสิมะนะที่เข้าใจผิด จนถึงทุกวันนี้คนก็ยังเข้าใจผิดว่า ถ้าใครเป็นพระอรหันต์นี่ก็ต้องมีฤทธิ์มีเดช มีอิทธิปาฏิหาริย์ เหาะเหินเดินอากาศได้ ที่จริงพระอรหันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์ก็มี แต่บางท่านก็ไม่มี เพราะว่า ท่านทำความเพียรมาเฉพาะให้เกิดปัญญา แต่ไม่ได้ฝึกในเรื่องของการสร้างพลังจิต หรือพลังสมาธิ อันนี้มันต่างกัน
บางคน มีฤทธิ์แต่ว่าปัญญาไม่เกิด การมีฤทธิ์จะมีประโยชน์ยังไง มีประโยชน์อะไรถ้าหากว่ายังมีกิเลสอยู่ คนเราส่วนใหญ่ถ้าได้ยินหรือว่ารู้ว่าหรือเห็นว่าใครมีฤทธิ์มีเดช โอ้! ตื่นเต้น บางทีก็ไปตั้งให้คนเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ก็มี แม้บางทีฤทธิ์เดชที่เขาว่ามี จริง ๆ ก็ไม่มี แต่ว่าคุยโม้ไป อันนี้ก็เป็นเหตุให้ชาวพุทธเราหรือชาวบ้านเราจำนวนมากก็ถูกหลอก ก็จึงมีคนอ้างตัวว่ามีฤทธิ์มีเดช สามารถจะเหาะเหินเดินอากาศได้ หรือสามารถทายใจได้ สามารถบอกอนาคตได้ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่พูดไป ไม่มีความสามารถอย่างนั้น แต่ว่าหลอกให้คนเชื่อ คนเชื่อแล้วก็เอาเงินไปให้ เอาลาภสักการะไปให้ มันก็เข้าทำนอง “คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด” ฉลาดที่ว่านี่ไม่ใช่ฉลาดทางธรรม มันฉลาดแกมโกง หรือฉลาดทางโลกรู้จักหลอก
ที่ผู้คนตกเป็นเหยื่อของพระ หรืออดีตพระ อย่างเณรคำ ก็เพราะว่าเหตุนี้เพราะว่าไปเชื่อว่าเณรคำมีฤทธิ์ และก็ไปคิดว่าท่านมีฤทธิ์ก็แสดงว่าท่านเป็นพระอรหันต์ บางทีมีโยมมาบอกอาตมาเลยว่าเณรคำนี่นะพระอรหันต์ เมื่อหลายปีก่อน มาบอกอาตมา อาตมาก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก เพราะคนที่บอกยังเป็นฆราวาส เป็นคนธรรมดา และยิ่งก่อนหน้านี้ก็เคยได้เห็นภาพ ได้ยินเรื่องราวของเณรคำมาก่อน มันก็รู้สึกว่า เอ๊ะ! อย่างนี้มันไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะว่าพระอรหันต์นี่ คุณสมบัติที่สำคัญก็คือว่าไม่มีกิเลส หมดกิเลส หมดความโลภ อะไรที่มันจะแสดงว่ามีความโลภ มีความหลง ยังติดในลาภสักการะแสดงว่ามันไม่ใช่แล้ว พระดีพระแท้นี่ดูตรงนี้ ดูตรงที่ว่าไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง อยู่ง่าย ไม่ใช่เป็นคนมีฤทธิ์ อย่างพระสุสิมะไปเข้าใจว่า โอ้! พระอรหันต์ต้องมีฤทธิ์ อันที่จริงไม่ใช่
