แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของสามเณร และศีลจาริณี ที่มาบวชเณรภาคฤดูร้อน กี่วันแล้วที่เราได้มาฝึกปฏิบัติในเพศนักบวช 23 วัน ถ้านับตั้งแต่วันที่ 20 ใช่ไหม พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ 24 23 วันก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ เลย แล้วเป็น ๒๓ วันที่พวกเรา ได้ผ่านประสบการณ์ที่เข้มข้น ไหนจะต้องตื่นเช้า บางคนก็ไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ ตีสี่ ตีสี่ครึ่ง แล้วก็ต้องมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาหารที่ขบฉัน ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้อง สุดแท้แต่ว่าทางแม่ครัว พ่อครัว เขาจะทำอะไรให้เรากิน มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น จะไปหาซื้อจากที่อื่น ตามห้าง ตามร้านก็ไม่ได้ แถมต้องอดข้าวเย็นอีก แล้วก็ตลอดทั้งวันก็มีกิจกรรมหลายอย่างที่เราอาจจะไม่คุ้น และบางคนอาจจะไม่ชอบ แทนที่จะได้เที่ยว ได้เล่น ได้ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ออนไลน์ ก็ต้องมาทำกิจกรรมหลายอย่าง บางครั้งก็ต้องเดินตากแดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ออกเดินทางไปป่าสะพุงเหนือ คงเป็นครั้งแรกในชีวิตของหลายๆ คน ที่นอกจากจะได้เข้าป่าแล้วยังต้องเดินตากแดด แดดมันร้อนมาก แต่พวกเราหลายคนก็ดูเหมือนจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านเท่าไหร่ ไม่รู้สึกร้อนใจ ถึงแม้ว่าจะร้อนกาย เป็นเพราะว่ารู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งที่แปลกๆ ใหม่ๆ ช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมาที่นี่ก็ร้อนมาก แต่ทั้งสามเณรและศีลจาริณีก็อยู่กับอากาศที่ร้อนได้ ถ้าเป็นที่บ้านก็ หลายคนคง ต้องอยู่ในห้องแอร์ หรือเปิดพัดลมเป่า มานอนเล่น นั่งเล่น แต่ว่าที่นี่เราก็ต้องทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ใช่แค่ทำวัตร สวดมนต์ บางทีก็ต้องทำอาหารร่วมกัน
หลายคนไม่เคยติดไฟ คราวนี้ก็ได้มาติดไฟครั้งแรกในชีวิต แล้วก็ได้หุงข้าวด้วยน้ำมือของตัวเอง เป็นอย่างไรบ้างอร่อยไหม กินได้หรือเปล่า ถึงแม้มันไม่อร่อย แต่มันก็ทำให้เราภาคภูมิใจ เป็นอาหารที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง เกิดจากฝีมือของเรา และถ้าไม่อร่อย มันก็ดีอย่าง มันทำให้เราซาบซึ้งในรสชาติของอาหารที่พ่อแม่ปรุงให้ หลายคนอยู่บ้านก็บ่นว่าพ่อแม่ปรุงอาหารไม่อร่อย พอมาอยู่นี่โดยเฉพาะตอนไปค้างแรมในป่า ก็จะรู้เลยว่าอาหารที่พ่อแม่ปรุงให้เรา มันอร่อยมาก ถ้าไม่มาก็ไม่รู้ ว่าที่บ้านสุขสบายแค่ไหน ตอนที่อยู่บ้านหลายๆ คนก็บ่น ไม่สะดวกอย่างนี้ ไม่สบายอย่างนั้น ในความต้องการหลายอย่าง