แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราคงคุ้นเคยกับสำนวนที่ว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง มันหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ทำฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดผล อย่างเช่น ถ้าหากว่าเราพูดไปไม่มีใครทำตามมันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา ผลมันจะเกิดขึ้นได้เพราะว่ามีสองฝ่ายได้ร่วมกระทำ อย่างเช่นการทะเลาะวิวาทจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่า คนสองคนโต้เถียงกัน ถ้าหากว่ามีแค่คนเดียวจะด่าว่า จะโต้เถียง ด่าอีกฝ่ายหนึ่งเงียบไม่โต้เถียง ไม่ตอบโต้ ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อใดตามที่ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นหมายความว่า มีสองฝ่ายร่วมมือด้วย จะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ สำนวนนี้ยังเรียกว่าใช้ได้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย
แม้กระทั่งความสุข ความทุกข์ อย่างคนเราจะมีความสุขได้ หลายคนมักคิดว่าถ้าได้พบสิ่งดี ๆ ได้เสพย์สิ่งที่อร่อย ฟังเพลงเพราะ ๆ ถึงจะมีความสุข หรือว่าได้ทรัพย์สมบัติ ได้โชค ได้ลาภถึงจะมีความสุข แต่ที่จริงแล้วอยู่ที่ใจด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาหารที่อร่อยแต่ถ้าเกิดถ้าเราไม่อยาก ใจเราไม่อยาก กินไม่มีความสุข อาหารจะอร่อยได้มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันราคาแพงแค่ไหน แต่มันอยู่ที่ว่าใจเราอยากด้วย ถ้าใจไม่อยาก อาจจะเป็นการฝืนกินได้ แม้แต่ภัตตาคารที่หรู ภัตตาคารที่ราคาแพงยังต้องมีการพยายามเรียกน้ำย่อยหรือกระตุ้นความอยากของลูกค้า เช่น อาจจะต้องมีออเดิร์ฟก่อนเพื่อให้เกิดความอยาก พอเกิดความยากแล้วจึงจะมีความสุขจากการกิน ฟังเพลงเหมือนกัน จะบรรเลงโดยนักดนตรีที่เก่งหรือชื่อดังแค่ไหน คนฟังมีความสุขหรือรู้ว่ามันไพเราะได้ต่อเมื่อเขามีความอยากฟัง ถ้าเขาไม่อยากฟัง เขาอาจจะกำลังทำสมาธิอยู่ เพลงนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้ ที่จริงแม้กระทั่งการร่วมเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ที่หลาย ๆ คนปรารถนาว่าเป็นสุดยอดแห่งความสุข มันก็ต้องอาศัยความอยาก แต่ถ้าไม่มีความอยากหรือไม่มีอารมณ์มันจะกลายเป็นเหมือนความฝืนไป หลายคนทำไปเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ อันนี้มันชี้ให้เห็นว่า ความสุข มันต้องอาศัยสองปัจจัย ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอก เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปัจจัยภายในคือจิตใจ เช่น