แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร ตอนหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์คู่กับพระราชาคณะท่านหนึ่งเป็นเจ้าคุณ เรียนสูงมาก จบประโยค 9 พระราชาคณะท่านนั้นเห็นหลวงปู่บุดดา ก็นึกดูถูกในใจ เห็นว่าเป็นพระบ้านนอก พระหลวงตา ถามเหมือนทำนองลองภูมิว่า วันนี้จะเทศน์เรื่องอะไร หลวงปู่ท่านตอบว่าเรื่องตัวโกรธ เรื่องกิเลสตัณหา พระราชาคณะถามว่า “ตัวโกรธเป็นยังไง” หลวงปู่บุดดาตอบมาว่า “ส้นตีน” พระราชาคณะท่านโกรธ เรียกว่าโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วไม่ยอมขึ้นเทศน์กับหลวงปู่บุดดา เอาเป็นว่าหลวงปู่บุดดาท่านเทศน์องค์เดียว เทศน์จบท่านลงมาขอโทษพระราชาคณะรูปนั้น แล้วบอกว่า นี่แหละตัวโกรธเป็นอย่างนี้แหละ หน้าแดงๆ คอแข็งๆ เทศน์ไม่ได้ ทำให้เทศน์ไม่ได้ ท่านบอกว่าตัวโกรธถ้าสู้ไม่ได้เทศน์ที่ไหนแพ้ที่นั่น
ตัวโกรธพอเกิดกับใครแล้ว อย่างที่หลวงปู่บุดดาบอกว่า ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะเล่นงานเราจนหมดสภาพไปได้ ไม่ใช่แค่แพ้อย่างเดียว ถึงแม้ไม่เทศน์แต่ว่าทำอย่างอื่นก็ทำได้ไม่สำเร็จ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย ถ้าหากว่าไม่รู้ทัน พระราชาคณะท่านนั้นอยากรู้จักตัวโกรธ แต่ว่าพอตัวโกรธนั้นเกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่มีภูมิคุ้มกันแพ้ เพราะว่าตัวโกรธของจริงกับในหนังสือเป็นคนละเรื่อง ในหนังสือหรือแม้กระทั่งเรื่องเล่าที่เล่ามาก็อย่างหนึ่ง พอตัวโกรธตัวเป็นๆจริงๆเกิดขึ้นก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน บางทีพอเราได้ยินคำว่า ส้นตีน ถ้าเกิดว่าเป็นคำที่พูดกับคนอื่นเราหัวเราะ แต่พอคำว่าส้นตีนใช้กับเราเองหัวเสียเหมือนกัน เพราะว่าอานุภาพของตัวโกรธน่ากลัว บางทีทำให้เราเสียผู้เสียคนไปได้ง่ายๆ
มีเรื่องเล่าว่า ที่กรุงเทพมีย่านอยู่ย่านหนึ่งเป็นถนนที่มีโรงเรียนมัธยม โรงเรียนไม่ใช่มัธยมเป็นโรงเรียนอาชีวะสองโรงเรียนอยู่ใกล้ๆกัน แล้วสองโรงเรียนนี้เป็นปฏิปักษ์ ครูอาจารย์ไม่เป็นแต่ว่านักเรียนเป็นปฏิปักษ์กัน แล้ววิธีการข่มกันอย่างหนึ่งคือการเขียนข้อความใส่ผนังกำแพงตามสองข้างทาง เช่น มอศ. เป็นพ่อ กนย. หรือ อนศ.เป็นพ่อทุกสถาบัน บังเอิญสมรภูมิที่เขาใช้ข่มกันเป็นกำแพงบ้านของผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง บ้านเขาเป็นบ้านหลังใหญ่กำแพงบ้านยาว เป็นสถานที่อย่างดีในการที่นักเรียนเหล่านี้จะขีดเขียนข่มโรงเรียนที่เป็นคู่ปรปักษ์ เจ้าของบ้านต้องเอาสีมาทาทับเป็นประจำ ตอนหลังการเขียนข่มแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นกำแพงจะสกปรกเร็วมาก