มาที่นี่ถึงจะได้รู้ว่าที่บ้านนี่แหละสวรรค์ ถ้าเราไม่ออกมาเราไม่รู้หรอกว่า อยู่บ้านสะดวกสบายอย่างไรบ้าง แต่ถึงแม้จะอยู่ที่นี่ไม่สะดวกสบาย ก็เชื่อว่าหลายคนจะได้สัมผัสกับความสุขหรือความสนุก ความสุขหรือความสนุกทำให้เราลืมความยากลำบากได้ ถึงแดดจะร้อน เห็นเณรหรือศีลจาริณีหลายคนก็ ไม่ได้รู้สึกอนาทรร้อนใจเลย ร้อนแต่กายแต่ใจไม่ร้อน เพราะสนุกกับกิจกรรม นี่เป็นบทเรียนให้เราพิจารณาว่า ความสุขหรือความสนุกไม่ใช่ว่าจะหาได้ยาก มันก็อยู่ มันก็ซุกอยู่ ในความยากลำบากนั่นแหละ อยู่ป่านี่มันอยู่ยากลำบากกว่าอยู่บ้านมาก แต่ก็มีรสชาติที่หลายคนคงจะประทับใจ เพราะได้สนุกได้เล่นน้ำ ได้ทำอะไรหลายอย่าง บางทีความสุขหรือความสนุกมันก็อยู่ท่ามกลางความยากลำบากนั่นแหละ ในทางตรงข้ามแม้สบาย แต่ไม่มีความสุขก็ได้ แต่ถ้ามองให้เป็น เราก็เห็นสุขได้ทุกที่ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ในช่วงที่เรามาบวชที่นี่ ไม่ว่าจะนุ่งเหลืองหรือห่มขาว เรามาเพื่อที่จะเรียนรู้ เพื่อที่จะฝึกฝนตน
ขึ้นชื่อว่าการเรียนรู้หรือการฝึกฝน มันต้องยากลำบาก คำว่าฝน มันก็บอกอยู่แล้ว ปกติเราใช้คำว่าฝน กับเวลาเราฝนมีด มีดมันจะคมได้เราก็ต้องเอาไปฝนกับหิน และหินนั้น มันก็ต้องสากนิดหน่อย ถ้าหินมันเรียบ เป็นกระจก การฝึกฝนก็ไม่ได้ผล มีดก็ไม่คม มีดจะคมได้ มีต้องผ่านการฝน กับหินที่มันสากๆ มันฝืดๆ ก็ทำให้ใบมีดคมขึ้นมาได้ เรามาอยู่ที่นี่ก็ต้องเจอความยากลำบากบ้าง มันจะช่วยฝน ฝนปัญญาของเราให้เฉียบคม ทำให้จิตใจของเราเฉียบแหลม นอกจากคำว่าฝึกฝนแล้ว ยังมีคำว่าอบรม อบรมบ่มนิสัย คำว่าอบ คำว่ารม มันก็บอกถึงความร้อน เราอบ เตาอบก็บอกอยู่แล้วว่าร้อน อบขนมปังก็ต้องใช้ความร้อน รมนี่ก็เหมือนกัน รมควันก็ต้องร้อน ส่วนข้าวถ้าไม่ใช้ความร้อน มันก็จะดิบ กินไม่ได้ ผลไม้ถ้าไม่บ่มมันก็ยังดิบ ต่อเมื่อมันบ่มแล้วจะอร่อย บ่มมะม่วง บ่มผลไม้หลายอย่าง รมก็เหมือนกัน รมควันจะช่วยให้อาหารดูน่ากินมากขึ้น ของมันจะดีได้มันต้องผ่านการอบ การรม การบ่มหรือการต้ม คือต้องเจอความร้อน
คนเราก็เหมือนกัน คนเราจะพัฒนาได้ จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ก็ต้องผ่านความยากลำบาก และความยากลำบากอย่างหนึ่งคือการอยู่ท่ามกลางความร้อน พวกเราก็มาได้เจอกับความร้อนของภาคอีสาน หลายคนก็อาจจะบ่นว่า มันร้อนเหลือเกิน แต่ให้รู้เถิดว่ามันกำลังฝึกให้เราเข้มแข็ง ถ้าเราอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน จิตใจเราก็อ่อนแอ แถมร่างกายก็จะอ่อนแอตามไปด้วย แต่มาอยู่แบบนี้ความร้อนที่มันอบเรา ทำให้เราเข้มแข็ง เช่นเดียวกับกิจกรรม ที่อาจจะยากลำบาก ต้องตื่นแต่เช้า ไม่ชอบเลยต้องมานั่งสมาธิเจริญสติ ไม่ชอบเลยต้องทำกิจกรรม