แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง แต่ถ้าจะแบ่งคร่าวๆมันก็มีแค่สองช่วงและสองสภาวะ ก็คือกลางวันและกลางคืน ร่างกายคนเราก็เหมือนกัน วันหนึ่งๆ 24 ชั่วโมงมีแค่สองช่วงสองหมวด ก็คือตื่นกับหลับ ไม่ได้นอกเหนือจากนี้เลย จิตใจเราก็เหมือนกัน 24 ชม หรือว่าตลอดทั้งชีวิต มันก็มีแค่สองหมวดหรือว่าสองภาวะ ก็คือรู้กับหลง ตื่นกับหลับนี่มันเป็นสภาวะของร่างกาย คนส่วนใหญ่แล้วตื่นมากกว่าหลับ เราตื่น 16 ชั่วโมง บางคนก็ไปถึง 20 ชั่วโมง เพราะว่านอนน้อย ทำงานเยอะ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องของจิตใจแล้วมันตรงข้าม คนเราวันๆหนึ่งนี่ หลงมากกว่ารู้ คำว่ารู้นี่หมายถึงว่ารู้ตัว ที่จริงมันมีอยู่ 2 อย่าง รู้ตัว หรือว่า รู้ความจริงหรือว่าเห็นสัจธรรม แต่ว่าอย่างหลังนี่อาจจะยากสักหน่อย สำหรับคนทั่วไป รู้พื้นฐาน คือรู้ตัว
วันหนึ่งคนเรา รู้ น้อยกว่า หลง เราหลงเสียมาก แม้แต่เวลาที่ตื่นก็ไม่ได้แปลว่าเรารู้ตัวตลอด เราหลงมากกว่า เราไม่รู้ตัวมากกว่า ตื่นกับหลับนี่มันเป็นเวลา เราส่วนใหญ่แล้ว ตื่นเป็นเวลาแล้วก็หลับเป็นเวลา แต่ว่าจิตใจเรานี่ รู้กับหลงนี่มันไม่เป็นเวล่ำเวลา ไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย ถ้าเราปล่อยสิ่งแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลต่อจิตใจเรา มันก็หลงมากกว่ารู้ แล้วก็หลงบ่อยๆด้วย
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า หลงนี่คือไม่รู้ตัว แม้เวลาเราตื่นเราทำโน่นทำนี่ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ตัวตลอด ขนาดเราสวดมนต์ ขณะที่เราสวดมนต์ปากก็ว่าไป แต่บางทีเราทำด้วยความหลงก็มี ก็คือตอนนั้นเราไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวเพราะอะไร เพราะใจลอย อย่าไปคิดว่าคนที่หลงคือคนที่เป็นบ้า หรือว่าเมามาย หรือว่าสลบ แม้ตื่นแม้ว่าทำอะไรหรือพูดอะไรรู้เรื่องก็อาจจะทำไปด้วยความหลง สวดมนต์ก็หลงบ่อย แล้วก็ใจลอยโดยเฉพาะคนที่สวดคล่อง ไม่ต้องกางหนังสืออ่าน ปากก็ว่าไปแต่ใจไม่รู้อยู่ไหน เวลาฟังก็เหมือนกัน เวลาฟังบางคนก็ไม่ได้ฟังด้วยความรู้ตัว บางทีก็มีความหลงแทรกเข้ามาเป็นระยะแล้วก็บ่อยๆ เวลาขับรถนี่หลายคนก็ขับไปด้วยความหลงก็มี ที่หลงทางๆ นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าไม่รู้จักทาง แต่เป็นเพราะว่าขับรถไม่สังเกต ไม่สังเกตป้าย ป้ายเขาบอกไว้ชัดเจนป้ายตัวใหญ่ๆ แต่ตอนนั้นใจลอย แทนที่จะเลี้ยวก็ตรงไปแล้วก็เลยหลง ตอนนั้นเรียกว่าในชั่วขณะนั้นนี่มันหลง
