แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อคืนวาน ต่อเนื่องจนถึงเช้ามืดวันนี้ พวกเราหลายคนทั้งพระ แม่ชี แล้วญาติโยมหลายท่าน ได้ร่วมทำความเพียรที่ศาลาไก่ เป็นการทำความเพียรข้ามคืน โดยไม่หลับไม่นอน อาจจะเผลองีบไปบ้างเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวทำความเพียรต่อสร้างจังหวะเดินจงกรม อันนี้เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญชาคริยานุโยค คือทำความตื่น บางทีเราเรียกว่าเป็นเนสัชชิก เนสัชชิกหมายถึงว่า อยู่ในอิริยาบถ 3 ยืน เดิน นั่ง แต่ไม่นอน ไม่นอนคือไม่เอาหลังทาบกับพื้น แต่อาจจะนั่งหลับได้ แต่ว่าที่เราได้ร่วมกันทำในวันนี้ที่ผ่านมา 8-10 ชั่วโมง เป็นการทำความเพียรจริงๆ นอกจากจะไม่เอาหลังทาบกับพื้นแล้ว มีการปฏิบัติเจริญสติ อาตมาเองได้ร่วมปฏิบัติร่วมกับพวกเราด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญเนื่องในวันวิสาขบูชา ถวายพระพุทธเจ้าแล้วเป็นการทำบุญเนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดไปด้วยในตัว
จริงๆ แล้วตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ทำบุญในลักษณะนี้ ปฏิบัติทำความเพียรข้ามคืนเนื่องในวันเกิด แต่ถ้าในโอกาสอื่นเคยทำอยู่ ที่จริงปกติแล้วไม่ค่อยได้ทำบุญเท่าไหร่ในวันเกิด ตอนเด็กๆอาจมีใส่บาตรบ้าง แต่พอโตขึ้นแล้วไม่ค่อยได้ทำบุญอย่างที่ทำกันตามประเพณีเท่าไหร่ อันนี้เป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดเท่าไหร่ ใช้ชีวิตไปตามปกติ งานเลี้ยงงานฉลองวันเกิดไม่เคยมีกับเขา จนกระทั่งเมื่อ 2-3 วันก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี มิตรสหายที่เครือข่ายพุทธิกาเขาจัดเลี้ยงพระ จะเรียกว่าฉลองวันเกิดได้ ถือว่างานฉลองวันเกิดครั้งแรกในชีวิต ก่อนหน้านั้นไม่เคย ไม่เคยมีใครทำให้ แล้วไม่เคยทำเองด้วย เพราะว่าไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญอย่างที่พูด แต่ว่าไม่ได้หมายถึงว่าไม่ทำความดี ทำแต่ว่าไม่ได้ทำเพราะปรารภโอกาสนี้ คือใช้ชีวิตไปตามปกติ ถึงวันเกิดทำอย่างที่เคยทำวันก่อนๆ ซึ่งส่วนใหญ่มันเป็นการใช้ชีวิตในศีลในธรรมอยู่แล้ว เพิ่งมาปีนี้ที่เรียกว่าทำบุญกันขนานใหญ่ตั้งแต่เช้าเลย ทั้งตามประเพณีแล้วไปปลูกป่าตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า แล้วตอบแทนคุณธรรมชาติแล้วมาทำต่อเนื่อง จนกระทั่งก่อนทำวัตรเย็น
เมื่อคนเรามีอายุครบ 60 ปี มันถือว่าเป็นโชค เพราะว่าคนที่จะมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวถึง 60 ปี แม้จะมีอยู่มากในยุคนี้ แต่ว่าคนจำนวนไม่น้อยเขาไม่มีโอกาสที่จะอยู่มาจนถึงอายุครบ 5 รอบ บางคนตายตอนที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว อย่างน้องชายอาตมาตายเมื่ออายุ 19 ปีเมื่อปี 2521 คือเกือบ 40 ปีมาแล้ว แล้วเพื่อนอีกหลายคนที่เรียนมาด้วยกันล้มหายตายจากกันไปหลายคน ที่จริงตัวเองเกือบจะตายมาครั้งหนึ่ง ตอนเหตุการณ์ 6 ตุลา ตอนนั้นคิดว่ามีโอกาสตายสูงมากเลย เพราะว่าถูกจับที่ธรรมศาสตร์ แล้วถูกนำไปขังไว้ที่เมืองชลฯ ตอนนั้นคิดว่าเขาคงจะเอาไปทิ้งทะเลแหละ เพราะว่าเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศชิลี ในช่วงปีหนึ่ง 1 ปีก่อนหน้านั้น เราคิดว่าคงจะลงเอยแบบนั้นเหมือนกัน เพราะเคยมีการขู่เอาไว้ว่าถ้าฝ่ายขวาขึ้นปกครองบ้านเมืองฝ่ายซ้ายถูกกวาดเรียบ ที่จริงตัวเองไม่ใช่ฝ่ายซ้ายตอนนั้น ตอนนั้นอยู่ชมรมพุทธแล้ว สมาทานอหิงสา แต่ถูกรวบไปด้วยในเหตุการณ์นั้น คิดว่าจะตายรอดมาได้ติดคุกแค่ 3 วัน แล้วพอมารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนมากมาย บางคนถูกแขวนคอที่สนามหลวง บางคนถูกลากศพไปตามสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ รู้สึกว่าเราโชคดี เหตุการณ์อย่างนั้นมีโอกาสที่จะตายสูงมาก
เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ถือว่าเป็นโชคอย่างหนึ่ง เป็นกำไรชีวิต 40 ปี เพราะว่าควรจะตายตั้งแต่ปี 19 แล้ว ทีนี้พอมีชีวิตมาถึงอายุ 60 แล้วไม่เจ็บไม่ป่วยด้วย ไม่ตาบอด ไม่หูหนวก ไม่อัมพฤกษ์อัมพาต ไม่มีโรคร้ายเช่น เบาหวาน ไตวาย หรือโรคมะเร็ง ไม่นอนติดเตียง ยังสามารถที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนได้ สามารถจะไปท่องเที่ยวที่ไหนได้ถ้าอยากจะไปหรือถ้ามีเวลา เป็นโชคอยู่เหมือนกัน เพราะว่าคนที่มีอายุ 60 แต่ว่าพิกลพิการ เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนอนติดเตียงอันนี้มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว บางคนต้องล้างไตอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทีนี้เมื่อได้มีอายุถึง 60 แล้วยังอยู่ในเพศบรรพชิตต่อเนื่องนานถึง 34 ปี เป็นโชคอยู่เหมือนกัน
พูดง่ายๆคือว่า การที่เพียงแค่เรามีอายุมาถึงป่านนี้ถือว่าเป็นโชคที่หาได้ยากแล้ว เมื่อคนเราครบรอบวันเกิดในแง่หนึ่งหมายความว่าเรามีชีวิตยืนยาวอีก 1 ปี แต่ในเวลาเดียวกันมันหมายความว่าเราอยู่ใกล้ความตายเข้าไปอีก 1 ปี เวลาของอาตมาเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากว่าอายุเท่าหลวงพ่อคำเขียนหมายความว่าเหลือเวลาอีก 18 ปีเท่านั้นแหละ ถ้าเอาเวลาของโยมแม่เป็นเกณฑ์มีเวลาเหลืออีก 3 ปี ก่อนที่จะละโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นแต่ละวันๆที่ผ่านไปมันหมายความว่าเรามีชีวิตน้อยลงไปเรื่อยๆ ใกล้ความตายเข้าไปทุกที วันเกิดคนเราควรจะคิดแบบนี้บ้างว่า ในแง่หนึ่งเราโชคดีที่ยังมีชีวิตรอดมาอีก 1 ปี มีชีวิตยืนยาวเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี แต่ในเวลาเดียวกันเราใกล้ความตายขึ้นมาอีก 1 ปี มันไม่ใช่เป็นเวลาที่จะควรแก่การเฉลิมฉลอง แต่ว่ามันเป็นเวลาที่จะใคร่ครวญถึงความไม่เที่ยงของ หรือว่าเวลาที่เราเหลือน้อยลงไปทุกทีๆ แต่ไม่ใช่คิดเพื่อจะให้หดหู่เศร้าหมอง แต่เพื่อจะได้เกิดความไม่ประมาท เพื่อจะได้ตระหนักว่าในเมื่อเวลาเราเหลือน้อยละจะต้องรีบขวนขวายทำสิ่งที่ควรทำ