ช่วยเหลือ ทำงานร่วมกับหมู่มิตร ก็ไม่ชอบเลย แต่สิ่งที่เราไม่ชอบก็สามารถจะฝึกฝนให้เรามีปัญญา หรือว่าอบรมบ่มจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ให้เรารู้จักคอย รู้จักอดทน ให้รู้จักอดกลั้นต่ออารมณ์ รวมทั้งรู้จักเสียสละ สิ่งเหล่านี้จะมีคุณประโยชน์กับเรา ไม่ต้องรอถึงตอนโต แต่ว่ามันสามารถมีประโยชน์กับเราตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย
ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา การศึกษาไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปโรงเรียน ต้องเข้าห้องเรียน ต้องเรียนหนังสือ เรามาศึกษา ด้วยการฝึกกาย วาจา ใจ และการบวชก็เป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้ ได้เปลี่ยนแปลงตนเอง ทำให้เราเป็นผู้ที่มีการศึกษาที่ครบถ้วน ไม่ใช่แค่สมองโต เพราะเรียน เพราะอ่านตำรับตำรามากมาย แต่มันช่วยทำให้ใจเราใหญ่ขึ้นด้วย สมองโต ความรู้มากแต่ใจแคบ อ่อนแอ ไม่เรียกว่าผู้มีการศึกษา แล้วก็หวังว่าจะมีอนาคตที่สดใสก็คงยาก หัวโตความรู้มาก ถ้าจิตใจอ่อนแอไม่เข้มแข็ง ใจเล็ก ใจแคบ บางทีเอาตัวไม่รอด
เคยได้ยินไหม ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด คนที่ความรู้ท่วมหัว หมายความว่าสมองโต แต่ว่าใจเล็ก ใจแคบ ใจอ่อนแอ คนเรา จะเอาตัวรอดได้ ชีวิตจะมีอนาคตที่ดีได้ จิตใจก็ต้องเข้มแข็ง ไม่กลัวความยากลำบาก เจอการบ้านยากๆ ก็ไม่กลัว พร้อมที่จะทำงานหนัก พร้อมที่จะพากเพียร อุตสาหะ และขณะเดียวกันก็ต้องเข้มแข็งไม่อ่อนไหว หรือไม่ยอมแพ้แม้แต่สิ่งที่มายั่วยวน สมัยนี้นักเรียนมีสิ่งยั่วยวนมาก ที่จริงก็ยั่วยวนผู้ใหญ่ด้วย เกมออนไลน์ก็หนึ่งแล้ว การละเล่นสนุกสนาน อินเตอร์เน็ต สมาร์ตโฟน เดี๋ยวนี้มันยั่วยวนให้เด็กอย่างพวกเรา ไม่เป็นอันทำอะไร เอาแต่ก้มหน้า หนังสือก็ไม่เรียน การบ้านก็ไม่ทำ เอาแต่ก้มหน้าดู เล่นสมาร์ตโฟน เล่นโทรศัพท์ เล่นเกม นี่ถ้าไม่มีจิตใจที่เข้มแข็ง มันก็ยอมแพ้ต่อสิ่งยั่วยวนต่างๆ เหล่านี้ และต่อไปก็ยอมแพ้กับ สิ่งอื่นๆ ด้วย บางคนก็อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากได้แท็บเล็ต อยากได้คอมพิวเตอร์ อยากได้กล้องราคาแพง ราคาหลายหมื่น อยากได้รองเท้ากีฬาคู่ละเป็นพัน อยากได้ไปหมดเลย ถ้าไม่ได้ พ่อแม่ไม่ซื้อให้ก็จะเป็นจะตาย กลุ้มอกกลุ้มใจ ถ้าจิตใจอ่อนแอไม่รู้จักหักห้ามใจ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ถ้ามีจิตใจเข้มแข็ง เขาก็จะไม่อ่อนแอต่อสิ่งเย้ายวน มันจะมาล่อมาหลอกให้ซื้อก็ไม่หวั่นไหว เวลาไปห้างสรรพสินค้าของแต่ละชิ้น เย้ายวน ซื้อฉันสิ ของแพงๆ ทั้งนั้น แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูป มันก็จะบอกว่าซื้อฉันสิ ซื้อฉันแล้วก็จะเท่ ได้ใช้ฉันแล้วก็จะแมน หรือถ้าผู้หญิงก็ซื้อฉันแล้วจะสวย จะมีคนมาหลงชอบติดพัน คนโง่ จิตใจอ่อนแอก็ยอม คนที่เข้มแข็งเขาไม่ยอม เขารู้ว่ามันหลอกลวง มันไมใช่ของแท้ คนที่มีการศึกษาไม่ใช่แค่มีความรู้ ในหัวเท่านั้น แต่จิตใจเข้มแข็งและก็มีคุณธรรมด้วย คุณธรรมได้แก่ ความซื่อตรง ความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นต้น