คนเราถ้าปล่อยให้ความหลงครองใจมันก็แย่ เพราะว่าอาจจะหมายถึงทำอะไรผิดๆ พลาดๆ บางอย่างก็ผิดพลาดไม่มาก อย่างเช่นเวลาเราล้างจาน เราไม่ได้ล้างด้วยความรู้ตัว เราหลงเพราะว่าใจกำลังลอยเข้าไปในความคิด แล้วบางทีก็หลงเข้าไปในโลกแห่งความคิด มือนี่ก็ล้างจานเป็นอัตโนมัติเรียกว่าความเคยชิน บางทีก็วางจาน วางชาม วางช้อน วางส้อมผิดที่ผิดทาง แบบนี้นี่เสียหายไม่มาก แต่ถ้าเกิดว่าใจเราไม่ได้หลงไปในความคิด แต่มันหลงเข้าไปในอารมณ์ เช่นความโกรธ พอเราหลงเข้าไปในความโกรธนี่ก็อาจจะเผลอ ด่า ว่า หรือว่าถึงขั้นทำร้าย บางทีก็เผลอด่าว่าพ่อแม่ เพราะว่าดื้อไม่ทำตามที่เราแนะนำ ป่วยเป็นมะเร็งปอดก็ยังสูบบุหรี่ แอบสูบ เป็นเบาหวานก็ยังแอบกินของหวาน กินข้าวเหนียวทุเรียน เราก็ห้ามแล้วห้ามอีกก็ไม่ฟัง ก็ยังเถียงว่าไม่ได้กิน คราวนี้พอเห็นคาตาก็โกรธก็เลยว่าไป หลายคนก็บอกไม่ได้ตั้งใจว่า ตอนนั้นมันเผลอไป นี้ยังดีเป็นแค่ว่าร้ายพูดร้าย ไม่ถึงขั้นทำร้าย แต่ว่าหลายคนก็ทำอย่างนั้นเรียกว่าด้วยความลืมตัว ทำไมถึงลืมตัวเพราะว่าตอนนั้นโกรธจัด อาจจะตีลูก ตบหน้าคู่รักหรือว่าเอาไม้ฟาด แบบนี้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในหมู่คู่รัก
พอหลงแล้วมันทำให้ลืม ลืมอะไร ลืมตัวหรือลืมตระหนักถึงโทษของการทำเช่นนั้น ตอนนั้นมันโกรธ มันก็อยากจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้สะใจ หรือว่าระบายความโกรธออกไป มันลืมทุกอย่าง ลืมถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมา ลืมกฎหมาย ลืมระเบียบต่างๆ และที่สำคัญคือ ลืมตัว เสร็จแล้วก็มาเสียใจภายหลัง บางคนทำร้ายเขาจนถึงเสียชีวิตไปแล้ว ยิงเขาตายหรือว่าเอาไม้ฟาดจนตาย เสียใจ จากความโกรธมันกลายเป็นความรู้สึกผิด มันท่วมท้นใจ รู้สึกอับอายขายหน้าถ้าเกิดว่าคนรู้ หรือรู้สึกกลัวอันตราย ผลร้ายที่จะตามมาติดคุกติดตะรางเสียชื่อเสียง ทนไม่ไหวที่ต้องไปอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทั้งความรู้สึกผิดที่มาบีบคั้นใจทั้งความกลัวที่มันท่วมท้น ตอนนั้นก็ลืมตัวอีกรอบ คราวนี้ทำร้ายตัวเองเลย ยิงตัวตาย อย่างที่เรามักเห็นเป็นข่าว ฆ่าเมียเสร็จแล้วหรือฆ่าชู้แล้วฆ่าตัวเองตาย บางทีฆ่าลูก นี้เรียกว่าพอหลงมันก็ลืม แล้วพอลืมมันก็หลงเข้าไปหนัก หนักเข้าไปอีก หลงเพราะอารมณ์ อารมณ์อันเกิดขึ้นชั่ววูบ แล้วก็ลืมตัวทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ เสร็จแล้วพอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็หลงอีกรอบหนึ่ง แล้วก็เลยทำในสิ่งที่หนักกว่าเดิม
หลงกับลืมนี่มันคู่กัน คนไทยใช้คำว่าหลงๆ ลืมๆ แต่คำว่าหลงๆ ลืมๆ ในที่นี้เขาใช้กับคนอายุมากแล้ว ความจำก็สั้นลง พวกโรคชรา โรคอัลไซเมอร์ แต่ถึงแม้ไม่แก่เราก็หลงๆ ลืมๆ ได้ คนที่ชอบลืมของเป็นประจำ ลืมโทรศัพท์บ้าง ลืมกุญแจบ้าง ลืมกระเป๋าเงินบ้าง หรือลืมแว่นตา ปากกาเป็นต้น ลืม คือไม่รู้ว่าอยู่ไหน ก็จำได้ว่าวางเอาไว้ หรือเมื่อสักครู่เพิ่งใช้อยู่ แน่ใจหรือว่าไม่มีใครขโมยไปเพราะว่ายังได้ใช้อยู่แล้วก็วางกับมือ แต่จำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหน เพราะว่าตอนนั้นมันหลง หลงเข้าไปในความคิด ใจลอย คนเราพอใจลอย ทำอะไรตอนนั้นก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว วางปากกา วางโทรศัพท์ ทำด้วยความไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่เป็นเพราะใจมันไปคิดถึงสิ่งอื่นข้างหน้า เช่นมือกำลังจับโทรศัพท์อยู่ เสร็จแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเขียนข้อความบันทึกเอาไว้ หรือว่าจะต้องไปคีย์คอมพิวเตอร์ ตอนนั้นใจมันก็สนใจสิ่งที่จะทำข้างหน้า หรือทำถัดไป มันก็ลืมเลยวางโทรศัพท์ทันที เพื่อไปทำงานข้างหน้า เสร็จแล้วเนื่องจากทำด้วยความหลงไม่รู้ตัว พอถึงเวลาจะใช้โทรศัพท์ นึกไม่ได้ว่ามันอยู่ไหน นี่เรียกว่าหลงเข้าไปในความคิด
แต่อย่างที่บอก หลงที่หนักกว่า คือหลงเข้าไปในอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์โกรธอย่างเดียว ความอยากก็เหมือนกัน ถ้ามันมากๆ มันก็ลืม คนที่เห็นเงินเห็นธนบัตรปึกใหญ่ หรือว่า เห็นสร้อยเพชรวางอยู่บนโต๊ะ อาจจะเป็นเพราะร้อนเงิน หรือเพราะความอยากจะได้ซื้อของบางอย่าง เห็นของอยู่ข้างหน้าก็ลืมตัวเพราะตอนนั้นมันมีความอยากมาก คนเรามีความอยากมากก็ไม่รู้อะไรแล้วคว้าทันทีเลย อาจจะว่าเผลอคว้าก็ได้เพราะไม่ได้เป็นขโมยอาชีพ ตอนนั้นลืมตัวไป แล้วก็ลืมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาถ้าเกิดถูกจับได้ เสร็จแล้วก็เดือดร้อนภายหลัง
บางคนความอยากไม่ใช่อยากได้ทรัพย์ แต่มันเป็นความอยากในเชิงราคะ เรียกว่าหน้ามืด ก็ลืมตัวไปทำมิดีมิร้ายกับคนซึ่งบางทีเป็นคนที่ใกล้ชิด ที่จริงคดีที่เรียกว่าข่มขืนกระทำชำเรา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับคนที่รู้จักกัน ส่วนใหญ่เหยื่อคือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้กระทำ ประเภทที่ไม่รู้จักกันคนแปลกหน้านี่ เทียบสัดส่วนแล้วน้อยกว่า น้อยกว่ากรณีที่เหยื่อกับคนกระทำรู้จักกันใกล้ชิดกัน แต่ด้วยความหน้ามืดก็เลยทำ โดยที่อาจไม่เฉลียวใจหรืออาจลืมไปด้วยซ้ำว่า ทำกับผู้ที่เป็นผู้เยาว์ติดคุกสถานเดียวเพราะตอนนั้นหน้ามืด นี่ก็เรียกว่าลืม ลืมเพราะอะไร เพราะหลงเข้าไปในอารมณ์
ถึงแม้จะไม่กินเหล้าไม่เมามาย แต่คนเราก็สามารถจะทำอะไรด้วยความไม่รู้ตัว ถ้าหลงมากๆ จนเรียกว่าเมา ไม่ใช่เมาเหล้าแต่เมาความคิด หรือเมาอารมณ์ ทั้งๆที่ทำอะไรรู้เรื่องคุยรู้เรื่อง แต่เรียกว่าเมา เรียกว่าหลง คนเมานี่บางทีเมาหนักๆนี่ไม่รู้เรื่องคุยไม่รู้เรื่อง แต่เมาความคิด เมาอารมณ์นี่ยังพอรู้เรื่อง แต่ว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว ก่อความเสียหาย บางทีก็เป็นความทุกข์ ก่อความทุกข์แก่ตัวเองหากจมเข้าไปในอารมณ์ หรือหลงเข้าไปในความคิด คนเรานี่หลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์นี่เป็นวันๆ ทั้งๆที่ทุกข์ ทุกข์มากเลย แต่ก็ไม่รู้ตัว คนเราทุกข์โดยไม่รู้ตัวกันทั้งนั้น เพราะถ้ารู้ตัวมันไม่ทุกข์หรอก
แปลกใจว่าเวลาทุกข์มันจะไม่รู้ตัวได้อย่างไร คนเราเวลาทุกข์ก็มักจะบ่นโอดครวญว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันโชคร้ายแบบนี้ ก็ดูเหมือนว่าเขารู้ตัวว่าเขาทุกข์ แต่ที่จริงนี่มันไม่ใช่รู้ตัวในความหมายที่เราพูดถึง ความเป็นทุกข์ มากกว่ารู้ทุกข์ คนเราเพียงแค่ รู้ตัว ในเวลาที่ทุกข์นั้น มันหลุดนะ มันหลุด มันไม่ปล่อยให้ความทุกข์มาครองใจ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครองใจ จนเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้น
มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธออยู่กับสามีมาอย่างมีความสุข อยู่กันมา 10 ปี แล้ววันหนึ่งก็มาพบความจริงว่าสามีนี่นอกใจมาหลายปีแล้ว เธอโกรธแค้นมาก ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าถ้าเธอไม่มีสามีคนนี้เธอจะอยู่อย่างไร แต่พอรู้ความจริงนี้ เจ็บปวดแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจเลิกกัน มันเป็นการตัดสินที่เจ็บปวด แต่ก็เป็นวิธีเดียว เป็นวิธีที่ดีที่สุด ตอนนั้นโกรธสามีมาก เวลาพูดจาทะเลาะกันนี่ขึ้นกูขึ้นมึงกันเลย จากที่เคยใช้คำว่าเธอหรือฉัน ขึ้นกูขึ้นมึง เลิกกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ทีแรกเธอคิดว่าถ้าเลิกกันเธอคงจะแย่ เพราะอยู่กับเขามานาน แต่ว่าตอนหลังก็ดีใจรู้สึกว่าทำใจได้ อดชมตัวเองไม่ได้ว่าเราทำใจได้ นึกว่าจะอยู่โดยที่ไม่มีเขาไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นต่อมาประมาณเดือนเศษๆหลังจากที่แยกทางกัน เธอก็ไปเข้า คอร์สปฏิบัติธรรม เธอก็เข้าคอร์สอยู่เป็นประจำและนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอทำใจได้กับการที่ต้องหย่าร้างกับสามีเธอคิดอย่างนั้น แต่ว่าคราวนี้พอไปเข้าคอร์ส แค่วันแรกนี่จิตใจรุ่มร้อนมาก เพราะว่าคิดถึงแต่สามีที่ทรยศหักหลังเธอ ใจนี่มันบ่นก่นด่าสามี เหมือนกับว่าเอาเวลาของเธอที่ดีๆไปถึง 11 ปี เอาไปปู้ยี่ปู้ยำหมดกลายเป็น 11 ปีที่สูญเปล่า มันร้อนรุ่มจนกระทั่งเธอก็แปลกใจว่าคิดว่าทำใจได้แล้ว ที่จริงอาจเป็นเพราะว่าตอนก่อนที่จะมาเข้าคอร์ส เธอทำโน่นทำนี่มีอะไรทำเยอะแยะ ใจมันก็เลยไม่ว่างที่จะมาคิดเรื่องสามีที่ทรยศหักหลัง แต่พอมาปฏิบัติธรรมนี่เหมือนกับว่ามันว่าง ไม่มีอะไรทำมากจึงได้หวนกลับไปนึก วันที่สองก็ยังร้อนรุ่มเหมือนเดิม ทุกข์มากเลยไม่มีความสุขหาความสงบเย็นไม่ได้เลย ขนาดมาเข้าคอร์ส วันที่สามก็ยังร้อนรุ่มคั่งแค้น ก็แปลกใจตัวเองว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น ในวันที่สามมีช่วงหนึ่งขณะที่เธอกำลังเดินจงกรมอยู่ เดินเป็นชั่วโมง เธอก็กุมมือไว้ข้างหน้า อยู่ในท่านั้นเป็นชั่วโมงก็เมื่อย เธอก็ปล่อยมือ พอปล่อยมือความเครียดก็หายไป รู้สึกผ่อนคลาย ชั่วขณะนั้นเองที่เธอได้คิดว่า คนเราพอปล่อยก็สบาย ที่เครียดเพราะไปยึดไปถือเอาไว้ พอได้คิดตรงนี้ใจมันก็โล่งไปด้วยเลย ช่วงเวลานี้เองที่เธอได้รู้ว่าที่เธอทุกข์เพราะเธอไปยึดเอาไว้ เรื่องสามีมันก็ผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ก็ยังหวนไปคิดไประลึกถึงแล้วก็เกิดความโกรธแค้น ก่อนหน้านั้นเธอไม่รู้ตัวว่าเธอไปยึดมันเอาไว้ ทั้งที่ทุกข์เหลือเกินแต่ก็ยังไปยึดมันเอาไว้ แต่พอรู้ตัวจากการที่ปล่อยมือนี่ มันวางเลย เรื่องอดีตสามีที่ทรยศหักหลัง เธอวางเลย ใจก็โล่งสบาย ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะเราไปยึดเอาไว้ ความทุกข์มันเกิดเพราะไปยึด
ทำไมถึงยึดทั้งที่ทุกข์ เพราะไม่รู้ตัว มันหลงเข้าไปในอารมณ์ความโกรธความแค้น พอโกรธแค้นแล้ว อารมณ์ความโกรธนี่ทำให้จิตเพ่งเป้าไปที่สามี เขาเรียกว่า ส่งจิตออกนอก พอจิตมันส่งออกนอก มันไม่กลับมารู้ตัวจนกว่าจะมามองตน มองตนเมื่อไรก็รู้เลยว่าเราไปแบกเอาไว้ นี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ใช่เป็นเรื่องพิเศษยกเว้น มันเกิดขึ้นกับคนทั่วไป ก็คือเราทุกข์เพราะยึด ที่ยึดเพราะหลง หลงเพราะถูกอารมณ์ครอบงำ คือความโกรธความแค้น ในช่วง 3 วันแรกที่เธอทุกข์นี่ ต้องเรียกว่าไม่ได้รู้ตัวว่าทุกข์ แค่รู้สึกว่าทุกข์ เจ็บแค้นเหลือเกิน แต่ไม่รู้ตัวหรอก เพราะว่าถ้ารู้ตัวมันไม่ทุกข์ พอเธอรู้ตัวว่าแบกไว้นี่เธอวางเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาทุกข์ ให้รู้ว่าเราทุกข์ เพราะเราไม่รู้ตัวเพราะเราหลง ถ้ารู้เมื่อไหร่มันไม่ทุกข์ แต่ที่ทุกข์เพราะไม่รู้ตัวเพราะหลง หลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์ และพอหลงเข้าไปนี่มันหาความสงบในจิตใจไม่ได้ รอบตัวแม้จะสงบสงัดไม่มีเสียงดัง แต่ว่าหาความสงบในจิตใจไม่เจอ เพราะมันรุ่มร้อนมันทุกข์ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะหลง
ฉะนั้นจึงมีความสำคัญมากที่เราต้องทำ ความรู้ตัว ให้เกิดขึ้น อย่างที่พูดไว้เมื่อวันสองวันก่อนว่า ความสงบเกิดขึ้นได้เพราะ รู้ หลายคนปรารถนาความสงบด้วยการตัดการรับรู้ ปิดตาอยู่ในห้องที่ไม่มีเสียงมารบกวน บางทีก็นั่งนิ่งๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปรับรู้ ไปเจอภาพเจอเสียง ที่จะมากระทบให้ใจกระเพื่อม เรารู้จักแต่ความสงบแบบนี้ สงบเพราะไม่รู้ หรือสงบเพราะตัดการรับรู้ แต่ที่จริง ความสงบมันเกิดขึ้นได้ ก็เพราะรู้ด้วย คือ รู้ตัว เพราะฉะนั้นการสร้าง ตัวรู้ ให้เกิดขึ้นจึงสำคัญมาก การปฏิบัติที่นี่แม้ว่าดูเหมือนไม่ได้ทำให้ใจสงบ ไม่ได้นั่งนิ่งๆ ต้องยกมือ ต้องลืมตา แต่ว่าอันนี้เป็นอุบายและเป็นวิธีที่จะทำให้เกิด ตัวรู้ และทำให้เกิดตัวรู้ ถี่ ต่อเนื่อง ยืดยาว
แต่ละวันของเรานี่มัน รู้ มากกว่า หลง มันยังหลงอยู่ แต่ก็ให้รู้มากกว่าหลง อย่าให้หลงมากกว่ารู้ และถ้าเรารู้มากขึ้นๆ ถี่ขึ้นๆ จนกระทั่งขับไล่ความหลงให้หายไปทีละน้อยๆ เราก็จะมีจิตใจที่โปร่งเบา สุข แล้วก็สงบเย็นมากขึ้น ไม่ต้องหลีกลี้หนีมาอยู่ป่า ไม่ต้องหลบมาเข้าวัด ไม่ต้องปิดตา แต่เพราะตัวรู้นี่ ไม่ปล่อยให้จิตหลงไปในความคิดหรืออารมณ์ หรือรู้ทันเวลาความคิดฟุ้งซ่านมันเข้ามาครอบงำจิต หรือว่าอารมณ์อกุศลต่างๆมาครอบงำก็รู้ รู้แล้วก็วาง ไม่ปล่อยให้เข้ามาครอบงำใจ ความสงบโปร่งเบาก็เกิดขึ้น แล้วเราก็สามารถจะทำสิ่งที่ถูกต้องได้ตามปัญญาที่เรามี ซึ่งแบบนี้ก็ต้องอาศัยความรู้อีกแบบหนึ่งด้วย คือรู้ความจริง นี้เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง แต่ต้องอาศัยการรู้ตัวเป็นพื้นก่อน
รู้ตัว นี้ รู้ตัวเห็นกายเห็นใจ รู้กายรู้ใจ แล้วต่อไปมันจะรู้ความจริงของกายและใจ รู้ความจริงของชีวิต การรู้แบบนี้เขาเรียกว่าเกิด วิชชา ตรงข้ามกับ อวิชชา อวิชชา มันนอนเนื่องอยู่ในใจ เราต้องสร้าง วิชชา มาแทนที่ อวิชชา แต่วิชชาจะเกิดขึ้นได้ หรือปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยตัวรู้ตัวแรก คือ ความรู้ตัว ซึ่งก็มาคู่กับอาการไม่ลืมตัว คือ มีสติ สติกับสัมปชัญญะ นี่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นก็ให้มีฉันทะ มีความเพียรในการสร้าง ตัวรู้ นี่ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