แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เคยมีผู้ชายคนหนึ่งมาหาที่ศาลาน้ำ ไม่ได้รู้จักกัน แต่ว่าก็คงมีเรื่องอยากจะปรึกษาหารือ เพราะว่ามีความทุกข์ในใจ ตัวเขาเองมีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของบริษัทไอศกรีมที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ดูแลจังหวัดชัยภูมิและขอนแก่น เขามาปรารภว่าตอนนี้มีความวิตกกังวลเพราะว่าไอศกรีมที่เขาขาย ตอนนี้มีคนซื้อน้อยลง ช่วงที่มีการประกันราคาข้าว ชาวนาได้เงินมาก เขาก็จับจ่ายใช้สอยรวมทั้งซื้อไอศกรีมด้วย ซื้อเยอะกินเยอะ แต่ว่าพอไม่มีนโยบายประกันราคาข้าว ราคาข้าวตก คนก็ใช้จ่ายน้อยลง รวมทั้งกินไอศกรีมของเขาน้อยลงด้วย เพราะว่าที่ชัยภูมิตอนนี้ก็ขายได้แค่ 3-4 ล้าน ทั้งปีตลอดปี ก่อนหน้านี้ขายได้มากกว่านั้น และที่เขาเป็นห่วงกังวลก็คือว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะแย่ลง ก็เลยกังวลว่ารายรับจากการขายไอศกรีมก็จะน้อยลงไปด้วย เขาก็เลยรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน
เท่าที่ฟังดูก็รู้สึกว่าเขากังวลกับสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้น สถานการณ์เศรษฐกิจที่เขาพูดถึง หมายถึงอนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่เขาคาดเดาว่าน่าจะแย่ แล้วพอคิดแบบนี้เข้าก็เลยเกิดความหนักอกหนักใจขึ้นมา ก็เลยเตือนเขาว่าอย่าเพิ่งไปคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะว่าพอนึกแล้วก็ชวนให้เกิดความกังวล หนักอกหนักใจ ที่จริงถ้าเราคิดในแง่ที่เป็นการวางแผนเตรียมรับมือ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี เราควรจะทำ แต่ว่าถ้าหากว่า คิดไม่เป็น ก็กลายเป็นเกิดความกังวล เรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็เคยเตือนไว้ว่า บุคคลไม่ควรตามถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือคิดถึงอนาคตนี่คิดได้สองแบบ คิดอย่างมีสติก็ทำให้มีการวางแผน เตรียมรับมือเพื่อไม่ประมาท แต่ถ้าไม่มีสติก็เกิดความพะวงหรือกังวลขึ้นมา
คนส่วนใหญ่เวลาไปนึกถึงอนาคตนี่ไม่ได้นึกอย่างมีสติเท่าไร ไปนึกแล้วก็ปรุงแต่งให้รู้สึกแย่ขึ้นมา ก็เลยเกิดความหนักอกหนักใจ เกิดความทุกข์ทั้งๆที่ยังมาไม่ถึง ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็วางแผนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า อย่ามัวแต่กลุ้มอกกลุ้มใจ เลยทำให้ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงที่จะทำอะไรสำหรับการรับมืออนาคต คุยไปเขาบอกว่าเขาก็เป็นคนสนใจธรรมะ แล้วเขาก็เป็นคนที่ศึกษาธรรม เขาเชื่อในเรื่องของการเข้าถึงพระนิพพาน เขาคิดว่าจุดมุ่งหมายของคนเรานี้ก็ควรจะมุ่งไปที่นิพพาน แต่ว่าในการที่เป็นฆราวาสก็ต้องทำมาหากิน สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายอะไร จึงบอกเขาไปว่า การที่เรามีนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิตนี่ดี และถ้าเราเอามาใช้ให้ถูก จะพบว่าความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ เช่น ความทุกข์ที่เกิดจากการทำมาหากิน ความทุกข์ในอาชีพนี้ ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับกองทุกข์ที่ขวางทางนิพพาน การที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง หมายถึงการที่ทำกองทุกข์ทั้งหมดให้สิ้นไป กองทุกข์ที่ว่านี้จะว่าไปแล้วเป็นภูเขาเลยที่ขวางทางนิพพาน เทียบกันแล้วนี้ความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก ถ้าความทุกข์แค่นี้เขายังรู้สึกย่ำแย่ ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำกองทุกข์ทั้งหมดให้หมดสิ้นไป
ถ้าเราต้องการที่จะดับทุกข์ ก็ให้ตระหนักว่าความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นี้ยังเล็กน้อย พอให้เขามองแบบนี้เขาก็รู้สึกว่า ก็ไม่ใช่เป็นทุกข์ที่ใหญ่โต เราชาวพุทธ การที่จะดับทุกข์ทั้งมวลให้หมดสิ้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนี้นับว่าเล็กน้อย ฉะนั้นคนเราถ้าหากว่ามองแบบนี้บ้าง เราก็จะรู้สึกเลยว่าความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละวัน แต่ละวัน ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร หลายครั้งที่เรารู้สึกว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าความทุกข์ในงานการ ความทุกข์ในครอบครัว ความทุกข์ในชีวิต เป็นเรื่องใหญ่โตเสียเหลือเกิน เพราะเราไม่ได้มองให้เห็นว่าจริงๆแล้ว มีทุกข์กองใหญ่ที่เราต้องเผชิญ
การที่เราเอาพระนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิตนี่มีประโยชน์ตรงนี้ ถ้าเราไม่ได้คิดแต่ว่า ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ว่าไม่ได้จริงจัง ถ้าเราจริงจัง เราก็จะพบว่ามีความทุกข์ที่รอเราอยู่ข้างหน้าที่เราจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ และความทุกข์ที่ว่านี้ใหญ่มาก จากการคิดแบบนี้ ถ้าเราคิดให้เป็น ก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่าความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่ในแต่ละวัน แต่ละวัน เป็นความทุกข์ที่เล็กน้อย การที่รถติดก็ดีแล้วหงุดหงิด หรือว่าการที่มีคนพูดไม่ถูกหูเราแล้วเราโกรธ ลองคิดสักหน่อยว่า ขนาดแค่นี้ยังทุกข์เลย แล้วจะพูดถึงเรื่องนิพพานได้อย่างไร อยากจะไปนิพพาน แต่ว่า แค่เจอความทุกข์ ลมปากแค่นี้ก็ย่ำแย่เสียแล้ว ถ้าเรามองแบบนี้เราก็จะรู้สึกว่า ความทุกข์จากลมปากของผู้คนนี่เล็กน้อยมาก ทำงานไม่สำเร็จแล้วหัวฟัดหัวเหวี่ยง ฉุนเฉียว ก็ลองถามตัวเองว่าแค่นี้ยังทุกข์ แล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร เพราะว่าพระนิพพานนี่ กว่าจะนิพพานต้องเจอกับทุกข์ที่หนักหนาสาหัสกว่านี้มาก
