แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บุคคล ผู้รักตน ย่อมหวังเฉพาะคุณเบื้องสูง ด้วยการระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า รักตน คำนี้ไม่เหมือนกับรักตัวกู ถ้ารักตัวกูนี้ มันมีแต่จะปรนเปรอตัวกู สนองประโยชน์ของตัวกู นั่นแหละคือความเห็นแก่ตัว นั่นแหละคือทางไปสู่ความตกต่ำ
คนเรา รักตัวรักตน ต้องรักให้เป็น เพราะว่า ถ้ารักไม่เป็น มันก็ไปรักตัวกู รักตัวกูก็รักกิเลสนั่นเอง เพราะว่ามีตัวกูเมื่อไหร่ หรือตัวกูครอบงำจิตใจเมื่อไหร่ มันก็สามารถจะชักนำให้ไปหาหรือเข้าหากิเลส เข้าไปสู่ทางต่ำได้ เพราะว่าธรรมชาติของตัวกู มันปรารถนาความยิ่งใหญ่ มันต้องการยืนยัน ตอกย้ำ ประกาศ ให้ใครๆรู้ว่า กูเก่ง กูแน่ พอมีตัวกูเมื่อไหร่ ใครดีกว่าใครเก่งกว่าก็ไม่ชอบ ในด้านหนึ่งก็รู้สึกเป็นทุกข์ ว่ามีคนอื่นเก่งกว่ากู ในอีกด้านหนึ่งก็เกลียด อิจฉา แล้วก็โกรธคนที่เก่งกว่า ดีกว่า เก่งกว่าก็ไม่ได้ ดีกว่าก็ไม่ได้ กูต้องดีกว่าคนอื่น หรือว่ากูต้องเคร่งกว่าคนอื่น แบบนี้มันเป็นลักษณะของตัวกู ซึ่งถ้าปล่อยให้มันครอบงำใจเมื่อไร ก็มีแต่ชักพาไปในทางต่ำ จริงๆก็มีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะว่าความรู้สึกว่า อยากจะให้ตัวกูเป็นที่ยอมรับ อยากจะให้คนชม อยากให้คนสรรเสริญ ก็สามารถจะผลักคนเราให้ทำความดี ขยันขันแข็ง มีความพากเพียรพยายาม ไม่ยอมแพ้
อย่างที่ใช้คำว่า มานะพยายาม คนไทยเราใช้สองคำนี้คู่กัน มานะพยายาม จนกระทั่งไปเข้าใจว่า มานะนี่เป็นของดี แต่จริงๆ มันหมายความว่า พยายามเพราะตัวมานะเป็นแรงผลักดัน ก็คือว่า กูจะไปยอมแพ้เขาได้ยังไง กูก็มีมือมีตีนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อล้มแล้วก็ต้องลุก เพราะฉะนั้นจะต้องต่อสู้ต้องดิ้นรน อย่าไปยอมแพ้เพราะจะเสียหน้าเขาอายเขา คนส่วนใหญ่ก็จะใช้ตัวมานะหรือตัวกู เป็นแรงผลักดัน พ่อแม่ก็ใช้ตัวมานะเป็นตัวผลักดันลูก เรียนไปนะต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน นี่ก็เหมือนกัน เป็นเจ้าคนนายคนก็เป็นตัวมานะหรือตัวกูแบบหนึ่ง คนไทยก็ใช้ตัวมานะหรือกระตุ้นมานะ เพื่อให้เกิดความพยายาม เราก็เลยใช้คำว่า มานะพยายาม แล้วเลยคิดว่ามานะเป็นของดี
แต่จริงๆ มานะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง มันก็คือ ความอยากให้ตัวกู มันเด่น เหนือ หรือว่าเก่งกว่าคนอื่น ที่พูดว่า กูแน่ กูแน่คือตัวมานะ มันมีตัวกู มีของกู นี่กูนะ เป็นการตอกย้ำว่า นี่กูนะ คนเราก็พยายามที่จะประกาศตัวกู หรือว่าจะตอกย้ำว่า นี่กูนะ อยู่ตลอดเวลา เวลาไปที่ไหน ที่มันเป็นย่านชุมชนหรือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะถ้าเป็นโบราณสถาน ก็มักจะอยากประกาศให้โลกรู้ว่า นี่กูนะ ทำให้ไปขีดเขียนชื่อตัวเองบนสถานที่ต่างๆ เคยขึ้นไปกำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีนนี่ถ้าไม่ไปจะไม่เห็นว่า มีชื่อคนที่ขีดเขียนอยู่บนกำแพงเยอะไปหมดเลย แต่มองจากภาพไม่เห็นหรอก เยอะมาก มันเป็นชื่อที่ไม่ใช่ลายเซ็น แต่มันเป็นชื่อที่เขียนเพื่อให้อ่านออกได้ ว่ามีใครบ้าง คนเขียนต้องการประกาศว่า นี่กูนะ มีกูอยู่ในโลกนี้นะ อันนี้แหละคือตัวกู มันทำอย่างนั้นก็เพราะแรงผลักของตัวกู อยากประกาศให้โลกรู้ ว่ามีกูอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงเขียนให้อ่านออกว่าเป็นใคร ไม่ได้ใช้ลายเซ็น เพราะลายเซ็นอ่านไม่ออก แต่เขียนให้อ่านออกว่ามีกูอยู่ในโลกนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นการประกาศหรือการประจานกันแน่ ต้องการประกาศตัวกูหรือที่จริงเป็นการประจานตัวกูมากกว่า
ดังนั้นคำว่า บุคคลผู้รักตน ต้องแยกแยะว่า มันไม่ใช่รักตัวกู รักตัวกูมันมีแต่จะคล้อยไปในทางต่ำ ไม่ค่อยสนใจธรรมะเท่าไรหรอก รักตัวกูก็ต้องพยายามที่จะเอาชนะคนอื่นตลอดเวลา ต้องรวยกว่า ต้องมีอำนาจมากกว่า ซึ่งมันนำไปสู่ความเห็นแก่ตัว นำไปสู่การเอาเปรียบการขัดแข้งขัดขาผู้คน นำไปสู่ความอกตัญญู เวลาพ่อแม่สอนก็โกรธ เพราะตัวกูมันถูกกระทบ ตัวกูนี่มันไม่ยอม มันทนรับคำสั่งสอนไม่ได้ เพราะเหมือนกับเป็นการบอกว่ากูยังดีไม่พอ กูยังไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ ไอ้ตัวกูนี้มันทำให้แข็งขืนกับพ่อแม่ หรือบางทีก็เกลียดชังพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ชอบว่า ชอบบ่น บางทีรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่รัก ไปรักคนอื่นมากกว่า ไปรักลูกคนอื่นมากกว่า ไปรักพี่ ไปรักน้องมากกว่า ก็เกิดความโกรธความเกลียดพ่อแม่ ทั้งที่แม่ก็รักตัวเองมากที่สุดเมื่อเทียบใครคนอื่นในโลกนี้ แต่ว่าพอไปเห็นเขารักพี่มากกว่ารักน้องมากกว่า ก็โกรธ นี่ตัวกูทั้งนั้น ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกขัดแย้ง เหินห่าง หมางเมิน อกตัญญูพ่อแม่ มีครูบาอาจารย์ ก็นับถือเพียงเพราะว่าครูบาอาจารย์พูดถูกใจกู หลายคนที่บอกว่าศรัทธาครูบาอาจารย์ ที่จริงมันไม่ใช่ว่าศรัทธาจริงๆ แต่เป็นเพียงเพราะเขาพูดถูกใจกู หรือว่าทำถูกใจกู วันดีคืนดีครูบาอาจารย์พูดไม่ถูกใจหรือทำไม่ถูกใจ หรือว่าไม่ให้ความสำคัญกับตัวกู นี่ก็โกรธ
อย่างในสมัยพุทธกาล มีคราหนึ่ง พระสารีบุตรจะจาริกออกไปไกลเลย ก็มีการร่ำลากัน ตามธรรมเนียมลูกศิษย์ก็มาตั้งแถวรออยู่ที่ทางออก พระสารีบุตรเมื่อเดินผ่านใครก็ทักทาย ถามชื่อ ถามโคตร แต่เนื่องจากคนเยอะมาก บางคนก็ไม่ได้ซักไม่ได้ถาม มีพระรูปหนึ่ง พระสารีบุตรท่านเดินผ่านไม่ได้ทัก ไม่ได้ถาม ก็โกรธไม่พอใจ เลยหาเรื่อง คือตอนพระสารีบุตรเดินผ่าน ชายจีวรไปถูกตัวพระรูปนั้น พระรูปนั้นก็เลยไปทูลฟ้องพระพุทธเจ้าว่าถูกพระสารีบุตรทำร้าย น่าคิดว่า จากคนที่ศรัทธาพระสารีบุตร ทำไมจึงหันกลับมาใส่ร้ายพระสารีบุตร ที่จริงเพราะว่าศรัทธา มองในแง่หนึ่งเพราะศรัทธามาก ก็เลยเสียใจมากที่พระสารีบุตรไม่ให้ความสนใจกับตัวเอง ไม่ทักทาย ไม่ถามชื่อ ไม่ถามโคตร คือถ้าพระรูปนั้นไม่สนใจพระสารีบุตรแล้ว ไม่ได้นับถือ ไม่ได้ศรัทธาพระสารีบุตรอยู่แล้ว พระสารีบุตรเดินผ่านก็คงไม่เดือดเนื้อร้อนใจหรือเจ็บแค้นอะไร แต่เพราะว่าศรัทธาหรือว่านับถือมาก ก็เลยเสียใจ และความเสียใจก็เลยกลายเป็นความโกรธ ที่พระสารีบุตรไม่ให้ความสำคัญกับตัวเอง พระสารีบุตรไม่ได้ตั้งใจ
แต่พระรูปนี้ศรัทธาแล้วเผลอให้ตัวกูมาเป็นใหญ่ พอตัวกูไม่ได้รับความสำคัญจากครูบาอาจารย์ก็โกรธ ถึงกับใส่ร้ายแต่งเรื่องใส่ร้าย คนเรามันพลิกได้ขนาดนี้ จากรักจากศรัทธากลายเป็นการมุ่งร้าย เพราะว่าปล่อยให้ตัวกูมาเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นหรือจริงๆก็อาจจะเป็นเพราะว่า ที่ศรัทธาก็เพราะว่าพระสารีบุตร พูดถูกใจกูทำถูกใจกู แต่พอมีการกระทำบางอย่างที่ ไม่ถูกใจกู คือไม่ให้ความสำคัญก็โกรธ อันนี้เห็นบ่อย ไม่ใช่เฉพาะกรณีพระรูปนี้กับพระสารีบุตร ศิษย์กับอาจารย์หลายคนมีปัญหาก็เพราะเหตุนี้ด้วย บางคนพอถูกครูบาอาจารย์ต่อว่า ก็โกรธ ทั้งที่ถ้าเป็นศรัทธาจริงก็ต้องยอมศิโรราบให้ ถ้าศรัทธาจริง ตัวกูจะเล็กลงเพราะว่าใจนี้ขึ้นต่อครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่ศรัทธาเพียงเพราะว่าครูบาอาจารย์ พูดถูกใจกูทำถูกใจกู เมื่อไรก็ตามที่พูดไม่ถูกใจกู เมื่อไร ก็เปลี่ยนจากความรักเป็นความชังทันทีเลย แบบนี้ต้องระวัง
อย่างที่บอก คนเราถ้ารักตนไม่ถูก ไปรักตัวกูแทน นี่มันเดือดร้อน มันสร้างปัญหา มันไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร มันสร้างปัญหาให้ตัวเอง เพราะว่าเวลามีความเห็นแก่ตัว ไปเอาเปรียบเบียดเบียนใครเมื่อไหร่ เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวกู มันก็มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจตามมา ไอ้ที่ทำชั่ว ไม่ว่าจะเป็นการไปลักขโมย ไปคอร์รัปชัน ไปข่มขืน ไปขัดแข้งขัดขากัน ก็เพื่อประโยชน์ของตัวกูทั้งนั้น เพื่อสนองความต้องการตัวกู เสร็จแล้วภัยก็ตามมา เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็ตามมา ที่จริงไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร แค่อยู่เฉยๆหรือมีอะไรมากระทบมันก็ทุกข์แล้ว เช่น เวลาทำงานแล้วบางทีก็เครียด เพราะว่าตัวกูมันมาเป็นใหญ่ ครอบงำจิตในขณะที่ทำงาน เวลานึกถึงผลที่จะเกิดขึ้นก็วิตกแล้วว่า กูจะทำงานเสร็จไหมหนอ หรือว่าคนเขาจะมองกูอย่างไรเมื่อผลงานมันออกมาแบบนี้ อันนี้เราทุกข์ไปแล้ว เวลาเจออะไรที่มันไม่ถูกใจ มันก็ทุกข์ไปแล้ว เช่น รถติดก็หงุดหงิดเครียดกังวล เพราะว่าใจมันคิดไปข้างหน้า มันไม่ได้คิดไปข้างหน้าเปล่าๆ มันมีตัวกูเข้าไปผูกติดด้วย ถ้ารถติดนานอย่างนี้ เดี๋ยวตัวกูก็ไปทำงานสาย เดี๋ยวกูก็ไปส่งลูกไม่ทัน เดี๋ยวกูก็ตกเครื่องบิน เพราะรักตัวกูก็เป็นอย่างนี้ มันก็คือ เป็นทุกข์ไปทุกเรื่อง เวลาเจออะไรก็ตามที่มันไม่เป็นไปดั่งใจ ถึงแม้จะไม่ไปผิดศีล ไม่ไปเบียดเบียนใคร มันก็หาเรื่องทุกข์ใส่ตัวกู
คนเรานี้ แม้ว่ารักตน แต่ว่าชอบหาเรื่องใส่ตัวอยู่เป็นประจำ ทำงานก็เลยมีความทุกข์ เพราะใจมันคิดไปแล้ว มันมีแต่ตัวกูเป็นพระเอก เป็นแกนกลางในเรื่องต่างๆตลอดเวลา มันก็เลยทุกข์ อาจจะมีสุขบ้าง เวลางานนี้ชิ้นนี้ยอด ทำเสร็จคนก็จะชื่นชม สรรเสริญกู ก็มีความสุข เป็นระยะๆหรือชั่วคราว แต่ส่วนใหญ่มันทุกข์มากกว่า เพราะความเครียดความวิตกกังวล แค่อยู่เฉยๆ มันก็ทุกข์แล้ว ถ้าไปรักตัวกูหรือไปรักตนไม่ถูก คนที่รักตนก็มีแต่จะหาสุขมาให้ใส่ตัว ไม่เอาทุกข์มาใส่ตัว แต่พอรักตนไม่เป็นก็หาทุกข์มาใส่ตัว เวลาหลับเวลานอน แทนที่จะได้พักผ่อน ก็ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดถึงอดีต คิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไปคิดถึงคำพูดคำจาของคนนั้นคนนี้ ไปนึกถึงความสูญเสีย เงินหาย แค่นี้ก็นอนไม่หลับแล้ว หรือบางทีไม่ใช่คิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่คิดถึงเรื่องข้างหน้า พรุ่งนี้มีงานที่จะต้องทำ มีเรื่องที่จะต้องประชุม หรือว่าจะต้องไปหาไปเยี่ยมเยียนพ่อ ไปเยี่ยมเยียนแม่ พอนึกถึงความเจ็บความป่วยของท่านก็ทุกข์แล้ว เครียดนึกถึงงานการที่จะต้องไปทำ ไปสะสางก็หนักใจ อันนี้เราหาทุกข์ใส่ตัว ทั้งที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลย ก็ร้อนใจเสียแล้ว ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อน เวลาพักผ่อนมันควรเป็นเวลาแห่งความสุข เป็นเวลาแห่งการที่ผ่อนคลาย แต่ก็ไปหาทุกข์มาใส่ตัวเพราะเหตุนี้
หรือว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปแล้ว จบไปแล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้จบสักที ก็ยังไปคิดถึงมันอยู่นั่น ให้มันค้างคาใจ หรือให้มันทิ่มแทงใจต่อไป หรือให้มันเผาลนจิตใจต่อไป หรือให้มันบีบคั้นจิตใจต่อไป เช่นนี้เขาเรียกว่าหาทุกข์ใส่ตัว เพราะว่าความรักตนไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าสาวดูจริงๆ ก็เพราะว่ามันมี มันปล่อยให้ตัวกูเข้ามาครอบงำ ทุกเรื่องที่พูด มันมีตัวกูเป็นแกน เป็นประธานทั้งนั้น คนเรานี่ถ้ารักตน มันต้องไม่หาทุกข์ใส่ตัว และเวลาเจอทุกข์ก็ต้องรู้จักหลบรู้จักหลีก
มีเพื่อนเขามาเล่าว่า ตอนนี้กำลังรู้สึกมีแรงกดดัน เพราะว่ากำลังทำงานที่สำคัญ กำลังเจรจากับลูกค้า ก็รู้สึกว่ามันถูกกดดัน เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากมีเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก ก็เลยบอกเขาไปว่า แรงกดดันนี่มันเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมได้ แต่ว่า อย่าไปต้านมัน สิ่งที่เราทำได้คือ อย่าไปต้านมัน อย่าเอาตัวไปรับแรงปะทะ ให้รู้จักหลบให้รู้จักหลีกแรงกดดันนี่บ้าง เหมือนกับพายุ พายุมันมา ถ้าเราไปต้านมัน เราก็เสร็จ ที่โบราณเขาเรียกว่า รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง มีความสำคัญ มันไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่า เอาตัวรอดจากปัญหาต่างๆ แต่หมายถึงการที่ไม่เอาตัวกูเข้าไปรับแรงปะทะด้วย แรงกดดันนี่ มันก็มีเป็นธรรมดา ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม อยู่ที่ว่าเราจะยืนต้านมันหรือเปล่า หรือเอาตัวไปรับแรงปะทะหรือเปล่า ส่วนใหญ่ที่ทุกข์เพราะเอาตัวไปต้าน ไปยืนต้านมันหรือไม่ก็เอาตัวไปรับแรงปะทะ ตัวที่ว่านี้คือตัวกูนั่นเอง คือถ้ามันไม่เอาไม่มีตัวกูเข้าไปปะทะ มันก็ไม่เดือดร้อน
มันเหมือนกับมีหินตกลงมา จากยอดตึกที่กำลังก่อสร้าง เราเห็นอยู่แท้ๆว่า หินมันกำลังตกลงมา เราควรทำอย่างไร มันตกมาที่ตัวเราพอดีเลย คนที่มีปัญญา คนที่มีสติ ก็ต้องหลบ หรือเหมือนกับลิงเกเรในสวน มันเอาลูกมะพร้าวขว้างใส่เรา เราก็เห็นอยู่แท้ๆว่า ลูกมะพร้าวกำลังพุ่งเข้ามา เราควรทำอย่างไร เอาตัวรับ เอาหน้ารับ หรือว่าหลบ กับก้อนหิน กับมะพร้าวนี่ จิตไม่ต้องสั่ง กายมันทำงานเองเลย กายมันหลบเองเลย ร่างกายมันหลบทันที มันอัตโนมัติเรียกว่าสัญชาติญาณ แต่ถ้าเป็นจิตนี่เวลามันเจอคำด่า มันรับเข้าไปเต็มที่เลย มันรู้ว่าคำด่านี้พุ่งมาที่มัน จิตมันไม่หลบ จิตเอาตัวกูรับเลย เวลาใครด่าว่าเป็นเหี้ย เป็นห่า เป็นหมา เป็นแมว ก็รับแล้วก็เลยโกรธ ไปรับคำด่านั้นเต็มๆ ก็เลยเจ็บ ตัวที่รับมันคือตัวกู