แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานได้ดูคลิปวิดีโอหนึ่งน่าสนใจ ค่อนข้างยาวคือห้านาที สมัยนี้ห้านาทีก็ถือว่ายาวมากแล้ว ปกติคลิปวิดีโอในเฟซบุ๊กก็ครึ่งนาทีถึงหนึ่งนาที นาทีแรกก็เห็นคนที่คล้ายๆ เสี่ยตัน โออิชิมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แล้วก็พูดว่าแจกตั๋วเครื่องบิน แจกเงิน แล้วก็แท็บเล็ต แต่พอมาดูชัดๆ ไม่ใช่เสี่ยตัน เป็นคนที่หน้าตาคล้าย แล้วตั๋วเครื่องบินที่เขาให้นั้นก็ไม่ได้ไปต่างประเทศไปแค่ภูเก็ต ไปทำอะไรหรือ ให้พาเด็กตาบอดไปสัมผัสกับทะเลเป็นครั้งแรกในชีวิต ส่วนเงินหมื่นบาทที่ให้ก็ไม่ได้ไปจับจ่ายช้อปปิ้งอะไร ให้ไปช่วยเหลือสัตว์พิการที่บ้านปากเกร็ด แท็บเล็ตที่แจกก็เอาไปเพื่อสอนคนแก่ให้เขารู้จักวิธีแชทสนทนากับลูกหลาน เพราะว่าคนแก่เดี๋ยวนี้อาจเรียกว่าจำเป็นและต้องใช้แท็บเล็ต ไม่เช่นนั้นจะสื่อสารกับคนใกล้ตัวได้ยาก เพราะว่าลูกหลานก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นไลน์เล่นเฟซบุ๊ก คนแก่ก็ต้องปรับตัว
แบบนี้เป็นการชิงโชคที่น่าสนใจ ชิงโชคเพื่อไปช่วยเหลือคนอื่น แล้วคนที่สมัครหรือมีสิทธิ์จะได้รับโชคนี้ก็ไม่ใช่คนทั่วๆไป ต้องเป็นคนที่ต้องมีความทุกข์ ให้คนที่สนใจเขียนมาว่าตัวเองตอนนี้กำลังมีความทุกข์เรื่องอะไร แล้วคัดเลือกมาได้ 6 คน ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 3 คน มีคนหนึ่งมีความทุกข์เพราะว่าตัวเองเป็นนักแสดง อยากจะทุ่มเทชีวิตนี้ให้กับการแสดงแต่พ่อแม่ไม่สนับสนุนแล้วก็ต่อว่า เขาอายุแค่ 20 ต้นๆ ก็เครียดกลุ้มอกกลุ้มใจ อีกคนหนึ่งก็รักแม่มาก เรียกว่าทุ่มเททุกอย่างเพื่อแม่ ทำงานด้วยแต่ชีวิตในยามว่างคือการดูแลแม่ที่ป่วย แล้วแม่เพิ่งเสียชีวิตก็รู้สึกเคว้งคว้าง อีกคนหนึ่งสามีเพิ่งตาย ก่อนตายก็มีความฝันว่าจะมีลูกด้วยกัน คบกันมา 10 กว่าปี แต่งงานมาได้ 3 ปี ยังมีลูกไม่ได้ตอนแต่งงานใหม่ๆ เพราะว่าต้องทำงาน ครั้นพร้อมจะมีลูกพอท้องได้ 4 เดือนสามีก็เสียชีวิตไปแล้ว ไม่รับรู้ว่าตัวเองมีลูก อีกคนหนึ่งก็เป็นนักธุรกิจประสบปัญหาในเรื่องการทำมาหากิน ค้าขายไม่ค่อยได้ เศรษฐกิจแย่ก็กลุ้มใจต้องปากกัดตีนถีบ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายแต่ใจนั้นเป็นผู้หญิงเหมือนกับอยู่ในร่างของผู้ชาย เสียงก็เป็นผู้หญิง ถูกแกล้งถูกล้อถูกรังแกตั้งแต่เล็ก ทุกวันนี้ก็ยังมีความทุกข์อยู่เพราะว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับ คนสุดท้ายนี้เป็นช่างกล้อง มีความใฝ่ฝันที่จะมีอาชีพนี้มีชีวิตเพื่อการนี้แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แถมมาเจออุบัติเหตุทำให้ร่างกายไม่ค่อยสุขสบายเท่าไร ปวดหลัง เหล่านี้ก็เป็นคนที่มีความทุกข์แล้วได้ชิงโชค