การที่เราเอาพระนิพพานเป็นจุดหมายชีวิตนี้ นอกจากจะทำให้เรามีทิศทางในการใช้ชีวิตแล้ว ยังทำให้เราสามารถจะรับมือกับความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราได้ เงินหายของหายก็โมโหโกรธา หรือว่าเสียอกเสียใจ หรือว่าคนรักเขาทิ้งเราไปก็เสียใจ จนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าลองนึกสักหน่อยว่า แค่นี้นี่เรายังย่ำแย่ แล้วจะมีกำลังก้าวข้ามกองทุกข์ให้ไปถึงพระนิพพานได้อย่างไร พยายามที่จะทำให้ความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นี้ มันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ว่านักปฏิบัติเดี๋ยวนี้จำนวนไม่น้อยก็เป็นทุกข์กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ พูดไม่ถูกหูบ้าง หรือว่าข้ามหน้าข้ามตาบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
แต่ว่านักปฏิบัติพออยู่ในวัด ไม่ค่อยเจอเรื่องกระทบมาก พอไม่ค่อยเจอเรื่องใหญ่ๆกระทบ เรื่องเล็กๆก็เลยกลายเป็นปัญหา กลายเป็นเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดรำคาญใจ ถึงขั้นร้อนอกร้อนใจ เหมือนกับพื้นหรือว่าโต๊ะที่สะอาด เพียงแค่มีฝุ่นหรือเพียงแค่มีจุดดำๆจุดเล็กๆก็กลายเป็นสกปรกขึ้นมาได้ ไม่เหมือนกับโต๊ะหรือพื้นที่มีของสกปรกมาก หรือว่ามีของมีขยะวางกองอยู่มากมาย จุดเล็กๆกลายเป็นจุดที่ไม่มีความหมายเลย แต่พอสะอาดมาก จะเป็นพื้นโต๊ะก็ดี พื้นห้องก็ดี จุดดำ ๆ รอยข่วนเล็ก ๆ นี้ก็กลายเป็นเรื่องที่รำคาญใจ รำคาญตาได้ นักปฏิบัติหลายคนจะเป็นอย่างนี้ ก็คือว่าเป็นทุกข์กับเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ เพราะว่าไม่ค่อยได้เจอเรื่องใหญ่เรื่องโตเท่าไร ไม่เหมือนกับชาวบ้าน
ชาวบ้านทำมาหากิน เขาเจอเรื่องกระทบมาก เรื่องของเขาก็อาจจะเป็นคอขาดบาดตายก็ได้ เช่น เรื่องไม่รู้จะเอาข้าว จะหาอะไรมาใส่ปากวันนี้ หาอะไรมาใส่ปากวันพรุ่งนี้ บ้านนี่จะมีที่อยู่หรือเปล่า จะถูกไล่รื้อเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปัญหาของเขาเจอปัญหาใหญ่ๆ เรื่องคำพูดจาที่กระทบกระทั่งกันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป แต่พวกเราพออยู่ในวัดนี้ไม่ค่อยเจอเรื่องที่มันเป็นเรื่องสำคัญ คอขาดบาดตาย หรือเป็นเรื่องความเป็นความตายเท่าไร มีกินมีอยู่มีอาศัย พอเจอเรื่องเล็กๆน้อยๆก็เลยหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วก็ติดเพราะว่าเป็นทุกข์กับเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่แหละ ความคิดที่ว่า ความหวังว่าจะได้พ้นทุกข์ จะได้นิพพานนี่ก็กลายเป็นเรื่องไกลไปเลย
ฉะนั้นคนเรานี่ ถ้าหากว่าเรามีความจริงใจกับพระนิพพานว่าเป็นจุดหมายของชีวิตเราจริงๆ จะทำให้เรานี้สามารถจะรับมือกับความทุกข์ ความขัดอกขัดใจต่างๆได้ แทนที่จะหัวเสียกับสิ่งที่มากระทบใจ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็กลับรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องที่จะมาช่วยขัดใจเราให้สะอาด ช่วยขัดกิเลสให้เบาบาง เอาความรู้สึกขัดอกขัดใจนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ มาเป็นเครื่องขัดใจให้สะอาด ขัดกิเลสให้เบาบาง ขัดอัตตาให้บางเบาลง ให้ลองคิดแบบนี้บ้าง เพราะว่านั่นคือหนทางที่จะเข้าใกล้พระนิพพาน แต่สำหรับหลายคนก็จะรู้สึกว่าเรื่องพระนิพพานเป็นเรื่องไกลตัว