เมื่อตอนกลางวันตอนที่ปลูกป่าเสร็จขณะที่นั่งพักผ่อนมีเด็กๆหลายคนรวมทั้งผู้ใหญ่ด้วยประสานเสียง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ (Happy birthday) (ร้องเพลง) แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู(Happy birthday to you) อาตมาฟังแล้วเคลิ้มดีเหมือนกันแต่บอกเขาว่าร้อง แฮปปี้เบิร์ดเดย์เสร็จ ขอให้ร้องเพลง อนิจจา วะตะ สังขาราด้วย สำคัญมาก อนิจจา วะตะ สังขารา ภาษิตมันเหมาะสำหรับวันเกิด อย่างน้อยรอบวันเกิดเราควรจะร้องเพลง หรือควรจะระลึกถึงภาษิต “อนิจจา วะตะ สังขารา” แต่หลายคนพอวันเกิดมาร้อง อนิจจา วะตะ สังขารา เขาหาว่าแช่ง เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าภาษิตนี้หมายถึงงานศพ หมายถึงแช่งการแช่งให้ตายไว แต่ที่จริงไม่ใช่เลย อันนี้เป็นพรอย่างหนึ่ง
พรในความหมายที่ว่าเป็นของประเสริฐ คำว่าพรแปลว่าประเสริฐ อนิจจา วะตะ สังขาราเป็นพุทธภาษิตที่เคยเป็นเหตุปัจจัยให้พระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาลท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านชื่อพระมหากาล ท่านเป็นพระที่ตั้งใจปฏิบัติ แล้วมีคราวหนึ่งท่านไปที่ป่าช้าแล้วมีศพที่ยังไม่ทันจะเผา ท่านพิจารณาศพนั้นแล้วระลึกถึงภาษิตนี้แหละ อนิจจา วะตะ สังขารา ความหมายเต็มๆคือว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านพิจารณาท่านเห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ศพที่เน่าเปื่อยอยู่ต่อหน้า
และความจริงที่เกิดจากการที่ได้พิจารณาโดยอาศัยภาษิตเป็นเครื่องชี้นำ ท่านเกิดปัญญาเลยเห็นแจ้งในสัจธรรม จิตหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าพุทธภาษิตเป็นของดีของประเสริฐ แต่ทุกวันนี้เราไปเข้าใจว่าภาษิตอย่าง ถ้าเอามาเอ่ยในวันเกิดถือว่าเป็นการแช่งเพราะว่าชวนให้นึกถึงงานศพ ที่จริงมันเป็นความเข้าใจผิด เช่นเดียวกับที่คนสมัยก่อน คนจำนวนหนึ่งเลยสมัยก่อนราวร้อยปีที่ผ่านมา อย่างน้อยๆ เวลานึกถึงคำว่า อะระหัง เขาถือว่าแช่ง เขาถือว่าไม่เป็นมงคลเลย ถ้าเอ่ยคำว่าอะระหังขึ้นมา
หลวงพ่อปานวัดบางนมโค ท่านเล่าว่าตอนที่ท่านเป็นเด็กตัวเล็กๆ ราว 4-5 ขวบ มีคราวหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่เป็นย่าคุณย่ากำลังจะตาย คนสมัยก่อนเขาตายที่บ้านไม่ได้ตายที่โรงพยาบาล ในระยะท้ายๆจะมีลูกหลานมาพูดกระซิบข้างหู แม่ๆ อะระหัง อะระหัง อะระหัง ภาวนาไว้เดี๋ยวพระอะระหังจะช่วย คือบอกอะระหังใครต่อใครมาพูดแบบนี้จนกระทั่งเด็กชายปานซึ่งวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนได้ยินเลยขึ้นมาดู ถูกผู้ใหญ่ไล่ไป เพราะคนสมัยก่อนคงไม่อยากจะให้เด็กมาดูคนตาย แต่สมัยนี้เขาไม่ถือแล้ว เพราะว่าที่หมู่บ้านอาตมา คนเฒ่าคนแก่กำลังจะตาย ลูกหลานบ้านนั้นบ้านนี้เขามาดู เขาไม่ได้ว่าอะไร คราวนี้พอตกเย็นเด็กชายปานกินอาหารกับพ่อแม่ อาหารเผอิญอร่อยด้วย สบายใจมีความสุข เลยพูดขึ้นมาว่า “อะระหัง อะระหัง” แม่ได้ยินโกรธเลย ลากตัวมาออกไปที่ระเบียง แล้วตะโกนสุดเสียงเลย บอกว่า “มึงจะตายตายห่าคนเดียว ถ้ามึงจะตาย ตายห่าคนเดียว อย่ามาร้องอะระหังที่” คำว่าอะระหังคนใกล้ตายเท่านั้นแหละ หรือคนกำลังจะตายเท่านั้นแหละที่เขาว่ากัน ดันมาร้องอะระหังที่เดี๋ยวจะเป็นลางร้ายทำให้ตายกันหมด
