แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้คณะครูและเจ้าหน้าที่โรงเรียนวรรณสว่างจิต ก็จะสิ้นสุดการอบรม จากเที่ยงนี้ไปก็จะได้เดินทาง จุดหมายในใจของทุกคนก็คงได้แก่บ้าน หลายคนก็นึกถึงบ้านแล้วตอนนี้ รวมทั้งผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นด้วย แต่ก็อย่าลืมเมื่อคืนนี้เราก็คงได้ตระหนักแล้วว่า วันนี้จุดหมายของเราคือบ้านก็จริง แต่วันหน้าปลายทางของชีวิตเรา ก็คือเชิงตะกอน ปลายทางที่ว่านี่มันมาถึงแน่ ให้หมั่นเตือนใจระลึกถึงความจริงข้อนี้อยู่เสมอ เพื่อว่าจะได้ตระหนักว่า เรายังมีหลายอย่างที่ต้องทำ เมื่อคืนหลายคนเศร้าโศกเสียใจ เพราะว่าเสมือนกับได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ได้จากคนรัก จากพ่อแม่ จากลูก จากสิ่งต่างๆที่รักและหวงแหน หลายคนก็ร้องไห้ แต่ข่าวดีก็คือว่าเรายังไม่ตาย เรายังมีลมหายใจอยู่ พ่อแม่ลูกหลานคนรักของเราก็ยังอยู่ กำลังรอเราที่บ้าน และนี่คือโชค กี่คนที่จะตระหนักว่า เรายังโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ กี่คนที่ตระหนักว่าเรายังโชคดีที่ยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ไม่พิการ กี่คนที่ยังตระหนักว่าเรายังโชคดี ที่ยังมีพ่อมีแม่ มีคนรักสามีหรือภรรยาอยู่เคียงข้าง มีลูกรอเราอยู่ที่บ้าน
เป็นเพราะคนเราไม่ตระหนักว่า เรามีโชคเหล่านี้อยู่ เราจึงปล่อยเวลาที่มีค่าให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วก็อาจจะทุกข์ ทุกข์เพราะเรื่องอื่น ทุกข์เพราะเรื่องงาน ทุกข์เพราะยังไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเลื่อนขั้น หรือทุกข์เพราะยังไม่ได้มีรถมีบ้านเหมือนคนอื่นเขา หารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วยังมีสิ่งดีๆอยู่กับเรามากมาย แต่สิ่งเหล่านั้น คนเหล่านั้น สักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป คือถ้าเราไม่เป็นฝ่ายจากเขา เขาก็จากเรา อย่ารอให้วันนั้นมาถึง แล้วจึงค่อยรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเรามีโชคเหลือเกิน แต่เราลืม เรามองข้ามไป อย่าให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยตระหนักว่า หรือ ระลึกว่า เราปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรกับเขาเลย ไม่ได้ทำดีกับเขา ไม่ได้ให้เวลากับเขา หรือ ไม่ได้มีความสุขมีประสบการณ์ดีๆร่วมกัน เพราะเอาแต่เพลินกับความสุขส่วนตัว หรือว่าหมกมุ่นกับงานการ เพราะคิดว่าตอนนี้ทำงานหาเงินก่อน ให้ร่ำรวยก่อน แล้วค่อยมีเวลาให้กับพ่อแม่ ทำงานให้เสร็จเส้นตายมันจ่ออยู่แล้ว ต้องรีบทำให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปให้เวลากับเขา แล้วถึงเวลาเสร็จงานจริง เราก็ผัดผ่อนไปเรื่อย
เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว คำว่า เดี๋ยว นี่มันทำร้ายคนมาเยอะแล้ว ควรจะไปเยี่ยมพ่อแม่สักที เสาร์อาทิตย์นี้แหละไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว เดี๋ยว เดี๋ยว เพื่อนชวนไปภูเก็ต เพื่อนชวนไปเที่ยวฮ่องกง เดี๋ยวก่อน กลับมาแล้วค่อยไปหาท่าน คนที่คิดแบบนี้น้ำตานองหน้ามาหลายคนแล้ว เพราะว่าพอ เดี๋ยว เดี๋ยว ปรากฎว่าในที่สุดคนที่รักก็จากไป แล้วก็มาเสียใจว่าเราไม่น่าผัดผ่อนเลย ต้องเปลี่ยนจากคำว่า เดี๋ยว หรือ เดี๋ยวก่อน เป็น เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ ทำเดี๋ยวนี้เลย และถ้าเราทำเดี๋ยวนี้ มันจะไม่มีอะไรที่ติดค้างใจ เพราะความรู้สึกผิดที่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไป พยายามปฏิบัติกับคนที่เรารักเสมือนกับว่า วันนี้คือวันสุดท้ายของเรา หรือเป็นวันสุดท้ายของเขา
และนอกจากการทำดีกับคนที่เรารัก ไม่ผัดผ่อน ไม่เอาแต่ประเดี๋ยว ประเดี๋ยว และก็อย่าลืม ทำดีกับตัวเองด้วย เป็นมิตรกับตัวเองให้ได้ ทำให้กายและใจนี้มันเป็นมิตรกับเรา ซึ่งก็ต้องเริ่มต้นด้วยการจากการที่เราเป็นมิตรกับกายและใจนี้ให้ได้ โดยเฉพาะจิตใจสำคัญมาก ดูแลใส่ใจจิตใจให้ดี มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ อย่าให้ความหลงมันครอบงำ เพราะถ้าความหลงมันครอบงำแล้ว เดี๋ยวมันก็ชักพาเอาความโกรธ ความเศร้า ความแค้น ความพยาบาท ความรู้สึกผิดติดค้างใจ มาครองจิตครองใจของเรา จนหาความสุขความสงบไม่ได้ ต้องหมั่นพาใจกลับมา กลับมาอยู่บ้าน เอากายเป็นบ้านของใจ ทำอะไรใจก็รับรู้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ใจก็ยังอยู่กับเนื้อกับตัว อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ซักผ้า ล้างจาน อย่าให้ทำแต่กาย ใจก็รับรู้ด้วย เรียกว่ากายทำอะไร ใจก็รับรู้ หรือพูดอีกอย่างคือว่า ทำอะไรด้วยใจเต็มร้อย อย่างนี้แหละจึงเรียกว่า ใช้ชีวิตเต็มร้อย
หลายคนบอกว่า ฉันอยากใช้ชีวิตเต็มร้อย แต่ว่าเวลาทำอะไรใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ด้วยความหลง อยู่ด้วยความลืม มันจะเป็นชีวิตที่เต็มร้อยได้อย่างไร ชีวิตที่เต็มร้อยเกิดขึ้นได้เพราะว่า ทำอะไรใจก็อยู่กับสิ่งนั้นทั้ง 100% ไม่แบ่งภาคไม่แบ่งครึ่ง ไม่ใช่กินข้าวไปก็ใจมันก็นึกถึงงาน อาบน้ำไปใจก็นึกถึงว่าเดี๋ยวจะทำอะไรข้างหน้า ใจมันไม่เต็มร้อยกับสิ่งที่ทำอยู่ข้างหน้า แล้วจะใช้ชีวิตเต็มร้อยได้อย่างไร คำว่า ใช้ชีวิตเต็มร้อย ก็เป็นเพียงแค่คำลวงของตัวหลง ตัวหลงมันก็พยายามหลอกเราว่าใช้ชีวิตเต็มร้อยต้องแบบนี้แหละ แต่ที่จริงมันทำให้เราจมอยู่ในความหลงมากขึ้น อาจจะให้ความสุขชั่วคราว แต่ว่าตามมาด้วยความทุกข์ที่ยาวนาน
มีบ้านรออยู่ข้างหน้าเราแล้ว แต่นั่นเป็นบ้านของกาย ส่วนใหญ่ยังหาบ้านให้ใจไม่ได้ ใจที่ระหกระเหิน ระเหเร่ร่อน แล้วสุดท้ายก็กระเซอะกระเซิงกลับมาด้วยความเหนื่อยล้า เสร็จแล้วก็เลยเปิดช่องว่างให้ความหลง ให้ความทุกข์ เข้ามาเล่นงาน เข้ามารังควานหรือเบียดบัง เอากายนี่เป็นบ้านของใจอยู่เสมอ ทำอะไรก็รู้เนื้อรู้ตัว ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น นี่เป็นหลักง่ายๆ ให้ถือหลักนี้ก็ได้ว่า เห็นกายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อถูกเมื่อเจอสิ่งกระทบ
คนเรานี่มันก็ทำแค่สองอย่างนี้ 24ชั่วโมงหรือตลอดชีวิต ก็คือทำอย่างนั้น ทำนู่นทำนี่ กับ เจอนั่นเจอนี่ เมื่อเราทำอะไรก็ให้รู้ตัว เรียกว่า รู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึก เมื่อมีสิ่งมากระทบหรือเมื่อเจอผัสสะ แค่นี้แหละก็จะช่วยทำให้ใจเรามีที่พึ่งและใจมันก็จะกลายเป็นที่พึ่งพาของเราในที่สุด อยู่ไหนก็มีความสุข ไกลบ้าน ตัวไกลบ้านแต่ใจอบอุ่นมีความสุขอยู่เสมอ