โดยสองคนพาเด็กตาบอดไปภูเก็ต อีกสองคนเอาเงินไปช่วยเหลือสัตว์พิการ อีกสองคนเอาแท็บเล็ตไปสอนคนแก่ เสร็จแล้วเขาก็สัมภาษณ์ว่า รู้สึกอย่างไรหลังจากที่ได้ไปช่วยเหลือเด็กเหล่านั้น หรือไปช่วยเหลือคนที่ประสบความทุกข์ยาก หรือไปช่วยเหลือสัตว์ที่พิการ หลายคนก็รู้สึกดีขึ้น มีบางคนก็ได้พบว่า ความทุกข์หรือความสุขมันเป็นเรื่องที่เรากำหนด มันอยู่ที่ใจเรา ความทุกข์ก็เป็นธรรมดา ถ้าถึงแม้ยังไม่หายไปไหน แต่เราก็สามารถสร้างสุขได้ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น เขาถ่ายทำตัดต่อได้ดี คือถ้าดูตลอดทั้งห้านาทีก็จะรู้สึกได้แรงบันดาลใจแล้วก็มีความสะเทือนใจ สะเทือนใจกับความทุกข์ของคน แต่ก็ยิ้มให้กับคนเหล่านี้ที่เขามีความสุข มีความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แบบนี้เป็นโครงการที่ชื่อว่า “ทุก(ข์)ชีวิตมีค่า” “ทุกข์” นั้นมันมีวงเล็บข้างหลังว่า ข.ไข่ การันต์ ก็แปลได้สองความหมายคือว่า “ทุกๆ ชีวิตนั้นมีค่า” และขณะเดียวกัน “ทุกข์ของชีวิตก็มีคุณค่าเหมือนกัน” ความทุกข์นี้ก็มีประโยชน์
เรื่องนี้ก็ได้พูดไปหลายๆ ครั้งว่า สำหรับชาวพุทธแล้วนั้น ทุกข์นั้นพาให้เราเห็นธรรม ถ้าเราฉลาดในการเกี่ยวข้องกับทุกข์ มองให้เป็นเห็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์ เราก็จะเห็นธรรมได้ หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” คราวนี้เป้าหมายของกิจกรรมนี้คืออะไร ก็คือเขามีความเชื่อว่า คนเรานั้นเมื่อมีความทุกข์แล้ว หากได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น หรือได้ช่วยเหลือคนอื่นที่มีความทุกข์ ก็จะช่วยทำให้ทุกข์เบาบางลง ความทุกข์ของเราจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเรานึกถึงคนอื่น แบบนี้ก็เป็นคาถาของคานธีเหมือนกัน คานธีบอกว่า เวลามีความทุกข์ ให้ไปหา ให้ไปพบ ให้ไปสัมผัสกับคนที่เขาทุกข์หนักกว่าเรา และความทุกข์ของเราจะเบาบาง มันจะเล็กลง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงเพราะว่า ได้เจอได้มีประสบการณ์ทั้งตัวเองด้วย และก็จากเรื่องที่คนเล่า
อย่างเคยเล่าเรื่องของน้องโย น้องโยเป็นเด็ก 7 ขวบ วันหนึ่งป้าก็ชวนน้องโยขึ้นซ้อนรถมอเตอไซต์เข้าไปในเมืองนครปฐม ปรากฏว่าเจออุบัติเหตุรถยนต์ชน รถมอเตอร์ไซต์พังยับเยิน ป้าแขนหักไปข้างหนึ่ง ส่วนน้องโยนั้นขาเละไปหนึ่งข้าง ก็รีบพาส่งโรงพยาบาลทันทีเลย ตลอดทางป้าร้องโอดโอยแต่น้องโยไม่ร้องเลย จนถึงห้องผ่าตัด หมอผ่าตัดเสร็จก็เลยสงสัยจึงถามน้องโยว่าทำไมน้องโยไม่ร้องเลย น้องโยตอบว่ากลัวป้าเสียใจครับ น้องโยคิดถึงป้าสงสารป้า เห็นป้าร้องโอดโอย ป้าร้องโอดโอยตลอดทางเลย น้องโยเป็นห่วงป้า ไม่อยากจะเพิ่มความทุกข์ให้ป้า เพราะว่าป้าคงจะเสียใจที่พาน้องพาหลานรักมาเจออุบัติเหตุแบบนี้ น้องโยก็เลยสกัดกั้นความปวดเอาไว้ ขาเละข้างหนึ่งมันปวดมาก แต่การที่เด็กคนหนึ่งสามารถที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้ร้องออกมา ถือว่าเขามีกำลังจิตที่เข้มแข็งมาก และการที่เขาทำอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าเขานึกถึงความทุกข์ของป้า
เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน มีคนไข้คนหนึ่งอายุก็ 17-18 เป็นโรคพุ่มพวงอย่างแรง อาการหนักมาก จะผ่าก็ผ่าไม่ได้เพราะว่าร่างกายไม่พร้อม เข้าใจว่าเรื่องเลือดมีปัญหา วันหนึ่งเพื่อนของอาตมา คือเป็นนักบวชคาทอลิกไปเยี่ยมเด็กคนนี้ซึ่งเป็นคริสต์ พอเห็นคุณพ่อ คนไข้ก็ตัดพ้อว่าทำไมพระเจ้าทำให้หนูเป็นอย่างนี้ เธอมีความทุกข์ทรมานมาก เพื่อนอาตมาก็บอกว่า สิ่งนี้ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พ่อก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้กับคุณ แต่ว่าขอให้สวดมนต์ถึงพระเจ้า แล้วก็ให้นึกถึงคนที่เดือดร้อน คนที่ทุกข์ยากที่อยู่ในห้องนี้ ให้สวดให้กับคนเหล่านี้ด้วย แล้วก็ให้ลูกประคำกับคนไข้คนนี้ไป เสร็จแล้วคุณพ่อท่านนี้ก็มีกิจธุระไปต่างจังหวัดไปเป็นเดือนเลย มาทางอีสาน สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้แพร่หลาย ไปเป็นเดือนเลยพอเสร็จธุระกลับมากรุงเทพก็รีบไปเยี่ยมลูกศิษย์คนนี้ ปรากฏว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
แต่ว่าที่แปลกใจก็คือว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในหอผู้ป่วยในวอร์ดเดียวกับเธอนั้นต่างชื่นชมเธอมาก ทุกคนชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันเพราะว่าหลังจากวันนั้นแล้ว เธอก็ขวานขวายมาช่วยเหลือคนไข้ด้วยกัน หาน้ำให้หรือไม่ก็พาเข้าห้องน้ำ บริการผู้ป่วยทั้งที่ผู้ป่วยหลายคนนั้นอาการเบากว่าเธออีก เธออาการหนักและเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอหน้าตายิ้มแย้มมีชีวิตชีวามาก ภาพที่คนไข้เหล่านี้เล่าตรงข้ามกับภาพที่บาทหลวงท่านนี้เห็นในวันแรกที่ได้เยี่ยมเธอ แล้วเขาก็เล่าว่า เธอก็ตายอย่างมีความสุข ตายอย่างสงบ เหมือนกับว่าไม่มีความทุกข์ทรมานอะไรเลย แบบนี้ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะว่าการที่คนไข้คนนี้ได้นึกถึงเพื่อนที่ป่วยด้วยกัน ก็ทำให้ความทุกข์ของเธอเป็นเรื่องเล็กน้อย ความกระตือรือร้นของเธอที่ได้ช่วยคนนั้นคนนี้ ทำให้ความทุกข์ของเธอนั้นเล็กไปเลย ก็เรียกว่ามีความสุขใจ แม้ว่ากายจะทวีความปวด จะทวีทุกขเวทนา สิ่งนี้ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอสามารถตายสงบได้ไม่ทุรนทุราย ผิดกับตอนที่บาทหลวงเห็นเธอครั้งแรก การนึกถึงผู้อื่นหรือการช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีอานิสงส์มาก ทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง คนที่คิดถึงแต่ตัวเองนั้นก็จะรู้สึกว่าความทุกข์ของตัวเองเป็นเรื่องใหญ่มาก และพอคิดวนเวียนแต่เรื่องตัวเองบางทีก็ถึงกับอยากจะตาย อยากจะฆ่าตัวตาย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น
ที่ญี่ปุ่นเคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นเด็กที่เรียกว่าเติบโตมาแบบลำบากมาก เพราะเป็นเด็กกำพร้า แล้วตัวเองก็ถูกขายไปให้กับสำนักที่เรียกว่าคณิกาก็ได้ เกอิชาที่เกียวโต แล้วก็อยู่อย่างลำบากยากแค้นมาก อาหารการกินไม่สะดวก ที่หลับที่นอนก็ไม่ดี และแถมยังถูกกดขี่อีก ชีวิตลำบากเหมือนกับหนังเรื่องโอชิน พอเธอโตเป็นสาว เธอก็มีความรักแต่ก็ผิดหวังในความรัก แฟนตาย ยิ่งมาได้ข่าวว่าน้องชายที่สนิทสนมก็ตายด้วย รู้สึกเลยว่าชีวิตนี้แย่เหลือเกิน เรียกว่าชีวิตบัดซบ ก็เลยคิดฆ่าตัวตาย แล้ววันหนึ่งก็ตัดสินใจซึ่งเป็นช่วงเวลาหน้าหนาวหิมะตก รอบเกียวโตเป็นป่า เธอก็เดินเข้าไปในป่าตั้งใจว่าจะให้กองหิมะท่วมทับเธอจนตาย หรือตายท่ามกลางความหนาวเหน็บ ไม่อยากอยู่แล้วมันทุกข์มากเหลือเกิน จะมีความสุขสักทีก็ถูกขัดขวาง แต่ก็มีคุณลุงคนหนึ่งช่วยเธอเอาไว้
พอคุณลุงได้ฟังเรื่องราวของเธอ คุณลุงก็พูดขึ้นมาว่าคนที่คิดถึงแต่ตัวเองอยากตายทั้งนั้น เสร็จแล้วคุณลุงก็บอกว่า มีอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้เธอทำ คือกลับเข้าไปในเมือง แล้วก็ช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากสักคนหนึ่ง ทำอย่างนี้ทุกวัน แล้วถ้าเธอยังคิดอยากตายอีกก็ให้มาบอกฉัน ฉันจะช่วยให้เธอตายสมใจ อีวาซากิก็ได้คิดเลยตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย กลับไปทำงานเป็นคนรับใช้นางคณิกาหรือพวกเกอิชา แล้วทุกวันนั้นเธอจะเริ่มต้นวันแรกก็ซื้อหนังสือไปให้เด็กยากจนที่เป็นเด็กกำพร้าเด็กข้างถนน เพราะว่าเด็กเหล่านี้ก็คงเหมือนเธอคืออยากรู้หนังสือ เธอดิ้นรนจนกระทั่งอ่านออกเขียนได้ แต่เด็กเหล่านี้ถ้าอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็คงจะลำบาก เธอซื้อหนังสือไปให้ ตอนหลังก็สอนด้วย ทุกวันก็สอน ทีแรกสอนเด็กคนหนึ่งก่อนตอนหลังก็สอนเด็กหลายคน เด็กที่ชะตากรรมเดียวกับเธอสมัยเป็นเด็ก ปรากฏว่านับแต่นั้นเธอไม่เคยกลับไปในป่าเพื่อฆ่าตัวตายเลย ตอนหลังเป็นเกอิชาที่มีชื่อ แล้วก็มีคนเอาเรื่องราวเธอมาเขียนและทำเป็นหนังด้วย เรียกว่าเป็นหนังและนิยายที่มีชื่อเสียงมาก
เมื่อวานซืนได้พูดไปแล้วว่า คนเรานั้นถ้าหากเรานึกถึงนิพพาน หรือนึกถึงความตายนั้นจะช่วยทำให้ความทุกข์ของเราเล็กลง จะช่วยทำให้ปัญหาของเราเล็กลง เช่นถ้าเรานึกถึงนิพพาน เราจะพบว่าการที่จะถึงนิพพานนั้นต้องผ่านอุปสรรคมากมายมหาศาล แล้วถ้าเราเจอแค่ความทุกข์แค่นี้แล้วเราจะมีปัญญาไปถึงนิพพานได้อย่างไร เหมือนกับว่าเราอยากจะปีนเขาที่สูง 8,000 เมตร เขาเอเวอร์เรสต์ แต่ว่าเจอมูลดินสูงแค่ไม่กี่สิบเมตรก็ท้อแล้ว ไม่กล้าปีนป่ายข้ามมันไป แล้วจะไปถึงยอดเขาได้อย่างไร การที่จะถึงนิพพานนั้นเราก็นึกถึงอุปสรรคที่เราต้องก้าวข้ามให้พ้น ทำให้ความทุกข์ใดๆก็ตามที่เราเจอในชีวิตในแต่ละวันหรือในขณะนี้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือนึกถึงความตายของตัว เพียงแค่นึกถึงความตายก็ทำให้ความทุกข์ทุกอย่างที่เราเจอนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยไปหมด เพราะว่าไม่มีทุกข์อะไรที่ใหญ่กว่าความตายอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่ตาย ตอนที่กำลังจะตาย เจ็บป่วยพะงาบๆ มีสายระโยงระยางทรมานมาก และถ้าความทุกข์ที่เราเจอซึ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความทุกข์ในยามที่ใกล้ตาย เรายังผ่านไม่ได้ แล้วเราจะตายสงบได้อย่างไร พอคิดแบบนี้เข้าก็ทำให้ความทุกข์ที่เราเจอกลายเป็นเรื่องเล็ก
สิ่งนี้เป็นเรื่องของการนึกถึงนิพพานและความตาย ซึ่งเป็นประโยชน์คนอยากจะเข้าถึงนิพพานหรืออยากจะตายสงบ แบบนี้เป็นเรื่องประโยชน์ตน แต่อีกวิธีหนึ่งจะเรียกว่าเป็นเทคนิคก็ได้ ที่ทำให้ความทุกข์ของเราลดน้อยลง คือการนึกถึงผู้อื่น นึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นก็ทำให้ความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็ก เรื่องนี้เป็นวิธีภาวนาแบบหนึ่งที่ใช้ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ยังใช้ชีวิตทางโลกอยู่ คานธีถึงกับเอามาใช้เป็นบทภาวนาอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแค่บทภาวนาแต่เป็นเรื่องของการออกไปหาความทุกข์ เพื่อทำให้ความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็ก ซึ่งเคยพูดถึงพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็เท่ากับว่าช่วยเหลือตัวเอง เมื่อรักษาผู้อื่นก็ได้ชื่อว่ารักษาตัวเอง” นี่คือความหมายหนึ่ง คือเมื่อเราช่วยไปโดยมุ่งประโยชน์สุขของผู้อื่นก็เกิดประโยชน์กับเรากลับคืนมา ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยลดอัตตาเราให้เบาบาง แต่ยังช่วยทำให้ความทุกข์ของเราเล็กน้อยลงด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเรานั้นจะใหญ่หรือเล็ก ขึ้นอยู่กับใจของเรา
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา พระรูปหนึ่งเป็นคนที่ชอบหงุดหงิดกับเรื่องราวต่างๆสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเสียงดัง หรือฝนตก แดดออก ใบไม้เยอะ ก็จะมีเรื่องให้หงุดหงิด ให้รำคาญใจ ให้โมโหอยู่เนืองๆ ทำอะไรก็มีแต่เรื่องบ่น ก็อยู่ในสายตาของอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจารย์นี้ก็เปรียบเหมือนกับหลวงพ่อ แล้ววันหนึ่งเรียกพระรูปนี้มา แล้วก็บอกว่าให้ไปเอาเกลือมาจากโรงครัวเอามาห่อหนึ่ง พอพระหนุ่มนี้เอามาเสร็จ ท่านก็บอกว่าให้โรยเกลือสักครึ่งหนึ่งลงไปในแก้วน้ำ พระหนุ่มก็ทำตาม เสร็จแล้วหลวงพ่อบอกว่า ให้ดื่มน้ำนั้น ดื่มเสร็จท่านก็ถามว่า “รู้สึกอย่างไร” “เค็มมากเลยครับ เค็มมาก” คราวนี้ก็ไปที่ลำธารที่หน้าวัด แล้วก็โรยเกลือที่เหลือโรยลงไป เสร็จแล้วก็ให้ตักน้ำในลำธารนั้นมาดื่ม “เป็นอย่างไร” “จืดครับ ไม่เค็มเลย” พระหนุ่มก็สงสัยหลวงพ่อต้องการสอนอะไรแต่คิดไม่ออก สุดท้ายหลวงพ่อบอกว่า “ความทุกข์มันก็เหมือนกับเกลือ มันจะเค็มมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าใจเราเป็นแก้วน้ำแก้วเล็กๆ หรือเป็นลำธารสายใหญ่ เกลือก็เค็มเหมือนกันหมด แต่มันจะทำให้เราทุกข์จะหนักหนาหรือเบาบาง ขึ้นอยู่กับขนาดของใจเรา ถ้าใจเราเล็กเหมือนแก้วน้ำ ก็ทุกข์มาก แต่ถ้าใจเรากว้างเหมือนลำธารหรือถ้ากว้างขนาดเท่าแม่น้ำ ก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่” เรื่องนี้หลวงพ่อท่านสอนให้ตระหนักว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเราจะทำให้ทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ขนาดของใจเราว่า ใจเราจะเล็กเท่าแก้วน้ำหรือใหญ่เท่าลำธาร
การที่เราช่วยเหลือผู้อื่น นึกถึงประโยชน์สุขของผู้อื่น ช่วยขยายใจของเราให้ใหญ่ ถ้าเรานึกถึงแต่ตัวเอง ใจเราก็จะเล็กเหมือนแก้วน้ำ ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์ เวลาเจอสิ่งที่เป็นลบมากระทบต้องพยายามขยายใจของเราให้กว้างขึ้น ให้เหมือนกับลำธารหรือกับแม่น้ำ และเมตตากรุณาหรือการที่เราคิดถึงประโยชน์สุขของผู้อื่น เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยขยายใจของเราให้กว้างขึ้น เมตตากรุณานั้นช่วยขยายใจให้กว้าง และเราจะมีเมตตากรุณาได้ก็ด้วยการที่เรานึกถึงผู้อื่นที่มีความทุกข์ จะทุกข์น้อยกว่าเราหรือทุกข์มากกว่าเราก็แล้วแต่ถ้าเรานึกถึง และถ้าไม่ใช่แค่นึกถึงแต่ลงไปช่วยด้วยก็จะทำให้เมตตาของเราเจริญงอกงามขึ้น เป็นเมตตาภาวนาแบบหนึ่ง เมตตาภาวนาไม่ได้หมายถึงแค่นั่งหลับตาแล้วนึกถึงผู้อื่นแผ่ความสุขความปรารถนาดีให้เขาเท่านั้น แต่ลงไปช่วยด้วย
การลงไปช่วยนั้นข้อดีคือถึงแม้ใจยังเห็นแก่ตัวอยู่ แต่พอลงไปช่วยได้สัมผัสความทุกข์ของเขา ก็เริ่มเห็นใจ พอเริ่มเห็นใจแล้วก็ทำให้เกิดเมตตา พอมีเมตตาแล้วใจเราก็กว้างขึ้น จากเดิมที่แคบเหมือนแก้วน้ำ ก็จะกว้างจนกระทั่งเป็นลำธาร แบบนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมแบบหนึ่ง ซึ่งช่วยทำให้ความทุกข์ของเรานั้นเล็กลง จนกระทั่งบางทีอาจจะบรรเทาเบาบางไปเลย แล้วก็เกิดความสุขเข้ามาแทนที่ เปรียบเหมือนกับว่าหัวใจของเรา ถ้าหัวใจเราเล็กก็แน่นไปด้วยอัตตา ก็ไม่มีที่ว่างให้ความสุขเข้ามาอยู่ในหัวใจเราได้ หัวใจเล็กแต่อัตตาใหญ่นั้นก็แน่น อัตตาเต็มห้องเลยก็ไม่มีที่ว่างให้ความสุขเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเรา แต่ถ้าหัวใจเรากว้างเหมือนศาลานี้แล้วอัตตามันเล็กก็จะมีที่ว่าง เหมือนกับศาลานี้มีคนมานั่งได้สองสามร้อยคนเพราะว่าไม่มีสิ่งมากีดขวาง ถ้าเราขยายใจของเราให้กว้างขึ้นอัตตาเล็กลง ก็จะมีช่องว่างมีที่ว่างให้ความสุขเข้ามานั่ง เข้ามาสถิตย์ในหัวใจเรา นี้เป็นเคล็ดลับในการที่ทำให้เรามีความทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น
โครงการที่เขาได้ทำนั้น ตอนนี้เข้าใจว่าคงจะแพร่หลายกระจายไปเพราะว่าน่าสนใจมาก เป็นการปฏิบัติธรรมแบบไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องอิงศาสนา แต่ที่จริงก็คือปฏิบัติธรรมนั่นเอง แต่ไม่มีคำว่า ธรรมะ หรือภาษาบาลีเข้าไปเลย ยกเว้นคำว่า ทุกข์ ทุก(ข์)ชีวิตมีค่านั้น แต่นั่นคือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวเลย ไปช่วยสัตว์พิการ ไปช่วยเด็กตาบอด ไปช่วยคนแก่ใช้แท็บเล็ต แล้วก็แทบทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นว่า ความทุกข์ของตัวเองเเลือนหายไปหรือว่าเบาบางลง พอได้ไปทำกิจกรรมนี้ ข้อแรก ได้เห็นความทุกข์ของคนที่ลำบากกว่าเรา เช่น คนที่ตาบอดความทุกข์เขาหนักหนากว่าดาราที่กลับมาบ้านแล้วพ่อแม่ไม่สนับสนุน ต่างกันมาก ความทุกข์ของเด็กตาบอดคือตาบอดตลอดกาลตลอดชีวิต แม้แต่ทะเลก็ไม่รู้จัก หน้าตาทะเลเป็นยังไงก็ไม่เห็น แต่ความทุกข์ของดาราคนนี้ เขาเพียงแต่แม่พ่อไม่สนับสนุนเท่านั้นเอง เธอก็เชื่อว่าเห็นแล้วคงจะปล่อยวางได้ ก็คงต้องทำความชี้แจงทำความเข้าใจกับพ่อแม่ไปด้วยความอดทน แล้วก็ด้วยความยินดีว่าเรายังทุกข์น้อยกว่าเขา แบบนี้คือประโยชน์ข้อที่หนึ่ง คือได้เห็นว่าคนอื่นเขาทุกข์กว่าเรา ข้อที่สอง เมื่อได้ช่วยเขาเกิดความสุขใจ แล้วความสุขใจก็จะช่วยขับไล่ความทุกข์ที่มีอยู่ได้ เหมือนกับน้ำเน่านั้นเราไม่ต้องไปดูดหรือไปวิดออกให้เหนื่อยแค่ปล่อยน้ำดีเข้ามา น้ำดีก็ไล่น้ำเน่าไปเอง อย่าไปเสียเวลาวิด เสียเวลาวิดนี้เหนื่อย
