แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้ดูคลิปวิดีโอที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำ ที่คณะบัญชีนิสิตเขามีโครงการชื่อว่าดีกันนะ ดีกันไม่ใช่ความว่าคืนดี แต่หมายถึงว่าทำความดี โครงการนี้ กิจกรรมคือ การประกวดคลิปวิดีโอ ที่เชิญชวนให้นักศึกษาทำความดี อาตมาได้เป็นกรรมการคนหนึ่ง เขาเลยให้มาดูคลิปที่นักศึกษาทำมีทั้งหมด 5 คลิป ให้เลือกมาที่ดีที่สุดหนึ่งคลิป เป็นหนังสั้น 3 นาที 5 นาที ส่วนใหญ่เรื่องทั้งหมด นิสิตเป็นคนแสดง
มีคลิปหนึ่ง พูดถึงพฤติกรรมของนักศึกษา 2-3 คน ซึ่งเขาคงเป็นตัวแทนของคนจำนวนมากในประเทศ ฉากหนึ่งเป็นนักศึกษาที่กำลังรอคิวซื้อกาแฟ มีนักศึกษาคนหนึ่งแซงคิว คนที่ถูกแซงนึกบ่น ก่นด่าในใจว่าแย่มาก มาแซงคิว คิวไม่ได้ยาวอะไร เห็นแก่ตัวมาก แล้วฉากต่อไปเป็นนิสิตกำลังดูเฟสบุ๊ค มีภาพคนทิ้งขยะลงแม่น้ำ ทิ้งขยะข้างถนน แม้กระทั่งในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ก็มีการทิ้งขยะเศษพลาสติกเต็มไปหมด นักศึกษาดูแล้วเขียนคอมเมนต์ว่าเห็นแก่ตัวมาก ไม่รู้จักเคารพสถานที่ แล้วมีอีกฉากหนึ่งเป็นภาพนักศึกษากำลังทำข้อสอบ ข้อสอบนั้นมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งว่ามีงานวิจัยพบว่ามีคอรัปชั่นกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ คน 50% ของประชากรไทยคอรัปชั่น มีความเห็นอย่างไร นิสิตเขียนวิจารณ์สารพัด แล้วยังตบท้ายด้วย 50%ยังน้อยไป มากกว่านั้นเยอะ
เป็น 3 คลิป 3 เหตุการณ์ แล้วเขาย้อนกลับไปที่เหตุการณ์แรกว่า นิสิตที่บ่น ก่นด่าคนที่มาแซงคิว ทำให้ตัวเองต้องรอนานขึ้น ระหว่างที่รอคิว มีเพื่อน 2-3 คนเอาเงินมาให้แล้วบอกฝากซื้อกาแฟด้วย คนบรรยายบอกว่าแบบนี้โกงเขาด้วยไม่ใช่หรือ มันก็แซงคิวเหมือนกัน ไปว่าคนอื่นเขาแซงคิว แต่ตัวเองไปส่งเสริมการใช้อภิสิทธิ์หรือแซงคิว เพื่อนที่ฝากซื้อไม่ควรทำเพราะเท่ากับไปแซงคิว ควรจะไปเข้าคิวต่อท้ายคนอื่นด้วย คนที่อยู่ข้างหลังต้องรอนานขึ้นอีก อันนี้ไม่ถูกต้องเช่นกันไม่ใช่หรือ
แล้วตัดมาที่ภาพนักศึกษาที่กำลังบ่น เขียนคอมเมนต์ด่าใครต่อใครที่ทิ้งขยะ คอมเมนต์เสร็จ เก็บเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วใส่กระเป๋า แล้วเดินออกกจากที่นั่นไป โดยทิ้งขยะพวกแก้วน้ำและห่อขนมไว้ตรงโต๊ะนั้น ซึ่งในฉากเป็นห้องสมุด อันนี้เราก็ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ว่าคนอื่นทิ้งขยะแต่ตัวเองทิ้งขยะไว้ในห้องสมุด
ส่วนนักศึกษาคนที่เขียนข้อสอบ หรือเป็นรายงานนั้น ปรากฏว่าที่เขียนไปนั้นลอกเขามา ไปลอกของเพื่อนผู้หญิง เขาเลยถามว่าแล้วอย่างนี้ไม่ใช่เป็นการคอรัปชั่นหรือเป็นการโกง ขนาดว่าให้ตอบคำถามยังไม่เขียนเอง ไปลอกไปเอาคำตอบของเพื่อนมาลอกเต็มหน้า ว่าคนอื่นคอรัปชั่น ตัวเองทำเองมันก็คือโกงเหมือนกัน
