แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนที่พระจะอนุโมทนาให้พร ก็ขอกล่าวเป็นสัมโมทนียกถา วันนี้เรียกว่าเป็นวันรวมญาติ ญาติธรรมจากทุกสารทิศ มาจากหลายจังหวัด เรียกว่าทั่วทุกภาคของประเทศก็ว่าได้ ที่ญาติธรรมมากันมากมายก็เพราะว่ามาทำบุญกฐิน ที่วัดป่าสุคะโต บุญกฐินนี่ก็ถือว่าเป็นบุญที่สำคัญเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก เพราะเหตุว่านอกจากจะเป็นสังฆทานที่มุ่งถวายกับสงฆ์ โดยไม่เจาะจงผู้ใดผู้หนึ่งแล้ว ก็ยังเป็นสังฆทานชนิดพิเศษ ก็คือว่าปีหนึ่งทำได้เพียงชั่วเวลาเดียว ก็คือช่วง 30 วันหลังจากออกพรรษาไปสิ้นสุดวันลอยกระธง สังฆทานทั่วไปนี่ทำได้ตลอดทั้งปี ไม่มีเว้น แต่ว่ากฐินทานก็ต้องทำในช่วงนี้เท่านั้น เรียกว่า กาลทาน กาลทานก็คือทานที่จำกัดเวลา แล้วนอกจากนั้นยังทำได้เฉพาะครั้งเดียว สำหรับหนึ่งวัด อย่างวัดป่าสุคะโตรับกฐินครั้งนี้แล้วจะรับกฐินอื่นไม่ได้ จะรับอีกทีก็ปีหน้าเลย
สังฆทานในปีหนึ่งนั้นแต่ละวัดจะรับกี่ครั้งก็ได้ เป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ได้ แต่ว่ากฐินทานนี่รับได้แค่ครั้งเดียว และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นสังฆทานที่มุ่งเจาะจง ส่งเสริม เชิดชูสามัคคีธรรม สามัคคีของหมู่สงฆ์ และของฆราวาส เชิดชูสามัคคีของหมู่สงฆ์ตรงที่ว่า จะถวายกฐินได้เฉพาะวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษาครบถ้วนไตรมาส การที่พระจะจำพรรษาด้วยกันหลายรูปเป็นเวลา 3 เดือนจนตลอดรอดฝั่งได้ ก็ต้องมีความสามัคคีต่อกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นอกจากสามัคคีกันแล้วก็ยังมีความเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ว่าจะถวายให้กับพระรูปใด อันนี้ต้องเป็นความเห็นเอกฉันท์ไม่ใช่เสียงข้างมาก เสียงข้างมากยังใช้ไม่ได้ ต้องเป็นเอกฉันท์ อย่างที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ว่ามีการซักถามว่าพระรูปใดคัดค้านไหม ถ้าคัดค้านก็ให้เปล่งเสียงออกมา ถ้าไม่คัดค้านเห็นด้วยก็เงียบ เรียกว่าอยู่ในดุษณีภาพ การที่พระเงียบก็แปลว่าเห็นด้วยทั้งหมด อันนี้ต้องอาศัยความสามัคคี ถึงจะมีฉันทานุมัติแบบนี้ได้
อีกประการก็คือ ผ้าที่ถวายถ้าตามประเพณีแล้วก็ยังต้องมีกระบวนการต่อจากนี้ ก็คือพระทั้งวัดก็ต้องผ้าไปตัด ไปเย็บ ไปย้อม ไปเป็นจีวร มีขัณฑ์ถูกต้องตามพระวินัย มีลวดลายคล้ายกับคันนา เรียกว่าขัณฑ์ ก็คือต้องเอาผ้ามาตัดต่อกัน สมัยก่อนทอดกฐินก็จะถวายเป็นผ้าผืนเดียว ไม่ใช่จีวรสำเร็จรูป เพราะฉะนั้นพระก็ต้องไปทำให้เป็นจีวร จะเป็นสบง จะเป็นสังฆาฏิหรือจีวรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำได้แค่สบง เพราะว่าสังฆาฏิหรือจีวรผืนใหญ่นี่จะทำให้เสร็จภายในวันเดียว ต้องมีกำหนดว่าต้องก่อนรุ่งเช้า ซึ่งถ้าหากว่าทำเป็นสังฆาฏิแล้วคงจะเสร็จไม่ทัน แต่ถึงแม้จะเป็นสบงก็ต้องรีบ ต้องร่วมมือกันทำ สมัยพุทธกาลแม้แต่พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาร่วมด้วย ไม่มีการเลือกพรรษาว่า พรรษาเล็ก พรรษาน้อย พรรษาใหญ่ ต้องมาช่วยกันหมด อันแหละก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ความสามัคคีในหมู่สงฆ์ และกับฆราวาสก็เช่นเดียวกันอย่างที่เราเห็น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าภาพกฐินที่วัดป่าสุคะโตทุกปีก็เป็นกฐินสามัคคี เพราะเราต้องการให้เกิดความสามัคคีกันก็คือว่าใครจะเป็นเจ้าภาพก็ได้ บางวัดเจ้าภาพมีแค่คนเดียว ใครอยากเป็นเจ้าภาพก็ต้องรอปีต่อไป บางทีเจ้าภาพต้องเข้าแถวยาว 