แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วที่ใจ อันนี้เป็นพุทธสุภาษิตที่เชื่อว่าผ่านตา ผ่านหู ของพวกเราหลายคน โดยเฉพาะที่มาจำพรรษา หรือว่ามาปฏิบัติที่นี่ติดต่อกันหลายวัน ธรรมทั้งหลายนี้ อันนี้ก็รวมถึง กุศลธรรมและอกุศลธรรมด้วย หมายความว่าความดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม ที่แสดงออกมาทางกาย วาจานี้ มันก็มีใจเป็นที่มา ถ้าหากว่าใจดี ใจงาม ก็ย่อมพูดดี คิดดี พูดดีและทำดี ความดีที่ออกมาจากกาย วาจา มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะใจ ในทางตรงข้าม ถ้าใจบาป ใจชั่ว ไม่ว่าคิด ไม่ว่าพูดหรือทำ มันก็ไม่ดีทั้งนั้น อันนี้ก็เป็นความหมายหนึ่งของข้อความที่ว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่
ความสุข ความทุกข์ก็เหมือนกันมันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ อย่างที่มีสำนวนว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คับที่ไม่เป็นไร ถ้าใจเป็นอิสระ คนที่ติดคุกร่างกายก็ถูกจองจำ แต่ว่าถ้าเขาไม่ปล่อยใจให้จมอยู่ในความทุกข์ หรือว่าถูกจองจำด้วยความทุกข์แล้ว เขาก็อยู่ในคุกอย่างมีความสุขได้อย่างมหาตมะ คานธี ในสมัยพุทธกาลก็มีอำมาตย์คนหนึ่งถูกจองจำ แต่ก็ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งเป็นพระโสดาบัน หรืออย่างพระเจ้าพิมพิสารนี่ ถูกลูกชายคืออาชาตศัตรู จองจำอยู่ในคุก เรียกว่าเป็นลูกที่เนรคุณ อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากได้ราชบัลลังก์ แต่ว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แม้ว่ากายจะลำบาก และในตอนท้ายๆ นี่ก็ถึงกับถูกลูกชายทรมานเอามีดกรีดเท้า แต่ว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่าใจเป็นอิสระ
ในทางตรงข้าม ถึงแม้ว่าจะอยู่ในคฤหาสน์ ปราสาทราชวัง แต่ว่าถ้าใจทุกข์ ใจไม่มีที่เกาะเกี่ยว ก็เหมือนกับอยู่ในนรก แล้วบางทีก็ต้องหาทางออกมา อย่างพระยสะตอนที่เป็นฆราวาสก็อยู่ในปราสาท ๓ ฤดู คล้ายๆ กับเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะว่าพ่อแม่นี้รวย แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่มีความสุข กายสุข มีการปรนปรือทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มีดนตรีขับกล่อม มีผู้หญิงมาปรนเปรอ แต่ว่าใจนี้ไม่รู้สึกถึงความหมายของชีวิต สุดท้ายก็ต้องเดินหนีออกมาจากบ้าน ก็เป็นเหตุให้ไปพบพระพุทธเจ้า เพราะว่าพอเดินจากบ้านแล้วก็ไม่รู้ไปไหน ก็เดินตุหรัดตุเหร่ จนเข้าไปในป่าอิสิปตน เดินไปก็พูดไป ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้อง พระพุทธเจ้าได้ยินก็ตอบว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง พระยสะก็เป็นตัวอย่างของคนที่เรียกว่า กายสบาย แต่ว่าใจไม่เป็นสุข เพราะฉะนั้น ก็หาความสุขได้ยาก แต่สุดท้ายก็ได้มาพบกับความสุขจากธรรมะ