คำว่าอะระหังหมายถึงอะไร หมายถึงพระพุทธเจ้า เวลาเราจะทำพิธีกรรมอะไร อะระหัง สัมมาสัมพุทธโธ คนสมัยก่อนไม่รู้เวลาพูดอะระหังนึกถึงคนตาย เพราะฉะนั้นพอเด็กชายปานเอ่ยคำว่า อะระหังขึ้นมากลางวงข้าว ก็โกรธมากเลยหาว่าจะมาแช่งชักหักกระดูกให้ตายกันไปหมด ตอนหลังท่านบวชพระแล้ว รู้ความหมายว่าอะระหัง เป็นของดีของสูงคือพระพุทธเจ้า และที่เขาพูดอะระหังกับคนตายเพื่อให้คนตายระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพุทธคุณ พลอยจะระลึกต่อไปถึงธรรมคุณ สังฆคุณ ทำให้จิตเป็นกุศล ตอนหลังท่านมาอธิบายให้โยมแม่ฟัง โยมแม่เลยเข้าใจ อ๋อ คำว่าอะระหังเป็นของดี แล้วคนสมัยก่อน ถ้าเราไปเอ่ยคำว่าอะระหังกลางวงข้าว เขาอาจจะด่าเลยเพราะเขาไม่เข้าใจ เหมือนกับที่คนสมัยนี้พอได้ยินคำว่า “อนิจจา วะตะ สังขารา” ในงานมงคล เช่น งานวันเกิด อาจจะโกรธได้
ส่วนอาตมาถือเป็นของดี เลยบอกให้ทีมนักร้องคอร์รัส ร้องเพลงอนิจจา วะตะ สังขารา หลังจาก แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แล้ว เพื่อเตือนใจให้ระลึกว่าวันนี้เราโชคดีที่มีชีวิตยืนยาวมาถึง 60 หรือว่า ถึงอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่ว่าวันหน้าเรามีความตายเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าหลงเพลินในอายุ อย่าคิดว่าเราจะไม่มีวันตาย อย่าหลงเพลินในความสุข อันนี้ไม่ใช่เฉพาะคนอายุ 60 คนอายุ 20 หรือ 30 หรือว่า 25 ควรจะระลึกไว้ว่าจริงอยู่เราโชคดีที่มีอายุมาถึงวันนี้ มีชีวิตมาถึงวันนี้แต่วันหน้าเราต้องตาย และจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้
ภาษิตทิเบตเขากล่าวว่า “ไม่มีใครรู้หรอกว่าระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน” อย่าไปคิดว่ามีพรุ่งนี้แล้วจึงค่อยมีชาติหน้า สำหรับบางคนพ้นจากวันนี้ไปชาติหน้าเลย ในโลกนี้มีคนประมาณแสนห้าหมื่นคนที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขา พ้นจากวันนี้ไปชาติหน้า ในเมืองไทยประมาณพันหกร้อยคนที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขาพ้นจากวันนี้ไปชาติหน้า ส่วนจะตายเพราะสาเหตุใดไม่แน่นอน อาจจะเพราะความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติหรือถูกฆาตกรรมได้ คือความจริงของชีวิตที่เราต้องตระหนัก
เมื่อตอนกลางวันมีโยมคนหนึ่งเขียนมาอวยพร 3 ประการ 1.ขอให้ไม่มีอนาคต 2.ขอให้หมดเนื้อหมดตัว 3.