200 ปี อย่างวัดปากน้ำนี่ 200-300 ปีเลย แต่ที่นี่ใครอยากเป็นเจ้าภาพมาเลย เพราะว่าเราเน้นให้เป็นกฐินที่ส่งเสริมความสามัคคี เจ้าภาพก็มาจากหลายทิศหลายทาง ไม่รู้จักกันหรอกแต่ว่าก็มารวมกันตรงนี้ มารู้จักกันที่นี่ ก็เป็นการส่งเสริมสามัคคี โรงทานก็มาจากหลายทิศหลายทาง ญาติโยมมาด้วยความปรารถนาดีมีน้ำใจ ได้มาพบกัน เป็นชุมทางของการได้มาร่วมแรงร่วมใจกันทำความดี อันนี้ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมกฐินทานจึงเป็นสังฆทานที่มีอานิสงส์มาก
อานิสงส์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน จะเท่าไหร่ก็ตามไม่สำคัญเพราะว่า สิ่งสำคัญกว่าก็คือความร่วมแรงร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งความปลาบปลื้มปีติ ที่ได้มาร่วมกันทำบุญเป็นการส่งเสริมอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ บำรุงวาอาราม แล้วก็เป็นการอุปถัมภ์พระศาสนาไปในตัว และชาวไทยเราก็นิยมทำบุญโดยเฉพาะกฐิน เทศกาลกฐินหลายท่านก็นิยมเดินทางไปที่ต่าง ๆ เพื่อไปทอดกฐิน เสร็จกฐินวัดนี้แล้วบางท่านก็ต่อไปวัดป่ามหาวัน เมื่อวานนี้ก็ไปทอดกฐินที่วัดภูเขาทอง หรือบางท่านก็ไปไกลกว่านั้นไปทอดกฐินที่หนองคาย อุดร เชียงใหม่ เพราะว่าช่วงนี้เป็นเทศกาลกฐิน อย่างไรก็ตามก็อยากจะฝากไว้ว่าไปร่วมบุญกฐิน หรือว่าร่วมบุญผ้าป่าที่ไหนแล้วก็อย่าลืมบุญอย่างอื่นด้วย
มีเรื่องเล่าว่า มีคราวหนึ่งโยมคนหนึ่ง ไปหาหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต ที่ระยอง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น โยมก็พูดว่าได้มาทำบุญที่วัดนี้แหละ หลวงพ่อเฟื่องก็เลยถามว่าไปทำบุญที่ไหนบ้าง โยมก็ตอบว่า ไปทำบุญสร้างโบสถ์ที่วัดนั้น ไปสร้างวิหารที่วัดนี้ ไปร่วมทอดผ้าป่าทอดกฐินที่นั่นที่นี่บ้าง หลวงพ่อเฟื่องท่านก็ฟังแล้วก็พูดต่ออีกประโยคหนึ่งว่า แล้วไม่ทำบุญที่ใจบ้างเหรอ ทำบุญที่วัดแล้วก็อย่าลืมต้องทำบุญที่ใจด้วย บางคนสงสัยว่าทำบุญที่ใจมันทำได้ด้วยหรือ ทำได้ ไม่ต้องใช้เงิน ทำไมต้องทำบุญที่ใจ ก็เพราะคนเราจะสุขหรือทุกข์นี่มันอยู่ที่ใจเป็นหลักเลย ถ้าเรารักตัวเอง เราก็ต้องรู้จักหมั่นดูแลจิตใจ การทำบุญที่ใจก็คือการหาสิ่งคุ้มครองจิตใจเพื่อไม่ให้ทุกข์ เรามีบ้าน เรามีเสื้อผ้าเพื่อคุ้มครองรักษากาย ไม่ให้แดดฝน แมลงมารบกวน มาก่อความรำคาญระคายเคือง เราสร้างกำแพงเพื่อป้องกันอันตราย แต่ใจเราล่ะ เรามีอะไรป้องกันไหม
ถ้าจะทำบุญที่ใจก็คือการพยายามหาธรรมะมาคุ้มครองจิตใจ และสิ่งหนึ่งที่จะคุ้มครองจิตใจเราได้ดี นั่นก็คือสติ ประการต่อมาคือ ปัญญา สตินี่จะคุ้มครองใจได้ดีมาก ยิ่งปัญญาด้วยแล้วจะสามารถรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้ ความเป็นไปในชีวิตของเรานี่ เราก็อยากจะให้มีความราบรื่น มีความปกติ ชีวิตประสบความสุขความเจริญ และเราก็เพียรพยายามทำเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น การที่เราเรียนหนังสือ การที่เราทำความเพียร ขยันขันแข็งในการทำอาชีพการงาน หรือแม้แต่การที่เราให้ทาน รักษาศีล ก็เพื่อให้ชีวิตเรามีความสุข แต่ว่าไม่ว่าเราจะร่ำรวยเพียงใด มีความรู้มากมายแค่ไหน มีอำนาจวาสนาสูงส่งเพียงใด เราก็ย่อมต้องเจอกับสิ่งที่มากระทบกับจิตใจ จะต้องเจอเหตุที่ไม่พึงพอใจ อย่างที่เราสวดทำวัตรทุกเช้าก็จะมีข้อความว่า เราทั้งหลายจะต้องประสพกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ แล้วก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ทุกคนต้องเจอสองสิ่งนี้ทั้งนั้น เจอกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่พอใจ เช่น แดดร้อน รถติด ความเจ็บป่วย และต้องประสบกับความพลัดพรากจากสิ่งรัก สิ่งพอใจ เช่น เงินหาย ทรัพย์สมบัติถูกโกง รถถูกขโมย รวมทั้งคนรักจากไป ถ้าไม่จากเป็นก็จากตาย สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ทำความดีแค่ไหน ทำบุญเพียงใดก็ยังต้องเจอ แต่ว่าถ้าหากว่าเรารู้จักสร้างสติขึ้นมาคุ้มครองใจ มันจะเจอเหตุเหล่านี้มากมายเพียงใด ใจก็ไม่ทุกข์ เวลาป่วย มันก็ป่วยแต่กาย แต่ว่าใจไม่ป่วย ใจป่วยเพราะอะไร ใจป่วยเพราะวิตกกังวล คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เกิดความตื่นตระหนกตกใจ ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ทันเกิดขึ้นเลยแต่ว่าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวล กระวนกระวาย อันนี้เพราะใจมันไปนึกถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด เรียกว่าไปอยู่กับอนาคต ไปอยู่กับภาพปรุงแต่งที่มโนขึ้นมา
บ่อยครั้งเราก็ทุกข์เพราะใจมันไปนึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่สูญเสียไป จะเป็นคน จะเป็นสิ่งของ นึกถึงเหตุร้ายที่ทำให้เจ็บปวด ทำให้เคียดแค้น มันก็แปลกเรานึกถึงทีไรก็ทุกข์ นึกถึงทีไรก็เจ็บ นึกถึงทีไรก็ปวด นึกถึงทีไรก็แค้น แต่ก็ยังอดนึกขึ้นไม่ได้ ก็ยังคิดถึงมันอยู่ไม่เลิก ที่จริงถ้าเรารักตัวเอง เราก็ต้องพยายามสลัด ต้องวาง เหมือนกับว่าเราเห็นไฟ เราเห็นถ่านก้อนแดง ๆ เราเห็นหนาม ทำไมเราต้องไปจับมัน ทำไมเราต้องไปกำมันเอาไว้ ทำไมเราต้องเอามือไปถูกมัน ถูกหนามมันเจ็บ แล้วทำไมไม่เลิกทำสักที ก็ตอบได้ว่าเป็นเพราะลืมตัว เป็นเพราะหลง เป็นเพราะเผลอ อยากจะนอนแต่ก็นอนไม่หลับ เพราะว่าคิดนั่นคิดนี่ ถามว่าพอใจไหม มีความสุขไหมที่ใจมันคิดไปต่าง ๆ นานาจนนอนไม่หลับ บางทีกินไม่ได้ ก็ไม่อยากคิด แต่ทำไมถึงคิด ก็เพราะว่ามันลืมตัวเผลอ อันนี้เพราะไม่มีสติ ถ้าเรามีสติมันจะรู้ทันเวลาใจเผลอคิดไป เมื่อมีสติก็จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ความหลงก็หายไป ความเผลอก็ไม่ปรากฏ มันก็ทำให้เราสามารถที่จะสลัดอดีตที่เจ็บปวด กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็ไม่พะวงถึงภาพปรุงแต่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาเจ็บป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ใจเป็นปกติได้ เวลาของหายมันก็หายแต่ของ แต่ว่าใจไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่ามีสติ สตินี่เป็นเครื่องรักษาใจที่ดี
งานกฐินสมัยก่อนเขาจะติดธงเอาไว้ มีธงจระเข้ มีธงนางมัจฉา มีธงปลา มีธงตะขาบ แล้วก็มีธงเต่า จระเข้นี้หมายถึงความโลภเพราะมันกินไม่เลือก ตะขาบหมายถึงความโกรธเพราะพิษมันแรง นางมัจฉาคือความหลง นางมัจฉานี่หลงสวย หลงรูปตัวเอง ก็เลยเป็นตัวแทนความหลง แต่ว่าทั้งหมดนี่มันก็แพ้เต่า เต่านี่เขาเปรียบเหมือนสติ มันมีกระดอง ซึ่งช่วยปกป้องเต่าจากอันตราย เหมือนกับสติที่ช่วยปกป้องใจไม่ให้ทุกข์ เต่านี่เวลามีอันตรายมันก็หดหัว หดขา ก็ปลอดภัย ทำนองเดียวกันถ้าเรามีสติ เวลาเจออะไรก็ตามแต่ที่มันจะปลุกใจให้รุ่มร้อน เราก็จะหลบตาบ้าง ปิดตาบ้าง หรือว่าปิดหูบ้าง หรือดีกว่านั้นคือ เราสำรวมอินทรีย์ คือมองก็มองอย่างมีสติ ฟังก็ฟังอย่างมีสติ เพื่อไม่ให้สิ่งที่เห็นทางตา ได้ยินทางหู หรือว่าสัมผัสทางกาย มันมาทำให้จิตใจเป็นทุกข์ พูดง่าย ๆ ก็คืออะไรมากระทบ ก็กะทบแต่กาย แต่ใจไม่กระเทือน อันนี้เพราะมีสติ สติมันทำให้เรารู้ทันความคิด ความเรานี่ทุกข์เพราะความคิด ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิด ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่ามันมีความไม่สะดวกสบายทางกาย คนสมัยก่อนทุกข์เพราะมันไม่สะดวกสบายทางกาย ทุกข์เพราะหิว ทุกข์เพราะร้อน ทุกข์เพราะเหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้ความทุกข์เหล่านี้มันไม่ค่อยมารบกวนร่างกายเราเท่าไหร่ เรามีชีวิตที่สะดวกสบายทางกาย แต่เรามีความทุกข์ใจมาก ก็เพราะว่าใจที่คอยแต่จะคิดหาเรื่องใส่ตัว อะไรที่ทุกข์ก็คิดถึงมันอยู่นั่นแหละ ดังนั้นถ้าเรามีสติ ใจเราก็จะวางไว้ถูกหรือพูดอีกอย่างก็คือมีเครื่องรักษาใจ อะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น เราก็สามารถจะวางจิตวางใจให้เป็นปกติได้
ความสงบมันเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้แสวงหา สงบที่แท้จริง ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีเสียงดัง แต่ว่าสงบเพราะว่าใจมันไม่รุ่มร้อน ใจไม่กระเพื่อม ใจไม่ฟุ้งซ่าน ไปอยู่ในที่ ๆ ไม่มีเสียงดัง เช่น อยู่ในป่า อยู่ในโรงหนัง แต่ว่าอาจจะไม่สงบก็ได้ เพราะว่าใจนี่รุ่มร้อน ใจนี่คิดต่าง ๆ นานา อันนี้เรียกว่าใจมันเผลอ แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว ใจมันจะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็จะไม่ไปหาเรื่องทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะทำบุญให้กับใจ ก็ควรหมั่นสร้างสติเอาไว้ เวลาเจอเหตุร้ายต่าง ๆ เจอคำต่อว่า ด่าทอ เจอความพลัดพรากสูญเสีย เจอความเจ็บป่วย มันก็ทุกข์แต่กาย มันก็เสียแต่ของ แต่ว่าใจก็เป็นปกติได้
อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้นี่ก็คือปัญญา ปัญญาในที่นี้มันก็มีหลายระดับ เอาง่าย ๆ เพียงแค่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เช่น เงินหาย โทรศัพท์หาย เราลองเติมคำว่า “แค่” ลงไป เงินหายแค่ 2,000 เงินหายแค่หมื่น เงินหายแค่แสน เวลาเราเติมว่า “แค่” ลงไป สิ่งที่หายไปมันจะดูเล็กน้อย มีใครด่าว่าเราก็คิดว่า เขาแค่ด่าเรา ดีที่เขาไม่ทำร้ายเรา เวลาเงินหาย เวลาโทรศัพท์หายก็ดี มันหายแค่โทรศัพท์ รถไม่หายด้วย ลองเติมคำว่า “แค่” ลงไป ความทุกข์ทั้งหลายมันจะดูเล็กลง เจ็บป่วยก็เหมือนกัน ลองเติมคำว่า “แค่” ลงไป มีคนหนึ่งนี่แกตัวผอม ซีดเลย เป็นชาวบ้านนี่ อายุสัก 40 ไปหาหมอ หมอเห็นก็จับตรวจเลือดเลย แล้วก็พอผลตรวจเลือดออกมาก็เรียกคนไข้มา แล้วก็บอกว่า “ลุง” หน้าตาแกเหมือนคนแก่ 40 กว่า “ลุง เป็นเบาหวาน” แกยิ้มเลย หมอก็เลยถามว่า “ลุง เบาหวานนี่มันเป็นแล้วมันไม่หาย ต้องกินยาตลอดชีวิต ทำไมลุงยังยิ้มอยู่” แกก็บอกว่า “อ้อ ผมดีใจที่เป็นแค่เบาหวาน ทีแรกนึกว่าเป็นเอดส์” เบาหวานนี่บางคนเป็นแล้ว เป็นทุกข์มากเลย แต่ลุงคนนี้บอกว่า เป็นแค่เบาหวาน นึกว่าเป็นเอดส์ อีกรายหนึ่งอายุ 12 เป็นผู้หญิง จิตอาสาไปเยี่ยม ผมแกร่วงหมดเลย เพราะว่าฉายแสง ฉีดคีโม เธอเป็นมะเร็งสมอง แต่หน้าตาเธอยิ้มแย้ม จิตอาสาก็แปลกใจ คุยไปคุยมา เด็กก็บอกว่า “หนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก มีญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งมดลูก ปวดมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง” เพียงเติมคำว่า “แค่” ลงไปนี่ยิ้มได้เลย หรือแม้แต่มะเร็งมดลูกถ้าเติมคำว่า “แค่” ลงไปมันก็เบาลง อันนี้เขาเรียกว่า โยนิโสมนสิการ เป็นปัญญาชนิดหนึ่ง เพียงเติมคำว่า “แค่” ลงไป
เมื่อปี 53 มีจลาจลกลางกรุงเราคงทราบดี มีการเผาบริเวณห้างศูนย์การค้า เช่น สยาม ราชดำริ ราชประสงค์ อะไรนี่ มันก็มีร้านสุกี้ชื่อดัง MK โดนเผาไป 4 สาขา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยจนต้องปิดกิจการไปหลายวันทีเดียว เสียหายก็หลายสิบล้าน ผู้จัดการก็มารายงาน CEO คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน แกรายงานด้วยความเศร้าว่าร้านถูกเผาไป 4 สาขา คุณฤทธิ์แกฟังแล้วแกก็ยิ้มเลย แกบอกว่า “ร้านเราถูกเผาไป 4 สาขา แต่เรามีตั้ง 320 สาขา” 4 สาขากลายเป็นเล็กน้อย ร้านเราถูกเผาแค่ 4 สาขา ดังนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรา ลองเติมคำว่า “แค่” ลงไปมันจะกลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเลย แล้วมันทำให้ใจเราเป็นปกติได้ หรือเราจะมองก็ได้ว่ามันเป็นธรรมดา เงินหาย ความเจ็บ ความป่วย ความล้มเหลว อุปสรรคถ้าเรามองว่าเป็นปัญหามันก็ทุกข์ แต่พอเรามองว่าเป็นธรรมดาบ้าง เราจะรู้สึกว่าความทุกข์มันลดลง แม้แต่ความตาย ความพลัดพราก สูญเสียคนรัก เราลองมองว่าเป็นธรรมดาบ้าง
อาจารย์โกวิท เขมานันทะ ซึ่งเคยเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อคำเขียนแต่ว่าอาจารย์โกวิทสึกก่อน ตอนที่อาจารย์โกวิทเป็นพระ ก็เป็นลูกศิษย์คนสนิทของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกฺขุ ท่านเล่าว่ามีคุณป้าคนหนึ่ง คุณป้าแกก็เป็นคนธรรมะธรรมโม แล้วก็วันหนึ่งน้องชายตาย พี่ชายของคนตายนี่ก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ มาบอกข่าวให้คุณป้าท่านนี้ทราบ คุณป้าท่านนี้แกก็พูดแบบชาวใต้ว่า “มึงเคยเห็นไหมคนที่ไม่ตาย” พอพูดเช่นนี้น้องชายที่ร้องห่มร้องไห้นี่ก็หยุดเลย ได้คิดว่าคนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้นแหละ มันไม่มีใครหรอกที่ไม่ตาย คือ สำหรับคุณป้าท่านนี้ท่านมองว่า ความตายเป็นธรรมดา และท่านไม่ได้เพิ่งมามองว่าความตายของน้องชายเป็นธรรมดา แต่ได้ระลึกถึงเรื่องนี้เสมอ ว่ามันเป็นธรรมดา ถ้าเราลองนึกถึงอยู่เสมอ อย่าไปรอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วก็ค่อยมานึกว่ามันเป็นธรรมดา บางทีทำใจยาก
มันมีบทพิจารณาที่ที่นี่สวดประจำ ชื่อว่าบทอภิณหปัจจเวกขณ์ มี 5 ข้อ แต่ 4 ข้อแรกนี่สั้น ๆ
- เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
- เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
- เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
- เราจักพลัดพรากจากของที่รักของชอบใจทั้งนั้น
ดังนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมะ 4 ข้อนี้อยู่เสมอ ๆ อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังข่าว มันมีคนโน้นคนนั้น ที่โน่นที่นี่ตาย เกิดเหตุร้าย เกิดระเบิดอะไรต่าง ๆ แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ เราก็เอามาสอนเตือนใจเราว่า เออ มันคือธรรมดา ความแก่ความเจ็บ ความตายความพลัดพราก ถ้าเรามองว่ามันเป็นธรรมดา ถึงเวลามันเกิดขึ้นกับเรา เราก็จะตั้งหลักได้ อันนี้เรียกว่าเรามีธรรมะเป็นเครื่องรักษาใจ และถ้าหากว่าเราวางใจให้ดี ไม่เพียงแต่ใจเป็นปกติเท่านั้น เรายังสามารถจะใช้ประโยชน์จากมันได้ แทนที่จะปล่อยให้เหตุร้ายมันโบยตีเรา มันซ้ำเติมเราจนเป็นทุกข์ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แทนที่จะเสียเงิน ก็เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน เสียการ เรากลับได้ประโยชน์จากมันด้วย นอกจากจะกลับไปเป็นปกติแล้วยังได้ประโยชน์จากมัน คือ พอมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราเข้มแข็งขึ้น เราฉลาดขึ้น
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอาตมาก็นับถือมาก เธอก็เป็นสาวสวย ตอนที่อยู่ปี 3 นี่ มหาวิทยาลัยเอกชนก็เป็นดาวมหาวิทยาลัย เธอสวยมาก และเธอก็ภูมิใจในความสวยของตัว พอประมาณปี 4 กระมัง เธอก็ไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่งผ่านทาง Social Media ตอนนั้นสมัยที่ยังไม่มี Facebook คือประมาณสัก 7 ปีที่แล้ว ก็ติดต่อไปติดต่อมา ผู้ชายก็หลงรักเธอทั้งที่ไม่เคยเจอหน้า พอเจอหน้ากัน ผู้ชายรู้ความจริงว่าผู้หญิงไม่ได้รักแบบนั้น ก็โกรธ เอาน้ำกรดสาดหน้าเธอ เสียโฉม ตาบอดไปข้างหนึ่ง คนที่เคยมีความภูมิใจ มีความสุขกับรูปร่างหน้าตาของตัว พอมาเจอแบบนี้นี่มันพลิกเลย ไม่อยากอยู่ อยากจะตายมากกว่า แต่ว่าคิดถึงแม่ ก็เลยตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย แต่ขอย้ายบ้าน ทนไม่ได้ที่จะเห็นหน้าคนที่เคยเห็นเธอสวยงาม เธอรู้สึกละอาย เธอรู้สึกละอายที่หน้าตาเสียโฉม ที่จริงไม่ใช่ความผิดของเธอเลย แต่ว่าเธอรู้สึกละอาย ละอายมาก รู้สึกอายก็เลยขอย้ายบ้านไป แต่หลังจากนั้นเมื่อผ่านไปปี สองปี เธอทำใจได้ เธอทำใจได้ยังไงนี่ เดี๋ยวจะบอก
พอเธอทำใจได้เธอก็ใช้ชีวิตตามปกติ เรียนจบก็ไปเป็นพนักงาน Call Center ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ทุกเช้าเธอก็นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน เธอก็ไม่ปิดบังหน้าตาของเธอ มีคนถามว่า “เธอชื่อเค้กใช่ไหม” เพราะว่าเธอเคยออกรายการโทรทัศน์ เธอก็บอกว่า “ใช่ ถูกต้องแล้วค่ะ” เรียนปัญญา “ถูกต้องแล้วค่ะ” เธอก็ไม่ได้อับอายอะไรเลย เคยมีคนถามเธอว่า “โกรธผู้ชายคนนั้นไหม ที่เธอทำอย่างนี้” เธอก็บอกว่า เธอไม่โกรธเลย แถมที่จริงอยากจะขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์นั้นมันทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นกับชีวิตของเธอ เธอก็เล่ามา 2 อย่าง คือว่า หนึ่ง มันทำให้เธออยู่กับแม่ได้มากขึ้น คือ ถ้าเธอยังสวยพริ้ง เธอก็คงยังหลงไปกับแสงสี ก็คงไม่ได้อยู่บ้าน แต่พอเธอหน้าตาเสียโฉม เธอก็อยู่กับแม่มากขึ้น แล้วก็ได้ดูแลท่าน ข้อที่ 2 มันทำให้เธอคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เธอบอกว่าแต่ก่อนนี้เธอเป็นคนที่ยึดติดมาก เวลาทำอะไรก็จะยึดติดถือมั่นมาก แต่ว่าพอเจอเหตุการณ์นี้นี่ มันทำให้เธอได้เห็นความจริงที่ว่า มันไม่มีอะไรที่จีรัง หน้าตาของเธอ ถึงแม้ไม่เสีย ไม่เสื่อมวันนี้ หน้ามันก็ต้องเสื่อมไป
ดีที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ มันทำให้เธอปล่อยวางได้เร็ว เธอพูดอย่างนี้ มันทำให้เธอปล่อยวางได้เร็ว แล้วพอเธอปล่อยวางได้เร็ว อะไรเกิดขึ้นกับเธอนี่เธอก็ไม่ได้สนใจ ใครเขาจะมองเธออย่างไร ว่าเธอหน้าตาไม่สวยนี่ เธอก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะว่าที่หนักกว่านี้ เธอก็วางได้เธอก็สามารถปล่อยได้ อันนี้นี่น่าทึ่งมาก คนที่เขาเจอเหตุร้าย ทีแรกก็ทำใจไม่ได้แต่พอใจเขาพลิก หันมามองในอีกมุมหนึ่ง มันทำให้เธอขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมันทำให้เธอเติบโต เธอใช้คำว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ก็คือว่ามีปัญญามากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น แต่ก่อนใครจะพูดถึงเธอในทางนินทาว่าร้าย เธอทุกข์มากเลย แต่เธอบอกว่าเดี๋ยวนี้เธอไม่ทุกข์แล้ว แต่ทุกวันนี้บางคนที่เพื่อนไม่กดไลค์ให้ก็เสียใจ กลุ้ม แต่ว่าสำหรับเธอนี่จิ๊บจ๊อยมาก อันนี้เพราะอะไร เพราะเธอได้ผ่านเหตุร้ายมา นอกจากจะสามารถรักษาใจให้ปกติได้ เธอยังได้ประโยชน์จากมัน ก็คือทำให้เธอได้เห็นความจริงของชีวิตว่าไม่มีอะไรที่มันเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จีรัง มันก็สอนมันก็เตือนเธอให้ปล่อยวาง
แล้วลองพิจารณาดูดี ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี่ แม้มันจะแย่เพียงใดก็ตาม มันมีแง่ดีเสมอ มันมีข้อดี มันมีประโยชน์ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นรึเปล่า ถ้าเรามองให้ดีหรือใช้มันเป็นนี่ มันก็เป็นประโยชน์ มันทำให้เราฉลาดขึ้น ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น อันนี้ทำอย่างนี้ได้เพราะมีปัญญา เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญา เขาจะไม่ค่อยหวั่นกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขารู้ว่าปัญญานี่มันจะช่วยรักษาใจเขาไม่ให้ทุกข์ แล้วก็แถมจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มันทำให้เราฉลาดขึ้น มันทำให้เรามั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นนี่เรื่องการสร้างสติให้เกิดขึ้น พัฒนาปัญญาให้งอกงาม นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นสิ่งที่คนที่รักตัวเองควรจะใส่ใจ เพราะว่ามันจะช่วยเป็นเครื่องรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้
ถ้าเรารักตัวเองแต่ปล่อยให้ความโกรธ ความเกลียดครอบงำใจ อันนี้มันไม่ถูก ถ้าเรารักตัวเอง ปล่อยให้ความอาลัยอาวรณ์มันมาบีบคั้นจิตใจ เพราะเสียดายของ เสียดายคน เสียดายเงิน อันนี้ไม่ถูก ดังนั้น ถ้าเรารักตัวเองไม่ถูกนี่ มันจะกลายเป็นว่าเรารักสิ่งอื่นแทน คนที่อาลัยอาวรณ์ เศร้าโศกเสียใจ เพราะว่าเงินหาย บ้านถูกยึด ของถูกขโมย จนกระทั่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต อันนี้แสดงว่าเขาไม่ได้รักตัวเองหรอก เขารักเงิน เขารักทรัพย์สมบัติมากกว่า บางคนเคยทำงานอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ แล้วก็ถูกปลดบ้าง หรือว่าสูญเสียตำแหน่ง สูญเสียสถานภาพก็เศร้าโศกเสียใจ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต อันนี้แสดงว่าไม่ได้รักตัวเอง แต่ว่ารักยศ หรือว่าชื่อเสียงมากกว่า ลองสังเกตดูดี ๆ ว่าเรารักอะไรกันแน่ ถ้าเรารักตัวเอง เวลาเสียของ เราก็เสียแต่ของ สลัดมันทิ้งได้ เราไม่ปล่อยใจให้ทุกข์ เวลาเราจะสูญเสียยศถา เราก็เสียแต่สิ่งนั้น เพราะมันเป็นสมมติแต่ว่าใจเราไม่ทุกข์ ลองกลับมาถามตัวเราเองว่า เรารักตัวเองจริงไหม ถ้ารักตัวเองจริงก็หมั่นพยายามทำบุญกับใจตัวเองมาก ๆ ด้วยการมีสติ มีปัญญา
ที่อาตมาพูดมาก็เป็นแค่ยกตัวอย่าง มันมีวิธีการอีกเยอะ ที่จะช่วยทำให้ใจเราเป็นปกติได้ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ ปีนี้นี่การทอดกฐินก็เป็นการทอดกฐินในวาระพิเศษ เป็นวาระที่เราทั้งหลายก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็คือมาทอดกฐินในช่วงที่ในหลวงของเราได้เสด็จสวรรคต แต่ถึงแม้ว่าเราจะมีความโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์อย่างไร สิ่งที่จะช่วยให้เราคลายความเศร้าโศกได้นั่นก็คือ ธรรมะเหมือนกัน นึกถึงความดี นึกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ ก็ก็จะช่วยทำให้เราคลายจากความเศร้าโศกได้ เพราะว่าพอเรานึกถึงความดี นึกถึงน้ำพระทัยในหลวงนี่ จะเกิดปีติ เกิดฉันทะในธรรมขึ้นมา เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะทำความดี สิ่งนี้มันจะช่วยขับไล่ความเศร้าโศก ความอาลัยอาวรณ์ และถ้าไม่ใช่เพียงแต่คิด แต่ว่าทำด้วยนี่ มันจะช่วยทำให้เราเกิดเมตตา กรุณาขึ้นมาแทนที่ เกิดความสุขที่ได้ทำความดี พยายามใช้ พยายามเปลี่ยนความโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ให้เป็นประโยชน์ ในทางธรรมะ