ความอยาก หรือว่าอารมณ์ที่สอดคล้องเกื้อกูลกัน ถ้ามีแค่อย่างเดียว มีรูป รส กลิ่น เสียง แต่ว่าใจไม่ร่วมมือด้วย ใจไม่เกื้อกูล มันจะไม่เกิดขึ้นมาได้ เราไม่เที่ยว ไม่ว่าไกลแค่ไหน ไปยังที่ที่งดงามเพียงใด แต่ทว่าใจของเราตอนนั้นมีความกังวลถึงเรื่องงานการ กังวลถึงลูก หรือห่วงพ่อแม่ซึ่งกำลังป่วย ก็ไม่มีความสุขจากการไปเที่ยว หรือบางทีอาจขุ่นเครื่องใจเพราะว่าเพิ่งทะเลาะกับใครบางคนที่แซงคิว แต่เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวที่ไหนต้องเข้าคิว พอมีคนแซงคิวเข้าไม่พอใจทะเลาะ ทะเลาะเสร็จมีอารมณ์ค้างคา ถึงแม้ไปดิสนีย์แลนด์ ถึงแม้ไปเขาแกรนด์แคนยอนแล้วตาม ที่มันไกล ที่ไปยาก ไม่มีความสุข เพราะว่าอารมณ์มันขุ่นมัว หรือว่ากังวล หรือว่าเศร้า อันนี้เราตบมือข้างเดียวไม่ดัง ความสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ใจเราไม่เกื้อกูลด้วย
ความสุขฉันท์ใดความทุกข์ฉันท์นั้น ความทุกข์ โดยเฉพาะความทุกข์ใจมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีอะไรมากระทบกับเรา จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือว่าเหตุการณ์ เช่น ความพลัดพรากสูญเสีย ความเจ็บ ความป่วย เพียงแค่เกิดอย่างเดียว ไม่ทำให้เราทุกข์ใจได้ จะทุกข์ใจได้ใจต้องร่วมมือด้วย เช่น เสียงดังมากระทบ ถ้าเกิดว่าเราทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือว่าไม่สนใจ หรือคำพูดนั้น เสียงนั้นทำให้ทุกข์ใจ ทำให้รำคาญใจ ทำให้หงุดหงิด อย่างที่เคยยกตัวอย่างไปแล้ว คนที่สามารถจะนั่งสมาธิได้รอบเจดีย์พุทธคยา ทั้งๆ ที่เสียงดัง แม้เสียงดังแค่ไหนแต่ว่าใจเขาไม่ได้รู้สึกลบกับเสียงนั้น สามารถนั่งหลับตาทำสมาธิได้ นั่นที่เราคิดว่า หรือพูดกันว่าทุกข์ใจ หรือขุ่นเคืองใจเพราะว่าเสียงดัง ไปโทษเสียงว่าเสียงทำให้เราทุกข์ ไม่ถูก ใจเรามีส่วนด้วย
มีเรื่องเล่าว่าในสมัยที่หลวงปู่บุดดา ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นท่านชราแล้ว ซึ่งหลวงปู่บุดดา ท่านมรณภาพมา 20 ปีแล้ว ตอนที่มรณภาพอายุ 1 ศตวรรษ ตอนที่ท่านอายุสัก 80 - 90 มีโยมนิมนต์ให้ท่านไปฉันเพลในกรุงเทพฯ ท่านก็รับนิมนต์ ท่านฉันเพลเสร็จก็จะกลับวัดที่สิงห์บุรี โยมเห็นว่าท่านชราแล้ว 50 ปีก่อนจะไปสิงห์บุรีใช้เวลาหลายชั่วโมง เลยขอให้ท่านพักจำวัดสักหน่อยก่อน เจ้าภาพหาห้องให้ท่านพัก ลูกศิษย์มานั่งเป็นเพื่อน หลวงพ่อเอนกลายอยู่ เวลาจะคุยกันลูกศิษย์กระซิบกระซาบไม่อยากรบกวนท่าน แต่บังเอิญห้องที่ติดกัน บังเอิญเป็นห้องแถว ห้องติดกันเป็นร้านชำ เจ้าของเป็นอาซิ้ม อาซิ้มคนจีนสมัยก่อนเขาจะสวมเกี๊ยะ อาตมาตอนเด็กๆ ยังได้ทันสวมเกี๊ยะเลย