แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราชาวพุทธ ควรน้อมเอานิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต เพราะเหตุว่า ประการแรก มันช่วยทำให้เรา มีความเพียร มีความขวนขวายในการทำความดี คล้ายๆเป็นแรงกระตุ้นให้เราทำความดี โดยเฉพาะความดีที่ทำได้ยาก ก็จะกล้า กล้าทำ กล้าเสียสละ การบำเพ็ญบารมี ซึ่งถือเป็นการทำความดีอันยิ่งยวด จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยที่เราอยากจะทำ โดยเฉพาะทานและศีล ถ้าเราเอาพระนิพพานเป็นเป้าหมาย ก็จะนึกถึงการสละ ไม่ใช่แค่สละเงินทอง แต่แม้กระทั่งอวัยวะหรือกระทั่งชีวิต ก็พร้อมที่จะทำได้ หากว่าเราจริงจังกับจุดมุ่งหมายของชีวิตดังกล่าว ถ้าเราไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือเป็นจุดหมายต่ำๆ การทำความดีก็อาจจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่ เช่น ตั้งจุดมุ่งหมายว่าอยากจะเป็นเศรษฐี อยากจะหาเงินให้ได้สิบล้านภายในเวลาห้าปี หรือเดี๋ยวนี้ก็อาจจะเป็นร้อยล้านไปแล้ว ก็จะคิดแต่เรื่องการทำมาหากิน แต่ว่าการทำความดีจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แต่พอเราคิดว่าจะมุ่งเอาพระนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต ก็จะเกิดความเพียร เกิดความพยายามมากขึ้นแม้ว่าจะยากก็ตาม
ประการที่สอง เวลาเจอความทุกข์ คนเราบ่อยครั้งพอเจอทุกข์เข้ามากระทบ ก็จะเกิดความโกรธ ความเศร้าโศกเสียใจ บางทีก็ลืมตัว บางทีก็เสียศูนย์ แต่พอเราคิดว่าจุดหมายของชีวิตของเราคือนิพพาน ความทุกข์เหล่านั้นจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย อาจจะได้สติคิดว่า ถูกเขาต่อว่าด่าทอแค่นี้ ยังหัวเสียยังกลุ้มใจ เงินหาย ตกเครื่องบิน รถติด แค่นี้ก็ยังทำใจไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะไปนิพพานได้อย่างไร อย่างนี้จะเข้าถึงนิพพานได้อย่างไร เพราะถ้าไม่ได้สติ บางคนเจ็บป่วยก็โวยวายตีโพยตีพายว่า ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน หรือว่าอกหักคนรักทิ้งไป ก็เอาแต่เศร้าโศกเสียใจ แต่พอคิดได้ว่า ชีวิตเราเอาพระนิพพานเป็นเป้าหมายไม่ใช่หรือ ความทุกข์แบบนั้น จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย มันจะได้คิดว่า แค่นี้ยังฟูมฟายโวยวายตีโพยตีพาย แล้วจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไร ความทุกข์ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปหมด เมื่อเราเอาพระนิพพานเป็นจุดหมาย หรือบางครั้งเราจะรู้สึกว่าทำไมเราถึงเจอความทุกข์มากขนาดนี้ คนอื่นไม่เห็นทุกข์เหมือนเราเลย เหมือนกับถูกชะตากรรมกลั่นแกล้ง บางทีมันมีความโกรธมีความน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่ถ้าเราลองนึกเสียว่า นี่คือข้อสอบ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า นิพพานอาจจะเหมือนกับปริญญาเอก กว่าจะจบปริญญาเอกได้ ต้องผ่านการบ้าน ต้องเจอข้อสอบที่ยากๆ มันจะยากกว่าข้อสอบของนักเรียนประถม นักเรียนมัธยม หรือนักศึกษาปริญญาตรี คนอื่นเขาอาจจะเพียงแค่สอบเอาปริญญาตรี แต่นี่เรากำลังจะเอาปริญญาเอก เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าข้อสอบที่เราเจอ มันจะยากกว่าคนอื่น มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ ยิ่งของที่ประเสริฐเท่าไหร่อุปสรรคก็ต้องมากตามไปด้วย ฉะนั้นถ้าเรามองว่าอุปสรรคหรือความยากลำบากในชีวิต คือบททดสอบหรือข้อสอบ ซึ่งมันย่อมต้องยาก ไปตามระดับขั้นของจุดมุ่งหมายที่เราอยากจะไปให้ถึง คนที่มีจุดมุ่งหมายอยู่บนเขาสูง ก็ต้องเหนื่อยมากกว่าคนที่จุดมุ่งหมายอยู่บนพื้นราบ ฉะนั้นคนที่เขาเดินสบายแต่ว่าเราเดินลำบาก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นธรรมดา