อย่างที่บอกว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราแม้เราจะไม่ปรารถนา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องฉลาดในการใช้มัน ก็คือมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทำให้เราฉลาดขึ้น ในหลวงเสด็จสวรรคตนี่ ก็ลองนึกว่าเราจะเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็ลองอ่านข้อความที่คัดลอกมาจากพระราชดำรัสของในหลวง ที่มาติดไว้นี่ หลายคนเห็นแต่ว่าอาจจะไม่ค่อยได้สนใจ ก็อยากจะแนะนำว่าก่อนจะออกจากวัดนี้ไป อย่างน้อยก็อ่านให้ได้สัก 3 แผ่น 3 ข้อความ ข้อความมีเยอะ เป็น 20 แต่ว่าอ่านให้ได้สัก 3 ข้อความ อ่านแล้วจับใจความให้ได้แล้วก็เอาไปพิจารณาว่า จริงไหม อันนี้อาตมาเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มาก เรามาทำบุญที่นี่เราก็จะได้อะไรกลับไป ถ้าไม่ได้ธรรมะจากพระพุทธเจ้าหรือจากอาตมาไป อย่างน้อยก็ได้ธรรมะจากพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะช่วยทำให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิม เข้มแข็งกว่าเดิมได้ ถึงแม้ว่าเราจะสูญเสียพระองค์ไป แต่ถ้าหากว่าธรรมะในใจเรางอกเงย งดงามขึ้น เพราะอาศัยพระราชดำรัสจากท่าน เพราะอาศัยคติธรรมของพระองค์นี่ก็ถือว่าเราเป็นคนที่ฉลาด ในการใช้เหตุการณ์ที่เป็นลบ ให้เกิดประโยชน์สร้างสรรค์
ปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่ง ที่หลวงพ่อคำเขียนไม่ได้มาเป็นประธานสงฆ์ในที่นี้ เป็นปีที่ 3 แล้ว ตั้งแต่ที่ท่านได้จากไป ปี 57 58 แล้วก็ 59 แต่ว่าก็อยากให้เราระลึกถึงคำสอนของหลวงพ่อคำเขียนเหมือนกัน มีหนังสือที่แจกสำหรับผู้ที่มา เป็นทั้งคำสอนแล้วก็ประวัติของท่าน ก็หยิบไป คนละชุดแล้วก็เอาไปอ่าน เอาไปอ่านที่บ้านก็ได้ ส่วนที่วัดนี่ก็อ่านพระราชดำรัสก่อน อย่างน้อย 3 แผ่น แล้วก็เราจะได้ประโยชน์จากการมา ไม่เพียงแต่ได้มาทำบุญที่วัด มาถวายเงินที่วัด หรือมาช่วยให้การทอดกฐินสำเร็จ แต่ว่านอกจากบำเพ็ญประโยชน์ท่านก็ได้ประโยชน์ตนด้วย
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณท่านคณะเจ้าภาพซึ่งได้มาร่วมกันทอดผ้าป่า รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาที่มาตั้งโรงทาน บางท่านก็มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หลายท่านก็มาตั้งแต่เช้า ก็มาด้วยเจตนาที่อยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลญาติธรรมทั้งหลาย ให้ได้มีอาหารบำรุงท้อง บำรุงกาย ซึ่งก็เชื่อว่าความเมตตา กรุณาของทั้งท่านเจ้าภาพ แล้วก็ผู้ที่มาตั้งโรงทานก็คงจะบำรุงจิตใจของเราด้วย ให้เกิดความปีติ แล้วก็หวังว่าเราจะได้ทำอย่างที่หลวงพ่อเฟื่องท่านได้ทักเอาไว้ว่า อย่าลืมทำบุญที่ใจด้วย ที่สุดนี้ขออ้างถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนบุญที่เราได้บำเพ็ญร่วมกันในวันนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ทุกท่านได้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุข พละ เพื่อเป็นพลวปัจจัยในการทำความดีงาม ให้ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา สามารถก้าวข้ามอุปสรรคทั้งปวง เข้าถึงความสงบเย็น เป็นสุข ปลอดภัยไกลทุกข์ และขอให้อานุภาพแห่งธรรมนั้น บังเกิดให้เรามีสติ มีปัญญา สามารถพาจิตออกจากความทุกข์ เข้าสู่ความสุขเกษมศานต์ มีพระนิพพานเป็นที่หมายด้วยกันทุกคนเถิด