ตอนหลังเจ้าของบ้านต้องเขียนป้ายปักไว้ว่า กรุณาอย่าขีดเขียนบนกำแพง ไม่ทันไรวันรุ่งขึ้นกำแพงที่สะอาดกลับเลอะ ป้ายมีคนขีดฆ่าคำว่า อย่า เป็น กรุณา ขีดเขียนบนกำแพง เขียนกันใหญ่ เจ้าของบ้านก็โมโห ตอนหลังใช้มาตรการที่รุนแรงมากขึ้น แล้วเขียนข้อความที่หนักขึ้นว่า ห้ามขีดเขียนบนกำแพง ไม่มีความหมายเพราะว่าแม้กระทั่งว่าป้ายก็ถูกขีดถูกพ่นสีจนดำมืดไป อ่านไม่ออก แถมยังมีข้อความเขียนตัวใหญ่ๆว่า จะขีดเขียนแล้วทำไม พอลบกำแพง เอาสีมาทาให้กำแพงสะอาดเหมือนเดิม คราวนี้เขียนข้อความติดให้หนักขึ้นว่า ห้ามขีดเขียนบนกำแพง ฝ่าฝืนจะถูกจับกุม ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเท่านั้นกำแพงเลอะอีก และมีข้อความว่า จะขีดเขียนเสียอย่างมีอะไรไหม เขาโกรธมาก กำแพงเลอะแล้วยังถูกท้าทาย
วันรุ่งขึ้นเจ้าของบ้านหิ้วกระป๋องสีมาพร้อมกับแปรง หลังจากที่ลบข้อความที่เขียนท้าทายและข้อความสัปดนต่างๆที่ฉีดพ่นในกำแพง เจ้าของบ้านเขียนข้อความตัวใหญ่ๆโตๆ เห็นชัดๆ ใครขีดเขียนบนกำแพงเป็นหมา ตกลงใครเป็นหมาก่อนกัน เจ้าของบ้านใช่ไหม เขายังไม่รู้ตัว เขาต้องการเขียนว่านักเรียนที่มาขีดเขียนบนกำแพงคือกลุ่มวัยรุ่น แต่เขาไม่รู้ตัวว่าข้อความนั้นว่าเขาเป็นคนแรก เพราะอะไร เพราะความโกรธทำให้ลืมตัว พอลืมตัวสิ่งที่คิดว่าตั้งใจจะไปว่าคนอื่นกลับมาเล่นงานตัวเอง ใครเห็นเขาก็หัวเราะ เพราะอะไร เพราะความลืมตัว
ความลืมตัวทำให้เราทำอะไรที่น่าอับอายขายหน้า หรือเป็นผลเสียกับตัวเราเองได้ อะไรทำให้ลืมตัว คือความโกรธนั่นเอง ความโกรธ ความขุ่นเคือง ฉะนั้นความโกรธเป็นตัวที่ต้องระมัดระวังมาก ที่จริงแค่ทำให้เราเสียหน้าหรือขายหน้ายังไม่เท่าไหร่ ความโกรธมีอานุภาพรุนแรงมากกว่านั้น ซึ่งเราเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ พอความโกรธเกิดขึ้นกับใคร ไม่สนใจว่าพ่อแม่ลูก ลูกสามารถว่าพ่อแม่ได้ หรือพ่อแม่สามารถทำร้ายลูกได้ เพื่อนทำร้ายเพื่อน หรือแม้กระทั่งสามีภรรยา
เมื่อหลายปีก่อนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งอายุยี่สิบต้นๆ แต่งงานกันได้ไม่ถึงปีก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน มีลูกแล้วแทนที่จะรักกันกลับมีการวิวาทบาดหมางกันมากขึ้น จนกระทั่งถึงขั้นภรรยาถูกทุบตี ตอนหลังภรรยาทนไม่ได้ก็หนีออกจากบ้าน ทิ้งลูกสามขวบไว้ให้สามีดูแล สามีไม่เคยดูแลลูก รู้สึกว่าลำบาก พอขาดภรรยาไปแล้วรู้สึกว่าชีวิตลำบากเหลือเกิน