ขอให้อย่าได้ผุดอย่าได้เกิด นับเป็นพรที่ดี ไม่มีอนาคตคือว่าให้อยู่กับปัจจุบัน อย่าไปปล่อยใจไหลไปกับอนาคตมาก ให้หมดเนื้อหมดตัวคือว่า ไม่มีตัวกับไม่มีตน ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ดีเพราะว่าอย่างที่บอกเมื่อวานที่ พระพุทธเจ้าตรัสกับโอปะกะว่า สิ่งใดตามที่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู ของกูที่จะไม่เกิดทุกข์หรือเกิดโทษเป็นไม่มี หมายความว่าอะไรตามที่เรายึดว่าเป็นของเรา แม้มันจะเป็นของดีของวิเศษแค่ไหนเป็นเพชรเป็นพลอยเป็นรถราคาแพงหรือว่าร่างกาย ยึดมั่นถือมั่นว่าสวยว่างามภูมิใจในร่างกายของตัว ภูมิใจในเสื้อผ้าหน้าผมว่าเป็นของกูของเรา พวกนี้มันล้วนแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ทั้งนั้น เพราะพอมันไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังหรือพอมันเสื่อมพอมันแปรเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ หรือแม้แต่มันไม่เปลี่ยน เราอาจจะเบื่อได้ รถราคาแพง 10 ล้าน 20 ล้าน แม้มันจะไม่เคยเสีย แต่ว่าพอใช้ไปซักปี 2 ปีเบื่อแล้ว อยากได้รถคันใหม่ ถ้ามีปัญญาหาซื้อมันต้องไปหามา
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราเข้ามาถึงภาวะที่หมดเนื้อหมดตัว คือว่ามันไม่มีตัวกูของกูถือว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ไม่ผุดไม่เกิดคือว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วไม่ต้องไปเกิดในที่ไหนอีกไม่ว่าจะชั้นพรหม สุขคติหรือว่าอบาย และเป็นพรวันเกิดหรือเป็นพรทุกโอกาสได้ดีทีเดียว คิดอย่างนี้เอาไว้บ้าง เพราะว่าเวลาหลายคน พอถึงวันเกิดอยากจะให้คนอวยพรขอให้รวย ขอให้มั่งมี ไม่ใช่เฉพาะวันเกิด อาจจะวันขึ้นปีใหม่หรือว่าวันเทศกาลสำคัญ หรือแม้แต่ไม่ใช่วันไหนเวลาเราไปทำบุญ หรือเวลาใครอวยพรขอให้อายุยืนหมื่นปี ขอให้มีอายุยืนนาน มันไม่แน่จะเป็นของดีเสมอไป
คุณยายคนหนึ่งอายุ 90 พอวันสงกรานต์จะมีลูกหลานมาอวยพร ลูกหลานจะมาอวยพรขอให้มีอายุยืน ขอให้มีอายุยืนเป็นร้อยปี คุณยายบอกว่า “ ไม่ไหวแล้วอุตส่าห์เผลอรับพรมาหลายปี จนอายุยืนถึงป่านนี้ มันมีแต่ทุกข์อย่างเดียว ต่อแต่นี้ไม่ขอรับพรนี้แล้ว” คนที่ยังไม่แก่อาจจะไม่รู้สึกว่า พรนี้มันไม่ดีตรงไหน แต่พอแก่ตัวลง 80ปี 90 ปี จะรู้เลยว่าการมีอายุยืนมันไม่ใช่ว่าดีเสมอไป อีกทั้งการมีเงินมีทองร่ำรวยมันไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขเสมอไป เพราะว่าถึงจุดหนึ่งเวลาเกิดวิกฤตในชีวิต เงินทองมันช่วยแก้ทุกข์ไม่ได้เลย มีหมอคนหนึ่งเป็นหมอที่เก่ง แล้วทีแรกทำธุรกิจ เรียกว่าไซด์ไลน์ ตอนหลังธุรกิจเจริญก็ลาออกมาทำธุรกิจ แล้วเธอก็ร่ำรวย แล้วตอนหลังมารู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งเป็นนักธุรกิจ เลยแต่งงานกันทำท่าว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เพราะต่างเก่งทั้งคู่ แล้วช่วยกันทำมาหากิน แต่ว่าวันหนึ่งทราบว่าผู้ชายเขานอกใจ แล้วเขาขอเลิกทาง เธอเสียใจมากเลย รู้สึกเหมือนกันว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรเลย ความเศร้ามันครอบงำจิตใจจนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าฉันไม่เหลืออะไรเลย
ที่จริงเธอมีทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือสามีหรือผู้ชายคนนั้น พ่อแม่ยังอยู่ บ้าน รถยนต์ ธุรกิจ แต่ว่าตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่เหลืออะไรเลย เธอเล่าว่าก่อนหน้านั้น เวลาเบื่อเวลาเซ็งจะเอาเพชร มีเป็น 10 เม็ดใส่ไว้ในถุง เวลาครึ้มอกครึ้มใจเอาเพชรมาโรยหน้า โรยบนโต๊ะแล้วดูเพชร มีความสุข แต่พอถึงเหตุการณ์คราวนั้น เธอเอาเพชรมาโรย บอกไม่รู้สึกมีความสุขมันเหมือนกับหินเลย มันไม่มีความหมายเลย ความทุกข์ที่เธอมี เพชรเหล่านี้ราคาเป็นหลายสิบล้านมันไม่ได้ช่วยให้เธอมีความสุขเลย และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอหันมาสนใจธรรมมะ พอถึงที่สุดแล้วความทุกข์มันอยู่ที่ใจ แล้วเวลาทุกข์เกิดขึ้นที่ใจแล้ว เพราะว่าความหลงหรือความยึดติดถือมั่นตาม เพชรพลอยเงินทอง มันช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่มีธรรมะที่ช่วยได้ เพราะธรรมะช่วยทำให้เราวางใจได้ถูกต้อง รู้จักรักษาใจไม่ให้ความทุกข์มาครอบงำ หรือทำให้เราได้เห็นความจริงของชีวิตคือสัจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาพร มันควรเป็นธรรมะที่จะทำให้เรานี้ละวาง ปล่อยวางความยึดมั่นในตัวตน หรือว่าทำให้เราได้มือความเจริญงอกงามในธรรม อันนี้พูดแบบรวมๆ
อีกอันหนึ่งที่น่าจะลองพิจารณา เวลาวันเกิดเรามักจะอวยพร แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แต่ที่จริงมันมีคำอวยพรหนึ่งที่ดีกว่า ในความคิดของอาตมา พร 3 ประการอย่างที่ว่าอาจจะดูลึกซึ้ง เข้าถึงยากถ้าไม่เข้าใจธรรมมะ แต่อีกอันหนึ่งที่เข้าใจง่ายกว่า แล้วคิดว่าดีกว่าด้วย ดีกว่าคำว่าแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ก็คือ แฮปปี้เดทเดย์ (Happy Death day) ทำไมถึงว่าดีกว่า เพราะว่าวันเกิด ถ้าหากว่าเราไม่แฮปปี้ อาจแค่เบื่อแค่เซ็ง หรืออาจหนักหน่อยคือกังวลวิตก แต่ถ้าถึงวันที่เราตาย ถ้าเราไม่แฮปปี้ มันทุกข์ทรมานมาก ไม่ต้องเป็นหมอรู้ว่าคนเราตอนใกล้ตาย ถ้าไม่แฮปปี้มันทรมานมาก มันไม่ใช่แค่ทรมานทางกาย แต่มันทรมานทางใจ แล้วมันทรมานหนักจนทนไม่ได้ เพราะถ้าทนได้ไม่ตาย แต่เพราะทนไม่ได้ถึงตาย แต่คนเราแม้จะต้องตาย และร่างกายมันจะมีทุกข์เวทนามาก แต่ใจมีโอกาสไม่ทุกข์ได้ แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ แฮปปี้เดธเดย์ มันจะทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ กลัวตื่นตระหนก วิตกกังวลแล้วอาลัยอาวรณ์ แม้กายอาจจะไม่เจ็บปวดเพราะมียามาระงับปวดได้ แต่ใจมันยังทุกข์แล้วมันทำให้ทุรนทุรายกระสับกระส่าย
เพราะถ้าเทียบกันแล้วระหว่าง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ กับ แฮปปี้เดธเดย์ อาตมาว่า แฮปปี้เดธเดย์ ดีกว่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่า แฮปปี้เดธเดย์ ถ้ามองในแง่ชาวพุทธถ้าเราตายอย่างมีความสุข ตายด้วยจิตสงบ มันส่งผลตามมาคือไปดี มันไม่ใช่แค่ทำให้เราไม่ทุรนทุรายกระสับกระส่ายแต่มันทำให้ไปดี 2 เด้ง แต่ถ้าแฮปปี้เบิร์ดเดย์ วันนี้เรามีความสุข แต่พรุ่งนี้อาจจะทุกข์ได้ ตื่นเช้าขึ้นมาไปทำงานวิตกกังวลแล้วเจอรถติดเครียดแล้ว แฮปปี้เบิร์ดเดย์ มันไม่ได้ส่งผลมันไม่ได้หลักประกันว่าวันรุ่งขึ้นวันหน้ามันจะดี แต่แฮปปี้เดธเดย์ ถ้าหากว่าแฮปปี้คือใจที่เป็นสุขสงบ มันส่งผลถึงวันหน้า มันส่งผลถึงอนาคตคือไปสุขคติ หรือบางทีอาจยิ่งกว่านั้นคือพ้นทุกข์ไปเลย เพราะฉะนั้นมองในแง่ของอานิสงส์หรือผลที่ได้ แฮปปี้เดธเดย์มันดีกว่าเยอะเลย ถ้าไม่แฮปปี้เดธเดย์ มันทรมานมาก อย่างเช่นอาตมาบอก ถ้าวันเกิดเราไม่แฮปปี้มันอาจจะแค่เซ็ง เบื่อ หรือเฉยๆ แต่ถ้าจะตาย ถ้าไม่แฮปปี้มันไม่มีคำว่าเฉย ไม่มีคำว่าเบื่อ มันตกวูบไปเลยมันถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์ ทรมาน ถึงตอนนั้นอะไรช่วยไม่ได้ เงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ แม้กระทั่งพ่อแม่ เว้นแต่ว่าจะมีคนมาช่วยนำทางให้จิตเป็นกุศล การตายอย่างมีความสุขเป็นไปได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต” อันนี้แปลว่าตอนที่จะตายมีโอกาสที่จะเป็นสุขได้ แล้วเป็นสุขเพราะอะไร เพราะว่าได้ทำบุญแล้วได้คิดถึงบุญหรือความดีที่ได้บำเพ็ญ เพราะฉะนั้นให้เรานึกถึงอันนี้บ้าง อย่ารออย่าหวังแต่แฮปปี้เบิร์ดเดย์อย่างเดียว มันมีพรที่ประเสริฐกว่านั้น สำหรับปุถุชนคนอย่างเรา ไม่ต้องไปถึงขั้นว่าขอให้หมดเนื้อหมดตัว ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เอาแค่ว่าแฮปปี้เดธเดย์มันถือว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว มันไม่ใช่ง่ายคนสมัยนี้ที่จะตายแบบสงบ หรือตายแบบมีความสุข ทุกวันนี้คนเราอยู่สบายขึ้นแต่ตายกลับลำบากขึ้น สถิติทั่วโลกมันชี้เลยว่าคนตายทรมานมากขึ้นตายด้วยความเจ็บปวดมากขึ้น ตายด้วยความเครียด ด้วยความหว้าเหว่มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน รวมทั้งโรคซึมเศร้าเป็นมากกว่าแต่ก่อน คนสมัยก่อนหรือชาวบ้านสมัยนี้เขาอาจจะอยู่ลำบากแต่ตายสบายกว่าคนสมัยนี้หรือคนร่ำคนรวย
เพราะฉะนั้นอย่าหวังแต่ว่า ขอให้มีความสุขในวันปีใหม่ ขอให้มีความสุขในการดำเนินชีวิต ชีวิตที่สบายไม่ได้แปลว่าจะตายสงบ ตายดีหรือตายสบาย สำหรับคนยุคนี้ไม่มีเวลาที่จะพรรณนามากแต่ว่ามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราลองนึกถึงบ้างว่า เมื่อจะตายขอให้ตายแบบมีความสุข ถ้าจะทำอย่างนั้นมันต้องเตรียมตัวเสียแต่วันนี้ ทำความดีเจริญภาวนา รู้จักปล่อยรู้จักวาง รู้จักรักษาใจไม่ให้ความโกรธ ความเครียด ความเศร้าโศกเสียใจมันมาครอบงำจิต รู้จักปล่อยรู้จักวางบ้าง อย่างที่บอกไว้คนเราไม่ได้ยึดเฉพาะสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา แม้แต่สิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเราเรายึดเอาไว้ ยึดทำไมในเมื่อมันทำความทุกข์มันบีบคั้นจิตใจ ทำไมไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ไม่ปล่อยไม่วางเพราะหลง เพราะลืม เพราะฉะนั้นจะต้องเติมสติ เติมสัมปชัญญะ เติมความระลึกได้ ความรู้ตัวทั่วพร้อมให้กับจิตใจเรามากขึ้น ทำเสียแต่วันนี้อย่างที่พวกเรามาที่นี่ หลายคนยังแค่อายุ 14-15 มาได้เรียนรู้สิ่งนี้ถือว่าได้เปรียบ ถ้าเราทำต่อเนื่องแล้วถึงเวลาที่เราจะต้องละจากโลกนี้ไปเราไปสบาย แฮปปี้เดธเดย์สามารถจะเกิดกับเราได้