เป็นพระอรหันต์เพราะมีปัญญา มีปัญญาจนเห็นความจริงของชีวิต ของโลก ว่ามันไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีความรู้สึกว่า “กูนะ กูนะ” เมื่อไม่มีแล้วนี่ กิเลสจะมีได้อย่างไร เพราะกิเลสนี่มันก็เกิดจากความหลงว่ามีตัวกู ก็เลยอยากให้กูใหญ่ อยากให้กูมีอำนาจ อยากให้กูเป็นที่รัก หรือแม้แต่อยากให้กูได้รับคำยกย่องว่าเป็นคนดี รวมทั้งอยากจะมีอะไรเยอะ ๆ เป็นของกูมาก ๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครที่มีกิริยาอาการแบบนี้ มันก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปไม่ได้ ก็เป็นแค่ปุถุชน และก็ยังมีความทุกข์อยู่ นักปฏิบัติหลายคนที่มาวัด มาทำสมาธิ หลายคนก็ยังมีความเจ้าใจผิดว่ามาภาวนาก็จะได้มีฤทธิ์มีเดช มีความสามารถพิเศษทางจิต มีบางคนก็มาถามอาตมาว่า ภาวนามาหลายปีแล้ว ทำไมยังไม่เห็นเหมือนคนอื่นเขา ถามว่าเห็นอะไร เห็นอนาคต เห็นอดีต แสดงว่าเข้าใจผิดแล้ว
ภาวนาในพุทธศาสนานี่ มันไม่ได้เห็นเรื่องนอกตัว มันเห็นเรื่องตัวเอง เห็นเรื่องกาย เรื่องใจ จนกระทั่งไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในใจนี่ ก็คือว่าไม่ยึดมั่นว่าเป็นกู เป็นของกู มันก็เลยเบา พอไม่มีตัวกู ใครจะด่า ก็ไม่เจ็บ เพราะว่าคำด่านี่มันไม่กระทบไม่กระแทกตัวกู หรือว่าไม่มีตัวกูเข้าไปรับการกระทบกระแทก ใครด่าก็เหมือนด่าอากาศ ใครต่อยมันก็เหมือนชกลม ลอกนึกภาพนี่ชกลม หรือด่าใส่อากาศนี่ มันจะมีใครเจ็บใครปวด ใครเดือดร้อน ก็มีแต่คนด่านั่นแหละที่ด่าจนปวดคอ พระอรหันต์ท่านมีลักษณะแบบนั้น ก็คือว่าใครมาทำอะไรก็ไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวด มีความสูญเสีย มีความพลัดพรากยังไงก็ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ เพราะไม่มีกิเลส เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อันนี้สำคัญกว่าฤทธิ์เดช
คนที่มีฤทธิ์ สมมติว่าทายอนาคตได้ หรือว่าเหาะเหินเดินอากาศได้ คนเหล่านี้ก็ยังมีความทุกข์อยู่ ก็มีความทุกข์ ยังอยากรวย อยากให้คนชม ยังมีความอิจฉา เวลามีคนเก่งกว่าตัวก็อิจฉา เวลาคนไม่เคารพก็เศร้าเสียใจ อยากจะให้คนชมคนสรรเสริญ ดูอย่างเพราะพระเทวทัต ตอนที่บวชใหม่ ๆ ท่านก็ตั้งใจปฏิบัติ ฝึกจิตจนกระทั่งมีอำนาจจิตพิเศษ พูดง่าย ๆ คือมีฤทธิ์ แต่ว่ากิเลสไม่ได้ลด ทิฐิมานะก็ยังมีเหมือนเดิม ก็เลยคิดการใหญ่ ก่อการกำเริบ อยากจะเป็นใหญ่แทนพระพุทธเจ้า ทูลขอพระพุทธเจ้ามอบอำนาจการปกครองสงฆ์ให้กับตัวเอง อิจฉา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เวลาคนมาวัดก็ถามว่าพระโมคคัลลานะอยู่ไหน พระสารีบุตรอยู่ไหน ไม่มีใครมาถามตัวเองเลย แค่นี้ก็เป็นทุกข์แล้ว คนมาวัดก็ถามแต่พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร แค่นี้ก็เป็นทุกข์แล้ว เพราะอิจฉา
แล้วฤทธิ์เดชมันมีประโยชน์อย่างไร ถ้ามันดับทุกข์ไม่ได้ ถึงเวลาป่วย ถึงเวลาเจ็บก็ทุกข์ทรมาน ถึงเวลาตายก็มีความทุกข์ทรมานเหมือนกัน แต่ไม่ต้องรอให้เจ็บไม่ต้องรอให้ป่วย ไม่ต้องรอให้ตาย แค่คนไม่ยกย่อง คนไม่ได้นับถือ หรือว่าคนไม่ได้เชิดชูสรรเสริญ ก็ทุกข์แล้ว สูญเสียพลัดพรากก็ทุกข์แล้ว อันนี้เรียกว่ามันไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากว่าสิ่งที่เรียนมาหรือปฏิบัติมามากมาย ความทุกข์ไม่ได้ลด กิเลสก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย
เรามาปฏิบัตินี่ก็เพื่อที่จะทำให้ความทุกข์ลดลง ความทุกข์จะลดลงได้ต้องเริ่มจากการให้ทาน การรักษาศีล ให้ทานก็เป็นสละสิ่งของ รักษาศีลก็เพื่อควบคุมกิเลส เช่นโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ให้มันกำเริบเสิบสาน มันอยากได้ของเขา แต่ก็ไม่ทำตามความอยาก ก็เพราะมีศีล อยากจะทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นเพราะโกรธ หรือเพราะโลภก็แล้วแต่ ก็ไม่ทำ เพราะมีศีล อยากจะไปแย่งชิงของรักของหวงของคนอื่น แต่ก็ไม่ทำ ไม่ยอมอยู่ในอำนาจของราคะ หรือโลภะก็เพราะมีศีล ศีลมันคุมเอาไว้ ไม่ให้กิเลสพวกนี้นี่มันกำเริบเสิบสาน หรือว่าครองจิต ครองใจของเรา
แต่เท่านั้นไม่พอ มันต้องภาวนา ทานศีลแล้วต้องภาวนา ภาวนาเพื่อให้ใจสงบ ทีแรกก็กิเลสมันสงบก่อน แต่ต่อไปก็ขุดรากถอนโคนกิเลสเลย ไม่ให้กิเลสมีที่ตั้ง เพราะว่ากิเลสสงบนี่มันอาจจะเหมือนกับหินทับหญ้า หินทับหญ้านี่หญ้ามันก็ดูเหลือง แต่ว่าพอเอาหินออก หญ้ามันก็ขึ้นใหม่ สงบของคนหลายคนเป็นแบบนี้ คือว่ากิเลสมันกบดาน กิเลสมันซุกซ่อน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าถ้าปล่อยให้กิเลสมันอาละวาดตลอดเวลานี่ มันทุกข์ มันเครียด มันหาความสุขไม่ได้เลย กิเลสมันสงบบ้างแหละดี แต่ว่าก็ยังประมาทไม่ได้ ต้องหาทางรื้อถอนกิเลส เรียกว่าขุดรากถอนโคนกิเลส ก็คือการภาวนา เจริญปัญญา จนกระทั่งรู้ว่า อ้อ กิเลสมันเกิดขึ้นได้ เพราะมันมีความยึดมั่นถือมั่นว่ามีกูมีของกู พอมีกู มันก็มีกูอยาก พอมีกู มันก็กูทุกข์ พอมีกู มันก็มีกูได้ มีกูเสีย พวกนี้แหละ มันทำให้ทุกข์ ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วย ก็กูป่วย ถึงเวลาตาย ก็กูตาย ก็ทุกข์
ที่จริงมันไม่มีกูไม่มีเรา มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่ขันธ์ห้าเท่านั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันมีแค่นี้แหละ มันไม่มีสัตว์บุคคล มันไม่มีกูตรงไหนเลย จะเรียกว่าคนตายยังเรียกไม่ได้เลย เพราะมันเป็นแค่ขันธ์ห้าที่เสื่อมสลายไป คนที่มีปัญญาแบบนี้ เขาก็ถอนความยึดมั่นในตัวกูของกู ความอยากที่จะให้กูยิ่งใหญ่ อยากให้กูมีเชื่อเสียง มีอำนาจ มีวาสนาบารมี มันก็หายไป ความทุกข์ที่จะเกิดเพราะว่าไม่ได้อย่างที่ต้องการ หรือว่าที่มีก็สูญเสียไป ก็ไม่มีความทุกข์อย่างนั้น เพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข แม้ว่ายังต้องเจ็บ ยังต้องป่วย ยังต้องสูญเสีย อย่างที่เราสวดมนต์เมื่อสักครู่ “เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะรอดพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะรอดพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น และเราจะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น” ไม่ว่าใครก็ต้องเจอ แต่บางคนเจอแล้วทุกข์ แต่บางคนซึ่งมีจำนวนน้อย เจอแล้วไม่ทุกข์ ไม่ต้องให้เป็นพระอรหันต์ แค่เข้าใจธรรม ก็ช่วยทำให้จิตใจไม่ทุกข์เวลาสูญเสีย
อย่างในสมัยพุทธกาล มีผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางมัลลิกาเป็นเมียของเสนาบดี ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลไว้ใจมาก ชื่อพันธุละเสนาบดี เป็นเพื่อนกันไปเรียนกันที่ทิสาปาโมกข์ และก็เป็นเจ้าทั้งคู่ แต่ว่าพันธุละมีปัญหาในดินแดนของตัวแคว้นวัชชี ก็เลยหนีมาอยู่แคว้นโกศล ปเสนทิโกศลก็ดีใจ เพื่อนรักมาก็มอบตำแหน่งให้ แต่ตอนหลังมีคนอิจฉา มีคนอิจฉาพันธุละ ก็ไปเป่าหูพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลเชื่อ แล้วก็ระแวง เพราะว่าพันธุละเก่งมากเรื่องการรบ ถ้าพันธุละคิดคดทรยศ พระเจ้าปเสนทิโกศลคงจะเพลี่ยงพล้ำเสียที เมื่อเชื่อข่าวลือ ก็เลยหาทางออกอุบายให้พันธุละเสนาบดีกับลูกซึ่งมี 32 คน เป็นแฝด 16 คู่ ล้วนเก่งในเรื่องการรบทั้งหมด อันนี้ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลระแวง เพราะว่าตัวพ่อก็เก่ง ลูกทั้ง 32 คนก็เก่ง ถ้าจะมายึดราชบัลลังก์ตัวเองคงไม่รอด จึงออกอุบายให้ไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วก็มีกองทัพคอยซุ่มโจมตี ก็ปรากฏว่าสามารถทำสำเร็จ ฆ่าพันธุละและลูกทั้ง 32 คน ตายอย่างอนาถ
มีคนส่งข่าวมา เป็นจดหมายน้อย มายังนางมัลลิกาซึ่งเป็นเมียของพันธุละเสนาบดี มาถึงตอนเช้าพอดี จดหมายน้อย ตอนเช้านั้น นางมัลลิกากำลังเลี้ยงจังหันถวายอาหารพระ ก็มีพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเป็นประธานสงฆ์ ก็มีคนเอาจดหมายมาให้ นางอ่านดูก็ไม่มีสีหน้า สีหน้าเป็นปกตินะ ทั้งที่เป็นข่าวร้ายว่าผัวและลูก ๓๒ คนตายไม่เหลือเลยสักคน นางเก็บจดหมายน้อยไว้ที่ชายพก แล้วก็ทำหน้าที่ต่อ ถวายอาหารให้กับพระสงฆ์
ตอนที่กำลังถวายอาหารให้กับพระสารีบุตร คนใช้ก็บังเอิญทำจานใส่เนย คนอินเดียเขาชอบกินเนย ทำจานใส่เนยตกแตก เสียงดังเลย นางมัลลิกาก็อยู่ใกล้ ๆ พระสารีบุตรพูดปลอบใจนางมัลลิกาว่าของที่มันแตกได้มันก็แตกไปแล้ว อย่าไปเสียใจอะไรมาก นางมัลลิกาตอบว่า เมื่อสักครู่ เพิ่งได้ข่าวว่าสามีและลูกทั้ง 32 คนตาย ดิฉันก็ยังไม่เสียใจเลย เพราะฉะนั้นแค่จานใส่เนยตกแตกนี่จะเสียใจทำไม
