แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เช้านี้เราจะได้มาเรียนรู้สิ่งสำคัญในชีวิตอย่างหนึ่งคือ การรู้จักกิน หรือ รู้จักฉัน กินให้เป็น เป็นบทเรียนข้อแรกเลยสำหรับพวกเราในเช้าวันนี้ กินให้เป็นไม่ได้แปลรู้จักตักใส่ปากแล้วเคี้ยวแล้วกลืนลงไป แบบนั้นยังไม่ได้เรียกว่ากินเป็น กินเป็นคือรู้ว่ากินเพื่ออะไร หรือควรจะกินเพื่ออะไร หรือเราเป็นนักบวชไม่ว่าชายหรือหญิงเรากินเพื่อบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี เพื่อบำบัดความทุกข์ ความทุกข์คือความหิวโหย อย่างพวกเราตอนนี้คงหิวกันแล้ว เมื่อเช้าอาจจะเติมอะไรเล็กน้อยแต่ยังไม่พอ เรียกบำบัดทุกขเวทนาให้หายหิว
แต่บางอย่างที่เราเติมเข้าไปใส่ท้องแล้ว แม้จะทำให้หายหิวแต่อาจจะเป็นโทษในระยะยาว หรือจะเป็นโทษทันทีที่เติมเข้าไปได้ เพราะถ้าเติมมากหรือไปกินมากไปก็จุก แน่นท้อง และบางทีของที่กินอร่อยจริงแต่เป็นโทษกับร่างกายไป อาจจะทำให้ท้องเสียได้ แบบนี้เรียกโทษระยะสั้น โทษระยะยาวคือกินมากๆ อาจจะกลายเป็นส่วนเกินคือไขมัน ไขมันพอสะสมมากเข้าในเส้นเลือดและตามอวัยวะต่างๆของเรา จะทำให้เราป่วยง่าย เช่นเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง เดี๋ยวนี้เป็นกันแล้ว อายุ 11, 12 ปีเริ่มเป็นกันแล้ว เพราะว่าเรากินตามใจปากมากไป เรียกว่ากินไม่เป็น คือกินเพื่อความอร่อยเอาความอร่อย ถ้าใครกินเพื่อความอร่อยอย่างนี้เรียกว่ากินไม่เป็น เพราะสิ่งที่กินเข้าไปอาจจะกลายเป็นโทษเป็นผลเสียกับร่างกายเราได้ กินแล้วป่วยจะเรียกกินเป็นได้อย่างไร ไม่ว่าป่วยระยะสั้นหรือระยะยาว
เพราะฉะนั้นเรามาฝึกการกินให้เป็น คือกินเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ แล้วอยู่ได้ดีคือมีสุขภาพ ไม่ใช่เพื่อให้ร่างกายล่ำสันจะได้อวดคนว่าฉันเป็นเป็นคนแข็งแรง เราไม่ได้กินเพื่ออวด ไม่ได้อวดด้วยร่างกายของเรา หรือไม่ได้อวดว่าฉันร่ำรวยฉันกินของหรู สิ่งที่เราเลือกกินของที่แพง เช่นกินไอศครีมก็ต้องกินของ Swensens ต้องกินไอศครีมราคาแพงๆ เรียกว่ากินไม่เป็น เพราะกินเพื่อสนองกิเลสแล้วยังสิ้นเปลืองด้วย เวลาเราไปตักอาหารให้พิจารณาก่อนหรือเตือนใจเราก่อนว่า ที่กินเพื่อสุขภาพเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ดี สามารถทำงานทำการต่างๆได้ ดังนั้นต้องเลือกจะกินอะไร บางคนตักแต่เนื้อ ผักไม่เอา อย่างนี้เรียกกินไม่ถูก กินไม่เป็น เอาความถูกใจมากกว่ากับความถูกต้อง ความถูกต้องคือร่างกายต้องการเส้นใยอาหารด้วยซึ่งมีอยู่ในผัก กินอาหารให้ครบหมู่ให้ครบหมวด 5 หมู่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน ไม่ใช่กินแต่ไขมัน กินแต่โปรตีน แต่อย่างอื่นไม่กิน หรือกินแต่เนื้อไม่กินผัก ร่างกายเราต้องการสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน ดังนั้นมาที่นี่ต้องกินผักมากๆ เพราะว่าผักช่วยร่างกายเราหลายอย่าง ช่วยขับถ่าย แล้วช่วยทำให้ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ในระยะยาว
ทีนี้การรู้จักเลือกกิน คือกินอาหารโดยเน้นถึงสุขภาพ ไม่ได้กินเพราะว่าสวย ไม่ได้กินเพราะอร่อย ความอร่อยก็สำคัญอยู่แต่เอาไว้ทีหลัง เป็นเรื่องรอง ถ้าเราเอาความอร่อยเป็นหลักสุขภาพเราก็แย่เหมือนกัน เพราะบางคนกินแต่ขนม กินแต่ของหวาน ข้าวไม่กิน อาหารไม่เอา อย่างนี้จะมีสุขภาพดีได้อย่างไร ดังนั้นต้องรู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แบบนี้เรียกว่ารู้จักเลือกคุณภาพของอาหาร เรื่องปริมาณก็สำคัญ คือตักให้พอกิน อย่าตักเกิน ตอนที่หิวเห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แต่พอกินไปได้สัก 5 นาที 10 นาที ที่ตักมาเริ่มอยากจะเอาไปทิ้งเพราะอิ่มแล้วกินไม่หมด ตอนก่อนกินกับพอกินไปได้สักครึ่งหนึ่งความรู้สึกเราจะต่างกัน ลองสังเกต ก่อนกินพอเห็นอะไรอยากตัก ตักใหญ่ ตักใส่บาตร ตักใส่จาน แต่พอกินไปได้สัก 5 นาที 10 นาที ความอยากหายไปแล้ว ลองสังเกตดูความอยากของเรา ที่อยากกินขนมที่ตักมากมาย ไม่อยากเอาแล้ว อยากจะไปแจกเพื่อนมากกว่า แบบนี้ก็ไม่ถูก เราต้องรู้จักกินพอประมาณ อย่าตักเหลือเพราะจะกลายเป็นของเสียไป เสียดายของ
คราวนี้นอกจากกินอะไร กินเท่าไรแล้ว ต้องพิจารณาเรื่องกินอย่างไรด้วย หมายความว่า กินอย่างมีสติ อย่ากินมูมมาม ตอนที่เราเริ่มกินใหม่ๆ หิวมาก ของอร่อยๆ ทั้งนั้น กินใหญ่เลย เรียกว่ามูมมาม ระวังติดคอ ระวังจะเคี้ยวไม่ละเอียด จะทำให้ท้องอืดได้ กินอย่างมีสติ คือใจอย่าไปลอยคิดโน่นคิดนี่ มีหลักการที่เขาสอนไว้ดี “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง” เดินทีละก้าว อย่าไปเดินทีละหลายก้าวเดี๋ยวหกล้มสะดุดขา กินข้าวทีละคำ คำนี้คือพอดีปาก อย่าไปกินทีละหลายคำ ทำทีละอย่าง หมายความว่าเวลากินก็กินอย่าเพิ่งไปคิดอะไร อย่าเพิ่งใจลอยนึกถึงวันกลับ นึกถึงวันสึก นึกว่า 12 เมษายน สึกแล้วจะไปไหน บวชแค่วันเดียวนึกถึงวันสึกแล้ว ทำทีละอย่างอย่าง เรียกว่ามีสติ
ที่จริงตั้งแต่อาบน้ำ ถูฟัน เก็บที่นอน ครองจีวร ใส่เสื้อผ้า ใจไม่ต้องคิดอะไร ใจอยู่กับการทำสิ่งนั้น ทำทีละอย่างจะฝึกสติได้ดีมาก ต่อไปเราจะมีสมาธิ ถึงเวลาเราเรียนหนังสือ ถึงเวลาอ่านหนังสือ ใจเราอยู่กับการอ่านหนังสือ จะไม่วอกแวก ไม่คิดว่าเดี๋ยวจะต้องไปเล่นเกมออนไลน์ จะไม่มีความคิดเหล่านี้มารบกวน ใจเราจะมีสมาธิกับการอ่านเพราะเราฝึกทำทีละอย่าง เวลาเล่นเราก็เล่นจริงๆ เวลาเรียนเราเรียนเต็มที่ เรียกว่าทำทีละอย่าง ไม่ใช่เวลาเรียนนึกถึงเล่น เวลาเล่นนึกถึงการบ้านที่ยังไม่ได้ทำ ไม่มีสมาธิสักอย่าง
และอีกอย่างคือการกินด้วยความรู้สึกสำนึกบุญคุณของทุกอย่าง ทุกคนที่ทำให้เรามีอาหารในวันนี้ คนที่เขาถวายอาหารให้เราเขาไม่ได้มีหน้าที่เหล่านี้ เวลาที่เราอยู่บ้านเราจะคิดว่าพ่อแม่มีหน้าที่ทำอาหารให้เรากิน พ่อแม่มีแต่ที่ซื้ออาหารอร่อยๆ ให้เรากิน บางคนคิดแบบนี้ แต่คิดแบบนั้นยังไม่แย่เท่ากับมาคิดว่าอาหารที่เรากินวันนี้เขามีหน้าที่ทำมาให้เรา เขาไม่มีหน้าที่ เพราะหลายคนที่ถวายอาหารเขาไม่รู้จักเรา แต่เขาศรัทธาเราที่เราเป็นนักบวช นุ่งเหลือง ห่มขาว เขาศรัทธาเขาจึงหามาให้ ต้องขอบคุณเขา สำนึกในบุญคุณของเขา รวมทั้งคนอื่นด้วย เช่นชาวนาชาวไร่แม้แต่ชาวสวนที่ทำให้เรามีข้าว มีผัก แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ที่เขาสละชีวิตให้เราเพื่อเป็นอาหาร ต้องขอบคุณเขา ไม่ใช่ของแบบนี้มีเงินแล้วจะซื้อได้ หรือชี้นิ้วแล้วจะมีคนมาให้ เราต้องสำนึกในบุญคุณของสรรพสิ่งแล้วสรรพสัตว์ รวมทั้งทุกคนที่ทำให้เรามีอาหารกินในวันนี้ แล้วรวมทั้งน้ำดื่มด้วย
เมื่อเราสำนึกในบุญคุณแล้วเราจะได้รู้จักใช้ชีวิตให้มีประโยชน์มีคุณค่า แล้วเพราะเหตุว่าเป็นของที่เขาถวายด้วยศรัทธา ดังนั้นเราอย่าบ่นว่าทำไมอาหารไม่อร่อย ไม่ถูกปาก เรามีกินโชคดีแล้ว เขาให้ด้วยศรัทธา และเราต้องขอบคุณเขาแล้ว ตอบแทนคุณด้วยการที่เรากินโดยไม่บ่น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย แล้วใช้ชีวิตของเราให้เป็นประโยชน์ในแต่ละวันแต่ละวัน เช่น ตั้งใจเรียน ศึกษา ศึกษาสิ่งที่หลวงพ่อ หลวงพี่ แล้วก็คุณป้าหรือคุณน้าทั้งหลายนี้มาช่วยเรา เราจะได้เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่ทำให้พ่อแม่มีความสุข มีความภาคภูมิใจ