เกี๊ยะไม้สมัยนั้นยังไม่มีรองเท้าแตะพลาสติก เวลาสวมเกี๊ยะไม้เดินมันเสียงดัง เวลาขึ้น-ลงบันไดมันเสียงดัง มันดังไปถึงห้องที่หลวงปู่กำลังพักอยู่ ลูกศิษย์ก็ไม่พอใจรู้สึกรำคาญ เลยพูดขึ้นว่ามา เดินเสียงดังจัง ไม่เกรงใจกันเลย หลวงปู่ท่านหลับตาอยู่ แต่ท่านไม่ได้หลับ ท่านได้ยินเสียงลูกศิษย์เปรยๆ ขึ้นมา ท่านก็เลยเปรยๆ ขึ้นไปว่า เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง ลูกศิษย์รำคาญแล้วโทษเสียง โดยไม่ตระหนักว่าที่จริงเสียงไม่ได้ทำให้ทุกข์หรือรำคาญ แต่ที่ทุกข์หรือรำคาญเป็นเพราะว่าเราเอาหูไปรองเกี๊ยะ ก็เลยทุกข์ ลูกศิษย์เขาไปโทษเสียงภายนอกแต่ว่าไม่ได้ดูใจ ใจตอนนั้นไม่มีสติ เอาเลยเอาหูไปรองเกี๊ยะ คือเอาจิตนั่นไปจดจ่อกับเสียงนั้นโดยที่เรายังไม่รู้ตัว แล้วไปโทษเสียง ไม่ใช่ปัญหาเท่ากับว่าใจไม่มีสติ หรือว่าหูที่ไปรองเกี๊ยะนั่น
เมื่อใดก็ตามที่เราทุกข์ใจ รำคาญหงุดหงิด เมื่อเกิดเสียงดังอย่าเพิ่งไปโทษเสียงอย่างเดียว ต้องกลับมาดูใจว่าใจเรามีส่วนร่วมในการทำให้ใจเกิดทุกข์ขึ้นหรือเปล่า เวลารถติด หลายคนไปโทษว่ารถทำไมมันแน่นขนาด ไปโทษสัญญาณจราจรว่าทำไมมันแดงนานเหลือเกินไม่เขียวสักที บางทีก่นบ่นด่ารถที่แน่นขนัด ไปโทษติดไฟแดง แต่ที่จริงใจเรามีส่วนไม่น้อยทีเดียว คือเราจะไม่หงุดหงิดเราจะไม่รำคาญ หรือทุกข์หรอกถ้าเราไม่มีความอยากที่จะถึงที่หมายไว ๆ พอใจมีความอยาก อยากที่จะให้ถึงที่หมายไว ๆ รถติดเป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญขึ้นมาทันที สร้างความไม่พอใจขึ้นมาทันที หรือว่าใจเราบางทีไปปรุงแต่งว่าถ้าเกิดว่าติดนานกว่านี้ แล้วไปถึงจุดหมายช้า เราไปประชุมช้าจะถูกเจ้านายต่อว่า คิดไปต่างๆ นานา หรือถ้าเกิดส่งลูกไม่ทันลูกจะถูกครูทำโทษ คิดไปแล้วยังไม่เกิดขึ้นเลยแต่คิดไปแล้ว คิดไปล่วงหน้าแล้ว อันนี้คือใจเราไม่อยู่กับปัจจุบัน พอคิดอย่างนั้นแล้วความทุกข์จะเกิดขึ้นกับเราทันที เกิดความไม่พอใจ เกิดความขุ่นเคืองใจทันที ลำพังรถติดไม่ทำให้เราทุกข์ใจ แต่ใจเราวางใจไม่ถูก เพราะเรามีความยาก ที่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เกิดความทุกข์ขึ้นมาทันที
อะไรตามที่เราทุกข์ใจ อย่ามัวแต่ไปโทษสิ่งภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจราจร ไม่ว่าจะเป็นเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ เจ้านาย ลูกน้อง คนรัก พ่อแม่ หรือว่านักการเมือง หรือว่าเศรษฐกิจโลก อันนั้นมันเป็นแค่ปัจจัยภายนอก สิ่งที่ขาดไม่ได้คือปัจจัยภายในคือ ใจ และใจเป็นตัวสำคัญด้วย บางทีปัจจัยภายนอกไม่มีอะไรติดขัดแต่ว่าเราทุกข์ เช่น อยู่ในกุฏิคนเดียวตอนกลางวันสบายดี แต่พอตกค่ำหรือว่าพอกลางดึกรู้สึกกระวนกระวายละ เพราะอะไร เพราะกลัว ถามว่าทำไมถึงกลัว เพราะจิตเราปรุงแต่งว่ามันมีสัตว์ร้าย มีคนที่ไม่ประสงค์ร้ายอยู่ข้างนอก หรือว่าคิดไปว่ามีผีจะมารังควาน ข้างนอกไม่มีอะไรเลย แต่ว่าใจเรามันปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว แล้วไปโทษข้างนอกว่ามันมืด วังเวง น่ากลัว ข้างนอกปกติแต่ใจเราต่างหากที่ปรุงแต่ง