เวลามีความทุกข์จะไปพยายามกดข่มความทุกข์อย่างไร จะไปรื้อถอนความทุกข์อย่างไร ถ้าไม่มีวิชากรรมฐานก็ยาก แต่ถ้าเราเพียงแต่ปล่อยให้ความสุขเข้ามา ไม่ใช่ความสุขกายแต่เป็นความสุขใจที่ได้ทำดีได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความสุขก็จะช่วยขับไล่ความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุต่างๆออกไปได้ สิ่งนี้เรียกว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข” ให้ความสุขนี้ให้ด้วยทรัพย์สินเงินทองก็ได้ ให้ด้วยวัตถุก็ได้ หรือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยเวลา ให้ความรู้สึกดีๆ ให้วิชาความรู้ก็ได้ ในทำนองเดียวกันเวลาที่มีความมืดนั้น เราจะขับไล่ความมืดอย่างไรก็ไม่มีทางทำได้ แต่เพียงแค่เราจุดเทียน แสงสว่างจากเทียนน้อยๆ ก็สามารถจะขับไล่ความมืดไปได้ในระดับหนึ่ง ถ้าเราจุดเทียนหลายหลายเล่ม ความมืดก็หายไปมากขึ้น และถ้าเราเปลี่ยนจากเทียนกลายเป็นหลอดไฟ ความมืดก็เรียกว่าหายไป 60-70 เปอร์เซ็นต์เลย ไม่ต้องขับไล่ความมืดแค่เอาแสงสว่างเข้าไป
แสงสว่างนั้นอาจจะหมายถึง ความรู้สึกตัวก็ได้ ความรู้สึกตัวก็ขับไล่ความหลงได้ และความรู้สึกตัวก็ขับไล่ความทุกข์ได้ แต่ถ้ายังไม่รู้จักการรู้สึกตัวดีพอ ก็เอาเมตตากรุณาที่จะทำให้เกิดความสุข และความสุขก็จะทำให้ความทุกข์ที่มีอยู่เจือจางไป ถึงแม้จะหายไปชั่วคราวแต่ถ้าเราทำบ่อยๆ และยิ่งถ้าหากว่าหันมากลับมามองตน หันมาภาวนาด้วยสติปัฏฐาน สติปัฏฐานก็จะเป็นการช่วยรักษาตน และเมื่อรักษาตนก็ช่วยรักษาผู้อื่นได้ด้วย ถ้าเป็นการรักษาตนที่ถูกต้องคือเป็นการรักษาตนที่มุ่งขัดเกลากิเลส ลดละความยึดติดถือมั่น ก็จะทำให้เมตตากรุณานั้นเกิดขึ้นในใจเรา
อย่างพระพุทธเจ้าเมื่อได้มีปัญญาเห็นความจริง เห็นสัจธรรม เห็นแจ่มแจ้งจนกระทั่งไม่มีตัวตนหลงเหลือเลย ไม่มีความยึดติดในตัวตน กิเลสอวิชชาก็หายไป เมตตากรุณาของพระองค์ก็เกิดขึ้นในใจอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ กลายเป็นพุทธคุณ 2 ประการ คือ พระปัญญาคุณ และ พระกรุณาคุณ ปัญญามาก่อน แล้วกรุณาตามมา แต่สำหรับปุถุชนบางครั้งต้องใช้กรุณาก่อน แล้วให้ปัญญาเกิดขึ้นตามมาก็ได้ อย่างหลวงพ่อคำเขียน พอท่านปฏิบัติธรรมจนได้เข้าใจธรรมะ ท่านก็เกิดเมตตากรุณาต่อผู้คนมากมาย ช่วยเหลือชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยากที่ท่ามะไฟหรือที่นี่ รวมทั้งเมตตากรุณาแม้กระทั่งธรรมชาติ รักธรรมชาติมากขึ้น ท่านบอกว่าก่อนที่จะปฏิบัติธรรมไม่ได้รักธรรมชาติขนาดนี้ แต่พอเห็นธรรมก็จะเห็นว่า ธรรมชาติกับธรรมนี้อันเดียวกัน แล้วก็รักต้นไม้ ต้นหนึ่งที่โค่นล้มท่านก็พยายามช่วยและท่านก็ดูแลต้นไม้มาตลอด ช่วงที่ท่านแก่แล้ว แล้วป่วยแล้วท่านก็ยังรดน้ำต้นไม้ จนกระทั่งสองสามวันสุดท้ายท่านก็ยังรดน้ำอยู่ แบบนี้เพราะว่าทำด้วยเมตตากรุณา ฉะนั้นให้เราลองนึกคาถา เวลามีความทุกข์ลองนึกถึงความทุกข์ของคนอื่นแล้วลงไปช่วยเขา เมตตากรุณาก็จะช่วยทำให้ทุกข์เราลดลง และอาจจะเป็นฐานให้ปัญญาได้เกิดได้