ผู้ชายถ้าภรรยายังไม่ทิ้งก็ไม่รู้สึก แต่พอทิ้งแล้วรู้สึกทำอะไรไม่ได้สักอย่างและยังมีลูกที่ต้องดูแล จึงไปหาภรรยาซึ่งไปทำอาชีพเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผู้ชายไปตามคืนดี ผู้หญิงไม่ยอม ผู้ชายง้อเท่าไรผู้หญิงยังยืนกรานเหมือนเดิม จนกระทั่งผู้ชายโกรธมีการทะเลาเบาะแว้งต่อว่าด่าทอกัน ถึงขั้นด่ากัน พยายามง้อเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ยิ่งด่าแล้วยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ มีช่วงหนึ่งผู้หญิงทนไม่ไหวเขาเข้าห้องน้ำ ผู้ชายตามไป ที่ตามไปไม่ได้ตามไปด่า ไม่ได้ตามไปใช้กำลัง แต่ใช้มีดที่ติดมือมาจ้วงแทงผู้หญิงจนกระทั่งตาย พอตัวเองเห็น รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตกใจ ตกใจทำร้ายตัวเองแต่ไม่ตาย
อย่างนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะความโกรธ ความโกรธเกิดขึ้นเพราะว่าไม่ใช่แค่ว่าถูกต่อว่าด่าทอ แต่มีความรู้สึกอยากจะเอาชนะด้วย ผู้ชายเขารู้สึกว่าถูกผู้หญิงทำร้ายเพราะว่าทิ้งให้อยู่กับลูก รู้สึกเจ็บปวดเพราะการกระทำของผู้หญิง อยากจะเอาชนะด้วยการทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าตัวเอง ผู้หญิงด่า ผู้ชายโกรธก็ด่ากลับ ถูกด่ากลับมายิ่งโกรธ แล้วยิ่งผู้หญิงไม่ยอมที่จะทำตามที่ตัวเองร้องขอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ความโกรธและความอยากเอาชนะทำให้ทำในสิ่งที่ไม่ได้คิดไม่ได้คาด ทำด้วยความลืมตัวแท้ๆ ถึงแม้ว่าจะมีมีดแต่คงคิดว่าอย่างมากคงแค่ขู่ แต่ไปๆมาๆ เอาจริง โกรธเมื่อไรลืมตัวเมื่อนั้น พอลืมตัวทำอะไรได้ทั้งนั้น อย่างที่ปกติไม่ทำกัน
คนทั่วไปคงจะไม่ถึงขั้นทำร้ายกันถึงแก่ชีวิต แต่ว่าบ่อยครั้งทำร้ายกันด้วยคำพูด หรือการกระทำ แล้วมาเสียใจภายหลัง จะว่าไปแล้วคนเราไม่ได้ลืมตัวเพราะโกรธเท่านั้น คนเราลืมตัวด้วยหลายสาเหตุ การกินเหล้าเมาสุราทำให้ลืมตัวได้ เช่นเมาเหล้า พอเมาเหล้าแล้วลืมตัว นอกจากเมาเหล้าแล้วที่หนักกว่านั้นคือเมาอารมณ์ อารมณ์ที่ทำให้เมาทำให้หลงทำให้ลืมตัว อย่าแรกอย่างที่พูดไปคือความโกรธ แต่มีมากกว่านั้น ความโศกเศร้า ความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้หลงทำให้ลืมตัวได้ อย่างที่เคยพูด ลูกที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพ่อ พ่อหาว่าลูกอกตัญญู เอาปืนให้ลูกเพื่อให้ลูกยิงพ่อ แบบนี้เป็นการสบประมาทว่าลูกเป็นคนเนรคุณ อกตัญญู ลูกรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อเห็นตัวเองเป็นแบบนั้นหรือ อารมณ์ชั่ววูบทำให้ลืมตัวเอาปืนที่พ่อวางไว้บนเคาน์เตอร์ยิงตัวเองตายเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ การฆ่าตัวตายที่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ความลืมตัวเพียงแค่ชั่ววูบทำให้ทุกอย่างพังพินาศได้
นอกจากอารมณ์ที่ทำให้ลืมตัวแล้ว ความคิดที่คิดฟุ้งซ่านก็ทำให้ลืมตัวได้ เวลาเรากินข้าวแล้วเราใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ตอนนั้นเราอาจจะไม่ได้สังเกตว่ากำลังลืมตัว กินไปก็ไม่ได้กินแต่ข้าว ปากเคี้ยวข้าวแต่ว่าใจไปเสพอารมณ์ ขับรถบางทีก็ลืม ใจลอยคิดนั่นคิดนี่ มือเท้าทำงานอัตโนมัติไปถึงที่หมายได้ แต่ถ้าเกิดเหตุมีรถตัดหน้า หรือมีเด็กวิ่งตัดหน้า กำลังคุยโทรศัพท์อยู่เพลินๆ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แบบนี้เรียกว่าเพราะความคิดฟุ้งซ่านทำให้ลืมตัว คือไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพราะตอนนั้นจมเข้าไปในความคิด และบางครั้งการทำเช่นนั้นทำให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย
เคยมีนายกเทศมนตรีคนหนึ่ง เวลาเขาไปทำงานทุกเช้าเพื่อนบ้านจะขอติดไปด้วยนั่งเบาะหลังพร้อมกับลูกน้อยอายุสองสามขวบ เพื่อว่าจะพาลูกน้อยไปส่งที่เนอสเซอรี่ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่ทำการเทศบาล ทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร วันหนึ่งแม่ของเด็กไม่ว่าง ฝากเพื่อนบ้านบอกนายกเทศมนตรีว่าขอฝากลูกเอาไว้ที่เบาะหลัง นายกเทศมนตรีก่อนถึงสำนักงานก็แวะที่โรงเรียนเนอสเซอรี่เพื่อส่งเด็ก เผอิญวันนั้นรถติดแล้วมีประชุมตอนเช้าที่ศาลาทำการเทศบาล คงจะไปสายด้วยแล้วเป็นประชุมนัดสำคัญ ระหว่างที่ขับรถนายกเทศมนตรีคงจะคิดแต่เรื่องการประชุมเพราะเป็นการประชุมนัดสำคัญ แล้ววิตกกังวลด้วยเพราะว่าตัวเองเป็นประธานแต่ไปสาย ใจร้อนคิดถึงแต่เรื่องการประชุม พอขับรถถึงเทศบาลพอรถหยุดรีบลงจากรถทันทีแล้วรีบขึ้นตึกไปประชุม ประชุมยาวถึงเที่ยง พักเที่ยงทำงานต่อจนถึงสี่ห้าโมงเย็นได้เวลากลับบ้าน ขับรถกลับบ้าน กลางทางถึงค่อยเฉลียวใจว่ามีเด็กอยู่หลังรถ มองไปที่กระจกหลังเห็นเด็กตกใจเพราะว่าเด็กอยู่บนรถคันนั้นตั้งแต่เช้า แล้วแดดแรงวันนั้น นายกเทศมนตรีรีบจอดรถแล้วเปิดประตูหลัง แต่ปรากฏว่าเด็กเสียชีวิตแล้วเพราะว่าเจอความร้อน เกิดการขาดน้ำ (dehydrated) ตาย เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก
ไม่ใช่เป็นความตั้งใจ แต่ว่าเกิดขึ้นเพราะความลืมตัวของนายกเทศมนตรี ลืมตัวเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะโกรธแต่เพราะว่าใจลอย ไม่ได้ใจลอยคิดเรื่องฝันฟุ้งปรุงแต่งอะไร คิดแต่เรื่องงาน ขับรถไปคิดเรื่องการประชุมไป ความคิดทำให้เราลืมตัวได้ไม่ใช่แค่อารมณ์เท่านั้น แล้วพอเราลืมตัวแล้วอาจจะลืมลูกคนอื่น หรือจะลืมลูกตัวเองได้ คนที่ลืมลูกตัวเองมีอยู่เหมือนกัน เคยมีข่าวแม่เอาลูกทิ้งไว้ที่จอดรถห้างสรรพสินค้า แม่ไปซื้อของลืมไปว่าลูกอยู่หลังรถ ปกติไม่เคยเอาลูกนั่งไว้หลังรถ ปกติให้ลูกอยู่บ้านมีพี่เลี้ยงดูแล แต่พี่เลี้ยงไม่อยู่วันนั้นต้องเอาลูกขึ้นหลังรถ แต่ตัวเองคิดแต่เรื่องการจะไปจับจ่ายซื้อของในห้าง ห้างเป็นแบบคล้ายๆบิ๊กซี มีที่จอดรถกว้างลานโล่งรับแดดเต็มที่ เด็กตายเหมือนกัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รถโรงเรียนเหมือนกัน คนขับรถลืมเด็กเอาไว้ที่หลังรถ มารู้ตัวเด็กตายไปแล้ว แบบนี้เรียกว่าความลืมตัว เพราะความคิดปรุงแต่ง
ความคิดถ้าเรารู้จักใช้ก็ดีเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาต่างๆ คนเราถ้ามีปัญหาแล้วไม่ใช้ความคิดแก้ใช้แต่ความรู้สึกก็แย่ แต่ถ้าเราไม่รู้จักคิดให้เป็นเวลาปล่อยให้ความคิดมาครอบงำเราทำให้เกิดความลืมตัวได้ การที่คนเราจะรู้จักใช้ความคิดให้เป็นเวลาต้องอาศัยสติ สติเป็นองค์ธรรมที่สำคัญในการที่ทำให้เราใช้ความคิดอย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงเวลาจะคิดก็คิดได้อย่างมีทิศมีทาง ถึงเวลาพักก็วางความคิดได้ ถึงเวลาจะนอนสามารถหยุดคิดได้ ไม่ใช่ห้ามคิดแต่ใช้สติเป็นเครื่องช่วยในการปล่อยวางความคิด สติเป็นเสมือนตาใน ตานอกเอาไว้ดูสิ่งของ เอาไว้ดูเหตุการณ์ต่างๆภายนอก คนเราถ้าไม่มีตาเนื้อก็ลำบาก เพราะว่าเดินลำบาก บางทีเจอสิงสาราสัตว์ เจองูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่บนถนนอยู่บนทางก็ไม่รู้
แต่ถึงแม้เราตาบอดเรายังมีอย่างอื่นคอยช่วย เช่นหู คนบางคนหูดีมากแม้ตาบอด สามารถจะขับรถ ขี่จักรยานหรือสามารถจะเดินได้โดยที่ไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยได้ มีคนที่ตาบอดแต่เดินไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้วเดินได้เร็ว บางคนขี่จักรยานได้ด้วย เขาใช้วิธีการเดาะลิ้นให้เป็นเสียงเหมือนเสียงโซนาร์ของค้างคาว เวลาเสียงสะท้อนกลับแสดงว่ามีวัตถุอยู่ข้างหน้า คนบางคนหูดีมากถึงขั้นว่าบอกได้ว่าที่อยู่ข้างหน้าเป็นเสาหรือเป็นคน เป็นรถหรือเป็นถังขยะ แล้วบอกได้ว่าอยู่ใกล้แค่ไหน ประมาณได้ แสดงว่าหูดีมาก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด แต่เขาสามารถฝึกจนกระทั่งหูสามารถทำหน้าที่แทนตาได้ แต่ถ้าขาดตาในเสียแล้ว คือขาดสติ อย่างนี้แย่เพราะไม่มีอะไรจะแทนได้ ตาเนื้อเสียยังมีหูทำหน้าที่แทน แต่ถ้าตาในไม่ทำงานแบบนี้แย่ เพราะว่าเราจะตกเป็นทาสของความคิด ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่จะเป็นความโกรธ ความเศร้า ความโลภ
บางทีราคะทำให้ลืมตัวได้เหมือนกัน เห็นผู้หญิงสวยเกิดราคะขึ้นมาเข้าไปลวนลามเขา บางทีคนดีๆ มีตำแหน่งเป็นข้าราชการระดับสูง เสียคนเพราะปล่อยให้ราคะเข้าครอบงำใจ จนกระทั่งไปลวนลามไปทำมิดีมิร้ายกับลูกน้องกลายเป็นเรื่องเป็นข่าวฉาวโฉ่ ยิ่งไปทำมิดีมิร้ายกับเด็กแบบนี้ติดคุกสถานเดียว เป็นเพราะความลืมตัว ลืมตัวเพราะราคะ หรือลืมตัวเพราะโลภะ เช่นอยากได้ ลืมตัวเห็นโทรศัพท์มือถือวางเอาไว้ อยากได้มากไปขโมยหรือบางทีไปปล้นเอา อยากได้เพชรอยากได้พลอย เขามีตุ้มหูสวยเป็นเพชรเป็นพลอยถึงกับตัดหูเขาไป จะได้วิ่งหนีเอาเพชรเอาพลอยไปได้สะดวกๆ แบบนี้บางทีทำด้วยความลืมตัว บางคนไม่ได้เป็นอาชญากรโดยสันดานแต่เกิดความหลงตัวชั่ววูบ เกิดอารมณ์ชั่ววูบไปปล้นเขาขโมยเขา หมดอนาคต แบบนี้เรียกว่าเพราะตาในไม่ทำงาน มีตาในอยู่ แต่ว่าเกิดบอด ไม่ต้องบอดนานแค่บอดชั่วครู่ก็เกิดความเสียหายได้ เรามีตาในแล้วควรใช้ตาในเอาไว้ ใช้รู้ทันความคิดและอารมณ์
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์เราสมัยนี้ ไม่ใช่สิ่งภายนอก ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ร้าย ไม่ใช่ภัยธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าคือความโกรธ ความโกรธเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์เราแต่ละคนๆ เพราะว่าถ้าความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เราไม่รู้จักวิธีจัดการ ไม่มีภูมิคุ้มกัน แพ้สถานเดียว อย่างหลวงปู่บุดดาท่านพูดว่า ความโกรธถ้าเราสู้ไม่ได้ เทศน์ธรรมะก็แพ้ ไม่ใช่แพ้เรื่องเทศน์ธรรมะ แพ้อย่างอื่นด้วยทั้งที่อยากจะเอาชนะ บางทีความโกรธเกิดขึ้นแล้วอยากจะเอาชนะ แล้วคนเราพออยากเอาชนะแล้วทำได้ทุกอย่าง ความอยากจะเอาชนะของคนเราแรงมาก เหมือนกับผู้ชายคนที่อยากจะเอาชนะเมีย พยายามงอนง้อ พยามชักชวนเท่าไรเมียไม่ยอมทำตามกลับไปบ้านและด่ากลับมาอีก อยากจะเอาชนะเมียเลยต้องใช้กำลัง ที่จริงมีวิธีชนะที่ดีกว่านั้น ชนะด้วยธรรมะ
อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอาชความโกรธด้วยความไม่โกรธ” เอาชนะด้วยความเมตตา เอาชนะด้วยความดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักวิธีเอาชนะความโกรธด้วยความดี แต่ว่าใช้กำลัง มึงด่ากูเหรอ กูด่าสู้มึงไม่ได้ก็ใช้กำลังตบตีหรือใช้อาวุธทำร้าย กลายเป็นแพ้ไป กลายเป็นแพ้เพราะว่าต้องติดคุกติดตาราง อยากจะเอาชนะเขาแต่กลับเป็นทาสความโกรธ แบบนี้แพ้สถานเดียว บางทีเราเรียกแพ้ใจตัวเอง แพ้ใจตัวเองคือแพ้ความโกรธ หรือแพ้อารมณ์ แต่ถ้าเรามีสติที่ไว ที่เร็ว ปราดเปรียว พอความโกรธเกิดขึ้นจะลุกลามไปได้ไม่ไกลจะถูกระงับหรือถูกดักตั้งแต่ขณะยังเป็นแค่ประกายไฟ เช่นอาจจะเป็นแค่ความไม่พอใจหรือความเครียด ไฟป่าถ้าปล่อยให้ลามบางทีกองทัพทั้งกองทัพยังดับไม่ได้ อย่างในอเมริกาเจอปัญหามากไฟป่าลุกลามไม่ใช่เป็นหมื่นๆไร่แสนๆไร่ ลุกลามเป็นล้านๆไร่ อาจจะเริ่มต้นเพียงแค่ไม้ขีดก้านเดียวเท่านั้น แต่ตอนที่เป็นประกายไฟหรือตอนที่ยังไฟไหม้ไม่แรง ยังดับได้ง่าย แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามดับยากมาก ความโกรธเหมือนกัน เริ่มต้นมาจากประกายความไม่พอใจ ความหงุดหงิด ความเครียด ซึ่งถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ต้นมือ ดับได้ไม่ยาก
อะไรทำให้รู้ทัน คือสติ สติเหมือนสัญญาณกันขโมย หรือสัญญาณป้องกันไฟ ถ้าตามโรงงานตามตึกใหญ่ๆ จะมีสัญญาณระวังไฟ สัญญาณดีเท่าไรช่วยทำให้ไฟไม่สามารถจะลุกลามจนกระทั่งกลายเป็นไฟไหม้เกิดวินาศภัยขึ้นได้ สัญญาณที่ดีเพียงแค่มีประกายไฟเล็กๆ หรือมีควัน ส่งเสียงบอกเจ้าของตึกหรือคนดูแล ฝ่ายรักษาความปลอดภัยว่าตอนนี้ตรงนี้มีไฟเกิดขึ้นมีควันเกิดขึ้น สติทำหน้าที่อย่างนั้นสำหรับจิตใจของเรา พอมีความขุ่นมัวความไม่พอใจสติรู้ทันที พอรู้แล้วธรรมชาติของอารมณ์พอถูกรู้ทันจะดับไปได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปทำอะไร ไฟถ้าเกิดขึ้นต้องเราต้องเอาน้ำมาดับ แต่ถ้าไฟอารมณ์เพียงแค่รู้ทันว่าเกิดขึ้นก็ดับไป เพราะว่าที่เกิดขึ้นเนื่องจากเผลอ พอมีสติรู้ตัวขึ้นมาก็ดับไป เหมือนความมืดที่เกิดขึ้นเราไม่ต้องทำอะไรไล่ความมืดเพียงแค่จุดไฟ จุดเทียน หรือเปิดสวิทช์ไฟฟ้าความมืดก็หายไป
คือเอาตัวรู้ เอาความรู้ตัวเข้ามาขับไล่อารมณ์ ขับไล่ตัวหลง หรือสิ่งทำให้เราเมา เมาเหล้ากว่าจะสร่างยาก ใช้เวลานาน แต่ว่าเมาอารมณ์ถ้าสติไวสร่างหายไปได้ทันที คนบางคนมีอารมณ์โกรธพอมีคนทักเกิดได้สติขึ้นมาก็หาย มีนายทหารคนหนึ่งไปทะเลาะกับผู้ปกครอง ถูกด่าเขาโกรธมาก นายทหารคนนี้เป็นผู้ปกครอง เรื่องเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในโรงเรียน ถูกด่าว่าเพราะว่าไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร เอาเปรียบเขา มาแย่งที่จอดรถเขา ถูกผู้ปกครองคนหนึ่งต่อว่า นายทหารโกรธ ไม่เคยถูกใครว่า มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน รู้ไหมกูเป็นใคร นายทหารถาม ผู้ปกครองบอกผมไม่สนใจหรอกคุณทำผิดกติกาทำผิดระเบียบ ขับรถแทนที่แทนจะขับทางเดียวก็ขับผิดช่องทาง พอผู้ปกครองคนนั้นหันหลังกลับ นายทหารคนนี้หยิบปืนขึ้นมาจากในรถ เดินตามกะจะไปยิง ไม่รู้จะยิงที่หัวหรือยิงที่หลัง บังเอิญมีพนักงานขับรถของโรงเรียนอยู่ตรงนั้นพอดี พนักงานคนนี้เป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณแล้วมีคุณธรรม เห็นเหตุการณ์นี้คิดว่าต้องเข้าไปช่วย แต่ว่าถ้าช่วยไม่ถูกอาจตายได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งมีปืน ถ้าไปขวางไว้บางทีคนที่มีปืนยิงคนที่ไปช่วยคนที่มาขวางแทน เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีมีอุบาย
พนักงานขับรถเดินไป พอเดินถึงตัวสัมผัสที่มือเบาๆ แล้วถามว่า ท่านครับท่านมารับลูกไม่ใช่หรอครับ พอพูดเท่านี้แหละ นายทหารคนนั้นได้สติ รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ หันหลังกลับเอาปืนไปเก็บ ตอนนั้นไม่รู้ตัวขณะที่เดินไปจะไปยิงเขายังไม่รู้ตัวเพราะความโกรธครอบงำ แบบนี้เราไม่รู้สึกตัว ต่างจากความไม่รู้สึกตัวในโรงพยาบาล เวลาไม่รู้สึกตัวในโรงพยาบาลคือนอนสลบ ถ้าหากว่าพูดคุยได้เรียกว่ารู้สึกตัวแล้ว เปิดตาฟังเสียงคุยรู้เรื่องเรียกว่ารู้สึกตัว แต่ว่าคนส่วนใหญ่ถึงแม้ว่าจะคุยรู้เรื่องแต่เวลามีความโกรธอย่างนายทหารคนนั้นเรียกว่าไม่รู้สึกตัวแล้ว ลืมตัว พอมีคนมาแตะแล้วมาบอกมาพูดเตือนให้นึกถึงลูก ได้สติ ความโกรธหายหล่นวูบไป รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เปลี่ยนใจเอาปืนไปเก็บแล้วเลิกต่อล้อต่อเถียงกับผู้ปกครองคนนั้น แล้วกลับไปรับลูก
ฉะนั้นสติไม่ได้เป็นแค่ตาในที่ช่วยทำให้เรารู้ทันอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น แต่ยังสามารถที่จะขจัดปัดเป่าอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาครอบงำใจ จากความเมาจากความหลงในอารมณ์กลับมาเป็นปกติ เรียกว่าสร่างเมาจากอารมณ์ฉับพลันทันที เร็วยิ่งกว่าสร่างเเมาที่เกิดจากเหล้า เรื่องสติถ้าเราใช้ดีๆ พัฒนามากๆ จะเป็นเพื่อนคู่คิดจริงๆ เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ชีวิต มีธนาคารแห่งหนึ่งบอกว่าเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน แต่ที่จริงแล้วเพื่อนคู่คิดที่ดีที่สุดคือสติ เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าลืมเพื่อนคนนี้ ต้องพยายามคบให้มากๆ