ที่ทุกข์นี่ไม่ใช่ทุกข์เพราะคำด่า แต่ทุกข์เพราะไปรับคำด่า คนส่วนใหญ่ที่ทุกข์ที่ร้อนเพราะไปรับคำด่า ไม่ได้ทุกข์เพราะคำด่า นี่ต้องแยกกันให้ดี คำด่าที่พุ่งมาที่เรา แต่ว่าถ้าหลบ ก็ไม่มีอะไร หลวงพ่อชา บอกว่าใครเขาว่าเราเป็นหมูเป็นหมา ก่อนจะโกรธเขาก็ลองคลำก้นก่อนว่ามีหางงอกไหม ถ้ามีหางงอกแล้วค่อยไปด่าเขา ถ้าเขาว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เราไม่ได้เป็นสักอย่าง เราจะทุกข์ไปทำไม แต่ส่วนใหญ่ก็ไปรับเอาคำด่าเขามา มันไม่ยากเลยก็เพียงแต่ไม่รับ
มีพราหมณ์คนหนึ่ง โกรธเกลียดพระพุทธเจ้ามาก เพราะว่าเพื่อนก็ดี น้องก็ดี ที่เคยเป็นพราหมณ์ หันมานับถือพระพุทธเจ้า แกรู้สึกเสียหน้ามาก ขาดเพื่อน นี้ก็เป็นตัวกูอย่างหนึ่ง ตัวกูนี่ถูกกระทบเมื่อพรรคพวกเขาหันไปหาคนอื่น หันไปหาพระพุทธเจ้าแทน ก็ด่าพระพุทธเจ้า ไปด่าถึงในสำนักเชตวัน พระพุทธเจ้าก็ฟัง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเขาด่าจนไม่รู้จะด่าอะไรแล้ว พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า พราหมณ์มีคนมาที่บ้านท่านบ้างหรือเปล่า พราหมณ์ก็บอกมีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นคนสิ้นไม้ไร้ตอก มีคนมาหาที่บ้านเยอะ ท่านทำอย่างไรเวลามีคนมาหาที่บ้าน พราหมณ์ก็ตอบเอาของมาต้อนรับ เอาน้ำเอาของขบเคี้ยวมาให้ พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่าแล้วถ้าอาคันตุกะนั้นไม่รับของที่ท่านเอามาให้ ของนี้จะเป็นของใคร พราหมณ์ก็ตอบไปว่า ก็เป็นของข้าพเจ้าน่ะสิ พระพุทธเจ้าก็เลยตอบว่า เมื่อท่านด่าเรา เราไม่รับคำด่าของท่าน คำด่านี้จะเป็นของใคร พราหมณ์ก็อึ้ง พระพุทธเจ้าไม่ทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้รับคำด่า หรือไม่เอาตัวรับคำด่า เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับว่า ที่จริงพระพุทธเจ้าไม่มีตัวด้วยซ้ำ คำด่าก็เหมือนกับว่าขว้างก้อนหินไปในอากาศธาตุ พระพุทธเจ้านี่เรียกว่าไม่มีตัวที่จะรับคำด่าแล้ว แต่พวกเรานี่ถ้ายังมีตัวกูอยู่ ก็ต้องรู้จักเอาตัวกูหลบ รับเมื่อไรก็เจ็บเมื่อนั้น เหมือนกับเจอเอาตัวรับลูกมะพร้าว
หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร ตอนที่ท่านไปเริ่มสร้างวัดที่เกาะสีชัง ชื่อวัดถ้ำยายปริก มีปัญหาเยอะมากเลย เพราะว่าพวกนักเลงท้องถิ่นไม่ชอบท่าน ไม่อยากให้มีการสร้างวัดบนที่นั้น สมัยก่อนเกาะสีชังเป็นที่ท่องเที่ยว ที่ดินก็คงราคาแพง ก็พยายามหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง รวมทั้งด่าด้วย ด่าเสียหายเลย เวลาพระบิณฑบาตก็เดินชนพระ แกล้งเดินชนพระจนกระทั่งบาตรหลุดมือ พระก็ล้มเจ็บ หลวงพ่อประสิทธิ์นั่นแหละ แต่ท่านก็ไม่ละความเพียรพยายาม ยังเดินหน้าสร้างวัดต่อไปเพื่อให้เป็นที่ปฏิบัติของพระและชี วันหนึ่งท่านเดินเข้าไปในบ้าน ผ่านบ้านของพวกนักเลงคนหนึ่ง มันก็เลยถือโอกาสด่าว่าท่าน เรียกว่าหมูมาชนปังตอแล้วนี่ ด่าหน้าบ้าน หลวงพ่อประสิทธิ์แทนที่ท่านจะโกรธหรือว่าทำหูทวนลม ท่านก็เดินมาหาชายหนุ่มคนนี้ พอมาใกล้ๆตัวก็จับแขนเขย่า มึงว่าใคร มึงว่าใคร ผู้ชายคนนั้นก็ตอบว่า ว่ามึงไง ว่ามึงไงล่ะ ท่านได้ยินเช่นนั้น ท่านก็ยิ้มบอก แล้วไป ที่แท้ก็ด่ามึง ดีแล้วอย่าด่ากูแล้วกัน แล้วท่านก็เดินออกไปเลย ผู้ชายคนนั้น งง ตกลงกูด่าใคร นี้เรียกว่าท่านไม่รับคำด่า ด่า ด่า ท่านก็ว่าเขาด่ามึง เขาไม่ได้ด่ากู จะทุกข์ไปทำไม จะโกรธไปทำไม แต่คนส่วนใหญ่เวลาถูกใครด่า ก็เอาตัวกูไปรับเต็มๆเลย เขาด่ากู เขาด่ากู เช่นนี้เรียกว่าหาทุกข์ใส่ตัว
ทำนองเดียวกัน งานการต่างๆ มันมีปัญหา มันมีปัญหานี่ก็เหมือนกับก้อนหิน ก้อนหินมันหนักก็จริงถ้าเราไม่แบก มันก็ไม่เหนื่อยไม่ทุกข์ หลายคนบอกว่าทำงาน ปัญหาก็ต้องมีทั้งนั้น ไม่มีใครที่ไม่มีปัญหา ประเด็นอยู่ที่ว่าจะไปแบกมันหรือเปล่า คนที่รักตัวเองจะไม่แบกปัญหา ปัญหามีก็แก้ไป รถเสียก็ซ่อมไป แต่ไม่ใช่แบกรถเอาไว้ แบกรถเสียไว้ นอนก็แบก คิดถึงรถที่เสีย รถเสียก็ซ่อมสิซ่อมไป แต่ไม่ต้องไปแบกรถ ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้แบกจนกลุ้ม นี้เรียกว่ารู้จักหลบหลีก ก็คือว่ามีแรงกดดันเกิดขึ้น ก็อย่าไปต้านมัน อย่าเอาตัวไปรับ ตัวที่ว่าคือตัวกู วาง ถ้าตัวกูยังวางไม่ได้ก็อย่างที่ว่าคือ ไม่ไปแบกมัน แรงกดดันมันจะมีมากแค่ไหน มันก็มีเฉพาะตอนทำงาน แต่เวลากิน เวลาเที่ยว เวลานอน มันไม่ได้มารบกวนสักหน่อย แต่ที่เป็นทุกข์ก็เพราะไปแบกมัน ไปหาเรื่องใส่ตัว นอนก็คิด กินก็คิด อยู่กับพ่อแม่ก็คิด เช่นนี้เรียกว่าไม่รู้จักหลบไม่รู้จักหลีก หรือพูดอีกอย่างคือไม่รู้จักวาง ปัญหา มันสร้างความทุกข์ใจก็ต่อเมื่อแบก แรงกดดันนี้ มันทำให้เราเดือดร้อนก็ต่อเมื่อเราไปยืนต้านมัน หรือเอาตัวไปรับแรงปะทะกับมัน แต่ถ้าไม่ไปยืนต้าน ไม่เอาตัวไปรับแรงปะทะก็ไม่ได้ทุกข์อะไร มันมีเป็นเรื่องธรรมดา คนไม่ค่อยมองว่าจริงๆความทุกข์ใจ มันเกิดที่ใจเรา มันไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก ไม่ได้เกิดเพราะงาน แต่เพราะวางใจไม่ถูก ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากความหลง ความไม่รู้ตัว ความลืมตัวนี่เอง จึงไปแบกปัญหา จึงไปยืนต้านรับแรงกดดัน คนเราถ้ารู้ตัวเมื่อไร ไม่ทำหรอก