แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่พวกเราได้มาทำวัตร กราบคารวะพระรัตนตรัยและฟังธรรม โดยที่เรานั่งอยู่ อาศัยพื้นดิน รอบตัวเป็นต้นไม้เป็นธรรมชาติ ข้างบนเป็นท้องฟ้า แตกต่างจากการทำวัตรสวดมนต์ปกติ ที่เราทำกันในศาลา บางครั้งก็ทำกันในโบสถ์ การที่เรามาทำวัตรกันท่ามกลางธรรมชาติบนพื้นดินนี่ ถือว่าเป็นเกียรติไม่ใช่เป็นเรื่องต่ำต้อย เพราะนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกในสมัยพุทธกาลได้บำเพ็ญปฏิบัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้กับปัญจวัคคีย์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์กลุ่มแรก พระองค์ก็แสดงธรรมบนพื้นดินนั่นเอง และก็ในป่าท่ามกลางธรรมชาติ มันไม่ใช่ง่ายที่เราจะมีโอกาสมาทำวัตรสวดมนต์กลางดินท่ามกลางธรรมชาติ มีท้องฟ้าเป็นเสมือนหลังคา เป็นการเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกในสมัยพุทธกาลรุ่นแรกๆ
สมัยนี้เรารู้สึกว่า เรื่องการที่จะมานอนกลางดินก็ดี มาทำวัตรบนที่โล่งโปร่งแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องต่ำต้อย ไม่เหมือนกับการที่ไปทำวัตรกันในโบสถ์ในวิหาร ซึ่งหลายแห่งหลายที่ก็ราคาเป็นสิบล้านร้อยล้านพันล้าน แต่ว่าในความหมายที่ลึกซึ้งแล้วนี่ มันสู้การที่เรามาทำวัตรกลางดิน มีธรรมชาติรายล้อมไม่ได้ ธรรมชาตินี่ก็เป็นเหมือนแม่ของเรา มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เหมือนอยู่ท่ามกลางโอบกอดของแม่ที่ได้เลี้ยงดูเรามา ธรรมชาติก็เปรียบเหมือนแม่ที่สองของเรา พวกเราหลายคนก็มีชื่อเล่นเป็นชื่อที่มาจากธรรมชาติ ต้นน้ำ ธารใส ต้นข้าว หรือว่าทิวไม้ นี่ชื่อธรรมชาติทั้งนั้น ข้าวฟ่าง กระแต มีอะไรอีก พวกเรามีชื่อที่เป็นธรรมชาติ ทำไมพ่อแม่ให้ชื่อที่เป็นธรรมชาติแก่เรา เพราะว่าพ่อแม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ แต่พวกเราหลายคนที่มีชื่อที่เป็นธรรมชาติอย่างที่ว่ามา แต่ว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติเลย ก็เรียกว่าเสียโอกาส ควรภาคภูมิใจที่เรามีชื่อที่อิงกับธรรมชาติ ขุนเขา ท้องฟ้า ทะเลก็เป็นชื่อของหลายคน ชื่อจีนของหลวงพ่อก็ทะเล
การที่เรามีชื่อผูกพันกับธรรมชาติ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ คนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของธรรมชาติ จะรู้สึกว่าบางทีก็น่าอายว่าเรามีชื่อนี้ ดูมันต่ำต้อย ไม่เหมือนชื่อที่เป็นภาษาบาลี เข้าใจยาก แปลไม่ได้ แต่รู้สึกว่ามันโก้เก๋ แต่การที่เรามีชื่ออิงธรรมชาติมันก็เพราะว่า พ่อแม่เราเห็นความสำคัญของธรรมชาติ หรือถึงแม้หลายคนไม่มีชื่อเป็นธรรมชาติ แต่ว่าเราก็ต้องเคารพธรรมชาติ เพราะว่าที่เราเกิดมาได้ก็เพราะธรรมชาติ เนื้อตัวเรานี้มันธรรมชาติล้วนๆเลย
ในตัวเรามีน้ำอยู่ในตัว70% - 80% ในตัวเราที่เห็นเป็นก้อน70% - 80% คือน้ำ น้ำมาจากไหน ก็มาจากธรรมชาติ มาจากลำห้วย ลำธาร มาจากฝน มาจากท้องฟ้า ไม่ได้มาจากที่ไหนเลย แม้แต่น้ำที่เราซื้อมาจากเซเว่น มันก็มาจากธรรมชาติ เนื้อหนังของเรา กระดูกของเรามาจากไหน มาจากอาหาร อาหารที่เรากินคืออะไร ก็มีผัก ผักมาจากไหน ผักก็ปลูกบนดินใช่ไหม มันก็ดูดเอาแร่ธาตุ แคลเซียม โพแทสเซียม ไนโตรเจน จากดิน บางทีก็เอาคาร์บอนมาจากอากาศ คาร์บอนไดออกไซด์ จริงอยู่เรากินปลากินเนื้อ แต่ปลาและเนื้อมาจากไหน พวกปลาและเนื้อหรือสัตว์ มันก็กินผักเป็นอาหาร แล้วผักมาจากไหน ผักก็มาจากดิน เพราะฉะนั้นเนื้อตัวเราทั้งแท่งไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม ตั้งแต่เส้นผมลงมาจนถึงกระดูก ธรรมชาติทั้งนั้น และธรรมชาติที่ว่าก็มีดินเป็นจุดกำเนิด เพราะฉะนั้นเราควรจะระลึกถึงบุญคุณของธรรมชาติ และรู้สึกว่าการที่เราได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีห้องติดแอร์ ยิ่งเราเป็นนักบวชด้วยแล้ว ยิ่งต้องหันมาใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น
ทุกเช้าเราบิณฑบาต ตอนบิณฑบาตเท้าเราสัมผัสพื้น เพราะว่าเท้าเราไม่ได้ใส่รองเท้า ทุกเช้าเราได้มีโอกาสย่างเหยียบบนพื้นดิน นี้มันเป็นสัญลักษณ์ว่า คนเราทุกคนแยกขาดจากธรรมชาติไม่ได้ แต่บางครั้งเราก็ลืมไปว่าเราต้องพึ่งพิงอาศัยธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพราะเดี๋ยวนี้ เรามีชีวิตที่เหินห่างจากธรรมชาติมาก หลายคนมาจากในเมือง บ้านก็เป็นตึก น้ำก็มาจากก๊อก เดี๋ยวนี้ถามเด็กว่าน้ำมาจากไหน เด็กก็จะตอบส่วนใหญ่ว่าน้ำมาจากก๊อก ถ้าเป็นเด็กที่อยู่กับหมู่บ้านอยู่กับธรรมชาติก็จะตอบว่าน้ำมาจากลำห้วย และน้ำจากลำห้วยมาจากไหน มาจากป่า เด็กก็จะรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลำห้วย ป่า ภูเขา นี้คือสมัยก่อนหรือว่าชนบทสมัยนี้ก็ยังเห็นความผูกพันสัมพันธ์กัน แต่ว่าเด็กที่เกิดในเมืองอยู่ในเมืองจะไม่ค่อยเห็นแล้ว ถามว่าผักมาจากไหน อาหารมาจากไหน หลายคนก็ตอบมาจากเซเว่น ที่จริงมันก็มาจากฟาร์ม มาจากไร่ ข้าวก็มาจากท้องนา เรานี่เป็นหนี้บุญคุณธรรมชาติมาก
นี้คือเหตุผลที่ค่ายสามเณรและศีลจาริณี พาพวกเรามาที่นี่เพื่อมาได้สัมผัสกับธรรมชาติ เรียกว่าคืนสู่รากเหง้าของเรา ธรรมชาติคือรากเหง้าของเรา เป็นกำพืดของเราที่เราต้องรู้จัก คนสมัยนี้ไม่รู้จักรากเหง้า ไม่รู้จักกำพืด คนเราถ้าไม่มีรากเหง้า ไม่รู้จักกำพืด หรือไม่เคารพรากเหง้า กำพืดของตัวเอง หาความเจริญได้ยาก และพอเราไม่รู้จักรากเหง้า ไม่รู้จักกำพืดที่ผูกโยงกับธรรมชาติก็เลยทำลายธรรมชาติกันขนานใหญ่ เรารู้สึกว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่าต่ำต้อย ถ้าเท้าเหยียบดินสัมผัสดินถือว่าเป็นเรื่องที่สกปรก แต่ที่จริงมันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจมาก เท้าได้สัมผัสดิน เท้าเปล่านี่แหละ มนุษย์เราเป็นหนี้ธรรมชาติเยอะ และเราก็สามารถจะเรียนรู้จากธรรมชาติได้หลายอย่าง ที่โลกเจริญทุกวันนี้ได้ก็เพราะอาศัยธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เอาแร่ธาตุจากธรรมชาติมาสร้างตึก มาสร้างถนน มาทำเครื่องบินเท่านั้น เรายังเอาความรู้จากธรรมชาติมาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีสร้างความเจริญให้กับเรา ธรรมชาติมีอะไรให้เรียนรู้ได้เยอะเลย
พวกเรานี้อาจจะเคยได้ยิน หรือบางคนอาจจะเคยนั่งรถไฟความเร็วสูง มันกำเนิดที่ประเทศอะไรรู้ไหม ญี่ปุ่น เขาเรียกว่า รถชินคันเซ็น ประมาณสัก 50 ปีมาแล้วที่ญี่ปุ่นเขาผลิตรถไฟที่เร็วสูงมาก ชินคันเซ็นแปลว่ากระสุน มันเร็วพอๆกับกระสุนปืน เขาเลยตั้งชื่อว่าชินคันเซ็น ตอนที่เขาสร้างใหม่ๆ เขามีปัญหาว่ารถไฟมันเร็วก็จริงแต่ส่งเสียงดัง เสียงดังมากจนกระทั่งผู้คนที่อยู่ริมทางรถไฟรำคาญ ขนาดบ้านเรารถไฟความเร็วประมาณ 80 กม. /ชม. ชาวบ้านที่อยู่ริมทางก็บ่นแล้ว แต่ชินคันเซ็น มันเร็ว 3 เท่า 200 กม./ชม. แล้วพอมันเสียงดังก็ทำให้มันเร่งความเร็วมากไม่ได้ ยังเร่งได้อีกเป็น 300 กม. 400 กม. แต่มันดังมาก แล้วจะทำยังไง ก็มีวิศวกรสังเกตนกกระเต็น นกกระเต็นมันกินปลาเป็นอาหาร เวลากินปลามันจะใช้วิธีโฉบลงมา ลงมาที่ผิวน้ำ มันอาจจะเกาะอยู่บนก้านบัว หรือเกาะอยู่บนกิ่งไม้หักๆ คอยดูว่ามีปลาโผล่มาที่ผิวน้ำ แล้วมันก็จะโฉบลงมาเลย บางทีมันอยู่ที่สูงอยู่บนต้นไม้มันก็โฉบลงมา เขาสังเกตว่ามันโฉบลงมานี่เงียบกริบปลาไม่รู้สึกเลย พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกมันคาบไปแล้ว ก็สังเกตว่าอะไรทำให้นกกระเต็นมันสามารถโฉบลงมาด้วยความเร็วสูง สำหรับธรรมชาติและก็เงียบมาก เพราะว่ามันต้องมีแรงต้านจากธรรมชาติ แรงต้านจากอากาศ ก็พบว่าจะงอยปากมันช่วยลดแรงต้านจากอากาศได้ เขาก็เลยปรับหัวรถไฟ ให้มันเรียวเหมือนกับจะงอยปากของนกกระเต็น ให้เรารู้เวลาเราดูรถไฟแรงสูง หัวรถไฟที่เป็นแบบนี้เพราะเขาไปเลียนแบบธรรมชาติ มันได้ผล พอทำให้เรียวแบบจะงอยปากของนกกระเต็น รถไฟความเร็วสูงก็จริงแต่เสียงดังน้อยลง แต่ก็มีปัญหาอีกเพราะรถไฟมันใช้ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีไฟฟ้าส่งจ่ายมาที่รถไฟตลอดเวลา ต้องมีเสาอากาศ ไปรับไฟฟ้าจากสายไฟ เราสังเกตรถไฟฟ้าแรงสูง ข้างบนมันจะมีลวดส่งไฟฟ้า ทีนี้รถชินคันเซ็นก็ต้องมีเสานี่ยื่นไปแตะสายไฟฟ้า ทีนี้พอแตะปรากฏว่ามันเสียงดัง เพราะมันเกิดการสัมผัส เกิดการเสียดสี เพราะตัวเสาอากาศ ทำให้เร่งความเร็วไม่ได้อีก แก้ปัญหาที่หัวไปได้แต่มีปัญหาที่เสารับไฟฟ้า ก็มีนักวิศวกรสังเกต นกฮูก นกเค้าแมว เวลามันโฉบลงมามันก็เงียบเหมือนกัน นกเค้าแมวนี่จะงอยปากมันจะไม่เหมือนกับนกกระเต็น แต่ทำไมเวลามันโฉบมาเสียงเบามาก ก็สังเกตว่าตรงปีกมัน จะมีเงี่ยงเล็กๆอยู่ตรงปลายปีก ซึ่งช่วยลดเสียงดังได้ เขาศึกษาจนพบว่า นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้นกฮูก นกเค้าแมว โฉบลงมาด้วยความเร็วแล้วเสียงเงียบมากเลย หนูนี่ไม่ทันกระดิกเลยเสร็จไปแล้ว เขาก็เลยทำให้ตรงเสารับไฟฟ้ามันมีเงี่ยงเล็กๆ ทำให้ช่วยลดแรงเสียดสีเวลาสัมผัสอากาศ เวลาลดความเร็วมันก็ลดการเสียดสีได้ เพราะฉะนั้นการที่เรามีรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นเพราะเราเรียนจากธรรมชาติ ธรรมชาติมันให้ความรู้กับเราได้เยอะเลย ไม่ใช่แต่ความรู้ทางโลกเท่านั้น ที่พูดมามันเป็นความรู้ทางโลกในการพัฒนาเทคโนโลยี
คนเราก็สามารถจะเรียนธรรมะจากธรรมชาติได้เหมือนกัน เรียนได้เยอะแยะเลย คนสมัยก่อนเขาช่างสังเกต แล้วเขาก็เอาธรรมชาติ เช่น สิงห์สาราสัตว์ มาสอนใจเรา เช่น เขาสังเกตว่า งูจงอางพิษมันเยอะมากแต่มันเลื้อยอย่างช้าๆ มันไม่แสดง มันไม่อวดว่ามันเก่ง มันมีพิษเยอะ ขนาดที่แมงป่องมันพิษน้อย ชูหางอวดว่ากูเก่ง กูแน่ พวกเรารู้จักโคลงโลกนิติไหม จำบทนี้ได้ไหม
นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี
เข้าใจไหม แปลว่าอะไร นาค หรือพวกงูจงอาง หรืองูเห่า พิษเยอะเหมือนกับดวงอาทิตย์เลย นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย แต่เวลามันเลื้อย จะเลื้อยอย่างช้าๆ ไม่อวดเก่ง เลื้อย บ่ ทำเดโช แช่มช้า เลื้อยช้าๆ ตรงข้ามกับแมงป่อง แมงป่องพิษน้อยหยิ่งโยโส แมงป่องพิษน้อยแต่มันหยิ่งมันอวด ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี ฤทธี คือ ฤทธิ์
เขากำลังสอนเราว่า คนเก่งเขาไม่ SHOW OFF คนเก่งคนมีอำนาจเขาไม่อวดเบ่ง คนที่อวดเบ่งอย่างแมงป่อง เพราะมันมีพิษน้อยมันก็เลยต้องอวด นี้สอนใจว่า คนเก่งคนมีอำนาจเขาไม่อวดเบ่ง เขาไม่แสดงตัว เขาอ่อนน้อมถ่อมตัว เวลาเดินไปไหนก็แช่มช้าดูไม่น่ากลัว แต่พิษนี่เหลือประมาณ ส่วนแมงป่องพิษมันน้อยแต่มันอวดมาก ใครที่ชอบอวดชอบโอ่ แสดงว่าข้างในไม่มีอะไร กลวง ผู้ชายบางคนก็ไปอวดเบ่งกับผู้หญิง คิด ว่าฉันแน่ฉันเก่ง แต่ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไร เรื่องนี้เขาสอนใจ ให้เรารู้จักเรียนจากพวกงูจงอาง พวกนาค
อีกบทหนึ่ง ถึงจนทนสู้กัด กินเกลือ อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ พวกพ้อง เคยได้ยินไหม เคยเรียนไหม ทุกวันนี้ถึงจนยังไงก็กัดกินเกลือ แต่อย่าไปเอาเปรียบใคร
ถึงจนทนสู้กัด กินเกลือ
อย่าเที่ยวแล่เนื้อเถือ พวกพ้อง
อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ สงวนศักดิ์
โซก็เสาะใส่ท้อง หาเนื้อกินเอง
นี่เขาให้เรียนจากเสือ เสือมันหิวอย่างไรก็ไม่เคยไปไถ ไม่เคยไปรบกวนใคร รู้จักพึ่งพาตนเอง อดอยากเยี่ยงอย่างเสือ สงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้อง หาเนื้อกินเอง นี้เขาสอนใจว่าคนเรานี่ถึงแม้ลำบากอย่างไรก็อย่าไปรบกวนใคร ต้องรู้จักอดทนอย่างเสือ ถ้าคนที่ไปเที่ยวแล่เนื้อเถือพวกพ้อง แสดงว่าไม่ใช่เสือแล้วเป็นหมาแล้ว แต่ถ้าเป็นเสือนี่เขาไม่ไปรบกวนใคร ถึงจนเขาก็ไม่รบกวนใคร พวกเราก็เหมือนกัน บางทีพ่อแม่ให้เงินมา เราก็ใช้เงินแบบเผลอไม่ระมัดระวัง จนกระทั่งเหลือไม่กี่บาท อาจจะเหลือสัก ๕บาทก็ไม่ไปไถเพื่อน มีแค่นี้ ๕ บาทก็ซื้อข้าวพอกินแค่นั้น ถึงหิวก็ทนเอา เพราะเราต้องรับผิดชอบกับการกระทำของเรา เราใช้เงินเยอะมันเหลือแค่ ๕ บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓๐ บาท เราก็ต้องหาทางแล้ว ๕ บาทนี้เราจะซื้ออะไรได้บ้าง ถ้าซื้ออะไรไม่ได้เลยก็ต้องยอมอด กินน้ำกรอกน้ำใส่ปากแก้หิวไปก่อน นี่คือวิถีของเสือ เราลองถามว่าอยากจะเป็นเสือหรืออยากจะเป็นหมา เรื่องนี้เขาก็สอนใจเราให้เรียนจากธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าก็สอน สอนว่า ผีเสื้อเวลามันไปดูดน้ำหวานจากดอกไม้ ผีเสื้อจะดูดน้ำหวานอย่างแผ่วเบามาก ไม่ทำให้ดอกไม้บอบช้ำ หรือสีเสียไป เรื่องนี้พระพุทธเจ้าเคยสอน เรื่องนี้ใช้สอนพระ เณรด้วยก็ได้ ว่าเราเป็นบรรพชิตเป็นนักบวชเราต้องพึ่งญาติโยม แต่เราก็อย่าไปทำให้ญาติโยมเดือดร้อน เหมือนกับผีเสื้อที่ต้องพึ่งพาดอกไม้ แต่ว่าก็ดูดน้ำหวานจากดอกไม้พอประมาณ ไม่ทำให้ดอกไม้บอบช้ำ คำสอนนี้นอกจากมาใช้กับพระหรือเณรแล้ว ก็ยังเอามาใช้กับพวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ก็ได้ มนุษย์เราต้องพึ่งพาธรรมชาติ เราพึ่งพาธรรมชาติก็อย่าทำให้ธรรมชาติเดือดร้อน ใช้น้ำ ก็ไม่ใช่พอไม่มีน้ำใช้ น้ำขาดแคลนก็ไปทำลายป่าสร้างเขื่อน มนุษย์เราเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้ ใช้น้ำกันแบบไม่บันยะบันยัง พอน้ำไม่ค่อยมีแล้วก็สร้างเขื่อนทำลายป่า ให้น้ำท่วมทำลายป่าเสียเลย ได้น้ำเยอะดีแต่ว่าป่าก็พินาศ อย่างนี้มันก็ไม่ถูก หรือว่าเราต้องการใช้ไม้จากป่า เราก็โค่นต้นไม้จนหมดเพื่อเอาไม้นี่มาใช้ มาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือมาใช้ปรนเปรอความสะดวกสบายของเรา แต่ทำลายป่า แบบนี้ไม่ใช่วิสัยของชาวพุทธ ไม่ใช่วิสัยของคนมีธรรมะ จะใช้ธรรมชาติยังไงจะพึ่งพาธรรมชาติยังไง ก็อย่าไปทำลาย เหมือนกับผึ้งก็ไม่ทำลายดอกไม้ให้เสียสีหรือบอบช้ำ ธรรมชาติสอนอะไรให้เราได้เยอะทีเดียว
แม้กระทั่งที่นี่เวลานี้ วันนี้เราขึ้นไปบนภูเขาเป็นเนิน เราผ่านส่วนที่เป็นป่าเบญจพรรณ ก็มีบางส่วนที่ถูกไฟไหม้ เราสังเกตไหม พื้นที่ที่เราไป ต้นไม้ก็ทิ้งใบ ใบมันแห้งเขาก็ทิ้งใบลงมา ทำไมต้นไม้ทิ้งใบลงมา ใบเป็นสิ่งที่ต้นไม้หวงแหน ต้นไม้หลายชนิดจะหาทางป้องกันไม่ให้สัตว์มากินใบ เช่น มีหนาม หรือว่าทำให้ใบมันขม ที่ต้นไม้หรือผักมีใบขมก็เพราะต้องการกันไม่ให้สัตว์มากิน เพราะธรรมชาติของต้นไม้เขาหวงใบ แต่ทำไมเขายอมสละใบเมื่อถึงฤดูนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นฤดูแล้งน้ำน้อย เขาก็ต้องรู้จักประหยัด เพราะน้ำเป็นอาหารของต้นไม้ เมื่ออาหารมีน้อยเขาก็ต้องประหยัด วิธีประหยัดก็คือ ต้องยอมเสีย ยอมสละ สละใบเพื่อจะได้ใช้น้ำน้อยลง
นี้เขาก็สอนเรา เวลาเรามีเงินน้อยลงเราก็ต้องยอมสละบ้าง สละความต้องการ บางคนอาจจะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเพราะว่ามีเงินเยอะ แต่บางครั้งบางคราวเงินก็น้อย บางทีพ่อแม่เรายากจน เศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี เงินที่ได้จากพ่อแม่ก็อาจจะน้อยลง วิสัยของบัณฑิตหรือวิสัยของคนมีธรรมะ ก็จะไม่รบกวนพ่อแม่ เคยใช้วันละ ๒๐๐ หรือวันละ ๑๐๐ เมื่อมีเงินน้อยลงก็ใช้วันละ 50 ยอมสละความต้องการ อาจจะเคยซื้อขนม ซื้อน้ำอัดลม ก็ใช้น้อยลง ก็งดใช้ งดกินน้ำอัดลม แต่ก่อนนี่ต้องไปซื้อไอศกรีมซื้อช็อกโกแลต เราก็ใช้น้อยลง สละ บางทีค่าใช้โทรศัพท์ของเรามันเปลืองมาก เดือนละ 500 เราก็ต้องใช้ให้น้อยลง 200 หรือ 100 แบบนี้เราต้องเรียนจากธรรมชาติ
ต้นไม้เค้าพร้อมจะสละ และเพราะเขาสละใบนี่แหละ มันทำให้เขาอยู่รอดได้จนถึงฤดูฝน แต่ถ้าต้นไม้ไม่รู้จักสละต้นไม้ก็อยู่ไม่รอด พวกเราก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ถึงเวลาที่มันขาดแคลน เงินทองขาดแคลน ก็ต้องใช้น้อยลง ต้องสละ บางอย่างอาจจะต้องไม่ใช้เลย โทรศัพท์ สมาร์ทโฟนราคาแพง แต่ก่อนอยากได้ เราก็สละไม่เอาเพราะพ่อแม่ไม่ค่อยมีเงิน หรือแม้กระทั่งทุกวันนี้เราใช้ไฟฟ้า ใช้น้ำ ใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติ แต่ธรรมชาติตอนนี้ก็มีทรัพยากรน้อยลง เราก็รู้จักยับยั้งความต้องการ สละความต้องการของเรา ใช้น้อยลงจึงจะอยู่รอดได้ มนุษย์เราไม่ค่อยได้เรียนรู้จากธรรมชาติ เราก็เลยพาตัวเองมาสู่วิกฤติ วิกฤติทั้งในระดับบุคคล ระดับครอบครัว หรือว่าระดับโลกเลยก็มี ให้เรารู้จักเรียนจากธรรมชาติบ้าง เคารพธรรมชาติ เรียนธรรมจากธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าสอนพระราหุล ตอนนั้นพระราหุลเป็นสามเณร สอนง่ายๆ สอนให้รู้จักทำใจเหมือนกับธรรมชาติ ทำใจเหมือนกับดิน ทำใจเหมือนกับน้ำ ทำใจเหมือนกับไฟ ทำใจเหมือนกับลม พระพุทธเจ้าสอนสามเณรราหุลว่า ดิน จะทิ้งอะไรลงไปที่ดิน อาจจะเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ จะเป็นขยะ ยังไงดินก็ยังเป็นดินอยู่ไม่เป็นอื่นไปได้ น้ำ เราจะฉี่ เราจะเทอะไรลงไปในน้ำ แม้จะเป็นของโสโครกสกปรก น้ำก็ยังเป็นน้ำอยู่ สามารถสลายสิ่งสกปรกให้มีพิษภัยน้อยลง ไฟ กองไฟเราจะโยนอะไรลงไป โยนสิ่งสกปรกลงไป จะเป็นถ่าน จะเป็นไม้ จะเป็นขยะ มันก็ยังเป็นไฟอยู่นั่นแหละ ลม มันพัดไปที่ไหน จะพัดกองขยะ พัดทุ่งดอกไม้ ลมก็ยังเป็นลม เรื่องนี้พระพุทธเจ้าสอนสามเณรราหุล ให้ทำใจเป็นปกติ ใครเขาจะด่าว่าเรายังไง ใจเราก็เป็นปกติ จะเจอแดด เจอร้อน ใจก็เป็นปกติ เจออากาศหนาวก็ไม่หวั่นไหว ไม่บ่น ไม่โวยวาย
สามเณรราหุลจึงเป็นสามเณรที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก เพราะว่าทำใจเหมือนกับน้ำ เหมือนกับดิน เหมือนกับไฟ เหมือนกับลม ทั้งๆที่สามเณรราหุลนี่เรียกว่าเส้นใหญ่ถ้าพูดภาษาสมัยนี้ เพราะเป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่สามเณรราหุลไม่เคยเรียกร้องอภิสิทธิ์ คณะสงฆ์จะให้ไปนอนที่ไหนก็ไม่ขัดข้อง มีช่วงหนึ่งที่วัดมีพระอาคันตุกะจำนวนมาก สามเณรราหุลไม่มีที่นอนจึงไปนอนอยู่ใกล้ๆห้องน้ำ ไม่เคยบ่นไม่เคยเรียกร้องว่าฉันเป็นลูกพระพุทธเจ้า ฉันต้องได้ที่ดีไม่มีเลย เพราะสามเณรราหุลทำตัวอ่อนน้อมหรือว่าต่ำต้อยเหมือนกับดิน เหมือนกับน้ำ เหมือนกับไฟ เหมือนกับลม คือไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ไม่บ่น ไม่ตีโพยตีพาย ยังเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เหมือนพระบางรูป อย่างพระที่ชื่อพระฉันนะ
พระฉันนะถือว่าเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า ตอนที่พระพุทธเจ้ายังไม่บวช ฉันนะก็เป็นผู้อยู่ ติดตามพระพุทธเจ้า จนกระทั่งวินาทีที่พระพุทธเจ้าออกบวช ฉันนะถือว่าเป็นคนสนิทมากกับพระพุทธเจ้า เมื่อฉันนะมาบวชแล้วก็ยังถืออภิสิทธิ์ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนคำแนะนำของใคร และก็ยังตำหนิต่อว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พูดว่า ใครๆก็พูดแต่สารีบุตร ใครๆก็พูดแต่โมคคัลลานะ ไม่เห็นพูดถึงเราเลย เรานี่เป็นคนสนิทของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่เป็นคนเรียกว่าทำตัวเหมือนกับแมงป่อง พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี อวดเบ่ง พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่เชื่อ สุดท้ายพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์ก็คือไม่คบค้าสมาคมด้วย ไม่พูดไม่คุยด้วย ไม่สอนไม่สั่ง พระฉันนะเจอไม้เด็ดแบบนี้เป็นลมเลย แต่ตอนหลังกลับตัวเป็นคนดี กลับตัวมาเป็นผู้ประพฤติดี จนกระทั่งในที่สุดประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรมจนได้เป็นพระอรหันต์ ต่างจากสามเณรราหุล ท่านมีดีเยอะแต่ถ่อมตัว เหมือนกับนาค นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พวกเรานี่ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่เราก็สามารถเรียนธรรมะได้จากธรรมชาติ อย่าเรียนแต่หนังสือ อย่าเรียนแต่ตำราอย่างเดียว สังเกตสังกาธรรมชาติ แล้วธรรมชาติจะสอนอะไรเราได้เยอะ ทั้งในเรื่องทางโลกและเรื่องทางธรรม