หลวงพ่อรู้จักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อยุ้ย รู้จักเธอมาตั้งแต่เธออายุ 12- 13 ปี เธอไปหาหลวงพ่อที่วัด ที่ภูหลงไม่ใช่ที่นี่ ตอนนั้นเธอป่วย แล้วเธอคิดว่าเธอจะอยู่ได้ไม่นาน อยากจะรู้จักหลวงพ่อเพราะเคยอ่าน หนังสือ อายุ 12 13 นี่อ่านหนังสือธรรมะแล้ว แกก็เลยอยากจะพบ ก็เลยรู้จักกัน แล้วก็ติดต่อกันเรื่อยมา เธอเคยมาที่นี่ด้วย ตอนที่เธออายุ 16 ก็ประมาณม.3 ม.4 มีการสอบวิชาภาษาจีน ครูก็บอกนักเรียน ตั้งแต่ 3-4 วันก่อนสอบว่า ถ้านักเรียนโกงหรือทุจริตในห้องสอบ ครูจะตัดคะแนนทุกคนเลยทั้งชั้นเลย คนละ 5 คะแนน ขนาดขู่แบบนี้แล้วนี่ยังมีเด็กบางคนที่ทุจริต ในห้องสอบ ครูจับได้ ครูจับได้แล้วหักคะแนนทุกคนเลย คนละ 5 คะแนน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้โกง ก็ต้องโดนลูกหลงไปด้วย หลายคนก็ไม่พอใจเด็กคนนี้ เด็กคนนี้ก็ไปขอโทษขอโพยนักเรียนทั้งชั้นเลย บางคนก็โกรธ ไม่ยอมรับคำขอโทษ แต่ยุ้ยไม่โกรธ เด็กมาขอโทษ ยุ้ยก็บอกว่าไม่เป็นไรฉันไม่โกรธเธอเลย เพราะว่าครูตัดได้แต่คะแนน แต่ความรู้ในหัวฉัน ครูเอาไปไม่ได้ เธอสอบได้เป็นที่หนึ่งของชั้น ได้ 28 คะแนน หักไป 5 คะแนนเหลือ 23 แต่เธอก็ไม่โกรธเพื่อน แม้เพื่อนทำไม่ถูกแต่เธอก็ไม่โกรธ เธอพูดดีว่า ครูหักได้แต่คะแนน แต่ว่าความรู้ในหัวของฉันครูเอาไปไม่ได้
เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร มีอยู่คราวหนึ่ง อย่างที่ว่าเธอเป็นเด็กเรียนดี ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของจังหวัด ไปสอบอะไรสักอย่างในกรุงเทพ เป็นการสอบระดับประเทศ เธอเป็นที่หนึ่งในระดับจังหวัด แต่ว่าวันสอบที่กรุงเทพ เธอไปไม่ได้ ก็เลยมีการสอบล่วงหน้า 1 วัน ก็สอบในจังหวัดของเธอ คือจังหวัดกาฬสินธุ์ เธอเป็นคนกาฬสินธุ์ ปกติต้องไปสอบที่กรุงเทพ แต่เธอไปสอบไม่ได้เลยให้สอบล่วงหน้า 1 วันเลยได้สอบที่จังหวัดของเธอเอง เธอทำข้อสอบเสร็จก็ส่งกระดาษคำตอบให้ผู้คุมสอบ อาจารย์ผู้คุมสอบก็รู้จักเธอดี ก็ถามเธอว่าทำข้อสอบได้ไหม เธอก็บอกว่า ได้นิดหน่อย เธอพูดแบบถ่อมตัว อาจารย์เลยถามว่า ไม่ได้ข้อไหนล่ะ เธอก็บอกว่าข้อนี้ ทำไม่ได้ อาจารย์ทำอย่างไรรู้ไหม อาจารย์เฉลยข้อสอบให้เลย ข้อนี้ต้องตอบแบบนี้ แล้วก็ให้ยางลบเธอ ให้เธอแก้ข้อสอบ ถ้าเป็นเรา เราจะทำไหม ยื่นข้อสอบไปแล้ว ยื่นกระดาษคำตอบไปแล้ว แล้วก็อาจารย์เฉลยคำตอบแล้ว บอกให้เธอไปแก้คำตอบ ยุ้ยไม่ทำ ยุ้ยปฏิเสธ ยุ้ยบอกหนูไม่ทำ หนูก็คืนกระดาษคำตอบให้ครูแล้วเธอก็เดินออกจากห้อง
เธอให้เหตุผลในภายหลังว่า ถ้าเธอได้ที่หนึ่ง แต่เธอก็จะไม่ภูมิใจหรอก เธอกลับจะรู้สึกอับอายด้วยซ้ำ เพราะว่าได้ที่หนึ่งด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มันไม่มีศักดิ์ศรี แล้วเธอก็บอกว่าถ้าจะได้ที่หนึ่งต้องได้ด้วยความสามารถของหนูเอง ไม่ได้มาด้วยวิธีการที่สกปรก เธอได้ที่สอง ถ้าเธอทำตามที่ครูว่า เธอก็ได้ที่หนึ่งไปแล้ว เธอได้ที่สองแต่เธอบอกว่าเธอไม่เสียใจเลย แต่ว่าหนูภูมิใจ ที่คะแนนที่ออกมันได้มาจากความสามารถของหนูเอง ถึงแม้ไม่ได้ที่หนึ่งหนูก็มีความสุข หนูภูมิใจที่เอาชนะใจตัวเองได้ เอาชนะใจอย่างไร ก็คือว่าในจิตใจของคนเรา อยากได้ที่หนึ่ง แล้วโอกาสก็มีแล้ว ครูให้โอกาสแล้วเปลี่ยนคำตอบ คำตอบครูก็บอกให้แล้ว แต่เด็กไม่ทำ ยุ้ยไม่ทำ อันนี้น่าสนใจมาก พวกเราลองคิดดู ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ เราจะทำไหม
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของเด็ก 5 ขวบชื่อ ปูน เป็นเด็กกรุงเทพ เด็กอนุบาล โรงเรียนอนุบาลของปูน เขาจะมีบอร์ดอยู่บอร์ดหนึ่ง นักเรียนคนไหนที่ทำความดี เช่นขยัน ช่วยเหลือเพื่อนก็จะได้ดาว นักเรียนก็จะมีดาวติด นักเรียนหลายคนจะได้ดาวหลายดวง แต่ว่าปูน ได้ดาวแค่สองดวง แม่เห็นแม่ก็ไม่สบายใจ แม่อยากให้ลูกมีดาวมากๆ แม่ก็เลยไปบ่นกับครูว่า ทำไมปูนได้แค่สองดาว ปูนทำอะไรไม่ดีเหรอ ครูบอกว่าที่จริงปูนได้หลายดาว ได้เพียบเลย แต่ปูนสงสารเพื่อนหลายคนที่ไม่ได้ดาวเลย ปูนเลยเอาดาวแบ่งให้เพื่อน ปูนเลยมีดาวแค่ 2 ดวงน้อยกว่าคนอื่นมาก ปูนเป็นคนมีน้ำใจ อายุ 5 ขวบ เห็นใจเพื่อน เพื่อนไม่ได้ดาวเลยก็สงสาร แบ่งดาวให้เพื่อนบ้าง ถึงแม้ตัวเองจะได้ดาวน้อยลง
ปูนและยุ้ย ถึงแม้เป็นคนละจังหวัด วัยก็ต่างกัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือว่าเขาไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เรียกว่าลาภยศสรรเสริญ คนส่วนใหญ่อยากได้ที่หนึ่ง ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ได้ที่หนึ่ง โกงก็ได้ เคยมีนักเรียนโรงเรียนหนึ่งโรงเรียนมัธยมมีชื่อมากในกรุงเทพ ครูจับได้ว่ามีนักเรียนกลุ่มหนึ่ง โกงข้อสอบ ทุจริตในห้องสอบ คือเอาข้อสอบมาลอกกัน แล้วที่ครูแปลกใจ คือ เด็กที่โกงเป็นเด็กเรียนดี เกรดก็ประมาณ 3.8 ไม่ใช่เด็กขี้เหร่ ไม่ใช่เด็กจวนตก 3.8 ทั้งนั้น ครูงงมาก ว่าทำไมโกง ได้คำตอบว่าเพราะอยากได้ 4 เก่งแต่โกงนี่มี อย่าไปคิดว่าเก่งแล้วไม่โกง อันนี้ไม่จริง เก่งแต่ว่าถ้าไม่พอใจ ในสิ่งที่ตัวเองได้ และถ้าจิตใจอ่อนแอ หวั่นไหว อยากได้คำชื่นชมสรรเสริญ ก็อาจจะหลงผิด ทำในสิ่งไม่ถูกต้องคือทุจริต อยากได้ 4 เพราะอยากได้คำยกย่องสรรเสริญ จากครู จากพ่อแม่หรืออะไรก็แล้วแต่ และส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเด็กเรียนเก่ง หรือเด็กเรียนไม่เก่ง แต่ว่าอย่างยุ้ยกับปูนเป็นเด็กที่เรียกว่า เขาไม่หวั่นไหวต่อคำสรรเสริญ คนหนึ่งยืนยันในการทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ได้ที่หนึ่งแต่โกงฉันไม่ทำ ฉันได้ที่สองฉันภูมิใจกว่า อีกคนหนึ่งก็อยากจะช่วยเพื่อน ระหว่างการช่วยเพื่อนกับการได้ดาวมากๆ ฉันช่วยเพื่อนดีกว่า ได้ดาวมากๆ แต่ว่าไม่มีน้ำใจกับเพื่อน ฉันไม่ทำ
อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนมีการศึกษา ทั้งสองคนเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษา การศึกษาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนเก่ง แต่หมายความว่ามีคุณธรรม คุณธรรมก็คือว่ายึดมั่นในความถูกต้อง ไม่โกงไม่ทุจริต แม้ว่าจะมีโอกาส คุณธรรมหมายความว่าเป็นคนดีมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้าเราจะเป็นคนมีการศึกษา เราต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้แหละ ถึงแม้ว่าทุกวันนี้คนในสังคม เขาจะยอมโกง ยอมทุจริต ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็คอรัปชั่นเพราะว่าอยากจะสอบเข้าให้ได้บ้าง อยากได้คะแนนดีบ้าง หรืออยากจะร่ำรวยก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นไปทั่ว แม้แต่จบปริญญาเอกก็ยังโกง หรือว่าไม่มีน้ำใจ บางครั้งถึงกับทำร้ายผู้มีพระคุณ
อย่างพวกเราอาจจะเคยได้ข่าว เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว มีข่าวว่านักศึกษาไทยไปเรียนต่อที่ประเทศอเมริกา ใช้ทุนรัฐบาล จะใช้ทุนได้ก็ต้องมีคนเซ็นรับรอง เพราะว่าใช้เงินไปสิบล้านในการไปเรียนต่อ มีอาจารย์และเพื่อนช่วยเซ็นรับรอง เพื่อว่าเมื่อตัวเองเรียนจบกลับมาก็ต้องมารับใช้ทุน กลับมาทำงานใช้ทุน ปรากฏว่าตัวเองจบปริญญาเอกแล้วไม่กลับมา ปรากฏว่าคนที่เซ็นรับรองต้องใช้ทุนแทน ๑๐ ล้าน และมีกฎว่าถ้าไม่กลับมาการใช้ทุนจะเพิ่มทุนเป็น 3 เท่าคือ 30 ล้าน เอาไป 10 ล้าน ถ้าไม่ใช้คืนมันจะเพิ่มเป็น 30 ล้าน มันก็มีเรื่องแบบนี้ ถึงแม้จะจบปริญญาเอก แต่ว่านอกจากไม่ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้ว ยังทำให้ผู้มีพระคุณ เช่นครูบาอาจารย์และเพื่อน ต้องลำบากเดือดร้อนแทน กว่าจะใช้ทุนหมด เกือบ 10 ปี โดยที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับเขาเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยกับทุนที่ให้กับนักศึกษาคนนั้น อย่างนี้เราเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษาไม่ได้ ถึงแม้ว่าจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ หรือถึงแม้จะทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอย่างฮาร์วาร์ด ประเทศอเมริกา
ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้เราจะเรียนจบแค่ม.6 ม.3 หรืออาจไม่จบเลย แต่ว่าเป็นคนมีน้ำใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความพากเพียรพยายาม ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัว แม้อยากจะมีชื่อเสียง แม้อยากได้คำยกย่อง หรือแม้อยากจะรวย ก็ต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จะต้องทำด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต อย่างนี้แหละถึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษา แม้ชาวบ้านปู่ย่าตายาย พ่อแม่ของเรา บางคนก็เป็นชาวนา บางคนก็เป็นชาวไร่ ก็เป็นผู้มีการศึกษาได้ ถ้ามีน้ำใจ เสียสละ ไม่คดโกง มีความซื่อสัตย์สุจริต
อันนี้สำคัญ สมัยนี้มันมีสิ่งที่ยั่วยวนให้เราทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความเป็นหนึ่ง เพื่อที่จะได้มีชื่อเสียง เดี๋ยวนี้ทุกวัน ทุกวันก็มีสิ่งยั่วยุเรา ใครที่เล่นเฟซบุ๊ก ก็อยากจะให้เพื่อนกดไลก์ ทำยังไงก็ได้ให้เพื่อนกดไลก์ บางทีก็ไปก๊อปคนอื่นมาเพื่อให้เพื่อนกดไลก์ อันนี้เรียกว่าอยากได้หน้าตา อยากได้ชื่อเสียง เดี๋ยวนี้คนเราเป็นทาสสิ่งเหล่านี้มาก จนกระทั่งยอมทำผิดยอมทำสิ่งไม่ถูกต้อง หรืออีกประเภทหนึ่งคือว่าแม้จะทำถูก ไม่ได้คดโกงแต่ไปยึดติดถือมั่นกับมันมาก ถ้าเพื่อนไม่กดไลก์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็มี เวลาอัพโหลดอะไรขึ้นเฟซบุ๊กเป็นภาพก็ดี เป็นข้อความก็ดี ถ้าเพื่อนไม่กดไลก์ หรือกดไลก์น้อย ก็จะเขียนข้อความไปทางไลน์ว่าช่วยกดไลก์ ให้หน่อย เพราะรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเรา อยู่ที่จำนวนกดไลก์ อันนั้นไม่ใช่ คุณค่าของคนเราไม่ได้อยู่ที่จำนวนไลก์ ไม่ได้อยู่ที่คำยกย่องสรรเสริญ อยู่ที่คุณธรรม ความมีน้ำใจ
เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน ที่มีการแข่งขันโอลิมปิก มันมีตัวเก็งอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อนูนิ อยู่ประเทศฟินแลนด์ อีกคนหนึ่งชื่อดูแกรส วิ่งมาราธอน 3000 เมตร 3 กิโล น้องน้องมาราธอน คนแรกนูนิก็วิ่งนำ ปรากฏว่าอยู่ดีๆปลายทางแล้ว ล้ม นาฬิกาตก ตอนนั้นเป็นทางวิบากเหมือนกัน แกก็ก้มหานาฬิกา เจ้าดูแกรสวิ่งตามหลังมา แทนที่จะฉวยโอกาส วิ่งเลยไป กลับหยุดประคองเพื่อน เพื่อนหกล้ม ประคองเพื่อน แล้วก็ช่วยหานาฬิกาให้ หาจนเจอ ถ้าเป็นคนอื่นวิ่งเฉยแล้ว แต่ว่าดูแกรสนี่เขามีน้ำใจนักกีฬามาก อุตส่าห์ช่วยเพื่อน พยุงเพื่อน หานาฬิกาด้วย พอหาเจอ เจ้าของนาฬิกา ก็ยอดเหมือนกัน แทนที่จะวิ่งไปเลย วิ่งตามดูแกรสไป เพราะถือว่าเขาช่วยเหลือเรา เราจะฉวยโอกาสวิ่งแซงเขาก็ไม่ถูก วิ่งคู่กันไปเลย พอใกล้เส้นชัยต่างเกี่ยงกัน ดูแกรสก็บอกนูนิวิ่งแซงไปเลย นูนิก็บอกดูแกรสแซงไปเลย นี่คือน้ำใจ น้ำใจคือชัยชนะไม่สำคัญ สำคัญที่น้ำใจ ต้องช่วยกัน