นางมัลลิกามีจิตใจที่มั่นคงมาก เพราะเป็นคนที่รู้ธรรมะแบบนี้เขาเรียกว่ามีปัญญา คือรู้ว่าชีวิตมันไม่เที่ยง คนเราตายได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ อย่างนี้มันก็เป็นฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่ประเสริฐกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ ดำดิน บินบน เหาะเหินเดินอากาศได้มีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าแค่เจ็บ แค่ป่วยก็ทุกข์แล้ว แต่ว่าบุคคลอย่างนางมัลลิกานี่ มีปัญญาเห็นความจริง เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นแม้สูญเสียคนรักก็ไม่ทุกข์ อย่างนี้สำคัญกว่า กว่าอิทธิปาฏิหาริย์ มันเกิดจากการมีปัญญา พวกเราก็ควรจะหันมาสนใจปัญญาแบบนี้เอาไว้ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ความสามารถพิเศษ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไปตื่นเต้นอะไรนัก
บางทีมันเหมือนการเล่นกล เดี๋ยวนี้มีนักมายากลสามารถจะทำให้คนหายไปได้ เอาคนมาอยู่ในเวทีแล้วเอาผ้าคลุม ทำอะไรนิดหน่อย ปรากฏว่าคนหายไปแล้ว ไปโผล่อยู่อีกที่หนึ่ง เคยเห็นไหม อย่างเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ บางคนสามารถจะทำให้ผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นนี่ มันลอยขึ้นมาได้ จะเอาห่วงลอดทางไหนก็ตาม ก็สามารถลอดได้สบาย ไม่มีเชือก แสดงว่าไม่มีเชือกคอยห้อยคอยโหน ทำยังไงก็ได้ คนก็ยังลอยอยู่ โอ้! นี่แหละฤทธิ์นะ แต่เราก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่ มันเป็นมายากล
แต่คนเหล่านี้ถึงแม้จะเก่งยังไงก็ยังมีความทุกข์ ยังอยากรวย อยากมีชื่อเสียง ลูกตาย เพื่อนตายก็ทุกข์ ถูกต่อว่าด่าทอก็ทุกข์ ที่จริงคนสมัยนี้ก็มีฤทธิ์ เดี๋ยวนี่เราคุยกันข้ามประเทศได้ มันเหมือนคนสมัยก่อนที่ส่งโทรจิต เขาเรียกว่าโทรจิต แต่ของเราไม่ต้องใช้โทรจิต เราใช้โทรศัพท์ เดี๋ยวนี้คนสมัยนี้ก็บินได้เหาะได้ นั่งเครื่องบินก็เหาะได้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้เครื่องบินแล้ว มันมียานเล็ก ๆ สะพายหลังแล้วก็ทำให้เหาะได้เหมือนกัน อันนี้ก็เรียกว่าเป็นฤทธิ์ เพียงแต่มันไม่ได้เกิดจากอำนาจจิต แต่มันเกิดจากอำนาจเทคโนโลยี