ทั้งหมดนี้เป็นคลิปที่เขาเตือนหรือว่าสะท้อนได้ สะท้อนคนในสังคมที่ว่า ไปวิจารณ์คนนั้นคนนี้ว่าโกงคอรัปชั่น ใช้อภิสิทธิ์ แต่ว่าตัวเองทำเหมือนกัน
อันนี้เป็นเพราะอะไร เพราะว่าธรรมชาติคนเราชอบทำแบบที่เรียกว่าส่งจิตออกนอก ยิ่งใครทำอะไรไม่ถูก ทำอะไรผิดพลาด จิตพุ่งไป เวลาใครทำอะไรไม่ถูกจะเห็นชัด พอเห็นแล้วไม่พอใจ วิจารณ์ แต่ว่ากลับลืมมองตน ไม่ได้ดูตัวเองว่าตัวเองทำอย่างนั้นเหมือนกัน คนอื่นเขาเห็นแก่ตัว ไม่ได้แปลว่าตัวเองไม่ได้เห็นแก่ตัวด้วย คนอื่นที่อยู่รอบตัวเรา ถ้าจะว่าไปไม่ได้ต่างจากเราเท่าไหร่ เห็นแก่ตัว รักสบาย หรือว่าเอาเปรียบคนอื่นเมื่อมีโอกาส กิเลสนั้นอยู่ในตัวเราด้วยเหมือนกันไม่มากไม่น้อย แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม เราไปมอง ไปจ้องจับผิด หรือว่าประณามด่าคนอื่น จะเปิดช่องให้กิเลสตัวนั้นหรือกิเลสหลายตัวเข้ามาครองจิตครองใจเราได้ แล้วสั่งให้เราทำในสิ่งที่เรารู้ว่าไม่ถูก ในสิ่งเราไม่ชอบเมื่อคนอื่นเขาทำแต่เราทำ อันนี้จะเรียกว่าขาดสติได้ คือทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่จะว่าไปเป็นเจตนา แม้ว่าไม่รู้ตัวแต่เป็นเจตนา สามตัวอย่างนี้เจตนาทั้งนั้น แต่ว่าไม่ได้มาเฉลียวใจว่าสิ่งที่ทำ คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือแบบเดียวกันกับคนอื่นทำ ที่ตัวเองด่านั้นก็ทำเองเหมือนกัน
คนเราเห็นคนอื่นทำผิดเป็นเรื่องง่าย เห็นคนอื่นทำผิดมันเห็นชัด เพราะว่าเราเห็นด้วยตาหรือเราได้ยินด้วยหู แต่การที่จะเห็นตัวเองทำผิดนั้นเห็นยาก เพราะไม่ได้เห็นด้วยตา ต้องเห็นด้วยสติหรือว่าเห็นด้วยใจ เห็นหน้าคนอื่นจะเห็นง่ายแต่เห็นหน้าตัวเองยาก เราต้องอาศัยกระจก เป็นทางช่วยให้เราเห็นหน้าตัวเอง แล้วกระจกคือปัจจัยภายนอก คนเราจะเห็นตัวเองได้ส่วนหนึ่งต้องอาศัยเพื่อน อาศัยมิตรสหาย อาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยคนแวดล้อมบอกเตือน แล้วถ้าเป็นคำชมเราเปิดใจรับได้ง่าย อยากจะฟังอีก แต่ถ้าเป็นคำทักท้วงหรือแม้แต่คำแนะนำก็อาจจะไม่พอใจ โดยเฉพาะคนที่คิดว่า ฉันเก่ง ฉันแน่ อย่างเพียงแค่มีคนอื่นมาแนะนำ ก็ไม่พอใจ ที่จริงเป็นกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่คิดว่าฉันเก่ง ฉันแน่ แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่เป็นครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าลูกมาแนะนำหรือว่าลูกศิษย์มาแนะนำจะไม่พอใจ