เพราะฉะนั้น บางครั้งแม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแต่ว่าเราทุกข์ใจไปแล้ว นั่นเป็นเพราะการปรุงแต่งของใจ ถ้าพูดว่าเยมีอะไรหรือไม่มีใครที่จะทำให้เราทุกข์ใจได้ หากว่าใจเราไม่ร่วมมือด้วย คนเราทุกคนมีความสุขอยู่แล้วแต่ว่าหลายครั้งกลับไม่พบความสุขหรือว่ากลับมีความทุกข์ แล้วไปโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ที่จริงแล้วไม่มีใครขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ถ้าหากว่าเราไม่ยินยอมหรือว่าไม่ร่วมมือด้วย ปัญหาจะมากมายเพียงใดในที่ทำงานหรือครอบครัว มันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ใจได้ ถ้าใจเราไม่ร่วมมือด้วยลองสังเกตดูดีๆ ว่าใจเราไปมีส่วนร่วมหรือเปล่า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มือที่ไม่มีแผลจับต้องยาพิษไม่เป็นอะไร อันตรายไม่เกิดขึ้น อันตรายเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะมือมีแผล ยาพิษเลยซึมเข้าไปทำอันตรายร่างกายเราได้ อันนี้เป็นเพราะความทุกข์ ความทุกข์เกิดขึ้นได้เมื่อใจเรามีแผล เมื่อใจเราไม่ปกติหรือวางใจไม่ถูก ปรุงแต่งบ้าง หรือว่ามีความอยากที่สวนทางกับความเป็นจริงบ้าง หรือว่าอยู่กับความยึดติด ปัญหาจะมีมากเพียงใดถ้าใจไม่แบกไว้ไม่ทุกข์ แต่คนมักจะไม่มองตรงนี้ มักจะโทษไปปัญหาหรือคนที่สร้างปัญหาให้กับเรา
มีนายตำรวจผู้หนึ่งที่ไปกราบหลวงพ่อชา สุภัทโท เมื่อ 30 40 กว่าปีที่แล้ว ไประบาย ไปบ่น ตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกง ไม่คอรัปชั่นด้วย เจ้านายไม่ชอบ เพื่อนร่วมงานรังเกียจ หาทางกลั่นแกล้งหาว่าตนเองเป็นแกะดำ ทั้งที่ตนเองเป็นแกะขาวท่ามกลางแกะดำ ทำงานไม่มีความสุข ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ให้ความเป็นธรรม ลูกน้องรังเกียจ งานการเลยไม่เจริญก้าวหน้า ไม่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรก็ไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือด้วย ทุกข์ใจมากก็ระบายให้หลวงพ่อชาฟังครึ่งชั่วโมงได้ บ่นๆ ๆ หลวงพ่อท่านฟังและไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งนายตำรวจคนนั้นระบายจบ หลวงพ่อชี้ไปที่ก้อนหินที่กองอยู่ตรงลานหน้ากุฏิท่าน แล้วชี้ไปที่ก้อนหินก้อนนั้น แล้วถามนายตำรวจว่าเห็นไหม นายตำรวจตอบว่า “เห็นครับ” “มันหนักไหม” “หนักครับ” “แบกไหวไหม” “แบกไม่ไหวครับ” หลวงพ่อเลยพูดว่าถ้าไม่ไหวอย่าไปแบกมัน พูดเท่านี้นายตำรวจได้สติเลย คือรู้ตนเองทุกข์เพราะว่าตัวเองไปแบกปัญหาต่างๆ เอาไว้ ก้อนหินมันหนักแต่มันไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ถ้าเราไม่ไปแบกมัน ที่ทุกข์เพราะเราไปแบกมันไว้ ปัญหาจริงๆ ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ ที่เราทุกข์เพราะเราไปแบกมันไว้ จะไปโทษก้อนหินมันไม่ได้ว่ามันทำให้เราเหนื่อย ทำให้เราหนัก แต่เป็นเพราะเราไปแบกไว้ต่างหาก เพียงแค่เราวางมันลงก็ไม่ทุกข์แล้ว
ฉะนั้นเวลาที่เรากลุ้มอกกลุ้มใจเพราะปัญหารุมเร้า ตั้งสติให้ดีแล้วลองถามใจตนเองว่ามันเป็นเพราะปัญหาหรือเป็นเพราะเราแบกเอาไว้ ปัญหาเปรียบเป็นก้อนหิน ถ้าไม่แบกไม่ทำให้เราทุกข์ ก้อนหินเราแบกด้วยตัว ด้วยร่างกาย แต่ปัญหาเราแบกด้วยใจ และทำไมถึงแบกเอาไว้เมื่อเราทุกข์ หลายสิ่งหลายอย่างนั้นเราแบกเอาไว้ทั้งที่เราทุกข์ อารมณ์โกรธ เราอุตส่าห์ประคับประคองรักษาหวงแหนเอาไว้ทำไม ทั้งที่มันเผาใจทั้งที่มันเหมือนกับถ่านก้อนแดง ๆ ที่มันเผาใจเรา ทำไมทุกข์แล้วถึงยังแบกอยู่ หรือทำไมทุกข์แล้วยังกำถ่านก้อนแดงๆ อยู่เพราะไม่รู้ตัว เพราะไม่มีสติ คนเราพอรู้ตัวแล้ว เราสามารถจะแบกอะไรได้มากมาย อย่างคนที่หนีไฟด้วยความตกใจ เห็นอะไรอยู่ใกล้ตัวแบกเอาไว้ก่อน เพื่อพาให้รอดปลอดภัยจากไฟ บางทีแบกโอ่ง บางทีแบกตู้เซฟ โอ่งมีน้ำด้วย ก็ยังแบกไป ยิ่งสมัยก่อนคนไทยเขามีโอ่งตามบ้านเพื่อเก็บน้ำฝน พอตกใจมาก โอ่งอยู่ใกล้ตัวตอนแบกโอ่งหนักแต่ว่าความกลัวมันทำให้ลืมความหนัก แต่พอวิ่งหนีไฟ ห่างไฟไปสักพักรู้สึกปลอดภัยละ จะรู้สึกหนักขึ้นมา ไม่รู้ว่าหนักเพราะอะไร และพบว่าหนักเพราะว่าเราแบกโอ่ง พอรู้ว่าแบกโอ่งไว้ เท่านั้นวางลงเลย เพราะเห็นว่ามันเป็นของหนัก
เพราะฉะนั้นที่เราทุกข์เพราะเรายึดติด ที่ยึดที่แบกเพราะความหลง ไม่มีสติ ไม่รู้สึกตัว อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญทีเดียวที่ทำให้มีทุกข์ คำต่อว่า ด่าทอ ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ถ้าใจเราไม่ไปครุ่นคิดกับคำเหล่านั้นหรือยึดติดกับถ้อยคำเหล่านั้น ถ้าเราได้ยินแล้ว เราวาง คำต่อว่า ด่าทอไม่มีทางที่จะกรีดแผลในใจเราให้เจ็บได้ เหมือนกับเรามีเศษแก้วคมๆ อยู่ในมือ ถ้าวางไว้บนมือเราไม่ทำให้เกิดแผลได้ แต่ที่เกิดแผลเพราะเราไปกำเอาไว้ กำไม่ได้กำเปล่าๆ มีบีบด้วยมันเลยเฉือน มันเลยบาดมือบาดนิ้วเรา จะไปโทษแก้วคงโทษไม่ถูก เพราะว่าถือไว้เฉยๆ ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เพราะเราไปกำไว้ต่างหาก ถามว่าทำไมไปกำ ทำไมไปบีบเพราะว่าเราลืมตัว เวลาเราลืมตัวทีไร เรานึกถึงคำต่อว่าด่าทอของคนนั้นคนนี้แล้วเราเจ็บเอง คนพูดลืมไปแล้ว แต่ว่าเรายังเก็บเอามาทิ่มแทง หรือว่าทำร้ายตัวเองเป็นวัน เป็นคืน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือนก็มี ใครเขาด่าเราแล้วเราไม่ทุกข์ได้ ถ้าใจเราร่วมมือด้วย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปสนทนากับโจน จันได ซึ่งโจน จันไดเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนมากโดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวที่อยากใช้ชีวิตพอเพียงเพราะว่า แกอยู่อย่างสมถะ ทำนา เก็บเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน แล้วก็สร้างบ้านดิน คนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่ามีอายุ 50 60 ก็มี ไปที่สวนของแก เพื่อไปเรียนรู้การทำเกษตร การทำบ้านดินช่วงนี้ดัง เพราะบางจากเอาไปเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาเรื่องชีวิตพอเพียง แกเล่าว่าสมัยที่ยังหนุ่ม แกไม่ได้มีความคิดแบบนี้ แกอยากรวย พยายามดิ้นรน กระเสือกกระสนไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ไม่ค่อยมีวิชาความรู้เท่าไหร่ อาชีพเลยไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก
ครั้งหนึ่งไปเป็นลูกจ้างโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นพนักงานทำความสะอาดในห้องพักโรงแรม ทำความสะอาดแล้วทำเตียงด้วย เจ้านายของโจนเป็นผู้หญิงที่โจนไม่เคยได้พบมาก่อน เพราะว่าเจอหน้าครั้งแรกด่าเลย แล้วด่า ด่า ด่า เป็นคนที่ด่าตลอด ด่าเสร็จแล้วก็ไป ไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ มีอยู่คราวหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้สั่งให้แกไปเช็ดลูกบิดประตูห้องพัก แล้วบอกเอาบัสโซ่ไปขัดซะ แกเอาบัสโซ่ไปขัดลูกบิด ขัดใกล้เสร็จอยู่แล้ว ผู้จัดการมาเห็นแล้วต่อว่า ว่าขัดแบบนี้ได้อย่างไร ลูกบิดแบบนี้ขัดด้วยบัสโซ่ไม่ได้ เจ้านายหรือผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นคนสั่งแกแท้ ๆ ให้ไปขัดลูกบิดด้วยบัสโซ่ ต่อว่าโจนทันทีเลยว่า “ทำอย่างนี้ได้อย่างไร” เรียกว่าเป็นปี่เป็นขลุ่ยกันเลย ทีแรกโจน เขาก็ฉุน ตอนแรกสั่งเขาขัดแท้ ๆ ตอนนี้มาว่าเขาละ แต่แค่แว๊บหนึ่งเขายิ้มแล้วยกมือไหว้ แล้วบอก “ขอโทษครับ ขอบคุณครับที่เตือน” และนับแต่นั้นมาเวลาผู้หญิงคนนั้นต่อว่า แกจะยกมือไหว้ ยิ้ม และบอกว่า ขอบคุณครับ ทีแรกแกรู้สึกตะขิดตะขวง แต่ตอนหลังแกรู้สึกสบายใจที่ทำเช่นนั้น เพราะว่ามันเป็นความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง ขอบคุณที่แกช่วยเตือนให้หันมาจัดการ หันมาดูอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งอารมณ์นั้นคือความโกรธ ความไม่พอใจ พอถูกด่าปุ๊บจะเกิดความไม่พอใจขึ้น ทำให้แกหันมารับมือกับความโกรธนั้น แกทำไปๆ จนกระทั่งสามารถทำให้แกยิ้มได้ด้วยความจริงใจ คือขอบคุณ แกทำเป็นเดือน ทั้งตลอดเดือนนั้นมีคนไปต่อว่า หรือว่าประชด หรือว่าตำหนิโจน ว่าโง่จริงๆ เลย หรือบางคนบอกว่าแกเสียสติไปหรือเปล่า ถูกด่าแท้ๆ ยังยิ้มให้เขา ยังไหว้เขาอีก แต่แกไม่สนใจเพราะแกรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ว่ารู้สึกขอบคุณที่เขามาช่วยเตือนให้เราได้มาจัดการกับอารมณ์ของเรา
หนึ่งเดือนต่อมาเจ้านายผู้หญิงคนนั้นเรียกแกมาหา แล้วถามว่า “เวลาฉันด่าว่าเธอทีไร ทำไมเธอยิ้ม ทำไมเธอไหว้แล้วขอบคุณ” โจนอธิบายว่า“ขอบคุณครับที่มาช่วยเตือนให้ผมดูอารมณ์ของตัวเอง เพราะว่าบางครั้งเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ว่าพอเราเห็นความโกรธและเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ใจเราสงบลงได้ และแกยังเล่าว่าหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นเลิกด่าว่าแกอีกเลย อาจจะแพ้ใจหรือว่าประทับใจที่โจนเป็นคนที่ไม่ขุ่นเคือง ไม่โกรธ อันนี้เขาเรียกว่าชนะใจด้วยความดี แต่ที่จริงโจนเขาไม่ได้คิดว่าจะไปชนะใจผู้หญิงคนนั้นหรอก แต่เขาคิดจะเอาชนะความโกรธของตัวเองมากกว่า และตอนหลังเขาได้เรียนรู้เลยว่ามันเกิดนิสัยใหม่ขึ้นมาในใจเขาเลยว่า คือเวลาถูกคนด่าเขาจะไม่โกรธคนด่าเท่าไหร่ เขาจะยิ้มให้ อันนี้เป็นตัวอย่างว่า คนเราไม่ใช่ว่าเจอคนด่าว่าแล้วจะโกรธเสมอไป ใครเขาจะด่าว่าอย่างไรถ้าใจเราไม่ร่วมมือไปด้วย ความโกรธไม่เกิดขึ้น ที่โกรธที่ไม่พอใจเพราะใจเราไปเออออห่อหมกด้วย หรือไปยอมให้คำพูดเหล่านั้นมาทิ่มแทงจิตใจ ด่าอย่างไรใจไม่ทุกข์ก็ได้
เศรษฐีบางคนร่ำรวยมาก แต่เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตัว อดีตเจ้าของเมืองโบราณคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แกเล่าว่าวันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล ถ้าถูกตำหนิไม่ใช่ว่าจะต้องโมโหขุ่นเคืองเสมอไป อย่างที่บอกไปแล้วว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ใครเขาจะทำอะไรเรา ถ้าเราไม่ไปเออออห่อหมกด้วยหรือไม่ยินยอมก็ทำอะไรให้เราทุกข์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาตมาพูดได้เลยว่าไม่มีใคร ไม่มีอะไรที่ทำให้เราทุกข์ได้ อาจารย์ชยสาโรท่านพูดดี ท่านพูดว่าไม่มีใคร ไม่มีอะไรที่จะมาบังคับให้เราทุกข์ได้ มีแต่ชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราไม่พอใจ ในอยู่ที่ว่าเมื่อเขาชวนแล้วเราจะรับคำชวนหรือเปล่า