แต่ถึงแม้มีฤทธิ์มากมาย คนสมัยนี้มันก็ยังมีความทุกข์ ทุกข์มากกว่าคนสมัยก่อนด้วย การไม่ทุกข์นี่สำคัญกว่า เป็นคนเดินดินกินข้าวแกง เหาะไม่ได้แต่ว่าใจไม่ทุกข์ ใครมาต่อว่าด่าทอยังไงนะ ใจก็เป็นปกติ มันเป็นความวิเศษ เป็นความมหัศจรรย์มากกว่า ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วยก็ไม่ทุกข์ รู้ว่าเป็นธรรมดา ป่วยแต่กายใจไม่ป่วย มีฤทธิ์ มีเดช มันก็ยังเสื่อมได้ อย่างเทวทัต ตอนหลังก็เสื่อมเพราะความโลภ ความมักใหญ่ใฝ่สูง เพราะกิเลสนั่นแหละ มันทำให้ฤทธิ์หมดไป สุดท้ายฤทธิ์ที่มีมันก็ทำให้ชีวิตตกต่ำย่ำแย่ เพราะว่าเกิดความหลงตัวลืมตน คนมีฤทธิ์นี่ถ้าไม่คุมจิตคุมใจ มันก็โดนกิเลสหลอก ทำอะไรได้มากมาย แต่ว่ารักษาใจให้ปลอดพ้นจากกิเลสไม่ได้ ฤทธิ์ที่มีมาก อันนี้ก็รวมถึงความร่ำรวย ความมั่งมี อำนาจที่ยิ่งใหญ่นี่ มันก็ทำให้จิตใจมีรูโหว่ เปิดช่องให้กิเลส ให้มารเข้ามาครอบงำ อย่างที่สวดเมื่อกี้นี้ “ขอหมู่มารอย่าได้ช่อง ด้วยเดชบุญทั้งสิบป้อง อย่าเปิดโอกาสแก่มารเถิด” มีฤทธิ์แค่ไหนมันก็ไม่สามารถปิดป้องไม่ให้จิตใจถูกมารเข้ามาครอบงำได้ คนที่ยิ่งมีฤทธิ์ หรือว่ามีอำนาจ มีเงินมาก ใจมันยิ่งมีจุดอ่อน เปิดช่องให้กิเลส ให้มาร เข้ามาครอบงำได้
แต่คนที่ปฏิบัติ ที่ลดละกิเลศจนมีปัญญาสามารถที่จะขุดรากถอนโคนกิเลสได้ จิตใจจะแน่นหนามั่นคง ไม่มีช่องว่างให้มารเข้ามาครอบงำ เล่นงาน รังควานได้เลย คนเราไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นพระอรหันต์ก่อน ถึงจะไม่มีความทุกข์ คนเราอาจจะไม่ถึงกับปลอดทุกข์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าความทุกข์มันก็ลดลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเรามีปัญญา และก็มีสติด้วย “ให้จิตตรงมีสติและปัญญาอันประเสริฐ” สำคัญมาก เพราะสติก็เป็นเครื่องรักษาจิตได้ ถึงแม้ว่ายังมีความหลง มีอวิชชาอยู่ แต่ว่ามันก็มาเล่นงานจิตใจไม่ได้ เพราะมีสติเป็นเครื่องรักษาเอาไว้
แต่ถ้าสติเราพัฒนาจนเป็นปัญญา อันนี้แหละเขาเรียกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้าของ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนรัก หรือว่าสมบัติ ใจก็ไม่ทุกข์ รักษาใจให้ปกติได้ แม้แต่มีคนมาทำร้ายก็ยังมีจิตเมตตา อันนี้เป็นคุณธรรมของชาวพุทธเลย ไม่ว่าใครจะมาทำร้ายยังไง ใจก็ไม่โกรธ ไม่เกลียด รักษาใจไม่ให้ความโกรธความเกลียดเข้ามาชักนำจิตใจให้ไปตอบโต้ทำร้ายเขาได้
เพราะฉะนั้นก็ให้เราเข้าใจให้ถูกว่าเราปฏิบัติไปเพื่ออะไร สมาธิ ภาวนา ที่เราฝึกนี่ไม่ใช่เพื่อให้มีฤทธิ์มีเดช ให้เห็นสีเห็นแสง เห็นอนาคต เห็นเลขเห็นเบอร์ แต่ว่าให้รู้ทันกิเลส กิเลสเข้ามาไม่ได้ และก็เห็นความจริง จนกระทั่งมันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ไม่มีความยึดมั่นแม้กระทั่งให้ตัวกูของกู อันนี้แหละที่จะให้อยู่รอดปลอดภัย จากอำนาจของมารทั้งหลาย