บางทีพระก็เป็น มีเจ้าอาวาสสำนักหนึ่ง เป็นสำนักที่มีชื่อมาก เรียกว่าจะไม่พอใจมาก ถ้าหากว่าลูกวัดหรือว่าพระที่มีอาวุโสน้อยกว่ามาพูดแนะนำหรือแม้แต่ทักท้วงก็ไม่ได้ จะหาว่าหาว่าไม่ถูกต้อง ถ้าจะพูดต้องพูดอ้อมๆ ให้เห็นให้รู้ได้เอง เข้าใจว่านี้เป็นวิธีการแบบพุทธ เป็นวิธีการแบบไทยๆ ที่จริงไม่ใช่ ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เณรน้อยอายุไม่กี่ขวบ 7-8 ขวบ ทักท้วงพระสารีบุตรว่าห่มจีวรไม่เรียบร้อย ชายจีวรรุ่ย พระสารีบุตรรีบทำตามทันทีเลย ไปห่มจีวรมาให้เรียบร้อยแล้วขอบคุณเณรน้อย อันนี้เป็นวิสัยของบัณฑิต ที่จริงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ห่มจีวรไม่เรียบร้อย บางทีพลั้งบางทีเผลอ หรือบางทีอาจจะคิดว่าทำดีแล้วแต่คนอื่นเขาอาจจะว่ายังไม่ดีพอ
คนเราใครมาแนะนำ ทักท้วงไม่พอใจ อันนี้เป็นกิเลสคือ มานะ คำว่า มานะ ไม่ได้แปลว่าขยัน คนไทยเราไปแปลว่าขยันหรือพยายาม บางที่พูดรวมๆว่า มานะพยายาม มานะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ภาษาฝรั่งเรียก Ego คือกิเลสที่ชนิดที่ว่ามีอัตตาสูง อัตตาเยอะ กูแน่ กูเก่ง กูดี กูสวย กูหล่อ พวกนี้มานะทั้งนั้น มานะเป็นกิเลสที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น Ego มีลักษณะที่ว่าจะยกตัวให้สูงกว่าคนอื่น แต่บางทีก็เปรียบเทียบคนอื่นที่เขาเก่งกว่า ดีกว่า สวยกว่า หล่อกว่า รวยกว่า ก็รู้สึกด้อย ความรู้สึกว่ากูแน่ กูเก่ง ความรู้สึกว่ากูด้อย กูแย่เป็นมานะ เป็นอาการของมานะอย่างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่จะแสดงออกมาด้วยความรู้สึกว่ากูเก่ง กูแน่ เพราะฉะนั้นพอใครมาวิจารณ์ ใครมาท้วงติงโกรธ เพราะไปกระทบกับความรู้สึกนั้น แต่ถ้าว่าคนที่มีปัญญา เขาจะรู้ว่ามานะหรือ Ego เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ถ้าปล่อยให้ครองจิตครองใจจะไม่มีความสุข ใครดีกว่าไม่ได้ เห็นใครขยันกว่าไม่ได้เห็นใครมาทำงานเร็วกว่าตัวก็ไม่ได้ หรือแม้แต่เห็นคน เห็นใครปฏิบัติธรรมขยันกว่าตัวก็ไม่ชอบ พระบางรูป เห็นพระรูปอื่นเขาเคร่งวินัยกว่า ไม่พอใจ อิจฉาเขา หรือก็ไม่มาในอีกรูปหนึ่ง คือเห็นคนอื่นเขาไม่ดีไม่เก่งเท่าตัวเอง ไม่เคร่งเท่าตัวเองรู้สึกไม่พอใจ อาจจะมีความเกลียดน้อยๆ หรือความโกรธน้อยๆ อันนี้ทุกข์เหมือนกัน ไม่ว่าจะเห็นคนอื่นเขาดีกว่าหรือเห็นคนอื่นเขาต่ำกว่าทำให้ทุกข์ทั้งนั้น แล้วคนที่มีปัญญาเขาจะรู้ว่า Ego หรืออัตตาหรือมานะพวกนี้ ไม่ดีทำเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ พยายามที่จะไม่ปล่อยให้ครองจิตครองใจ ต้องแล้วพยายามลดละตัวอัตตา ซึ่งจะทำได้ต้องอาศัยการมีสติรู้ทัน รู้ทันว่ามาครองจิตครองใจแล้ว กำลังกำเริบ
ไม่ใช่แค่มานะอย่างเดียวที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ โทสะหรือว่าตัวกิเลส ตัณหาเหมือนกัน มีหลายตัวมากเลยที่คอยช่วงชิงคอยฉวยโอกาสที่จะมาครองจิตครองใจเรา เหมือนกับศัตรูที่จะคอยมายึดเมือง ศัตรูจะต้องหาทางมายึดครองเมืองให้ได้ เมืองนี้เราแต่ละคนเหมือนผู้ครองนคร นครนี้ชื่อว่าจิตตนคร จิตตนครก็มีศัตรูที่จะคอยยึดเมืองนี้ทุกโอกาสคือพวกกิเลส พวกอารมณ์ที่เป็นอกุศล โกรธ เกลียด อยาก อิจฉา เศร้า รู้สึกผิด พวกนี้พยายามยึดครองใจ เหมือนกับศัตรูที่พยายามยึดครองนครแล้ว จิตตนครก็มีกำแพงล้อมรอบ แล้วทุกเมืองต้องมีประตู ประตูเป็นจุดอ่อนของทุกเมือง แต่จำเป็นเพราะว่าคนเข้าคนออกแม้แต่พระราชาต้องเข้าออกผ่านประตู แต่ว่าจุดอ่อนนี้ป้องกันได้ด้วยการมีทหารยามที่คอยป้องกัน คอยดูคอยตรวจสอบว่าคนที่เข้าเมืองนี้เป็นใคร ถ้าเป็นผู้ร้ายเป็นศัตรูไม่ให้เข้า ใจเราต้องมีสติ สติทำหน้าที่เหมือนกับทหารยามที่คอยเฝ้าประตูรักษาเมือง ถ้าทหารยามบกพร่อง ไม่ฉลาดก็โดนศัตรูจู่โจมบุกเข้าไป แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการล่อหลอก เหมือนอย่างที่เราดูในหนัง ในหนังนี้มีทหารเฝ้าอาคาร เฝ้าห้อง ทหารอาวุธครบมือแน่นหนา ป้องกันแน่นหนา ศัตรูมีกำลังน้อย วิธีที่จะเข้าไปในห้องในอาคารคือล่อหลอก ให้ยามให้การ์ดพวกนี้ไปที่อื่น เช่น อาจจะจุดประทัด ส่งเสียงดัง มีการล่อให้คนชกต่อยกัน อยู่ข้างนอก หรือบางทีเกิดเสียงระเบิดโครมครามอยู่สักที่หนึ่งอยู่ไม่ไกล ยามทหารออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูเลยว่าไม่มีใครเฝ้า ศัตรูเข้าไปได้
สติเราบกพร่องในหน้าที่เพราะว่าไปมัวสนใจสิ่งข้างนอก ส่งจิตออกนอก โดยเฉพาะเวลาโกรธ เวลาไม่พอใจ จิตจะไปเพ่งที่คนหรือว่าสิ่งของที่อยู่ข้างนอกเรา เวลาโกรธใคร โกรธอะไรตามจิตจะไปจ่ออยู่ตรงนั้น ออกไปข้างนอกเรียกว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจเราทันทีเลย ความโกรธแล้วความอยากเหมือนกัน เวลาอยากอะไรจิตไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น แล้วลืมตัว คนที่ถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง สามใบหกสิบล้าน ดีใจมาก ใจคิดว่าจะเอาเงินหกสิบล้านไปทำอะไร แล้วไปคิดเอาตอนขณะขับรถ อันนี้เรียกว่าส่งจิตออกนอกเหมือนกัน อยู่ในความคิด ใจไปพะวงไปปรุงแต่งวาดภาพขึ้น จิตตอนนั้นลืมตัวแล้ว บางทีขับรถชน แต่นั่นยังไม่ชัดมากเท่ากับผู้ที่เกิดกิเลสราคะ อย่างเห็นผู้หญิง หมายจะประทุษร้ายด้วยราคะ ตอนนั้นลืมตัว เผลอเข้าไปทำร้ายเขาไปชำเราเขา เกิดเรื่องเดือดร้อนตามมา พอทำเสร็จแล้วถึงค่อยมารู้ตัวว่าทำอะไรไป หรือคนที่เห็นเงินปึกใหญ่วางอยู่ อยากได้ขึ้นมา ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ไม่มีคนเห็น คิดว่าไม่มีคนเห็นรีบฉวยเลย ใส่กระเป๋า ลืมตัว
แต่ถึงแม้จะไม่ได้ทำชั่วอย่างที่ว่า ความลืมตัวของเราทำให้เราทุกข์ได้ด้วยเหตุผลอื่น เช่น นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยให้ผ่านเลยไป ยังเก็บเอามาคิด ใครเขาด่าเรา เหมือนคำที่ว่ามีดที่ปักใจ ยังหวนไปคิดถึงคำพูดเหล่านั้น กลายเป็นว่าเอามีดเล่มนั้นมาทิ่มแทงใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนอื่นเขาทิ่มครั้งเดียว แต่เราเอามีดนั้นมาทิ่มหลายครั้ง แล้วไปโทษว่าเขาทำให้เราทุกข์ แต่ที่จริงเพราะใจเราต่างหาก ใจที่ไม่มีสติ ไปฉวยเอาความทุกข์มาเล่นงานจิตใจ ไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นยังไม่วายเอาภาพที่มโน ปรุงแต่ง ทำให้เกิดความวิตกกังวล วิตกอย่างนี้กังวลอย่างนั้น เครียด แล้วเป็นทุกข์เพราะภาพที่ปรุงแต่งขึ้นมา บางทีไม่ใช่เครียด วิตกกังวลเพราะภาพปรุงแต่ง บางทีกลัวด้วยเหมือนกัน อย่างอยู่ในกุฏิกลางค่ำกลางคืนคนเดียว หลายคนกลัว กลัวอะไร กลัวผี กลัวสัตว์ร้าย ถามว่ามีหรือเปล่าเห็นหรือเปล่า ยังไม่เห็น ยังไม่มีแต่ว่านึกไปแล้ว พวกนี้ที่เป็นตัวการสร้างทุกข์ให้กับจิตใจของเรา แต่คนส่วนใหญ่ไม่เฉลียวใจ ยังไปคิดว่าคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำให้เราทุกข์ อันนี้เป็นความหลงแบบหนึ่ง ที่ทำให้ตัวร้ายยังลอยนวลไปได้
ตัวร้าย วิธีที่จะลอยนวลคือหลอกให้เราหลงไปคิดว่าสิ่งอื่นเป็นตัวการมากกว่า เมื่อใจเราไปจดจ่อสิ่งอื่นแทน ไม่ระวังตัวร้ายที่แท้ แต่ถ้าสติของเราไว ฝึกมาดี จะรู้ทันตัวร้ายนั่นคืออารมณ์อกุศลที่พระพุทธเจ้า เรียกว่าอันตรายที่ปกปิด อันตรายมีสองอย่าง อันตรายที่เปิดเผยคือผู้ร้าย คือสัตว์ร้าย คือภัยธรรมชาติ สมัยนี้อาจจะรวมถึงรถยนต์ที่กำลังแล่นมาอย่างรวดเร็ว อาจจะหมายถึงอาหารที่เป็นพิษ แล้วที่น่ากลัวกว่าคืออันตรายที่ปกปิด คือมองไม่เห็น อยู่ในใจเรา หรือคอยที่จะเข้ามาครอบงำจิตใจเรา ต้องมีสติให้ไว รู้ทันความคิดและอารมณ์ รู้ทันคนอื่นก็ดีหรอก รู้ทันคนอื่นว่าเขาจะมีอุบายมี มีลูกไม้อย่างไรก็สำคัญ รู้ทันคนชั่ว รู้ทันคนที่มุ่งร้าย ไม่จริงใจกับเรา อันนี้ก็สำคัญอยู่ แต่ว่าที่สำคัญกว่าคือรู้ทันตัวร้ายในใจเรา เพราะว่าพร้อมที่จะเล่นงานเราตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงทั้งในยามหลับและในยามตื่น แม้อยู่คนเดียวไม่สามารถจะปลอดภัยจากภัยนี้ได้ ภัยอย่างอื่นบางทีเราเปลี่ยนสถานที่ย้ายที่ก็ปลอดภัย ภัยจากธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้ายพอมาอยู่ในเมืองเขาปลอดภัย ภัยจากรถยนต์ ถ้าอยู่ที่ปลอดภัย รถยนต์ไม่ค่อยเป็นอันตรายคุกคามเท่าไหร่ ผู้ร้าย ถ้าอยู่ในเมืองอาจจะเสี่ยง แต่ถ้าอยู่ในสถานที่แบบนี้ปลอดภัย
แต่ตัวร้ายภายในนี้ หรืออันตรายที่ปกปิดพร้อมจะเล่นงานตลอดเวลา อยู่ที่อยู่คนเดียว หรือแม้แต่อยู่ในปราสาทราชวัง คฤหาสน์ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ก็ยังอดทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าโดนภัยพวกนี้เล่นงาน อารมณ์ต่างๆ และอารมณ์เกิดขึ้นจากความคิด ทุกอารมณ์เริ่มจากความคิดก่อนส่วนใหญ่ โกรธ เศร้าเพราะนึกถึงคนที่เขาทำร้ายเรา เขาว่าร้ายเรา หรือเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา เศร้าเพราะว่าเรานึกไปถึงสิ่งที่สูญเสียไป หรือนึกถึงคนที่มาพลัดพรากจากเราไป รู้สึกผิดเพราะว่าไปนึกถึงการกระทำที่ไม่ดี