ถ้าเรารับคำชวนเราทุกข์เอง และจะโทษใคร เพราะเขาไม่ได้บังคับให้เราทุกข์ อากาศหนาว แดดร้อน คำต่อว่าด่าทอ มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ อย่างมากแค่มาชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราขัดใจ ชวนให้เราไม่พอใจ มันทำได้อย่างมากแค่นั้น ขั้นต่อไปคือเราจะรับคำชวนไหม ถ้าเรารับคำชวนเราก็ทุกข์เอง นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่เราทุกข์ใจ แปลว่าเราไปรับคำชวนเขาแล้ว แล้วทำไมถึงรับ เพราะว่าเราไม่รู้ตัว เพราไม่มีสติ เพราะถ้ามีสติมันก็ไม่ไปเผลอเอารูป รส กลิ่น เสียง มาทำร้ายเราง่าย ๆ
จึงบอกตั้งแต่แรกว่าไม่มีอะไรมาทำให้เราทุกข์ได้ ไม่มีใครที่จะขโมยความสุขไปจากใจเราได้ แม้แต่ความเจ็บป่วย เจ็บป่วยถึงขั้นเป็นมะเร็งก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องทุกข์ใจ มันทุกข์กายแต่ว่าใจไม่ทุกข์ได้ เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมแล้วแกพูดว่า 2 ปีสุดท้ายของความเจ็บป่วย แกเป็นมาประมาณ 10 ปีแล้ว แต่ว่าอาการลุกลามไประยะสุดท้าย 3 ปีหลัง แกบอกว่า 2 ปีสุดท้ายเป็นช่วงที่แกมีความสุขมาก ทั้งที่เป็นมะเร็ง เพราะว่าได้ปล่อยวาง ความเจ็บ ความป่วย ความตายมาเตือนให้เธอรู้จักปล่อยวาง ปล่อยวางทรัพย์สมบัติ ปล่อยวางงานการ ปล่อยวางความขุ่นเคืองใจ ความรู้สึกผิดต่าง ๆ แล้วไม่ถือสากับผู้คน ใครเขาจะพูดอะไรจะทำอะไรกับเธอ เธอปล่อยวางเพราะรู้ว่าไม่ใช่สาระอะไร และอีกอย่างเพราะอาจจะรู้ว่ามีเวลาอยู่ไม่นาน จะไปเสียเวลาทุกข์ จะไปเสียเวลากลัดกลุ้มไปทำไมวางได้ พอวางเสร็จก็มีความสุข เพราะฉะนั้นมะเร็งไม่ได้ทำให้เราทุกข์ใจ มะเร็งทำได้อย่างมากคือทุกข์กายแต่ไม่สามารถทำให้ทุกข์ใจได้ ความทุกข์ใจคือความหลง ความไม่รู้ตัว ความยึดติดถือมั่นหรือการวางใจที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง อันนี้แหละคือตัวการแห่งความทุกข์เป็นที่มาแห่งความทุกข์ย่างแท้จริง พูดได้ว่ามะเร็งไม่ได้เป็นปัญหามากเท่ากับใจที่ไม่ปล่อยวางหรือปฏิบัติไม่ถูก
การที่เรามาเจริญสติ เป็นการมาจัดการที่ต้นตอของความทุกข์ มันอาจจะไม่ช่วยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราหรือรุมเร้าเรามันหมดไปในทันทีทันใด แต่ว่ามันทำให้ใจเราไม่ไปร่วมมือ ไม่ไปแบก ไม่ไปถือเอาความทุกข์เหล่านั้นมาทำร้ายจิตใจ เราทำให้มันด้าน คือว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง มีแต่ใครเขาจะว่าอย่างไร เพียงแต่เขาตบมือข้างเดียว เราไม่ตบด้วย มันเลยไม่เกิดผลอย่างที่เขาต้องการ ถ้าหากเขามีเจตนาที่ทำร้ายเขาทำไม่สำเร็จ เพราะเขาตบมือข้างเดียวไม่ดัง