ถ้าเรามีพระนิพพานเป็นจุดหมาย เวลาเราเจอความทุกข์เราจะรู้เลยว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องฝึก ต้องลด ต้องละ ต้องปล่อย ต้องวาง เจอเรื่องแค่นี้ยังปล่อยวางไม่ได้ คำต่อว่าด่าทอของเขายังเก็บเอามาคิดไม่เลิกไม่รา แล้วอย่างนี้จะปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางตัวกูของกูได้อย่างไร เรื่องเล็กแค่นี้ยังปล่อยไม่ได้ แล้วเรื่องใหญ่แม้กระทั่งกายและใจจะปล่อยวางได้อย่างไร ให้ลองคิดแบบนี้ มันจะทำให้เราสามารถจะก้าวข้ามผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ และทำให้เราหมั่นทำความดีที่ทำได้ยาก ทีนี้นอกจากนิพพานแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่สูงเหลือเกิน บางคนสงสัยด้วยซ้ำว่านิพพานมีจริงหรือไม่ หรือถึงเชื่อว่ามีจริงก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกล ต้องผ่านหลายภพหลายชาติกว่าจะเข้าถึงได้ ก็อาจจะท้อหรือว่าไม่แน่ใจว่า ทำแล้วจะได้ผลจริงหรือเปล่า ก็ให้ลองนึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือความตาย ความตายของเราเอง
นิพพานกับความตาย ถ้าจะว่าไปแล้วตรงข้ามกันเลย นิพพานคือความไม่เกิดไม่ตาย นิพพานคือความสุขบรมสุข นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ความตายนั้นถือว่าเป็นสุดยอดแห่งความทุกข์ เจออะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับความตาย นิพพานอาจจะอยู่ไกลแล้วก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ความตายนี้จริงแท้แน่นอน และก็อยู่ใกล้ตัวเรามาก อย่างที่มีภาษิตธิเบตบอกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่า ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน เดินลงบันไดอาจจะพลัดตกบันไดหัวกระแทกพื้นตายก็ได้ หรือเข้าห้องน้ำลื่นไถลศีรษะฟาดพื้นตายก็ได้ มันใกล้ตัวมาก แต่ทั้งๆที่นิพพานกับความตาย เหมือนกับเป็นสิ่งตรงข้ามกันเลย แต่ว่ามันก็มีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง เวลาเรานึกถึงความตาย มันจะทำให้เราขวนขวายในการทำความดี เพราะว่าความตายมาบอกมาเตือนให้เรารู้ว่า ชีวิตนี้มันจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ต้องเร่งทำความดี
ยิ่งเวลาเรานึกถึงความตายของเรา ว่ามันอาจจะเจ็บปวดมันอาจจะทุกข์ทรมาน ลองนึกภาพนี้ไว้บ้าง เวลาไปเยี่ยมคนป่วยตามโรงพยาบาล มีสายระโยงระยาง คนเหล่านี้เขากำลังสอนเราว่า วันหน้าเราก็จะเป็นอย่างเขา เวลาเห็นความทุกข์ทรมานของคนที่กำลังจะตาย ถามใจตัวเราเองว่า เราจะผ่านความทุกข์อย่างนั้นไปได้ไหม คนที่เขาคิดว่า เราจำเป็นต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อจะได้ผ่านความทุกข์ความทรมานในขณะที่กำลังจะตาย ก็จะยิ่งเห็นความสำคัญของการทำความดี ทำความดีให้มากๆ แล้วก็ละเว้นความชั่ว เพราะว่าความดีที่เราทำ จะส่งผลทำให้ การตายของเราเมื่อวันนั้นมาถึง ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมาก อาจจะมีความทุกข์ทางกาย แต่ว่าใจไม่ทุกข์
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต นึกถึงความตายแล้วอยากจะตายแบบไม่ทรมาน อยากจะตายดี มันก็จะเป็นตัวเร่งเร้า ทำให้เราพยายามทำบุญทำกุศล และละเว้นความชั่วด้วย ทำบุญทำกุศลแต่ความชั่วไม่เลิกไม่ละเว้นมันก็ไม่ใช่ เพราะถ้ายังทำความชั่วอยู่ ถึงเวลาตายก็จะตายแบบทุรนทุรายเหมือนกันเพราะว่า นึกถึงความชั่วที่ได้ทำ บางทีเกิดความหวาดกลัวว่า ตายแล้วจะไปอบาย ไปนรก ก็ทำให้เกิดอาการฮึดฮัดขัดขืน ต่อสู้กับความตาย เกิดอาการผวา หลายคนเป็นอย่างนั้น หรือมิเช่นนั้นก็เกิดนิมิตร เกิดภาพ จะเป็นภาพหลอน หรือเป็นภาพที่สืบเนื่องกับความชั่วที่ทำในอดีตก็ได้ อย่างคนที่เขาฆ่าสัตว์อยู่เป็นประจำ เวลาจะตาย หลายคนก็เห็นภาพสัตว์ที่ตัวเองกำลังจะฆ่าหรือฆ่าไปแล้ว มันมาร้องโหยหวน หวาดผวา นี้เรียกว่าเป็นการซ้ำเติม กายมันทุกข์อยู่แล้ว ใจก็ยังทุกข์ตามไปด้วย ถ้าไม่อยากให้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องละเว้นความชั่ว ทำความดีมากๆสร้างบุญสร้างกุศล
หลายคนเสียใจว่าสิ่งที่ควรทำไม่ได้ทำ ให้เวลากับพ่อแม่ก็ไม่ได้ให้ ให้เวลากับลูกก็ไม่ได้ทำ เวลาจะตายเสียใจก็มี เสียใจว่าฉันละทิ้งสิ่งที่ควรทำ หรือว่าเกิดความอาลัย เกิดความห่วงวิตกกังวลว่า ฉันตายแล้วลูกจะอยู่อย่างไร คนที่ห่วงแบบนี้เพราะว่าตอนที่มีชีวิตอยู่สุขภาพดี ก็ไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เขาอย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าไปเพลิดเพลินกับความสุขสนุกสนาน หรือว่าไปมัวแต่หมกมุ่นกับงานการ นี่เรียกว่า ลืม ลืมตัวหรือขาดสติ แต่ถ้าเรานึกถึงความตายว่า สักวันหนึ่งจะต้องเกิดขึ้นกับเรา มันจะทำให้เราไม่รอ แต่จะพยายามให้เวลากับคนที่เรารัก พยายามทำหน้าที่ที่เรามี กับคนที่อยู่รอบข้างและใกล้ตัว
นอกเหนือจากการทำความดี หรือการทำหน้าที่กับส่วนรวมด้วย เรียกว่าการนึกถึงความตาย หรือ มรณสติ จะเป็นตัวกระตุ้นเร่งเร้าให้เราขวนขวายทำความดี ทำหน้าที่ที่ควรทำ แล้วก็ไม่รอให้มันคั่งค้างหรือว่าไม่ได้แตะต้อง หน้าที่นี้อาจจะรวมไปถึงว่า เราทำผิดกับใครก็ขอโทษขอโพยเสีย ไม่ใช่พอเวลาจะตายก็มานึกเสียใจว่ายังไม่ได้ขอขมายังไม่ได้ขอโทษ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตายแบบทรมาน บางคนตายตาไม่หลับ เพราะว่ารู้สึกผิด ที่ได้ทำไม่ดีกับคนใกล้ตัว เช่น พ่อ แม่ หรือแม้แต่กับลูก หรือกับเพื่อนร่วมงาน แบบนี้เจอบ่อย จะตายแล้วตาค้างไม่ยอมตายสักที ทั้งๆที่อวัยวะนี่แย่หมดแล้ว เพื่อที่จะได้รอโอกาสที่จะขอโทษกับคนที่ตัวเองทำไม่ดีเอาไว้
พอนึกถึงความตาย สิ่งที่ควรจะทำเราก็จะไม่รั้งรอ จะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป ด้วยการอ้างว่าไว้ทำวันหลังก็ได้ เดี๋ยววันหลังก็มี เอาไว้ก่อน เอาไว้ก่อน เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น จะรีบทำเลย รีบทำความดี รีบทำหน้าที่ และมันจะกระตุ้นให้เราเกิดการปล่อยวาง เพราะถ้าไม่ปล่อยไม่วางก็ตายทรมาน คนที่ไม่อยากจะตายทรมาน เขาจะฝึกจิตฝึกใจให้ปล่อยให้วาง และไม่ใช่แค่ฝึกด้วยการเข้าคอร์สมาปฏิบัติธรรม แต่สามารถจะฝึกได้ในชีวิตประจำวัน เวลาเจอความทุกข์ เจออกหัก เจอความเจ็บป่วย เจอความพลัดพราก เจอความสูญเสีย สูญเสียทรัพย์ สูญเสียคนรัก คนส่วนใหญ่ก็จะฟูมฟายเศร้าโศกเสียใจหรือว่าโกรธ เสียศูนย์ แต่พอนึกถึงความตาย ความทุกข์แบบนี้จะกลายเป็นเรื่องเล็ก จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะว่าความทุกข์ทั้งหลายที่เราเจอ ไม่ว่าเคยเจอมาแล้วในอดีตหรือว่ากำลังเจออยู่ มันจะเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความตาย เงินหาย ถูกโกง ฟูมฟายมากมาย แต่ที่จริงเงินแค่แสนหรือเงินแค่ล้านมันน้อยนิดมาก เมื่อเทียบกับเงินทั้งหมดที่ต้องสูญเสียไปเวลาเราตาย บางคนถูกต่อว่าด่าทอก็เสียใจโมโห พวกนี้ยังน้อยกว่าความเจ็บความทุกข์ทรมานเวลาเราจะตาย คือเวลาเรานึกอย่างนี้ ว่าความตายคือสุดยอดแห่งความทุกข์ทั้งปวง มันช่วยทำให้เราปล่อยวางความทุกข์ หรือก้าวข้ามความทุกข์ต่างๆไปได้ง่าย เพราะเราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็ก มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปหมดเมื่อเทียบกับความตาย
สตีฟ จอบส์ เป็นคนที่ดูเหมือนใช้ชีวิตทางโลกมาก แต่ตอนที่เขาป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หายคือ โรคมะเร็งตับอ่อน เขาก็หมั่นเจริญมรณสติ และเขาพูดว่าการระลึกถึงความตาย หรือมรณสติ เป็นเครื่องมือที่ประเสริฐมาก เขาบอกว่าเวลาเขามีความทุกข์ เช่น ทุกข์เพราะความทะเยอทะยาน เพราะความผิดหวัง เสียใจเพราะว่าหน้าแตกหรือว่าไม่ประสบความสำเร็จ ความทุกข์เหล่านี้มันจะหายไปเลยเวลานึกถึงความตาย ที่มันหายไปเพราะมันเป็นเรื่องที่เทียบไม่ได้กับความตาย ที่จะต้องเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง ลองดูว่าเราทุกข์เรื่องอะไร ไม่ว่าทุกข์ที่เกิดกับร่างกาย ทุกข์ที่เกิดกับหน้าตา ทุกข์ที่เกิดงานการ ทุกข์ที่เกิดเพราะคนรัก เราอาจจะลืมตัวฟูมฟายคร่ำครวญ แต่ทันทีที่นึกถึงความตายและนึกถึงจริงจัง พวกนี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย และมันทำให้เราผ่านเรื่องราวแบบนั้นไปได้ พูดอีกอย่างหนึ่ง มันทำให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น สตีฟ จอบส์ จึงบอกว่ามันเครื่องมือที่วิเศษมาก ที่มนุษย์ได้คิดค้นขึ้นมาก อาจจะยิ่งกว่าไอโฟนที่เขาทำให้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นเวลาเจอความทุกข์อะไรก็ตาม ถ้าเราไม่นึกถึงนิพพาน ลองนึกถึงความตายดูบ้าง คนที่ฉลาดเขาก็นึกถึงนิพพานว่า พวกนี้คือแบบฝึกหัดที่มาฝึกให้เราปล่อยวาง เพื่อที่เราจะได้ปล่อยวางในสิ่งที่ยากที่สุดในวันหน้าคือความยึดติดในตัวกูของกู หรือถ้าหากว่าใจไม่ได้นึกถึงพระนิพพานเพราะไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า หรืออาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม ก็ให้นึกถึงความตายก็ได้ มันใกล้มากและมันเป็นของจริง ทันทีที่นึกถึงความตาย มันทำให้เราตระหนักว่า ทุกข์แค่นี้ยังผ่านไปไม่ได้ แค่รถติดยังหัวเสีย ตกเครื่องบินก็ยังโวยวาย แล้วถึงเวลาตายจะตายอย่างสงบได้อย่างไร ลองคิดแบบนี้บ้าง ทุกข์ทั้งหลายที่เราเจอ หมดเนื้อหมดตัว หรือลืมตัวไปกับมัน ลองตั้งสติคิดสักหน่อยว่า แค่นี้ยังไม่ผ่านเลย แล้วถึงเวลาตายจะตายสงบตายดีได้อย่างไร มันทำให้เราได้คิด มันทำให้เรากล้าที่จะสลัด กล้าที่จะปล่อย กล้าที่จะวางหรือเห็นความจำเป็น ที่จริงมันปล่อยวางไปได้เองพอเราคิดแบบนี้จริงจัง เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญ มันจะกลายเป็นเรื่องเล็ก ซึ่งถ้าเรามองแบบนี้ได้ เวลาเราเจอความทุกข์อะไร แม้เราไม่อยากเจอก็ตาม ความเจ็บป่วย อกหัก งานล้มเหลว เสียหน้าเพราะมีคนมาต่อว่า เราจะมองว่ามันคือแบบฝึกหัด สำหรับบททดสอบที่ยากที่สุด ซึ่งจะมาถึงอย่างแน่นอนบททดสอบนั้นคือความตาย เป็นข้อสอบ เป็นการสอบไล่ของวิชาชีวิต
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรา ก็คือการสอบซ่อมสอบย่อย เป็นการทดสอบว่าเราสามารถจะผ่าน หรือว่าเป็นการทดสอบว่าเราพร้อมที่จะตายอย่างสงบไหม เมื่อวันนั้นมาถึง ลองมองว่ามันเป็นบททดสอบ อย่างที่พูดเมื่อวาน เป็นการทดสอบว่าเราสามารถจะไปถึงนิพพานได้ไหม เรื่องนี้ก็อย่างหนึ่ง หรือถ้ารู้สึกว่านิพพานนี่มันคงไปยาก ก็ลองทดสอบดูว่าเราจะตายอย่างสงบได้ไหม ถ้าไม่ได้เพราะยังหัวเสีย ยังกลุ้มใจ ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าสอบตก แล้วเตรียมตัวใหม่ เตรียมตัวสอบให้มันดีขึ้น เพราะว่าข้อสอบมันจะมาเรื่อยๆตามวันเวลา
อย่างที่เราได้สวดตอนเช้าว่า เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้ที่มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทุกข์เบื้องหน้า ใหญ่ๆก็คือ ความแก่ ความเจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย และความตาย ความแก่ ความเจ็บ เป็นเรื่องที่หลายคนกลัว หนุ่มสาวหลายคนกลัวมากเลยความแก่ อายุยี่สิบก็รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว แต่ความแก่นี่ยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะเมื่อแก่ก็ยังสามารถที่จะมีความสุขได้ แต่พอนึกถึงความตาย ความแก่นี้ชิดซ้ายไปเลย ทุกข์เพราะว่าเป็นสิว ทุกข์เพราะผมหงอก ทุกข์เพราะผิวย่นหนังเหี่ยว กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับความตาย ถ้าหากวันนี้ยังทุกข์เพราะเรื่องนี้ แล้ววันนั้นจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้มันทำให้เรา หนึ่ง ฝึกใจให้รู้จักเข้มแข็งและฝึกให้รู้จักปล่อยวางให้เร็วขึ้น และขณะดียวกันก็ทำให้เราอยู่กับมันได้ด้วยใจสงบ มันจะแก่ก็ช่างมัน อยู่กับความแก่ให้ได้ ถึงเวลาป่วยก็ถือว่าเขามาฝึกมาสอนเรา ให้รู้จักปล่อยวาง เพราะว่าวันหน้าจะต้องเจอหนักกว่านี้ วันหน้าต้องเจอทุกขเวทนาที่ยิ่งกว่านี้ ถ้าวันนี้ยังไม่ผ่าน แล้ววันหน้าจะผ่านไปได้อย่างไร พอคิดแบบนี้มันก็ทำให้ใจปล่อยวางได้ หรือว่าพยายามที่จะก้าวข้ามมันไปให้ได้ ด้วยการฝึกจิต ด้วยการพัฒนาสติและปัญญาให้มากขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นผู้ที่ใฝ่ความเจริญงอกงามของชีวิต ก็ขอให้ลองนึกไว้สองอย่าง เป็นจุดหมายของชีวิต อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้หรือทั้งสองอย่างพร้อมกันเลยก็ได้ คือ หนึ่ง มีนิพพานเป็นจุดหมายของชีวิต หรือสอง ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ว่าสักวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นกับเรา สองอย่างนี้เป็นตัวช่วย ที่จะผลักดันให้เราก้าวอย่างมั่นคงบนเส้นทางแห่งความดี เส้นทางแห่งบุญกุศล การสร้างบุญบารมี และขณะเดียวกันก็เป็นตัวช่วยทำให้ ปัญหาต่างๆ ความทุกข์ต่างๆมันกลายเป็นเรื่องเล็กเป็นเรื่องไม่สำคัญ เป็นเรื่องที่พอทนไหว และอาจจะมองว่ากลายเป็นของดีด้วยซ้ำ เป็นแบบฝึกหัดเพื่อทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มีสติมากขึ้น มีปัญญามากขึ้น สิ่งร้ายๆที่ไม่อยากเจอมันจะกลายเป็นของดีไป ทำให้เรายิ้มรับกับมันได้