ที่เคยทำกับใครบางคน เพื่อน แฟน หรือพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรืออาจจะคนที่เราไม่รู้จักแต่เรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร อาจจะไปขโมยเงินเขา อาจจะไปเอาเปรียบเขาโดยที่เขาจะรู้ตัวหรือไม่ตาม พอคิดก็ทุกข์เลย ความคิดนี้สำคัญ คนเราทุกข์เพราะความคิดมากกว่าทุกข์เพราะอย่างอื่น แต่เพราะความหลงความไม่รู้ของเราเลยไปคิดว่าเป็นเพราะคนนั้นคนนี้ ทำให้เราทุกข์เพราะเขาทำไม่ถูกใจเรา พูดไม่ถูกใจเรา แทนที่จะเป็นเพราะเรานี้ไม่รู้ทันใจเราต่างหาก ไปว่าไปมองว่าเขาผิด แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะเราวางใจผิดมากกว่า อันนี้สำคัญ
คนเรานี้มักจะคิดว่าเราทุกข์เพราะคนอื่นเขาผิด คนอื่นเขาทำไม่ถูก แต่ที่จริงเป็นเพราะใจเราต่างหากที่ทำไม่ถูก วางใจไม่ถูกอย่างแรกหรือทำไม่ถูกคือไม่มีสติ หรือมิฉะนั้นไปคาดหวังสิ่งที่สวนทางกับความจริง เช่น ของที่ทุกอย่างต้องไม่เที่ยงแต่ไปยึดให้เที่ยง หรือทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมบังคับได้แต่เราอยากจะบังคับให้เป็นไปตามใจเรา แค่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเรานี้ผิดแล้ว เพราะว่าไม่มีอะไรที่เราจะควบคุมให้เป็นไปตามใจเราหรือถูกใจเราได้ อย่าว่าแต่คนนั้นคนนี้เลย ร่างกายเราเรายังควบคุมให้ถูกใจเราไม่ได้ อยากให้ผอมดันอ้วน อยากให้หลับดันไม่หลับ อยากให้สบายดันปวด นี่ร่างกาย ใจก็เหมือนกันบังคับให้เป็นไปในสิ่งที่สมควรยังทำไม่ได้ ไม่อยากให้ฟุ้งดันฟุ้ง ไม่อยากคิดดันคิด ควรจะรู้นั่นว่าควรจะเห็นแจ่มกระจ่างในใจว่า ไม่มีอะไรที่เราจะเรียกร้องคาดหวัง ควบคุมบังคับให้ถูกใจเราได้ ให้เป็นไปดั่งใจเราได้ แต่เราอยากให้คาดหวังดั่งใจเลยผิดเพราะสวนทาง หลวงพ่อชาท่านพูด ทุกอย่างถูกต้องแล้ว แต่ที่เราทุกข์เพราะเราวางใจผิด ทุกอย่างถูกแล้ว คือถูกตามเหตุตามปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มีเหตุมีปัจจัย แต่ที่เราทุกข์เพราะเราวางใจผิดตั้งแต่ความคิดหรือความอยาก
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีสติรู้ทัน รู้ทันความคิดรู้ทันความอยาก เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจของเราได้ ไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมให้เป็นไปดังใจได้ ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ ต้องเห็นอย่างนี้ ถึงจะละจะวาง เรียนรู้จากความผิดหวังเรียนรู้จากความทุกข์ เรียนรู้ไป ๆ จะรู้ว่าไม่มีอะไรเลยที่เราจะควบคุมบังคับได้แม้กระทั่งกายและใจของเรา ที่จริงคิดว่ากายและใจเป็นของเราผิดตั้งแต่แรกเหมือนกัน แล้วถ้าเห็นแบบนี้จะวางได้ การวางใจจะวางได้ถูกต้องตามความไม่คิดไม่อยาก หรือยึดในสิ่งที่สวนทางกับความจริง หรือไม่คิดที่จะไปควบคุมบังคับบัญชาอะไรเพราะทำไม่ได้