คนสมัยก่อนเขาอาจไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องนิพพาน แต่ว่าก็มีอีกอย่างที่ทำให้เขาเกิดความยับยั้งชั่งใจ ก็คือนึกถึงนรก คนละขั้วกันเลย นิพพานกับนรกนี่เหมือนกับว่ายิ่งกว่าสวรรค์กับเหวเสียอีก บางทีการคิดถึงเรื่องนรกก็ช่วยทำให้คนไม่กล้าทำชั่ว เวลาโมโหโกรธาอยากจะว่าร้ายทำร้าย แต่ว่าพอนึกถึงนรกขึ้นมานี้ก็ทำให้ไม่กล้า แต่คนสมัยนี้ก็ไม่ค่อยนึกถึงนรกเท่าไรแล้ว ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนรก พวกเราหลายคนก็คงไม่เชื่อเรื่องนรก ที่จริงนรกนี่ช่วยป้องกันไม่ให้คนทำชั่ว แต่ว่าสำหรับพวกเรานี้เรื่องการทำชั่ว การผิดศีลนี้คงจะไม่ค่อยมีเท่าไร แต่มีปัญหาอื่นมาแทน ความทุกข์ ความทุกข์ที่เจอจากการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เช่นคำต่อว่าด่าทอ หรือว่าการสูญเสียพลัดพราก รวมทั้งความเจ็บความป่วย ทุกข์เพราะทำชั่วนี่คงไม่ค่อยมี แต่ทุกข์เพราะว่าเจอความผันผวนปรวนแปร เจอกับเรื่องที่เป็นอนิฏฐารมณ์
อนิฏฐารมณ์คือเสื่อมลาภ เสื่อมยศ หรือว่าทุกข์ รวมทั้งนินทา สิ่งนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนดีมีศีลธรรม คนที่ไม่มีศีลก็เจอปัญหาอีกแบบหนึ่ง ปัญหาเรื่องการเจออนิฏฐารมณ์นี่ก็ใช่ แต่ว่าก็อาจจะต้องเจอกับเรื่องที่รับผลกรรมแห่งการกระทำความชั่ว แต่ถึงไม่ทำชั่วนี้ ถึงแม้ว่ามีศีล มันก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น ความทุกข์นี้จะเกิดจากความพลัดพราก ความสูญเสีย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และก็ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นเรื่องที่คนดีมีศีลธรรมก็ยังต้องเจอ อย่าไปคิดว่าทำดีมีศีลธรรมแล้วไม่เจอทุกข์ เราก็ต้องเจอ การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทำดีแค่ไหนก็ต้องมีวันสูญเสียคนรัก ถ้าไม่จากเป็นก็จากตาย จากเป็นก็คือว่าจากตอนที่ยังเป็น ๆ กันอยู่ หรือไม่ก็เพราะว่าความตายมาพรากเอาไป ความสูญเสียทรัพย์สมบัติหรือว่าหน้าที่การงาน ทำดีก็มีสิทธิ์ตกงาน เพราะว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็ตกงานได้ หรือว่าถูกลดตำแหน่ง ลดเงินเดือน สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น หรือว่าค้าขายได้กำไรน้อยลง อย่างเจ้าหน้าที่ขายไอศกรีมคนนั้น นี่ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ว่าจะไม่ได้ทำชั่ว แม้ว่าจะรักษาศีลก็ตาม ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาในครอบครัวที่เกิดจากการเข้าใจผิดกัน ปัญหาเรื่องลูกไม่มีที่เรียน ความเจ็บความป่วย นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นตัวใหญ่ ความทุกข์เหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักมองให้เป็น
การที่เราเอาพระนิพพานเป็นที่หมายของชีวิตนี้ จะทำให้เรารู้สึกเลยว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก คล้ายๆว่าเป็นแบบฝึกหัดที่เราต้องรู้จักใช้เพื่อก้าวข้ามให้ได้ เหมือนกับเนินดินที่เทียบไม่ได้กับภูเขาลูกใหญ่ ๆ อย่างเช่นภูเขาหิมาลัย ถ้าเนินดินนี่เรายังข้ามไม่พ้น ยังท้อแท้ ไม่มีแรงข้าม แล้วนับประสาอะไรกับการข้ามภูเขาที่สูงหลายกิโลเมตร หลายคนก็อย่างที่บอกว่าอาจจะไม่เชื่อเรื่องนิพพาน แล้วก็นรกก็ไม่เชื่อ ก็ลองให้นึกถึงสิ่งหนึ่ง เป็นเครื่องเตือนใจ ก็คือความตาย คนเราทุกคนต้องตาย ไม่ทุกคนที่จะเข้าถึงนิพพาน น้อยมาก แต่ว่าที่แน่ๆคือเราทุกคนต้องตาย แล้วก็ถามตัวเองว่าเราอยากจะตายแบบไหน อยากจะตายแบบทุรนทุรายหรือเปล่า หรือว่าอยากจะตายแบบสงบ ตายดี คนเรานี้อาจจะเกิดมาแตกต่างกันไป แต่ว่าทุกคนก็อยากจะจบสวย จบสวยคือตายดี ตายไม่ทุรนทุราย
ความตายนี่ก็มีประโยชน์ ถ้าเรานึกให้ดี คือเวลาเราเจอปัญหาเจออุปสรรค เงินหายก็เสียใจ พลัดพรากจากคนรักก็เป็นทุกข์ งานการไม่สำเร็จก็กระสับกระส่าย กลุ้มอกกลุ้มใจ ลองคิดแบบนี้ก็ได้ว่า ถ้าแค่นี้เรายังทุกข์ แล้วพอเราเจอความตาย เราจะตายสงบได้อย่างไร เพราะแค่เรื่องแค่นี้ก็ยังทุรนทุราย ตอนที่เราจะตายนี่หนักกว่านี้มาก ทุกขเวทนาทั้งหลายก็พรั่งพรูเข้ามา บางทีก็เรียกว่าไม่มีส่วนไหนที่ไม่ปวดเลย
หลวงพ่อคำเขียนตอนที่ท่านได้มรณภาพท่านก็บอกหมอ บอกลูกศิษย์ว่า ไม่มีตรงไหนที่ไม่ปวดเลย ไม่มีตรงไหนที่ไม่รู้สึกเจ็บ คล้ายๆกับหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ดู่วัดสะแก วันที่ท่านจะมรณภาพ ท่านก็บอกลูกศิษย์ว่าเห็นท่านอย่างนี้ที่จริงไม่มีส่วนไหนที่ท่านไม่ปวดเลย ปวดเรียกว่าทุกขุมขนเลย แต่ว่าท่านก็สามารถจะรักษาใจให้ปกติได้ เพราะท่านฝึกมา การที่คนเรานี้จะสามารถตายดีได้ ต้องผ่านการฝึกฝน แล้วเราจะฝึกฝนจากอะไร ก็ฝึกฝนจากอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ฝึกจากความทุกข์นั่นแหละ ที่ไม่ว่าจะเป็นความขัดอกขัดใจ ความสูญเสีย ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง พวกนี้อย่าไปมองว่าเป็นเคราะห์ น่าจะมองว่าคือสิ่งที่จะมาฝึกเรา ถ้าเราสอบตก ถ้าเราไม่ผ่านกับเรื่องแค่นี้ แล้วพอถึงเวลาตาย เราจะตายสงบได้อย่างไร เพราะว่าเวลาตายนี้มีเท่าไรก็หมด ถูกโกงไปแสนหนึ่งก็ยังกลุ้มอกกลุ้มใจ กระวนกระวาย หรือว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วตอนตายนี่จะทำใจสงบได้อย่างไร เพราะว่าจะไม่ได้เสียแค่แสน มีล้านก็เสียล้าน มีสิบล้านก็เสียสิบล้าน มีร้อยล้านก็เสียร้อยล้าน มีอะไรก็หมด ต้องพลัดพรากหมด ฉะนั้นให้ลองนึกเสียว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราอย่าไปตีอกชกหัว เพราะว่าถ้าแค่นี้ยังผ่านไม่ได้ แล้วเจอกับความสูญเสียทั้งมวลในเวลาตายนี้ เราจะทำใจได้อย่างไร ถ้าทำใจไม่ได้ก็ตายไม่สงบ แล้วแถมตายแล้วไปไม่ดีด้วย
บางคนอาจจะไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังตายหรือว่า สุคติภูมิ หรือว่า ทุคติภูมิ แต่อย่างน้อยที่แน่ๆตอนที่ยังมีลมหายใจนี้ ถ้าหากว่าไม่รู้จักฝึกใจเอาไว้เลย เวลาจะตายมันทุรนทุราย เพราะว่าความรู้สึกกลัวที่จะต้องสูญเสีย หรือทำใจไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ทรัพย์สมบัติ คนรัก พ่อแม่ ลูกเมีย ผัว ยังไม่นับทุกขเวทนา ทุกขเวทนาที่ตามมาอีก อย่าไปคิดว่ายาเอาอยู่ หมอเก่งๆหลายคน พอถึงเวลาตายก็ทุรนทุรายเพราะว่ายาที่มีอยู่นี่ช่วยไม่ได้เลย หรือช่วยได้น้อยมาก ลองนึกถึงความตายไว้บ้าง จะทำให้ความทุกข์ที่เราเจอในวันนี้มันกลายเป็นเรื่องเล็ก ที่จริงคนที่ฉลาดนี่เขาจะเอาความตายมาเป็นเครื่องฝึกใจให้ปล่อยวาง ที่จริงมันไม่ต้องฝึกเลยก็ได้ เพราะว่าถ้าเราระลึกถึงความตายจริงๆนี้จะทำให้ปัญหาต่างๆที่เราเจอมันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ขนาดคนอย่างสตีฟ จอบส์ ยังบอกเลย สตีฟ จอบส์ นี่เขาก็เป็นคนที่ผลิตคิดค้นแอปเปิ้ล ไอโฟน ไอจูน ไอพอด ไอแพด อะไรมากมาย ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตทางโลกมากกว่าทางธรรม แต่ว่าเขาก็ยังพูดไว้น่าสนใจ เขาบอกว่า ความหวัง ความทะเยอทะยาน ความกลัวหน้าแตก ความกลัวล้มเหลวนี้กลับหายไปหมดเมื่อนึกถึงความตาย เขาพูดตอนที่เขาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งในตับอ่อน แล้วเขาก็รู้สึกเลย พบตัวเองว่าเวลานึกถึงความตายนี้ ความทุกข์ที่เกิดจากความล้มเหลว ความหน้าแตก ความกลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ พวกนี้มันกลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อย จิ๊บจ๊อย หรือว่าเลือนหายไปทันทีเมื่อนึกถึงความตาย
เวลาทะเลาะกับใคร โมโหโกรธา ฉุนเฉียว ลองนึกถึงความตายดูบ้าง ลองคิดถึงความตายของตัวเอง ไม่ใช่ของใคร เราจะรู้สึกเลยว่าเรื่องที่ทะเลาะกันนี่กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย หรือจะมองในแง่นี้ก็ได้ว่า เรื่องแค่นี้ยังไม่ผ่าน ทุกข์แค่นี้ยังไม่ผ่าน แล้วเจอทุกข์เวลาตายนี่จะตายดีได้อย่างไร จะจบสวยได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องของการทำใจล้วนๆ
มาคิดดูดีๆ ความตายนี่มีประโยชน์ถ้าเรานึกให้เป็น มันช่วยทำให้เราสามารถที่จะผ่านอุปสรรค ผ่านความทุกข์ต่างๆไปได้ เรียกว่าผ่านฉลุยเลย เพราะว่าพอนึกถึงความตายขึ้นมาปัญหาทั้งหลายทั้งมวลมันจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์ที่ใหญ่กว่าความตายอีกแล้ว นิพพานก็ดี ความตายก็ดี เป็นสิ่งที่เราเอามาใช้ในเวลาเผชิญกับความทุกข์ได้ดี ถ้าเป็นคนที่สนใจธรรมะ ใฝ่ธรรมะนี่ก็ให้ระลึกถึงพระนิพพานเอาไว้ แต่ถ้าเป็นคนโลกๆ รู้สึกว่านิพพานเป็นเรื่องไกลตัว หรือบางทีอาจจะไม่เชื่อว่ามีจริง ก็ลองนึกถึงความตายดูบ้าง เป็นสองอย่าง เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะเอามาใช้ในการรับมือกับความทุกข์ได้ อย่างน้อยๆก็ทำให้เรารู้สึกว่าความทุกข์ที่เจอนี้ ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เป็นเรื่องเล็กน้อย มาก
หลายคนนี้อาจจะบอกว่าฉันนี่อยากจะมีนิพพานเป็นเป้าหมายชีวิต แต่ว่าก็ไม่ได้จริงจังกับนิพพานเท่าไร แต่ถ้าลองนึกถึงความตายดู ความตายนี่มันเป็นของจริง แล้วก็ใกล้ตัวมาก นิพพานดูเหมือนไกลตัว แต่ความตายนี่ใกล้ตัวเรา ใกล้ตัวมากๆด้วย มีภาษิตทิเบตบอกว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน อย่าไปคิดว่ามีพรุ่งนี้แล้วค่อยมีชาติหน้า เพราะว่าพ้นจากวันนี้ไปก็อาจจะชาติหน้าเลย ใกล้มาก ความใกล้ของความตายนี้ทำให้เราต้องรู้จักฝึกฝน ทั้งเตรียมตัวและก็เตรียมใจ เราเตรียมใจจากอะไร เตรียมใจส่วนหนึ่งก็จากการปฏิบัติธรรม จากการเจริญสติ การภาวนา อีกส่วนหนึ่งก็คือจากการรู้จักผ่านความทุกข์ต่างๆไปให้ได้ อย่าไปรอคิดว่าคนอื่นจะแก้ทุกข์ให้เรา อย่าไปคิดว่าคนอื่นเขาจะทำดีถูกใจเรา มันเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ถ้าหากจะให้คนทุกคนทำดีกับเรา หรือว่าทำสมใจเรา ต้องลองนึกว่าถึงแม้จะไม่มีใครทำดีกับเราเลย แต่เราก็สามารถที่จะรักษาใจให้เป็นสุขได้ เพราะว่าเรารู้จักวางใจ รู้จักปล่อยรู้จักวาง เห็นว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรามันเป็นเรื่องเล็กน้อย
ความตายนี้เป็นเครื่องที่เตือนให้คนเข้าหาธรรมะได้ดี พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีคนอยู่ 4 ประเภท ซึ่งพระองค์เปรียบได้กับม้า 4 จำพวก ประเภทแรกเวลาสารถีแค่ยกปฏัก แล้วม้าเห็นเงาปฏัก ปฏักนี่คือเหมือนกับของแหลมที่ใช้ทิ่มสัตว์ใหญ่ จะเป็นม้า จะเป็นวัวควาย เพราะว่าบังคับมัน จะตี มันก็เฉย ต้องเอาปฏักทิ่ม ม้าประเภทแรกนี้ แค่เห็นเงาปฏักนี้ มันก็รู้แล้วว่าจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือจะตรงไป ประเภทที่สองนี่ต้องโดนทิ่มก่อนถึงจะรู้ว่าควรจะไปทางไหน ประเภทที่สามนี่ทิ่มยังไม่พอ ต้องทิ่มไปถึงเนื้อถึงจะรู้ แล้วก็ทำตามคนขับ สารถี ประเภทที่สี่นี่ต้องทิ่มไปถึงกระดูกถึงจะรู้ ม้า 4 ประเภทนี้ก็เปรียบได้กับคน 4 จำพวก จำพวกแรกนี้คือคนที่เพียงแค่ได้ยินว่ามีคนตายนี้ ก็เกิดความตื่นตัว ตื่นตัวว่าสักวันหนึ่งเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องเร่งปฏิบัติธรรม ประเภทที่สองต้องเห็นคนตายก่อน จึงค่อยเกิดความสังเวช ตื่นตัวเข้าหาธรรมะ ประเภทที่สามนี่ต้องมีคนรู้จัก คนใกล้ ตายเสียก่อน จะเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นคนรัก จึงค่อยเกิดความตื่นตัวเข้าหาธรรม ปฏิบัติธรรม ประเภทที่สี่นี้ตัวเองต้องใกล้ตายก่อน หรือความตายมาประชิดตัว จึงค่อยตื่นตัว
ลองถามตัวเองว่าเราจัดอยู่ในคนจำพวกไหน ถ้าเราจัดอยู่ในคนจำพวกแรก ก็หมายความว่าเราตั้งตัวอยู่ในความไม่ประมาท อย่าไปมัวทุกข์ง่ายกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือว่าเรื่องที่เป็นแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสามัญ บางทีเวลาเราเจอความทุกข์ เราก็รู้สึกว่าความทุกข์ของเราเป็นเรื่องใหญ่ ใหญ่โตมาก แต่นั่นเพราะเราไม่ได้คิดว่ามีความทุกข์ที่รอเราอยู่ข้างหน้า และที่ใหญ่ที่สุดคือความตาย ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จสมหวังแค่ไหนในที่สุดก็ต้องตาย ในสมัยนี้ไม่ใช่แค่ว่าจะตายแบบทันทีทันควัน ประมาณ 90% นี่ตายแบบยืดเยื้อเรื้อรัง เช่นเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ไตวาย เป็นปี ในระหว่างนั้นก็มีทุกขเวทนามากมาย ถ้าเราไม่ฝึกเอาไว้เลยถึงตอนนั้นก็ทุกข์ทรมาน ตายไม่ดี จบไม่สวย
แล้วเราจะฝึกจากอะไร ก็ฝึกจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา และก็ฝึกจากการที่รับมือกับความไม่สมหวังในชีวิต รับมือกับความพลัดพราก ความสูญเสีย พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการบ้านที่ทยอยมาเพื่อฝึกเรา ให้เรามองแบบนี้ว่าเป็นสิ่งที่ชะตากรรมส่งมาเพื่อฝึกให้เรามีความฉลาดในการออกจากทุกข์ มีความฉลาดในการปล่อยวาง แล้วความฉลาดนี่แหละจะมีคุณค่ากับเรามาก เพราะถึงเวลาที่เราเจอทุกข์ก้อนใหญ่ๆ หรือว่าเจอภูเขาแห่งความทุกข์ เราก็สามารถจะก้าวข้ามไปได้ เพราะว่าเราได้ฝึกมาแล้ว เราได้มีความจัดเจนมา
เพราะฉะนั้นการที่คนเรามีชีวิตราบรื่นมันก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป การที่มีชีวิตราบรื่นก็สามารถจะเป็นความเสี่ยงได้ เพราะว่าไม่ได้ฝึก ไม่ได้ฝึกวิชา ไม่ได้ฝึกทักษะในการที่จะแก้ทุกข์ หรือออกจากทุกข์เลย เพราะชีวิตมันราบเรียบเกินไป เหมือนกับเด็กที่ไม่ค่อยได้เจ็บไม่ค่อยได้ป่วย เด็กที่ไม่ค่อยเจอเชื้อโรคจะเป็นโรคนั้นโรคนี้มาก เด็กอนามัยจัดจะเป็นโรคสารพัด โรคแพ้ โรคมือเท้าปาก โรคแพ้หลายอย่าง เพราะว่าเขาไม่ค่อยได้เจอเชื้อโรค แต่เด็กที่เขาเจอเชื้อโรคมาบ่อยๆ เขาเล่นกับดิน หรือว่ากลืนน้ำคลองไป ก็จะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค ทำให้สามารถจะรับมือกับเชื้อโรคต่างๆได้ โรคแพ้ไม่ค่อยได้เจอเท่าไร
การที่คนเราเจอความทุกข์นี้มันมีประโยชน์ ให้มันดาหน้าเข้ามา เพราะจะฝึกให้เรานี้มีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ทำให้เรามีปัญญาในการออกจากทุกข์ ทำให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็ง และทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์กับเราในการเจอทุกข์กองใหญ่ๆที่จะตามมาในวันข้างหน้า เช่น ความเจ็บความป่วย รวมทั้งความตาย ถึงแม้ว่าจะยังนิพพานไม่ได้ แต่ว่าการตายดีก็จะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นให้เอาความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเราในวันนี้ มาเป็นเครื่องฝึกใจเสีย ไม่ใช่ว่าพอมีอะไรมากระทบก็ปล่อยใจไปตามอารมณ์ แบบนั้นเรียกว่าสอบตก แล้วก็สอบตกบ่อยๆนี้พอเจอสอบครั้งใหญ่ก็จะตกอีก แต่ถ้าเราสามารถผ่านไปได้เราก็จะมีความมั่นใจในการที่จะผ่านบททดสอบที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือความตาย