แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าเอ่ยชื่อ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คนไทยน้อยคนที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะว่าเป็นโค้ชทีมชาติ ซึ่งตอนนี้ก็ดังมาก เพราะว่าทีมชาติไทยก็ได้ทำผลงานในทางฟุตบอลได้ถูกใจแฟนๆ มาก หลายคนก็คงจะรู้ว่าก่อนจะมาเป็นโค้ชเขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติที่มีชื่อ เป็นกัปตัน ฝีมือดีมาก เขาว่า อาตมาไม่เคยได้ดูหรอก เพราะตอนเขาดังบวชแล้ว
เขาดังจนกระทั่งเขาไปค้าแข้งที่ต่างประเทศ ตอนแรกๆ ก็ในประเทศเพื่อนบ้าน มาเลย์ เวียดนาม ตอนหลังสโมสรอังกฤษ ดิวิชั่นสูงสุด รู้สึกจะเป็นพรีเมียร์ลีกตอนนั้น เรียกว่าอะไร ซื้อตัวเขาไปแข่ง ก็เป็นข่าวใหญ่ เพราะว่านักฟุตบอลไทยที่จะไปค้าแข้งในประเทศอังกฤษ เรียกว่าแทบจะไม่มีเลย แล้วคนก็รอดูว่าเมื่อไหร่เขาจะได้ ลงสนามแข่งในอังกฤษ เขาเองก็มีความใฝ่ฝัน แต่ว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้ลงสนามจริงซักที เพราะว่าเป็นตัวสำรองตลอด นั่งอยู่ข้างสนาม ก็เครียดมากเลย กลุ้มใจมาก เขาบอกว่าหัวแทบจะแตกเลยความเครียด แล้วก็รู้สึกว่าการไปอังกฤษของเขาเป็นความล้มเหลว ก็รู้สึกแย่
แต่ผ่านไปพักใหญ่ คงเป็นปี เวลาพูดถึงประสบการณ์เขาในอังกฤษในคราวนั้น เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เขาบอกว่า จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าผมมองไม่ออกมองไม่เห็น มองไม่ออกมองไม่เห็นอะไร มองไม่เห็นว่า ไปอังกฤษ มันมีแต่ได้กับได้ เขาก็จารนัยว่าได้อะไรบ้าง เขาก็ได้รถ ได้บ้าน ได้ภาษา ได้พัฒนาร่างกาย ได้มีมุมมองใหม่ๆ ได้เจอคนมากมาย ได้เดินทาง ได้สัมผัสกับลีกอังกฤษที่มีสีสันที่สุดในโลก เสียอย่างเดียวคือไม่ได้เล่นแค่นั้นแหละ
พอเขาเห็นอย่างนี้เขารู้สึกเลยว่า การไปอังกฤษมันมีความหมายกับเขามากเลย แล้วก็มารู้สึกว่าตอนที่มากลุ้มอกกลุ้มใจที่ไม่ได้ลงเล่น เป็นเพราะเขามองไม่เห็นว่าเขาได้อะไรบ้าง มันมีสิ่งดีๆ ที่เกิดกับเขามากมายแต่เขามองไม่เห็น เขาก็เลยทุกข์ อันนี้ก็น่าคิด อะไรที่ทำให้เขามองไม่เห็น ก็เพราะเขาจดจ้อง จดจ่ออยู่กับการที่ไม่ได้เล่น ก็หมกมุ่นจดจ้อง หรือว่ามองเห็นแต่แค่นั้น ก็เลยมองไม่ออก มองไม่เห็นว่า มันมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับเขามากมาย มาได้คิดเอาก็ตอนที่คงจะกลับมาแล้ว
อันนี้มันเชื่อได้เลยว่า คนเราทุกข์เพราะความคิดหรือว่าทุกข์เพราะมุมมอง บางทีมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวมากมาย แต่มองไม่เห็น ไปจดจ้องอยู่แต่ว่า สิ่งที่ไม่ได้ สิ่งที่ได้มองไม่เห็น เพราะไปจดจ้องอยู่ว่าเราไม่ได้เล่น ไม่ได้เล่นลงสนาม ซึ่งอันนี้จะว่าไปก็น่าเสียดาย เพราะว่าถ้าตอนนั้นเขามองแบบนี้ มองแบบว่าไปอังกฤษมีแต่ได้กับได้ เขาคงจะใช้โอกาสนั้นพัฒนาทักษะ แล้วก็พัฒนาความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอล ไม่มัวแต่เสียเวลากลุ้มอกกลุ้มใจ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ เก็บเกี่ยวบทเรียน ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะทำให้เขาสามารถพัฒนาทีมไทยได้อาจจะยิ่งกว่านี้ แต่ตอนนั้นเขากลุ้มใจ เขารู้สึกว่ามันล้มเหลว เสีย self มาก
เป็นเรื่องของมุมมองจริงอย่างที่เขาว่า มองไม่ออก มองไม่เห็นก็เลยทุกข์ คนเราทุกข์ก็เพราะเหตุนี้มากมาย มันเป็นการทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะมุมมองที่มองเห็นแต่ด้านลบ มองเห็นแต่สิ่งที่ไม่มี มองเห็นแต่สิ่งที่เสียไป ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีหรือสิ่งที่ได้ก็มีมากมาย มันก็ไม่ต่างจากเด็ก เด็กบางคนเรียกว่าแทบจะมีแทบจะทุกอย่างที่ต้องการ คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต เครื่องดนตรี มีโทรทัศน์ มีรถจักรยาน แต่ก็ยังกลุ้มอกกลุ้มใจ เพราะว่าขาดไปอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้ก็คือ กล้อง เครียดมากเลย รู้สึกว่าฉันแย่เหลือเกิน ทำไมฉันโชคร้ายแบบนี้ ก็เฝ้ารอแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้กล้อง ตัวหนึ่งก็หลายหมื่น ครั้นได้มาก็ดีใจ แต่ผ่านไปไม่กี่เดือน กลุ้มใจอีกแล้ว เพราะว่ายังไม่มีกีต้าร์ตัวที่สี่ มีมาแล้วตั้งสามตัว ก็เอาแต่กลุ้มใจ เสียใจนั่นแหละ เครียด จนกระทั่งบางทีก็อารมณ์เสียใส่พ่อใส่แม่ อันนี้เขาก็จดจ้อง มัวไปจดจ่อใส่ใจกับสิ่งที่ยังไม่มี สิ่งที่ยังไม่ได้ทั้งที่สิ่งที่มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย ยังไม่ได้พูดถึงชีวิตที่สะดวกสบาย แถมยังมีพ่อมีแม่ดูแลเอาใจใส่
แล้วคนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้กันมาก หนุ่มสาว โดยเฉพาะสาวๆ บางคนก็มีสิ่งต่างๆ มากมาย มีชีวิตที่สะดวกสบาย การเรียนก็ดี พ่อแม่ก็น่ารัก อบอุ่น เอาใจใส่ มีโทรศัพท์มือถือ มีห้องส่วนตัว แต่กลุ้มใจเพียงเพราะว่ามีสิวหรือรักแร้ไม่ขาวเนียน ก็แค่นั้น เห็นแต่แค่นั้น มันก็เลยทุกข์ไง อันนี้เรียกว่า ไปจดจ้องอยู่แต่สิ่งที่ไม่มีหรือสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่ถ้าเปิดตา เปิดใจซักหน่อยก็จะเห็นว่า สิ่งที่เรามีหรือว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเรามันมากมายเหลือเกิน ถ้ามองแบบนี้ เราจะรู้สึกว่า เราโชคดี แล้วก็จะมีความสุขได้ง่าย อันนี้จะเรียกว่า เป็นการมองแง่บวกก็ได้
มองแง่บวกความหมายก็คือว่า การที่ไม่มัวแต่จดจ้องอยู่กับสิ่งที่เสียไปหรือว่าสิ่งที่ไม่มี แต่ว่ามองเห็นเต็มตาก็สิ่งที่เรามีมันมากมายแค่ไหนหรือว่ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเรา จะว่าไปแล้วไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จก็ตาม จะเป็นความสุขก็ตาม มันขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีอะไร มีแต่มองไม่เห็นมันก็ทุกข์ ได้แต่มองไม่เห็นก็ทุกข์ อย่างซิโก้เป็นตัวอย่าง เขาได้ตั้งเยอะแยะ แต่เขามองไม่เห็น เขาก็เลยทุกข์ ที่เขามองไม่เห็น เพราะเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่ได้หรือสิ่งที่เสียไป ในทางตรงข้ามถึงแม้ว่าจะเสีย แต่ว่ามาจดจ้องอยู่กับสิ่งที่มี มันก็ทำให้มีความสุข มีกำลังใจ
มีนักปั่นจักรยานคนหนึ่ง แกปั่นจักรยาน ไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ไปประเทศต่างๆ ด้วย ข้ามไปพม่าไปถึงโน่นเนปาลแล้วก็ต่อไปอิหร่าน เรียกว่าตั้งใจจะขี่จักรยานข้ามทวีปเลยทีเดียว แกเล่าประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ประทับใจคือว่า ไปเห็นไปเนปาล โดยเฉพาะแถวใกล้ๆ เทือกเขาหิมาลัยที่เป็นช่วงที่มีความสูงมากพอสมควรก็เห็นคนขี่จักรยานเยอะแยะ บางคนก็มีอายุ หลายคนก็ป่วยเป็นมะเร็ง บางคนก็พิการ ขาพิการบ้าง แขนพิการบ้าง แต่คนเหล่านี้มีไฟมากเลย มีไฟในการที่จะขี่จักรยาน เพื่อให้ได้สัมผัสกับหิมาลัย เอเวอเรสต์ ด้วยตาของตัว แม้จะไม่มีความสามารถที่จะปีนไปถึงยอดได้ ก็แปลกใจ คนเหล่านี้ เขามีพลังมาจากไหน แล้วก็พบว่า เคล็ดลับอันหนึ่งของคนเหล่านี้คือว่า เขาไม่สนใจว่าเขาขาดอะไรบ้าง เขาเสียอะไรไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเสียแขนหรือเสียขา เพราะความพิการหรือเพราะอุบัติเหตุก็แล้วแต่ แต่เขามาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขามี แขนข้างหนึ่ง ขาข้างหนึ่งหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วเขาก็ใช้มันเต็มที่ ใช้จนสุดความสามารถ เขาก็สามารถที่จะทำสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ที่จริงคนธรรมดาก็ทำได้ แต่เป็นเพราะว่ามองไม่เป็น เลยมองเห็นแต่ว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้หรือมองเห็นแต่ข้อเสียของตัว ไม่มองว่าตัวเองมีดีอะไรบ้าง
ฉะนั้นเป็นเรื่องของมุมมองมากทีเดียว ถ้าความสุขหรือว่าความทุกข์มันก็จะขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรือว่าเรามีอะไร แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองอย่างไรต่างหาก มีมากมายแต่มองไม่เห็นก็เหมือนกับไม่มี แต่ถึงแม้จะมีน้อย แต่ว่าสนใจในสิ่งที่มีแล้วก็เกิดกำลังใจ อย่างที่ว่าตอนกลางวันก็เล่าถึงสาวที่เป็นธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือด เลือดเขาไม่ดี แต่เขาก็ไม่ท้อแท้กับชีวิต ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ เพราะว่าเขามามองว่า เขามีอะไรดีบ้าง ยังมีตาที่มองเห็น ยังมีจมูกที่หายใจได้ ยังมีหูที่ฟังเสียง ก็อย่างอื่นดีหมดหรือดีเกือบหมด ก็แค่เลือดไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ แทนที่จะมองจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี ก็มองว่าฉันมีอะไรดีบ้าง มันก็ทำให้เขามีความสุขได้ง่าย
ก็คล้ายๆ กับบางคนที่ไตวายหรือเป็นมะเร็ง ก็เคยไปเยี่ยมคนที่โรงพยาบาลที่เขากำลังล้างไตแล้วก็เป็นมะเร็ง หลายคนเขาก็สีหน้าไม่ได้หดหู่หรือว่าหมดอาลัยตายอยากหรือเศร้าสร้อย เพราะว่าเขาก็มองว่า เขายังมีอวัยวะอีกหลายส่วนที่มันยังดีอยู่ บางทีก็ไปชี้ให้เขาเห็นว่า ไตไม่ดีก็จริง แต่ว่าตายังไม่บอด ตายังดีอยู่ หูก็ยังดีอยู่ แขนก็ไม่พิการ ขาก็เดินได้ ถ้ามัวไปสนใจอยู่แต่ว่าไตไม่ดี ไปจดจ่ออยู่กับกระเพาะที่มันเป็นมะเร็ง ถ้าเห็นแค่นี้ มันไม่อยากอยู่แล้ว อยากตาย ท้อแท้ รู้สึกว่าฉันเป็นมะเร็ง ฉันเป็นมะเร็ง แต่ถ้ามองเห็นว่า ฉันยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่ยังดีอยู่ แค่ตามองเห็น หูได้ยิน แขนขาทำงานได้ปกติก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว เพราะว่าเป็นอิสระ สามารถจะทำอะไรช่วยตัวเองได้มากมาย แล้วถ้ามองแบบนี้ก็จะมีความสุขได้แม้ว่าจะเจ็บป่วย อันนี้ก็เป็นความหมายของการมองแง่บวก
การมองแง่บวกยังรวมถึงว่า การรู้จักเปลี่ยนสิ่งที่รับรู้ให้เป็นบวกด้วย อย่างที่เล่าเมื่อวานนี้ น้องชายกรน พระที่เป็นพี่ชายก็นอนไม่หลับ เพราะว่านอนในห้องเดียวกัน ทีแรกก็กระสับกระส่ายเพราะได้ยินแต่เสียงกรน แต่พอเขาเริ่มมองว่า เปลี่ยนเสียงกรนให้เป็นเสียงดนตรีซะ ชอบดนตรี ชอบโหมโรงของเพลงคลาสสิคบทไหนก็เปลี่ยนเสียงกรนให้กลายเป็นเสียงดนตรี ปรากฏว่าสามารถจะหลับได้อย่างสบายใจ อันนี้เรียกว่า อาศัยการจินตนาการเปลี่ยนเสียงกรนให้เป็นเสียงดนตรี เปลี่ยนสิ่งที่รับรู้ให้เป็นบวก อันนี้ช่วยทำให้สามารถจะเป็นสุขได้ เสียงกรนยังมีอยู่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่สามารถจะไปอุดปากให้เขาหยุดกรนได้ แต่เราเปลี่ยนที่ใจของเรา เปลี่ยนที่มุมมองของเรา อันนี้เป็นวิธีการที่หลายคนได้ใช้ แล้วก็สำเร็จ
อย่างที่เคยเล่า นักบินอวกาศชาวรัสเซียที่ได้ยินเสียงเหล็กกระทบกันในขณะที่กำลังลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ ทำลายความสงบ ทำลายความรู้สึกดีๆ ในระหว่างที่ลอยอยู่เหนือโลก รู้สึกรำคาญ รู้สึกหงุดหงิดเสียงนั้น พยายามหาต้นตอ หาสาเหตุ เท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แล้วยิ่งมาคิดว่าต้องเจอกับเสียงนี้ดังไปเรื่อยๆ ตลอดทริป เป็นชั่วโมงหรืออาจจะหลายชั่วโมงก็จะรู้สึกว่ามันทรมานมาก แต่พอเขาลองคิดอีกแง่หนึ่งว่า เมื่อฉันต้องอยู่กับเสียงนี้ ทำไมไม่ลองรักเสียงนี้ดู แล้วเขาก็หลับตา แล้วเขาก็จินตนาการว่า เสียงเหล็กกระทบกันซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน มันเป็นเสียงดนตรี หลับตา ทำจิตใจให้สบาย แล้วจินตนาการว่ามันเป็นเสียงดนตรี พอเปิดตาขึ้นมา เสียงเหล็กกระทบกันก็หายไปแล้ว มันเหลือแต่เสียงดนตรี จริงๆ เสียงเหล็กกระทบกันก็ยังอยู่ แต่ว่าความรู้สึกเขาเปลี่ยนไป ที่เคยทุรนทุรายกลายเป็นสงบ อันนี้เราเปลี่ยนเสียงที่เป็นลบให้กลายเป็นบวก ซึ่งทำได้ที่ใจของเรา
ที่จริงไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ต้องเปลี่ยนให้เป็นบวกก็ได้ เพียงแค่ยอมรับมัน ไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับมัน อย่างที่หลวงพ่อชาท่านบอกลูกศิษย์ที่เป็นพระว่า เสียงมหรสพงานศพของชาวบ้าน ที่มันดังสามวันสามคืน ทั้งวันทั้งคืน ตีหนึ่ง ตีสอง ยังไม่เลิก ท่านเตือนว่า เสียงมันไม่ได้รบกวนเรา เราไปรบกวนเสียงต่างหาก เราในที่นี้หมายถึงใจเราไปรบกวนเสียง คือใจเราไปรู้สึกลบกับมัน ไม่ชอบมัน ต่อต้าน ผลักไส ทะเลาะวิวาทกับมัน รำคาญมัน เพียงแค่ยอมรับมัน เสียงก็ทำอะไรเราไม่ได้ พอยอมรับมัน ไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับมัน ใจก็สงบ ถึงเวลาหลับก็หลับได้สบาย อันนี้เรียกว่ายอมรับ เพียงแค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ช่วยได้เยอะแล้ว
สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าความเจ็บป่วย ไม่ว่าแดดร้อนอากาศหนาว เสียงดังหรือแม้แต่ความปวด ความเมื่อยหรือความคันที่ยุงมากัด ลองสังเกต มันไม่ใช่แค่ปวดที่กายเท่านั้น มันปวดที่ใจด้วย มันมีความทุกข์ที่ใจ แล้วความทุกข์ที่ใจมันยิ่งกว่าความทุกข์ที่กาย ถ้าสมมติว่าความทุกข์มีร้อยส่วนหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ความทุกข์ใจ มันก็กินเข้าไปแล้วหกสิบ เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์หรือว่าหกสิบ เจ็ดสิบส่วน อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นความทุกข์กาย ความปวด ความเมื่อยหรือความเจ็บ ความคันก็แล้วแต่ แต่ความทุกข์ใจเกิดจากอะไร เกิดจากใจที่ไม่ยอมรับใจที่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับความทุกข์กายที่เกิดขึ้น เช่น ความปวด ความคัน ความเมื่อย จะพูดแบบหลวงพ่อชาก็ได้ว่า ความปวด ความเมื่อย ความคันมันไม่ได้รบกวนเรา แต่เราต่างหากไปรบกวนมัน ก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกับมัน ไปกดข่มมัน รำคาญมัน ไม่ชอบมัน ไปสู้รบตบมือกับมัน เพียงแค่เราทำใจยอมรับมัน มันจะเกิดก็เกิดไป อันนี้ก็ทำให้ความทุกข์ใจลดลง มันก็เหลือแต่ความทุกข์กาย ซึ่งก็เป็นแค่หนึ่งในสาม พูดง่ายๆ ว่าความทุกข์มันหายไปสองในสาม ก็กลายเป็นเรื่องที่ทนได้
เรื่องการยอมรับมัน มันมีสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เรายอมรับมันได้ดี ซึ่งก็คือ สติ สติถ้าเรามีสติรู้ทัน รู้ทันอะไร รู้ทันใจที่กำลังไปสู้รบตบมือกับเสียงที่ดัง หรือว่าความปวด ความเจ็บที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตอนที่ใจเป็นลบ ส่วนใหญ่เราไม่รู้ตัว พอความทุกข์ใจเกิดขึ้นก็เลยเหมือนกับซ้ำเติมตัวเอง ซ้ำเติมคือทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ถ้าเรามีสติเราจะเห็นเลย ใจเรากำลังบ่นโวยวาย ตีโพยตีพายหรือว่ากำลังเกิดโทสะ กำลังสู้รบตบมือกับผัสสะที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเสียงที่ดัง หรือว่าความปวด ความเมื่อยที่เกิดขึ้น สติมันช่วยทำให้เรารู้ทัน เมื่อรู้ทันแล้วก็ทำใจให้เป็นกลางคือยอมรับมัน มันจะคันก็คันไป คันแต่กายแต่ว่าใจไม่ได้เป็นทุกข์ด้วย หลายๆ คนก็รู้ว่าการยอมรับความทุกข์เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่ว่ายอมรับไม่ค่อยได้เวลามันเกิดขึ้นจริง ก็เพราะไม่มีสติ ไม่มีสติรู้ทัน รู้ทันอาการของใจ ซึ่งมันก็เลยทำให้ใจไปหาเรื่องหาราว ไปเอาความทุกข์มาใส่ตัวก็มี อย่างที่เมื่อวานนี้ก็พูดเหมือนกัน หลวงปู่บุดดาเตือนลูกศิษย์ว่า เขาเดินอยู่ดีๆ แต่เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง ถ้าไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะมันก็ไม่ทุกข์ใจ ก็ไม่หงุดหงิด แต่ทำไมหูถึงไปรองเกี๊ยะ ก็เพราะว่าใจไม่มีสติ บางทีก็เอาหูไปรองค้อนที่เขากำลังทุบตะปูอยู่ เอาหูไปรองค้อนบ้าง เอาหูไปรองล้อมอเตอร์ไซค์บ้าง มันก็เลยทุกข์ แล้วทำไมหูถึงไปหาเรื่อง ไปเอาความทุกข์มาใส่ตัว เพราะว่าไม่มีสติ
จริงๆ แล้ว เพียงแค่เราไม่ปล่อยใจให้ไปหาเรื่องเอาความทุกข์มาใส่ตัว ความทุกข์ในใจเราก็จะน้อยลง สติยังช่วยให้เรารู้จักปล่อยวางได้ นอกจากไม่เอาหูไปหาเรื่องแล้ว ยังช่วยปล่อยวางความทุกข์หรืออารมณ์ต่างๆ ที่มันเกาะกุมใจ รวมทั้งคำพูด การกระทำที่ไม่ถูกใจเรา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านไป ผ่านไปเป็นวัน ผ่านไปเป็นอาทิตย์ ผ่านไปเป็นเดือนแล้ว แต่ว่าใจเราก็ยังไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวางซักที คนพูดหรือคนทำเขาลืมไปแล้ว แต่ว่าเราไม่ลืม เพราะเรายังไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง แล้วเราก็เลยทุกข์ รวมถึงความโกรธด้วยนะ ความโกรธถ้าเราไม่แบก มันก็จะหายไป แล้วมันจะดับไปเร็วมาก เพราะธรรมชาติของอารมณ์ มันเกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เวลาใครทำอะไรไม่ดีกับเรา แล้วเราไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เอาแต่ช่างจดช่างจำ หวนคิดถึงมันอยู่บ่อยๆ ก็เหมือนกับว่าเราแบกเอาไว้ แล้วเราก็เลยเจ็บแล้วเราปวด แล้วคิดแต่จะทำร้าย คิดแต่จะตอบโต้ แก้แค้นก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากเข้าไปอีก
การปล่อยวาง คือการปล่อยที่ใจ อาจจะเริ่มต้นจากการให้อภัยก็ได้ มันปล่อยได้หลายอย่าง ก็คือการให้อภัยหรือว่าการที่รู้ว่าใจเผลอคิดไป พอรู้ว่าใจเผลอคิด มันก็จะวางได้เอง เช่น เผลอไปคิดถึงคำพูดของเขา การกระทำเขา พอรู้ปุ๊บ มันวาง แต่บางครั้งมันเจ็บปวดมากจนกระทั่งปล่อยวางยากถ้าไม่มีการให้อภัย
ได้อ่านเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งในแอฟริกา แอฟริกาตอนนี้มีปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง คือมีขบวนการล่าช้างเพื่อเอางา ขบวนการนี้ใหญ่มาก มันไม่ใช่แค่โจรธรรมดา มันเป็นขบวนการก่อการร้ายเลยทีเดียว พวกก่อกบฏหรือพวกคลั่งศาสนาที่เขาต้องการยึดอำนาจของรัฐบาลที่เขาหาเงินซื้ออาวุธก็จากการขายงาช้าง มันเป็นขบวนการใหญ่โตมาก มีผู้หญิงคนหนึ่งก็ถูกคนในขบวนการนี้ทำร้าย ทรมาน ทรมานยังไง เฉือนจมูก เฉือนริมฝีปาก แล้วก็ตัดหูสองข้าง เจ็บปวดมาก เขาบอกว่าต้องผ่าตัดถึงเจ็ดครั้ง เสียโฉมไปเลยเป็นผู้หญิง ตอนนั้นก็ตั้งครรภ์ด้วย เสร็จแล้วเขาบอกว่า สุดท้ายเขาต้องให้อภัย เธอต้องให้อภัยคนเหล่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอสามารถมีชีวิตต่อไปได้ คำพูดของเธอน่าสนใจมาก “มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” คือถ้าตัวเองมีความแค้นอยู่ เธอก็จะอยู่ไม่ได้ มันเจ็บปวด มันทรมาน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เธอรู้ว่ามีแต่การให้อภัยถึงจะทำให้เธอสามารถจะอยู่ต่อไปได้ อยู่ต่อแบบเป็นผู้เป็นคน อันนี้ก็เป็นการปล่อยวางอย่างหนึ่ง
ปล่อยวางด้วยการให้อภัย พอให้อภัย ความโกรธที่มันสะสมอยู่ในใจหรือว่ากองไฟที่มันลุกโพลง ที่มันเผาลนกินใจจนกระทั่งทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ความดันขึ้น ปวดโน่นปวดมากมาย มันก็ดับไป เวลาเราโกรธเราแค้นใคร คนที่ตกนรกเป็นคนแรกคือเรา เพราะความโกรธ ความแค้น ความพยาบาทมันเล่นงานเราเป็นคนแรก คนที่ทำร้ายเราอาจจะลอยนวลไปแล้วหรืออาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่ว่าเรายังเหมือนกับตกนรกอยู่เลย การให้อภัยเป็นวิธีการปล่อยวาง ที่ได้ผลมาก แต่มันปล่อยวางได้เฉพาะอารมณ์โกรธ อารมณ์แค้น ส่วนความกังวล ความเศร้า ความรู้สึกผิด อารมณ์แบบนี้ การให้อภัยช่วยไม่ได้ ต้องอาศัยสติ
อาศัยสติที่รู้ทันอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เพราะปกติอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้เมื่อใจมันคิด คิดถึงการกระทำในอดีตที่เราทำสิ่งที่ไม่สมเหตุสมควรกับคนรัก คนที่มีพระคุณหรือบุพการี คนที่ทำให้เรารู้สึกผิด หรือว่านึกถึงสิ่งที่เรารักแล้วก็สูญเสียไป จะเป็นเงินก็ดี คนรักก็ดี ก็ทำให้เกิดความเศร้า ความอาลัยหรือนึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ว่าปรุงแต่งไปล่วงหน้าแล้วว่าเราอาจจะแย่ เช่น ลูกไปสอบขึ้น ม.๑ หรือว่าเข้ามหาวิทยาลัย พอนึกว่าลูกอาจจะสอบไม่ได้ก็กังวล หรือนึกถึงหนี้สินที่ยังชำระไม่หมดแล้วถ้าเกิดชำระไม่หมดจริงๆ อาจจะถูกยึดบ้าน ยึดรถนี้ก็กังวลแล้ว อารมณ์เหล่านี้มันเกิดเมื่อใจมันคิด แล้วแต่ว่าจะคิดเรื่องอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องร้ายๆ ในอดีตหรือว่าปรุงแต่งว่าร้ายในอนาคต ถ้าไม่มีสติ มันก็จะคิดเรื่อยเปื่อย แล้วก็เกิดความเศร้าความอาลัยเสียใจ แล้วก็เกิดความวิตกกังวล ตรงนี้แหละสติที่มาช่วยทำให้เราปล่อยวางได้ มันปล่อยวางความคิดก่อนก็คือ กลับมาอยู่กับปัจจุบัน พอวางความคิดได้ อารมณ์ที่มันเกิดจากความคิดนั้นก็ดับไป หรือจริงๆ เพียงแค่รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้มันดับไปได้ กำลังโกรธอยู่กำลังเครียดอยู่ก็รู้ทัน มันวางเลย
รู้ทันก็คือมีสติ เห็นว่ากำลังปล่อยให้อารมณ์นั้นครอบงำ หรือถ้าพูดภาษาธรรมะหน่อยก็บอกว่า รู้ทันว่ากำลังเข้าไปเป็น พอรู้ว่าเผลอเข้าไปเป็น มันออกมาเลย มันถอยออกมาเลย มาเห็นมันแทน มันไม่เข้าไปเป็นแล้ว มันออกมาเป็นผู้เห็น หรือถ้าเปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับว่า แบกก้อนหินเอาไว้ แล้วก็บ่นว่าทำไมมันหนัก ทำไมมันเหนื่อยเหลือเกิน แต่พอมีสติรู้ว่า เราแบกก้อนหินนิ แบกทำไม พอรู้เท่านั้นมันปล่อยเลย พอปล่อยแล้วเกิดอะไรขึ้น สบาย ปัญหาคือว่าไปแบกมันเอาไว้ สิ่งที่แบกนั้น อาจจะเป็นหนี้สิน อาจจะเป็นปัญหา อาจจะเป็นภาระแบกไว้ในใจโดยไม่รู้ตัว อยู่กับลูกก็ยังแบกเอาไว้ กินข้าวก็ยังแบก จะนอนแล้วก็ยังแบก พอรู้ปุ๊บมันวางเลย ปัญหามันมีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้แบก ไม่ได้มีไว้กลุ้ม
เมื่อวานเมื่อตอนบ่ายพวกเราก็พูดกันว่า สถิติมีไว้ทำลาย เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ปัญหาก็มีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม แต่ถ้าแทนที่จะแก้ปัญหากลับไปแบกมันเอาไว้ มันก็กลุ้มเท่านั้นแหละ ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ทุกข์มีเอาไว้เพื่อเห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น เห็นทุกข์ดี แต่เป็นทุกข์ไม่ดี ทุกข์มันจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับเราไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร ถ้าเราเห็นมัน อันนี้ดี จะเกิดปัญญา อันนี้พระพุทธเจ้าได้สอนไว้เลย ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้ แต่ถ้าเราไปเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูก ไปแบกมันเอาไว้หรือไปเป็นมัน แทนที่จะเห็นทุกข์เป็นทุกข์ซะเลย อันนี้แย่ ปัญหาก็เหมือนกัน ปัญหามีไว้แก้ ถ้าแทนที่จะแก้กลับไปแบกไว้กลายเป็นกลุ้มไปอันนี้ไม่ดี อันนี้เราก็ต้องเกี่ยวข้องให้ถูก แล้วสิ่งที่จะช่วยให้เราเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้อง ก็คือการมีสติ มีปัญญา