อันนี้ไม่ใช่เรื่อง 70 ปีที่แล้วเป็นเรื่อง 10 ปีที่แล้ว มีแข่งสกีกัน สกีตัวเก็งเป็นแคนนาดา ชื่ออ่านยาก อีกคนหนึ่งมาจากนอร์เวย์ คนจากแคนนาดากำลังแข่งอยู่ไม้ค้ำสกีหัก สงสัยจะหักทั้งสองข้าง เพราะว่าสกีบางทีมันชันมาก ไม้ที่ใช้ค้ำสกีมันทนน้ำหนักไม่ไหวมันก็หักของแคนนาดา ส่วนของนอร์เวย์ที่ตามติดๆ มาเขาทำอย่างไรรู้ไหม เขายื่นไม้ให้ข้างหนึ่ง แบ่งกันใช้คนละอัน แล้วปล่อยแคนนาดาที่ทำไม้หักเข้าเส้นชัย นอร์เวย์ได้ที่สอง แต่เขาไม่เสียใจ ทำไม ไปช่วยเขาทำไม เมื่อเขาเป็นคู่แข่งของเรา ทำไมไม่แซงไปเลย เขาบอกว่าชัยชนะมันจะมีความหมายอะไร ถ้าเราไม่ช่วยคนที่ควรช่วย เห็นคนที่เดือดร้อนอยู่ข้างหน้า เราก็ต้องช่วยเขา ไม่ใช่แซงเขาไปเลย ตรงหน้าเรา อย่างนี้เรียกว่ามันไม่แฟร์ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา
นี่เห็นไหมว่า คุณธรรม ก็สามารถจะหาได้จากการแข่งขัน การแข่งขันไม่ใช่ว่าจะเอาชนะทุกวิถีทาง สมัยนี้แม้กระทั่งโกงก็เอา แต่กรณีที่ว่านี้ยังไม่ได้โกงเลย แต่ว่าเป็นความซวยของตัวเต็งเอง แต่แทนที่คนที่สองจะฉวยโอกาส ไม่มีคำว่าฉวยโอกาส ช่วยเขา ต้องช่วยเขา ภูมิใจที่ได้ที่สอง และก็ภูมิใจที่ได้ช่วยเขา แล้วรู้ไหมคนที่ช่วยนี่แหละเป็นที่รู้จักมากกว่าคนที่ได้ที่หนึ่งอีก เพราะว่าคนประทับใจในความมีน้ำใจ ชัยชนะเป็นรอง คุณธรรมต้องมาก่อน นี่แหละเรียกว่าเป็นผู้มีการศึกษา
เรานี่ตัวเล็กๆ นี่ ถ้าเรามีคุณธรรมแบบนี้ใจเราก็ใหญ่ อาจจะใหญ่กว่าผู้ใหญ่ที่ไม่มีคุณธรรม คดโกงหรือว่าฉวยโอกาส การมาบวชเรียนที่นี่ ไม่ว่าจะนุ่งเหลืองหรือห่มขาว คือโอกาสที่เรามาศึกษา ฝึกฝนตน ขัดเกลาตน เพื่อให้เป็นผู้มีการศึกษาที่แท้จริง พรุ่งนี้เราก็กลับบ้านกันแล้ว ก็อย่าลืม การศึกษาที่แท้จริงอยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ใช่แค่มีความรู้ ไม่ใช่ว่าสอบได้คะแนนดี มันต้องมีคุณธรรม มีน้ำใจ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง และถ้ามีสิ่งนี้ไว้ในใจ ชีวิตนี้ก็จะประสบกับความสุข ทั้งสองคน ยุ้ยก็ดีหรือปูนก็ดี เขาเป็นคนที่มีความสุข เพราะเขาได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง นักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นดูแกรสชาวฝรั่งเศส หรือนักเล่นสกีชาวนอร์เวย์เขาก็มีความสุข ความสุขเพราะได้ทำความดีมันมีคุณค่า มีความภูมิใจกว่าความสำเร็จที่ได้ว่าด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง