แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลามีคนทุกข์มาปรึกษาหารือ อาตมามักจะแนะนำเขาว่า ประการแรกให้ยอมรับความจริง หมายความว่าคือความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์นี้ บ่น โวยวาย ตีโพยตีพายไม่มีประโยชน์ อาการบ่นตีโพยตีพายนั้นคือการที่ไม่ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว เป็นอาการของการผลักไส บางคนหนักกว่านั้นคือกดข่ม ยอมรับความจริงแล้วประการต่อมาคือว่า ให้ลองมองแง่บวกดู หรือมองบวก เวลาแนะนำไปอย่างนี้ บางคนอาจจะบอกว่าเป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า หรือว่าคนที่สนใจธรรมะจะบอกว่าเป็นการปรุงแต่งหรือเปล่า ที่จริงไม่ใช่เลย คือการมองตามความเป็นจริง และการมองตามความเป็นจริงหมายความว่า มีทั้งบวกและลบ ความจริงทั้งหลายทั้งปวงมีทั้งบวกและลบเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมองอย่างไร ความทุกข์มีผลที่เป็นลบแต่ถ้ามองให้ดีมีบวกได้เหมือนกัน
มีบางคนสงสัยว่า สิ่งนี้พระพุทธเจ้าได้สอนบ้างไหมเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่สนใจธรรมะเขาจะมองเหมือนกับว่า อะไรๆเป็นทุกข์ไปหมด แล้วเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องการมองเห็นความทุกข์ แต่ที่จริงพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักมองบวกเหมือนกัน หมายความว่าอย่างไรมองบวก หมายความว่าในสิ่งที่ไม่ดีในสิ่งที่เป็นลบมีข้อดี อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า เวลาไปบิณฑบาตถ้าไม่ได้อาหารอะไรมาเลยหรือได้มาน้อย ดีเหมือนกัน คือว่าร่างกายโปร่งเบาเหมาะกับการทำความเพียร ไม่ใช่ว่าบิณฑบาตไม่ได้อาหารมาแล้วแย่ไปหมด เวลาเจ็บป่วยก็ดีตรงที่ว่าไม่ป่วยหนักกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันอาการป่วยหนักอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นต้องรีบทำความเพียร ไม่ใช่เป็นข้ออ้างว่าป่วยแล้วจึงไม่ทำความเพียร ต้องมองว่าดีที่เราไม่ป่วยหนักกว่านี้ เพราะฉะนั้นรีบทำความเพียร เพราะว่าอาจจะป่วยหนักเมื่อไรได้ นี่คือการมองบวก
เราลองมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เป็นความทุกข์มีข้อดี เช่น เงินหาย ของหาย เป็นการสอนใจให้ไม่ประมาทให้รู้จักระมัดระวัง หรือว่าเป็นการฝึกให้เรารู้จักปล่อยวาง เป็นการฝึกให้เราเรียนรู้วิธีที่จะออกจากทุกข์ เพื่อเราจะได้มีความสามารถในการเผชิญความทุกข์ที่หนักกว่านี้ในวันข้างหน้า ความทุกข์ที่หนักกว่านี้รอเราอยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะความตายซึ่งเป็นสุดยอดของความทุกข์ของมนุษย์ปุถุชน ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราแต่ละวันๆ ไม่ว่าเกิดขึ้นกับทรัพย์สินเงินทอง เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เกิดขึ้นกับงานการ หรือเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ฝึกให้เรามีปัญญา และความสามารถในการที่จะเผชิญทุกข์ที่หนักหนากว่านั้นในวันข้างหน้า นี่คือมองบวก
อะไรที่เกิดขึ้นกับเรามีข้อดี ตกงานก็ดีทำให้เรามีเวลาว่างที่จะกลับไปดูแลพ่อแม่ เพราะเวลาทำงานไม่ค่อยมีเวลาดูแลพ่อแม่เลย ท่านอยู่ต่างจังหวัด ท่านอยากจะให้ไปเที่ยว อยากให้ไปเยี่ยมท่าน ไม่มีเวลาแล้วอ้างว่าไม่มีเวลาๆ ตอนนี้มีเวลาแล้วเพราะตกงาน พูดถึงความเจ็บป่วย หลายคนแม้กระทั่งเด็กๆอายุ 12 ปีคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง เขาบอกว่าตอนที่ป่วยดีเหมือนกันเพราะว่าทำให้พ่อแม่มาดูแล ตอนที่ไม่ป่วยพ่อแม่ไม่ค่อยมาดูแลเพราะต่างคนต่างมีวิถีของตัว พ่อแม่ไปทำงานแต่เช้า ลูกไปโรงเรียน เหินห่าง แต่พอป่วยแล้วพ่อแม่ลางาน บางคนทิ้งงานไปเลยหรือลาออกจากงานเพื่อมาดูแล ทำให้เกิดความใกล้ชิด เด็กเลยบอกว่าตอนที่เจ็บป่วยเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเพราะว่าได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ นี่ต้องอาศัยการมองบวก เพราะถ้ามองไม่เป็นจะบ่นตีโพยตีพายว่าทำไมฉันโชคร้ายแบบนี้ มองเห็นแต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้มองว่ามีข้อดีอย่างไร
รถติดก็มีข้อดี ถ้าไม่มองบวกไม่เห็นหรอกจะหงุดหงิดรำคาญใจ พ่อเคยถามลูก พ่อคนนี้พยายามสอนลูกให้รู้จักมองบวกในทุกสถานการณ์ พอรถติดถามลูกว่ารถติดมีประโยชน์อย่างไร ลูกนั่งคิดสักพักและบอกว่ามีประโยชน์ตรงที่ทำให้พ่อมาคุยกับลูกไง เพราะถ้ารถไม่ติด ไฟเขียวตลอดพ่อมองแต่ข้างหน้า ไม่มีเวลาหรือไม่สนใจจะมาสนทนากับลูก ถ้าบางคนมองแต่ลบจะนึกไม่ออกเลยว่ารถติดมีประโยชน์อย่างไร หรือความเจ็บป่วยมีประโยชน์อย่างไรบ้าง นี่ไม่ใช่เป็นการหลอกตัวเอง ไม่ใช่การปรุงแต่ง แต่เป็นการมองเห็นอีกแง่หนึ่งของความทุกข์หรือปัญหา ซึ่งเป็นความจริง เพียงแต่ถ้ามองไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มี และที่มองไม่เห็นเพราะว่ามองแต่ลบๆอยู่ตลอดเวลาคือมองชั้นเดียว พูดง่ายๆมองบวกนี่เป็นการมองสองชั้น จะว่าไปไม่ถึงกับมองสองชั้น เพียงแต่มองคนละมุมเท่านั้นเอง
ถ้ามองบวกลองดูให้ดี แม้กระทั่งว่าเวลามองไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งนั้นเลย ยังมีข้อดี ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ อันนี้มีเรื่องในพระสูตร สมัยพุทธกาลพระปุณณสุนาปรันตะ ซึ่งเป็นพ่อค้าแล้วมาบวช ตอนหลังบวชแล้วได้ปฏิบัติระยะหนึ่งอยากจะกลับไปเมืองสุนาปรันตะ ซึ่งเป็นเมืองของตน แต่เมืองนี้ประกอบด้วยคนที่ไม่ค่อยสนใจพระพุทธศาสนา พระปุณณสุนาปรันตะจะทูลลาไปเมืองสุนาปรันตะ พระพุทธเจ้าเตือนว่าคนสุนาปรันตะนี่ดุร้าย ถ้าเขาด่าว่าท่าน ท่านจะคิดอย่างไร พระปุณณสุนาปรันตะตอบว่าเขาด่าก็ดีกว่าเขาทุบตี เขาด่าดีที่เขาไม่ทุบตี แล้วถ้าเขาทุบตีท่านจะว่าอย่างไร พระปุณณสุนาปรันตะตอบว่าเขาทุบตีก็ดีที่เขาไม่เอาก้อนหินมาขว้าง แล้วถ้าเขาเอาก้อนหินมาขว้างท่านจะคิดอย่างไร เอาก้อนหินมาขว้างก็ดีที่เขาไม่เอาไม้มาฟาด แล้วถ้าเขาเอาไม้มาฟาดท่านจะคิดอย่างไร เอาไม้มาฟาดก็ดีที่เขาไม่เอาของแหลมมาแทง แล้วถ้าเขาเอาของแหลมมาแทงล่ะท่านจะคิดอย่างไร พระปุณณสุนาปรันตะตอบว่าเอาของแหลมมาแทงก็ดีที่เขาไม่ฆ่าให้ตาย แล้วถ้าเขาฆ่าท่านให้ตายท่านจะว่าอย่างไร เป็นคำถามสุดท้าย พระปุณณสุนาปรันตะตอบว่า คนบางคนอยากจะตายต้องไปหามีดหาศาสตรามา หรือไม่ต้องไปจ้างคนมาฆ่า แต่ถ้าเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าดีเหมือนกัน คือไม่เหนื่อยไม่ต้องไปขวนขวาย มีคนมาทำให้ คือท่านปุณณสุนาปรันตะท่านมองว่าอะไรเกิดขึ้นกับท่านดีทั้งนั้น ตั้งแต่ด่าว่าไปจนถึงการฆ่าให้ตาย ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ นี่คือการมองบวก ไม่ใช่เป็นเรื่องการปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องการหลอกตัวเอง เป็นเรื่องของการมองอย่างฉลาดเพื่อให้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น
เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะบ่นไปทำไม การบ่นเป็นการทำร้ายจิตใจตัวเอง เขาทำร้ายร่างกายเราแล้ว ถ้าเราโกรธก็ดี ถ้าเราบ่นก็ดี เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเอง คนอื่นเขาทำร้ายได้แต่ร่างกาย แต่เขาทำร้ายจิตใจไม่ได้ เขาบังคับให้เราบ่นไม่ได้ เขาบังคับให้เราโกรธไม่ได้ เขาบังคับให้เราพยาบาทไม่ได้ มีแต่ใจเราเท่านั้นที่จะทำสิ่งนั้น ทำแล้วใครทุกข์ เราทุกข์ ถ้าเรามองบวกใจเราไม่ทุกข์แล้ว เหลือแต่ทุกข์ที่เกิดกับร่างกาย เอามาใช้กับทรัพย์สินได้ เงินหาย เงินหายหมื่นหนึ่งก็ดีที่ไม่หายแสนหนึ่ง หรือหายแสนก็ดีที่ไม่เจ็บไม่ป่วย หรือว่ารถไม่ได้หายไปด้วย ถ้ามองแบบนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น อย่างน้อยดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ มีเด็กคนหนึ่งเป็นมะเร็งที่สมอง จิตอาสาไปเยี่ยมเห็นผมร่วงหมดเลยแต่หน้าตาแจ่มใส ไปถึงพูดคุยโอภาปราศรัยดี คุยไปคุยมาเธอบอกว่าหนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก มีญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งมดลูกปวดมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง แบบนี้คือการหลอกตัวเองหรือเปล่า ไม่ได้หลอกตัวเองเลย แต่เป็นการมองให้เห็นว่ายังดีที่เราไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายไปกว่านี้
แบบนี้เป็นการมองที่พระพรหมคุณาภรณ์เรียกว่าโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการคือการมองแบบมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเรียกว่าอโยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการมองได้หลายแง่หลายแนว มองแบบอริยสัจ 4 ได้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หรือมองแบบเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเหตุกับผล มองบวกเขาเรียกว่าเป็นการมองแบบโยนิโสมนสิการที่เร้ากุศลธรรม คือการมองว่าปัญหาหรือความคิดที่เกิดขึ้นมีข้อดีอะไรบ้าง มองบวกอีกแบบหนึ่งคือการไม่จดจ้องอยู่กับสิ่งที่เป็นลบหรือข้อเสีย คนบางคนมองเห็นแต่ข้อเสีย มองแต่สิ่งที่เป็นลบ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องรู้จักมองด้านที่เป็นบวกบ้าง
ในแง่หนึ่งพระพุทธเจ้าสอนว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ทุกข์เลย ทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือทุกข์และทางพ้นทุกข์ แต่ในอีกแง่หนึ่งในระดับจริยธรรม ในระดับการใช้ชีวิตอย่างปุถุชน พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักมองบวก คนบางคนอ่านธรรมะมามากคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้มองแต่ลบ ที่จริงไม่ใช่เลยพระพุทธเจ้าสอนให้มองบวกด้วย อันนี้สอดคล้องกับคำสอนพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านเคยสอนว่าเวลาเจอคนบางคนแล้วเราโกรธเขา เรามีความอาฆาตเขา ให้ลองมองแบบนี้ดูว่า แม้เขาจะมีความประพฤติทางกายไม่ดีไม่เรียบร้อย แต่หากว่าเขามีความประพฤติทางวาจาที่เรียบร้อยหมดจด อย่าไปจดจ่ออยู่แต่ความประพฤติทางกายที่ไม่เรียบร้อยนั้น ให้มีมนสิการหรือจดจ่ออยู่กับการประพฤติทางวาจาที่หมดจดเรียบร้อย จะช่วยทำให้ลดความโกรธความพยาบาท
และท่านเปรียบเทียบเหมือนกับว่า เห็นจีวรคร่ำคร่าอยู่บนถนนมีทั้งส่วนที่ใช้ไม่ได้และส่วนที่ใช้ได้ ให้เหยียบจีวรหรือผ้านั้นแล้วฉีกเอาเฉพาะส่วนที่ดีมา เอามาทำไม เอามาทำเป็นจีวร สมัยก่อนนี่คือวิธีการหาผ้ามาทำจีวรของพระ เก็บตามท้องถนนบ้างเก็บตามป่าช้าบ้าง สมัยก่อนไม่ได้มีจีวรเป็นผืนแบบที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน สมัยก่อนต้องเก็บมาทีละเล็กทีละน้อย วิธีการเก็บจีวรจากท้องถนนเปรียบได้กับการมองคน มองคนให้มองแต่ด้านดีของเขา ถ้าเขามีความประพฤติทางกายไม่เรียบร้อยอย่าไปสนใจ สนใจแต่ความประพฤติทางวาจาที่เรียบร้อย คนบางคนมีความประพฤติทางกายดีแต่ความประพฤติทางวาจาไม่เรียบร้อย เช่น พูดจาไม่สุภาพ หยาบคาย ชอบนินทา พระสารีบุตรแนะนำว่าอย่าไปสนใจความประพฤติทางวาจาที่ไม่ดีของเขา ให้สนใจความประพฤติทางกายที่ดีที่เรียบร้อยของเขา แล้วความอาฆาต พยาบาท ความโกรธจะหายไป บางคนไม่ถึงกับอาฆาตพยาบาทแต่ว่าหงุดหงิดระอา เพราะอะไร เพราะไปมองแต่ส่วนที่ไม่ดีของเขา ส่วนที่ดีไม่มอง พระสารีบุตรแนะนำว่า ให้มองส่วนที่ดีของเขา
เปรียบเหมือนกับคนที่เดินทางไกลกระหายน้ำ พอมาเจอสระ สระนี่มีจอกแหนปกคลุมหมดเลย ทำอย่างไรจะมีน้ำกิน ต้องรู้จักแหวกจอกแหนออกมา แล้วตักน้ำในสระนั่นดื่มกินได้ คนบางคนความประพฤติทางกายไม่ได้เรียบร้อย ความประพฤติทางวาจาไม่เรียบร้อย แต่ว่าเขามีจิตใจที่ผ่องใสบางขณะ ให้จดจ่อใส่ใจกับตรงนั้น นี่คือการมองบวก มองด้านที่ดีของเขา พระพุทธเจ้าก็สอน พระสารีบุตรก็สอน เรื่องนี้เป็นมุมมองของชาวพุทธแบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่ใช่มองคนอื่นอย่างเดียว เอามาใช้กับตัวเองได้ เอามาใช้กับการทำงานของตัวเองได้
อาจารย์พรหมวังโสเคยเล่า สมัยที่ไปสร้างวัดที่ออสเตรเลีย ท่านเป็นชาวอังกฤษและมาบวชกับหลวงพ่อชา ตอนหลังไปเผยแผ่ศาสนาที่ออสเตรเลีย ต้องสร้างวัดจากศูนย์เลย ท่านได้รับมอบหมายให้สร้างกำแพง ท่านเป็นคนที่เรียบร้อย พยายามที่จะก่อกำแพงทีละก้อนๆ ด้วยความใส่ใจ ใช้เวลานานเป็นเดือน ปรากฏว่าพอสร้างเกือบจะเสร็จเพิ่งสังเกตว่ามีสองก้อนที่ไม่ค่อยเรียบร้อย ไม่ค่อยได้มุม ไม่ค่อยได้ฉากกันเท่าไหร่ อยากจะรื้อรื้อแต่รื้อไม่ได้แล้วเพราะว่าปูนแข็งแล้ว จะทำลายเจ้าอาวาสก็ไม่ยอม พอเสร็จแล้วท่านเห็นแต่สองก้อนที่ไม่สวย เดินผ่านไปผ่านมาท่านเห็นแต่สองก้อนที่ไม่สวย เห็นทีไรหงุดหงิดทุกที วันหนึ่งมีโยมคนหนึ่งมาเยี่ยม ท่านพาชมวัด โยมเห็นกำแพงบอกว่ากำแพงนี่สวย ก่อได้งาม อาจารย์พรหมวังโสบอกว่าสวยที่ไหน ไม่เห็นหรอสองก้อนนี่ไม่สวยเลย ตาถั่วหรือเปล่า อาคันตุกะบอกว่าเห็นครับสองก้อนที่ไม่สวย แต่ว่าที่เหลือคือเก้าร้อยเก้าสิบแปดก้อนคือสวยคืองาม มองบวกคือมองเก้าร้อยเก้าสิบแปดก้อนที่ดี ไม่ใช่มองแต่สองก้อนที่ไม่ดี
หลายคนมีความทุกข์กับผู้คน สามีบางคนทุกข์กับภรรยา ภรรยาบางคนทุกข์กับสามี เห็นแต่ด้านไม่ดีของสามี หรือเห็นแต่ด้านไม่ดีของภรรยา หรือว่ามองว่าชีวิตของตัวเองนี่มีแต่แย่ ทำงานมีแต่ปัญหา หรือว่าทำงานแล้วไม่ค่อยราบรื่น มีอุปสรรค หรือไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แบบนี้ต้องลองถามตัวเองว่าเป็นเพราะเรามองแต่ลบหรือเปล่า เหมือนกับอาจารย์พรหมวังโส ที่ท่านทำมาได้สวย 98% หรือว่าทำมาสวย 99% แต่ว่ามีความทุกข์เพราะไปจดจ่ออยู่กับ 1% ที่ไม่ดี ถ้าจดจ่ออยู่กับ 1% ที่ไม่ดีนี่เรามองลบ แต่ถ้ามองบวกคือว่าไม่ได้เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีอย่างเดียว เห็นส่วนที่ดีด้วย ความทุกข์ของคนส่วนใหญ่เกิดจากการมองลบ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะไม่มีโชคไม่มีลาภ หรือเป็นเพราะว่าเจอแต่เคราะห์ อยู่ที่ว่ามองอย่างไร
เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าซิโก้ที่เป็นโค้ชทีมฟุตบอลชาติไทย ซึ่งตอนนี้โด่งดัง เขาเคยเป็นนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ เป็นกัปตันทีมชาติ จนตอนหลังไปค้าแข่งในต่างประเทศ แล้วไปทำสัญญาเป็นนักฟุตบอลให้กับสโมสรอังกฤษ เป็นข่าวใหญ่มาก นักฟุตบอลไทยจะได้ลงสนามในลีกที่มีชื่อมากของโลก ลีกอังกฤษอันดับต้น พรีเมียร์ลีก แต่ปรากฏว่าไปถึงอังกฤษแล้วไม่เคยได้ลงสนาม ไม่เคยได้เล่นเป็นตัวจริงเลย เป็นตัวสำรองตลอด นั่งอยู่ข้างสนาม เขาทุกข์มากเลย ทุกข์มากจนนอนไม่หลับ เครียดมาก รู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่าการไปอังกฤษล้มเหลว แย่มาก แต่ผ่านไปไม่นานเมื่อเขากลับมามองเหตุการณ์นั้นอีกครั้งหนึ่งพบว่า ที่จริงไม่มีอะไรเลย เพียงแต่เรามองไม่เห็นเอง มองไม่เห็นอะไร ไปอังกฤษนี่มีแต่ได้กับได้ ได้บ้านได้รถ ได้ภาษาอังกฤษ ได้พัฒนาร่างกาย ได้มุมมองใหม่ๆ ได้รู้จักคนมากมาย ได้เดินทาง แล้วได้สัมผัสกับลีกฟุตบอลที่มีสีสันที่สุดในโลก ได้ตั้งหลายอย่างแต่มองไม่เห็น ตอนนั้นจดจ่ออย่างเดียวเห็นอย่างเดียวคือ ไม่ได้เล่นเป็นตัวจริง ไปอังกฤษนี่ได้กับได้ เสียอย่างเดียวคือไม่ได้ลงเล่น ตอนนั้นเขามองลบเขาเห็นว่าฉันไม่ได้เล่นบอลไม่ได้เล่นเป็นตัวจริงทุกข์มากเลย แต่พอกลับมาแล้วถึงค่อยเห็น เราได้ตั้งมากมายแต่มองไม่เห็น มองไม่เห็นเพราะอะไรเพราะมองลบ แต่ถ้ามองบวกจะพบว่าได้ ได้มากมายเลย สุขหรือทุกข์คนเรานี่จริงๆขึ้นอยู่กับมุมมองมากทีเดียว ถ้ามองแต่ลบก็ทุกข์ ถ้ามองบวกพบว่ามีความสุขว่าเราได้อะไรมามากมายหลายอย่าง
คนเจ็บป่วยเหมือนกัน เจ็บป่วยจะไม่ทุกข์แต่กาย จะทุกข์ใจด้วย เพราะว่ามองเห็นแต่ร่างกายส่วนที่ไม่ดี ร่างกายส่วนที่เป็นมะเร็งส่วนที่ป่วย มองไม่เห็นส่วนที่ดี เช่น ตา จมูก หู มือ หัวใจ ขา ตายังมองเห็น หูยังได้ยิน ปากยังพูดได้ กินอาหารอร่อย มือยังเป็นปกติสามารถกอดคนรักได้ เท้ายังสามารถพาเราไปเที่ยวไหนได้ เป็นอิสระ แต่ถ้ามองเห็นแต่ร่างกายส่วนที่ไม่ดี ทุกข์สถานเดียว ไม่ได้ทุกข์กายอย่างเดียวแต่ทุกข์ใจด้วย นี่คือการมองบวกอีกด้านหนึ่ง มองบวกมีสองแง่ แง่หนึ่งคือมองว่าสิ่งที่แย่มีข้อดีอะไรบ้าง และมองบวกอีกแง่หนึ่งคือการมองว่าไม่ได้จดจ่อแต่สิ่งที่เป็นลบ แต่มองเห็นสิ่งที่เป็นบวกที่อยู่รายล้อมสิ่งที่เป็นลบ การมองแบบนี้ไม่ใช่เป็นการปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็นการหลอกตัวเองแต่เป็นการมองความจริงอย่างรอบด้าน และเป็นการมองที่เร้าให้เกิดกุศลธรรม จึงเป็นโยนิโสมนสิการอย่างหนึ่งที่เราควรจะมี แล้วปฏิบัติมาใช้ในการดำเนินชีวิต ถ้าเรามีมุมมองแบบนี้ ไม่ว่าเราเจออะไรเราจะยิ้มได้ เพราะเราจะมองเห็นว่ามีข้อดีตรงนี้ มีส่วนดีตรงนี้ หรือว่าเราจะไม่ใส่ใจกับมัน แต่เรามองเห็นว่ามีส่วนอื่นๆที่ดี ไม่ดีแค่ 1% ส่วนอีก 98%-99% ดี
แต่เดี๋ยวนี้คนเราเวลาพูดคำว่ามองบวกเข้าใจกันไปต่างๆนาๆ หลายคนเข้าใจว่าการมองบวกหมายถึง การไปมองหรือการไปคิดเอาว่าข้างหน้าจะสดใส อนาคตจะโชติช่วงชัชวาล นั่นเป็นความหมายหนึ่งของการมองบวกที่หลายคนเข้าใจ แต่การมองบวกในพุทธศาสนามีแค่สองอย่างเท่านี้ คือการมองว่าส่วนที่เป็นทุกข์ ส่วนที่แย่ ส่วนที่เป็นปัญหา มีข้อดีอย่างไรบ้าง ความสูญเสียความพลัดพรากมีข้อดีอย่างไรบ้าง ฝึกใจให้อดทน หรือว่าสอนใจให้เห็นถึงความอนิจจัง สอนใจให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเจ็บป่วยสอนไตรลักษณ์ได้ ความทุกข์ถ้าเราเกี่ยวข้องกับเป็นคือมองให้เป็นเห็นสมุทัย พอเห็นสมุทัยจะเห็นไปถึงนิโรธและมรรค อริยสัจ 4 ต้องเริ่มต้นจากการมองทุกข์ให้เป็น ถ้ามองไม่เป็นกลายเป็นทุกข์ไป แล้วเป็นทุกข์นี่ไปไม่ถึงนิโรธ แต่จะไปนรกแทนคือกลัดกลุ้มใจ ตีอกชกหัว จนกระทั่งทำร้ายตัวเองฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นทุกข์นี่ไปนรก แต่ถ้ามองทุกข์หรือว่าดูทุกข์ให้เป็นไปถึงนิโรธได้ ทุกข์มีประโยชน์ตรงนี้ เจอทุกข์สามารถจะพ้นทุกข์ได้ถ้าเราเห็นทุกข์แต่ไม่ไปผู้ทุกข์ นี่คือประโยชน์ของความทุกข์ที่เราต้องมองให้ออก มองให้เป็น นี่คือการมองบวกในแง่หนึ่งว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ารู้จักใช้ รู้จักมอง รู้จักเกี่ยวข้อง
มองบวกอีกแง่หนึ่งในพุทธศาสนาคือการไม่จดจ่อแต่สิ่งที่เป็นลบ ให้เห็นสิ่งที่เป็นบวกที่ปรากฏอยู่กับเราตลอดเวลา แต่เราเลือกที่จะไม่มองเอง คนที่เรารังเกียจเพราะว่าเราเห็นแต่ด้านไม่ดีของเขา ส่วนด้านที่ดีของเขาก็มีแต่เรามองไม่เห็นหรือเราเลือกที่จะไม่มอง อันนี้เรียกว่ามองลบ แต่ถ้าเรามองเห็นด้านบวกของเขา แล้วใส่ใจแต่ด้านบวกใจเราจะเป็นสุข เราจะมีความโกรธความหงุดหงิดความอาฆาตน้อยลงหรือไม่มีเลย แล้วเราจะรักตัวเราเองมากขึ้น ถ้าเรามองว่าถึงแม้เราจะไม่มีอย่างนู้นไม่มีอย่างนี้แต่เรามีดีๆ อีกหลายอย่าง คนที่มองแต่ว่าฉันไม่มีนู่นไม่มีนี่ นี่คือมองลบเหมือนกัน ทั้งที่ตัวเองมีอะไรต่ออะไรตั้งมากมาย คนเราเลือกมองแต่สิ่งที่เราไม่มีหรือว่าสิ่งที่ไม่ดี หลายคนสวยหล่อแต่แทนที่จะมีความสุขกลับทุกข์เพราะว่าเห็นแต่ สิว ฝ้า เห็นแต่ส่วนที่ไม่ดีในร่างกายของตัวเองซึ่งเป็นแค่น้อยนิด ส่วนที่ดีส่วนที่มีมองไม่เห็น อันนี้เป็นการมองลบ เห็นแต่สิ่งไม่มี เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี ทั้งที่สิ่งที่มีมากมาย สิ่งที่ดีก็มากมาย
ถ้าเราลองมามองตรงนี้บ้างเราจะขอบคุณ ขอบคุณชีวิต ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณทุกเวลานาทีที่ทำให้เรามีสิ่งดีๆ มากมาย คนพิการหลายคนมีความสุข เพราะเขาไม่เลือกมองในส่วนที่เสีย แต่เขาเลือกมองเห็นแต่ส่วนที่ดีที่เขามี สิ่งนี้เป็นลักษณะเด่นของคนพิการจำนวนมากที่เขาสามารถที่จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข เพราะเขารู้จักมองบวกนั่นเอง ถ้าเรามองให้เป็นเราจะมีความสุขได้ แล้วสามารถจะพ้นทุกข์ได้ด้วย ถ้าหากว่าเรารู้จักมอง หลายท่านบรรลุนิพพานได้เพราะว่ารู้จักมองจนเห็นไตรลักษณ์ จากสังขารที่กำลังเจ็บป่วย จากสังขารที่กำลังจะตาย จากร่างกายที่กำลังถูกไฟไหม้เผาผลาญร่างกายท่านก็บรรลุธรรมได้ บางท่านบรรลุธรรมขณะที่เสือกัดมีทุกขเวทนามากท่านก็เห็นไตรลักษณ์ เห็นพระธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จากความเจ็บ จากสังขารที่กำลังจะตาย จากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น อันนี้เรียกว่ามองบวกได้ แม้ว่าเจอทุกข์ปางตายยังเห็นธรรมจากทุกข์ได้ ถ้าเรามองไม่เป็น ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ไปอบายสถานเดียว เพราะว่าปวดทรมานมาก ถูกไฟเผา ถูกเสือกัด หรือว่าถูกโรคเล่นงาน แต่พอมีสติเปิดใจ เห็นสัจธรรม ปัญญาเกิด จิตก็หลุดพ้น