พระภัททิยะก็เหมือนกัน พระภัททิยะนี่เคยเป็นเจ้าชาย มีอำนาจในการว่าการในกรุงกบิลพัสดุ์เพราะเป็นญาติกับพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็จับพลัดจับผลูออกบวชตามญาติคนอื่นๆ ไม่ได้มีศรัทธาอะไรหรอก แต่แล้ววันหนึ่งหลังจากที่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจังอยู่ได้ไม่กี่ปี ท่านก็บรรลุธรรม มีวันหนึ่งท่านก็ปรารภขึ้นมาว่า สุขหนอ สุขหนอ เพื่อนพระก็คิดว่าท่านนึกถึงความสุขสมัยที่ยังอยู่ปราสาทราชวัง ก็ไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยเรียกมาถาม ท่านก็บอกว่าสมัยที่ยังอยู่ในปราสาทราชวัง มีองครักษ์คอยดูแล มีสิ่งปรนเปรอ ก็หามีความสุขไม่ แต่พอมาบวชถือผ้า ครองผ้า ๓ ผืน ฉันวันละมื้อ นอนใต้ต้นไม้ ถือธุดงควัตร กลับมีความสุข คือกายก็ไม่ได้สุขสบาย แต่ว่าใจนี้สุขเต็มที่เลย อันนี้ก็เป็นการยืนยันว่า สุขหรือทุกข์นี่อยู่ที่ใจ
คราวนี้ธรรมทั้งหลายนี้มีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด มันยังมีความหมายมากกว่านั้น เช่น การรับรู้คนเรานี่ เราจะรับรู้อะไรก็ตาม มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ถึงแม้ว่าจะเป็นการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายก็ตาม คนก็ไปคิดว่าการรับรู้สิ่งที่เรียกว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี้ ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ที่จริงแล้วนี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สำคัญเท่ากับใจ
เราเคยสังเกตไหม มีคนเรียกเรา มีคนคุยกับเรา แต่เราไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่เสียงเขาก็กระทบหูเรา เพราะอะไร เพราะตอนนั้นเราอาจกำลังอ่านหนังสือ กำลังดูดอกไม้ หรืออาจกำลังใจลอยก็ได้ ใจนี่มันไม่ได้เปิดรับ เพราะฉะนั้นแม้มีเสียงมากระทบหู แต่ก็ไม่มีการรับรู้เกิดขึ้น เขาเรียกว่า ไม่มีโสตวิญญาณ วิญญาณในที่นี่คือ การรู้อารมณ์ ไม่ใช่วิญญาณเป็นดวงๆ บางทียุงมากัดเรา ที่แขน ที่ขา แต่ว่าใจเรากำลังอยู่กับการสวดมนต์ เราก็ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกคัน แต่พอสวดมนต์เสร็จ ก็รู้สึกคันขึ้นมาแล้ว หรือบางทีเรากำลังเล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊กนี่ ยุงมากัดนี่ ไม่รู้สึก แต่พอเล่นจบ รู้สึกคันละ มันมีสัมผัสที่กายเกิดขึ้น ไม่ใช่สัมผัสธรรมดา เป็นความเจ็บ ความปวด ความคัน แต่ว่าใจตอนนั้นมันไม่ว่าง มันไปรับรู้อย่างอื่นแทน เพราะฉะนั้น การรับรู้ทางกาย รวมทั้งเวทนาก็ไม่เกิดขึ้น
การรับรู้รูปก็เหมือนกัน รูปในที่นี้เราก็คิดว่า รับรู้ทางตา แต่ก็เหมือนกัน คือต้องอาศัยใจเป็นสำคัญ เรา อาจจะเคยผ่าน หรือเคยเห็นรูปบางรูป เราก็มองว่าเป็นรูปผู้หญิงแก่ๆ แต่อีกคนมองว่าเป็นรูปหญิงสาว อันนี้มันมีรูปให้เราเห็นอยู่ อันนี้รูปแบบนี้ก็แพร่หลายไปทางเฟซบุ๊ก ทางไลน์เหมือนกัน คนหนึ่งเห็นเป็นรูปหญิงแก่ อีกคนเห็นเป็นรูปหญิงสาว รูปเดียวกัน แล้วรูปมันก็กระทบตาเหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่รับรู้ทางใจ มันไปคนละเรื่อง แต่ว่าจริงๆ แล้วนี่ มันมีอะไรที่ซับซ้อนไปกว่านั้นมาก
ก็เคยมีการทดลองให้คนรูปคลิปวีดีโอ มันเป็นคลิปธรรมดาๆ เป็นรูปนักกีฬาประมาณ 10 คน สองทีม เป็นนักบาสเกตบอล ต่างก็โยนลูกบาสเกตบอลให้กับคนในทีมเดียวกัน เช่น ทีมใส่เสื้อสีขาว ก็โยนให้กับคนที่เป็นเพื่อนร่วมทีม แล้วเขาให้คนดูนับว่ามีการโยนบอล ให้กับทีมเดียวกันกี่ครั้ง ก็ดูประมาณสัก 1 นาที 2 นาทีเท่านั้นแหละ พอดูจบหลายคนก็นึกในใจแล้วว่า โยนกี่ครั้ง คนฉายเขาก็ถามว่า เท่าที่เห็นนี่มีการโยนบอลกี่ครั้ง คนหนึ่งก็บอก 20 อีกคนหนึ่งก็บอกว่า 21 อีกคนหนึ่งก็บอกว่า 22 ครั้ง ตัวเลขที่ต่างกันนี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่จู่ ๆ คนฉายคลิปวิดีโอนั้นก็ถามว่า เมื่อครู่นี้เห็นกอริลลาไหม คนในวงนั้น งงเลย ถามอะไร มีกอริลลาด้วยหรือ เขาบอกว่ามีสิ มันมาเดินตบอกอยู่ตรงกลางจอเลย ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เขาก็เลยฉายคลิปวิดีโอซ้ำให้ดูอีกที ก็เห็นเลย มันมีคนแต่งชุดกอริลลาสีดำ ตัวใหญ่ๆ เดินมากลางวงเลย ขณะที่มีการโยนบอลกัน แล้วก็ตบอก เหมือนกับกอริลลาในหนัง เพราะว่าคนส่วนใหญ่มองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ต่อหน้า ต่อตา ถามว่าภาพกอริลลานี่มันกระทบตาหรือเปล่า กระทบแน่นอน เพราะว่าทุกคนจ้องไปที่จอ แล้วก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันเห็นไม่หมด คำถามคือ ทำไมไม่เห็นกอริลลาที่มันอยู่กลางจอ ก็เพราะว่าตอนนั้นใจมันมัวแต่ไปจดจ่ออยู่กับการนับลูกบอล กอริลลาก็ไม่ได้อยู่นอกจอ เออ ถ้าหากว่ามีคนหนึ่งอยู่นอกจอ เราก็อาจจะมองไม่เห็น ก็ธรรมดา เพราะตาเราไปจดจ่ออยู่ที่ภาพในจอ แต่การทดลองนี้ ชี้บอกว่า แม้แต่สิ่งที่มันปรากฏอยู่กลางจอ แต่ถ้าใจเราไปสนใจอย่างอื่น มันก็มองไม่เห็น
อันนี้มันชี้ให้เห็นเลย ว่าการรับรู้ของคนเราแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นรูปธรรม ทางตา หรือว่าสิ่งที่เป็นเสียงได้ยินทางหู มันอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ มีตาอย่างเดียวไม่พอ ตามอง ตาเปิด แต่ตาอาจจะไม่เห็น ไม่เกิดจักขุวิญญาณ อันนี้เรียกว่าภาษาพุทธ ธรรมะเรียกว่าไม่มีการรับรู้รูปที่ปรากฎอยู่ข้างหน้า เพราะใจนี่มันไปสนใจอย่างอื่น ไม่ใช่ใจลอย ใจหนึ่งก็สนใจภาพที่อยู่ข้างหน้า แต่ไปสนใจลูกบอล มันก็เลยไม่เห็นกอริลลาที่อยู่เป็น background ของลูกบอลนั้น อันนี้เขามีการทดลองหลายแบบ สารพัดเลย ไปดูได้ใน YouTube ซึ่งมันชี้ให้เห็นเลย ว่าคนเรานี่แม้แต่การรับรู้สิ่งที่มันเป็นเรื่องรูปธรรมหยาบๆ ใจสำคัญมาก ไม่ใช่ว่ามีตาอย่างเดียวแล้วจะมองเห็น ความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้น ก็ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ นี่ขนาดความจริงง่ายๆ ก็ยังมองไม่เห็น
การรับรู้ของคนเรา การที่คนเราจะเห็นความจริงหรือไม่ มันอยู่ที่ใจ ถ้าใจเชื่ออีกอย่าง หรือคิดไปอีกอย่างหนึ่ง มันก็ไม่เห็น อย่างเราคงจำได้เรียนวิทยาศาสตร์มา กาลิเลโอบอกว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ว่าคนสมัยนั้นถูกฝังหัวมานานว่า ดวงอาทิตย์ต่างหากหมุนรอบโลก กาลิเลโอเอาหลักฐานมาให้ดู อาศัยกล้องโทรทัศน์ ดูสิว่า จริงๆ แล้วนี่โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่กี่คนๆ ก็ไม่ยอมรับหรือมองไม่เห็น ก็ยังยืนยันว่า ดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก จนกระทั่งกาลิเลโอนี่เกือบจะตาย เพราะว่าศาสนจักรหาว่าสอนผิด ดวงอาทิตย์กับโลกนี่มันก็อยู่ไกล
เอาง่าย ๆ กว่านั้นก็ได้ สมัยก่อนนั้น สักสองพันปีมาแล้ว มันมีปรมาจารย์ด้านการแพทย์ เป็นชาวโรมัน ชื่อว่า กาเลน เขาบอกว่าปอดคนเรานี่มี 5 กลีบ และคนก็เชื่อมาเรื่อยว่ามี 5 กลีบ แต่การที่กาเลนพูดแบบนี้ ก็เพราะว่าเขาอาศัยการผ่าศพของสัตว์ สมัยนั้นมันผ่าศพมนุษย์ไม่ได้ ก็ผ่าศพของสัตว์ ไม่รู้สัตว์ชนิดใด เห็น 5 กลีบ ก็เลยสอนกันเรื่อยมา จนเมื่อสัก 300-400 ปีมานี่ มีหมอชาวอังกฤษ ชื่อ ฮาวี่ เขาลงทุนผ่าศพคน พบว่าปอดของคนนี่มี 4 กลีบ ก็พยายามบอกคนว่า ที่สอนกันมาเป็นพันๆ ปีนั้นผิด ปอดคนนี่ไม่ได้มี 5 กลีบ มี 4 กลีบ ขนาดที่หลักฐานมันเห็นอยู่ตำตาว่าปอดคนนี่มี 4 กลีบ คนยังไม่ยอมรับเลย เพราะอะไร เพราะในใจมันเชื่อว่ามี 5 กลีบ สิ่งที่เห็นด้วยตา แม้แต่จะแจ่มแจ้งแดงแจ๋ แต่คนก็ไม่ยอมรับ เพราะว่าความเชื่อมันไปอีกทางหนึ่ง ฮาวี่ก็พยายามอธิบาย สุดท้ายเลยบอกว่า ก็คงเพราะสมัยนั้น คนมีปอด 5 กลีบ แต่สมัยนี้คนมันเหลือปอดแค่ 4 กลีบ ก็เลยเอากล้อมแกล้มกันไปได้ เลิกเถียงกัน คือหมายความว่ากาเลนก็ถูก ที่บอกว่าปอดคนมี 5 กลีบ แต่โน่นคนสมัยก่อน แต่สมัยนี้คนมีปอด 4 กลีบ คนก็เลยยอมรับได้
อย่าว่าแต่คนโบราณโง่ คนสมัยนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะฉลาด ทุกวันนี้ยังมีคนเชื่อว่าโลกแบนอยู่เลย ไม่ใช่คนในป่าเขาที่ไหน คนในประเทศอังกฤษ อเมริกานี่ เขามีสมาคมโลกแบน มีสมาชิกหลายพันคน เพราะว่าเขาเชื่อตามคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ไบเบิลมีการตีความว่าโลกนี้แบน พวกนี้ก็เคร่งศาสนาอย่างไรก็ต้องเชื่อ เพราะถือว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าว่าก็ต้องอย่างนั้น โลกแบน ขนาดที่เอาภาพถ่ายของนักบินอวกาศที่โคจรอยู่ในรอบโลก ยานอวกาศลำแล้ว ลำเล่า แล้วก็ถ่ายรูปว่าโลกนี้มันกลม เอาไปให้พวกนี้ดู พวกนี้ยังไม่เชื่อเลย บอกว่าของแบบนี้ ภาพแบบนี้มันหลอกกันได้
มันชี้ให้เห็นว่าคนเรา ความเชื่อสำคัญมาก ความจริงเป็นอย่างไรถ้ามันขัดแย้งกับความเชื่อ ก็ไม่มีทางยอมรับหรือว่ายอมรับกันได้ยาก ทุกวันนี้ยังมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าอเมริกาไม่ได้ส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ ที่ว่ามีนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว ตั้งแต่อพอลโล 11 ไอ้พวกนี้โกหกทั้งเพ ฉะนั้นคนที่บอกว่า จริงๆ แล้ว มนุษย์เราเหยียบดวงจันทร์แล้ว เอาหลักฐานมายังไง พวกนี้ก็ไม่เชื่อ หลักฐานนี้มันก็เป็นภาพถ่ายสารพัด แต่ว่าใจนี่มันไม่ยอมรับ ก็เพราะว่ามันขัดแย้งกับความคิดและความเชื่อของตัว
เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้มันก็ยังมี คนที่ยังเชื่อว่า อย่างโอบามานี่เป็นมุสลิมบ้าง แล้วไปเกิดที่ประเทศเคนยาบ้าง ขนาดเอาใบสูติบัตรของฮาวายมายืนยันว่านี่โอบามาเกิดที่ฮาวาย คนเป็นล้านๆ ก็ยังไม่ยอมเชื่อเลย เพราะว่าใจนี่มันฝัง มันปักใจเชื่อแล้วว่าโอบามาเกิดที่แอฟริกา สูติบัตรเอายืนยันยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจคนเหล่านี้ได้ เพราะว่าใจมันเชื่อแบบเชื่อตรงกันข้ามไปแล้ว แม้แต่เหตุการณ์ 11 กันยาซึ่งพรุ่งนี้ก็จะครบ 15 ปี คนเป็นจำนวนมากก็ยังเชื่อเลยว่า เกิดจากฝีมือซีไอเอบ้าง เกิดจากฝีมือพวกยิวบ้าง ไม่ใช่เกิดจากชาวซาอุ ที่ยึดเครื่องบินแล้วก็ขับเครื่องบินไปชนตึกเวิลด์เทรด
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่จริงๆ มีใจประเสริฐสุด แล้วคราวนี้มันโยงกับเรื่องธรรมะอย่างไร มันโยงกับธรรมะก็เพราะว่า แม้พระพุทธเจ้าจะสอนว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คือสอนเรื่องพระไตรลักษณ์ แต่คนจำนวนมากก็ยังไม่สามารถจะซึมซับ หรือยอมรับเอาความจริงอันนี้ได้ เพราะว่าใจนี้มันมีความยึดมั่นถือมั่น มันมีความอยากจะให้สิ่งทั้งปวงเที่ยง อยากให้สิ่งทั้งปวงเป็นสุข มีความยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นตัวเป็นตน เป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่เล็ก หรือว่าเป็นสิ่งที่นึกทึกทักคิดเอาเอง มาตั้งแต่จำความได้
แล้วก็อีกอย่างหนึ่งอาจเพราะคนเรานี้มันกลัวความไม่แน่นอน กลัวความตาย ไม่ยอมรับว่าชีวิตนี้มันไม่จีรัง ก็เลยไม่ยอมรับเรื่องพระไตรลักษณ์ ทั้งๆ ที่กฎพระไตรลักษณ์นี้ก็แสดงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที ไม่ต้องดูอื่นไกล ก็ดูจากร่างกายเรานี้ก็เปลี่ยนแปลง ไม่สามารถจะอยู่ในอิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่งได้นานๆ นั่งไปสักพักก็ต้องขยับ ขนาดเอนหลัง ก็ยังเอนไม่ได้นาน ก็ต้องลุกขึ้นมายืน หรือนอน พอนอนสักพักก็เมื่อย ไม่ขยับก็ต้องลุกขึ้นมา อันนี้ก็แสดงทั้งทุกขัง แล้วก็อนิจจัง ไปพร้อมๆ กัน เพราะอะไร เพราะว่าเบื้องหลังของมันก็คือ อนัตตา ก็คือไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่สามารถจะบังคับให้เป็นไปตามใจได้ อยากจะให้มันไม่เมื่อย มันก็เมื่อย อยากจะให้มันสุข มันก็ยังมีทุกข์ ถึงแม้ไม่ปวด ไม่เมื่อย แต่ว่าก็อาจจะหิว หรือไม่ก็ต้องเข้าห้องน้ำ ถ่ายหนัก ถ่ายเบา เพราะร่างกายเป็นกองทุกข์ เราเรียกว่า เราเรียกห้องน้ำว่า ห้องสุขา ก็เพราะว่าเป็นที่ปลดทุกข์ ไอ้การที่มีทุกข์ให้ปลดนี้ เพราะว่าร่างกายนี้มันเป็นกองทุกข์ และมันไม่ใช่เป็นทุกข์เป็นครั้งเป็นคราว มันทุกข์ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่สังเกต และไม่ใช่ไม่สังเกตอย่างเดียว มันไม่ยอมรับด้วย เพราะยังอยากจะคิด อยากจะยึดว่าสังขารนี้เป็นสุข แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความไม่จีรังยั่งยืน รวมทั้งความตาย
รู้ทั้งรู้ว่าคนเราต้องตาย แต่ว่าใจมันยังไม่ยอมเชื่อทีเดียว เพราะว่ามันมีความยึดว่าอยากให้ร่างกายนี้ หรือกูคนนี้ อยู่ค้ำฟ้า เพราะฉะนั้น แม้จะมีสิ่งที่มาบอก มาเตือน ถึงความไม่เที่ยงของชีวิต สิ่งที่มาบอกมาเตือนนี้ เราเรียกว่า เทวทูต เทวทูตนี่ไม่ใช่เป็นเทวดามาเปิดเผยความจริงให้กับเรา เทวทูตของพระพุทธเจ้านี้หมายถึง คนเกิด เช่น ทารก คนแก่ คนเจ็บ คนที่ติดคุก ถูกลงโทษเพราะทำชั่ว และคนตาย พวกนี้คือเทวทูตบางทีเทวทูตก็มี 3 อย่างที่เจ้าชายสิตธัตถะไปพบเทวทูต ก็คือเจอคนธรรมดานั่นแหละ ที่กำลังเจ็บ หรือคนแก่ และคนที่ตาย แต่เนื่องจากเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนฉลาด แล้วก็อาจจะเป็นเพราะเป็นคนที่ไว พอเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็รู้สึกสะเทือน รู้สึกเกิดข้อสงสัย เพราะว่าสิ่งที่ถูกสอนมามันตรงข้าม เพราะไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย พอเห็นเข้าก็สะเทือน แล้วก็ทำให้เกิดความสงสัยในชีวิต แล้วคนส่วนใหญ่เจอ เจอแล้ว เจออีก จนชินชา ก็ไม่รู้สึกว่านั่นคือเทวทูต แต่ถ้าตายเมื่อไหร่นี่ อาจจะถูกซักถาม ในพระไตรปิฎกเคยเล่าแล้ว คนชั่วคนหนึ่ง ชายที่ชั่วคนหนึ่งเมื่อตายไปแล้วก็ไปเจอพญายม พญายมราชก็ถามว่าเคยเจอเทวทูต 5 ไหม บอกว่า ไม่เคย พญายมบอกว่าจะไม่เคยได้ยังไง เจ้านี่เคยเห็นเด็กเกิดไหม เคย นั่นแหละ เทวทูต เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนติดคุกเพราะทำชั่ว หรือคนตายไหม เคย นั่นแหละเทวทูต เจ้านี่ไม่ใช่เป็นคนที่ไร้เดียงสา เป็นคนที่รู้เดียงสา เห็นเทวทูตแล้วยังทำชั่วอีก สมควรจะไปนรก แล้วพระพุทธเจ้าก็พรรณนานรกที่ชายชั่วคนนั้นไปเป็นอย่างไร
ที่จริงนี่เทวทูตก็ปรากฏให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา ใบไม้ที่ร่วงเพราะแห้ง และตอนนี้ใบไม้ก็เริ่มแห้ง แล้วก็เริ่มร่วง ดอกบัวที่มันเหี่ยวเฉา เวลาที่เปลี่ยนจากเช้าเป็นกลางวัน แล้วก็โพล้เพล้ แล้วก็ค่ำ แล้วกลับมาเช้า พวกนี้แหละเขากำลังแสดงธรรมให้เราเห็นเรื่องอนิจจัง ต้นไม้ที่ตายก็แสดงให้เราเห็นถึงเรื่องทุกขัง ที่เกิดแล้วก็ต้องเสื่อม ต้องดับไป ความจริงก็แสดงให้เราเห็นอยู่ทนโท่ แต่ว่าเราไม่ยอมรับ ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า เราไม่ get เพราะว่าใจนี่มันมีความเชื่ออีกแบบหนึ่ง ยังมีความยึดอยากให้ร่างกายนี้มันเป็นอมตะ อยากให้ชีวิตนี้มันยั่งยืน ยังอยากจะเชื่อว่าชีวิตนี้ ร่างกายนี้เป็นสุข แล้วก็เป็นตัวเป็นตน นี่ขนาดอะไรที่มันเห็นง่ายๆ ชัดๆ ยังไม่ยอมรับเลย เช่น กลีบปอดคนนี้มี 4 ไม่ใช่ 5 หรือว่าโลกนี้ มันกลมไม่แบน ขนาดเห็นชัดๆ แบบนี้ยังไม่ยอมรับเลย นับประสาอะไรกับสิ่งที่มันเป็นดูเหมือนมันจะลึกกว่านั้น เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใจเราก็ปฏิเสธ
แต่ว่าฝึกได้ใจเรานี่ การฝึกให้ยอมรับเรื่องพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่น การไปงานศพ การดูศพที่แปรเปลี่ยนไป หรือแม้แต่มาดูอะไรที่มันดุเดือดน้อยกว่านั้น ก็ยังได้ เช่นกลับมาดูกาย ดูใจ การเจริญสติปัฏฐาน คือการฝึกให้ใจมาเห็นความจริง เริ่มจากการเห็นของจริงก่อน ของจริงคืออะไร ก็คือกายกับใจ เห็นของจริงก็เห็นความไม่เที่ยง ที่มันเขยื้อน ขยับ เห็นทุกข์ที่เกิดกับกายยามที่มีความปวด ความเมื่อยขึ้น แล้วก็เห็นว่าร่างกายนี่มันสั่ง มันบังคับบัญชาไม่ได้ มันปวดท้อง บอกให้มันหยุด มันปวดหัว บอกให้มันไม่ปวด มันเริ่มเหี่ยวย่น บอกว่าอย่าเหี่ยว อย่าย่น มันก็ไม่ยอม หรือว่าดูใจ ดูใจที่มันฟุ้งซ่าน ทั้งๆ ที่อยากจะให้มันนิ่ง ให้มันสงบ อุตส่าห์มาวัด เสียเวล่ำเวลา ก็เพื่อหวังความสงบ แต่ว่าใจมันกลับพยศ ปั่นป่วน มีแต่ความฟุ้งซ่าน อันนี้มันก็สอน มันก็แสดง แสดงให้เห็นถึงความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
ใจนี่เป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน อารมณ์ที่เกิดขึ้นในความฟุ้งซ่านเอง มันก็ไม่จีรัง ถ้าไม่มัวแต่มารำคาญ หงุดหงิด ที่ใจมันฟุ้งซ่านหรือมีความฟุ้งซ่านมากเหลือเกิน ถ้าลองดูมันเฉยๆ แค่ดูเฉยๆ หรือรู้เฉยๆ มันก็จะเห็นเลย อารมณ์พวกนี้ ไม่ว่าบวกหรือลบ ความคิดไม่ว่าบวกหรือลบ มันล้วนแต่ไม่เที่ยง มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย อารมณ์เหล่านี้ ความคิดเหล่านี้ มันก็แสดงความจริงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มัวแต่ไปสู้รบตบมือกับมัน หรือว่าไม่มัวแต่ปล่อยให้มันลากลู่ถูกังไป พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ตามแล้วก็ไม่ต้าน ไม่ผลักไสแล้วก็ไม่หวังยึดครอง ความคิดหรืออารมณ์ใดๆ แค่ดูเฉยๆ ก็จะเห็นไตรลักษณ์ที่มันแสดงออกมา แม้แต่ความโกรธ ความฟุ้งซ่าน ความหงุดหงิด ความเบื่อ มันก็ให้สอนธรรมะที่เป็นของดีกับเราได้ ถ้าใจเราเป็นกลาง แต่ถ้าใจเราไม่เป็นกลาง มันมีความยึด ความอยากให้สงบ มันไม่ชอบความหงุดหงิด ไม่ชอบความโกรธ ความฟุ้งซ่าน พอใจไม่เป็นกลาง มันก็ไม่สามารถจะเห็นความจริงได้ เพราะมันมีอคติ
อคตินี่เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ใจไม่เปิดรับความจริง เมื่อมีอคติมันก็เหมือนกับแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่เต็ม เป็นน้ำที่ขุ่นด้วย จะเติมน้ำใสลงไปยังไง มันก็ล้นออกหมด สัจธรรมความจริงมันแสดงให้เราเห็นตลอดเวลา ผ่านเทวทูตบ้าง หรือว่าผ่านสิ่งของต่างๆ ที่เรียกว่าสังขาร ไม่ว่าภายในหรือภายนอก แต่ว่าใจนี่มันไม่เปิดรับเพราะว่าไม่ชอบอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นลบ หรือไม่ก็เพราะถลำเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น เข้าไปในความโกรธ เข้าไปในความเกลียด เข้าไปในความฟุ้งซ่าน ก็เลยไม่เห็นความจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันยึดติดเอาไว้ อคติที่ฝังแน่นว่า กายและใจนี่เป็นของกู เป็นตัวกู เที่ยงเป็นสุขนี่ มันก็เลยยังฝังแน่นอยู่ในใจ และสิ่งเหล่านี้มันก็เลยทำให้ใจเรานี้ไม่สามารถจะยอมรับความจริง ที่กายและใจ หรือสิ่งต่างๆ ที่รอบตัวมันแสดงออกมาได้ รวมทั้งมองไม่เห็นเลยว่า ความจริงที่เทวทูตได้แสดงตัว หรือได้บอกเรา
แต่เราก็อย่าท้อถอย ก็ทำไปเรื่อย ๆ ฝึกสติ เจริญสติไป พยายามทำใจให้เป็นกลาง อะไรเกิดขึ้นกับกาย อะไรเกิดขึ้นกับใจก็ดูมัน อย่าเข้าไปเป็นมัน ไม่ต้องตามมันไป แล้วก็ไม่ต้องต้านมัน ทีละน้อยๆ ความจริงก็จะซึมซับเข้าไปในจิตใจของเรา แล้วก็ทำให้ความเชื่อเดิมๆ ที่เราเรียกว่าความหลงหรืออวิชชาค่อยๆ สลายหายไป แล้วสุดท้ายใจก็ยอมรับความจริงได้ เรียกว่ามันจำนนต่อความจริง จากเดิมที่เห็นของจริง เห็นไปเรื่อยๆ เห็นไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็ยอมรับความจริง ที่กายและใจได้บอก ที่สรรพสิ่งได้แสดง อันนี้แหละที่ทำให้เกิดปัญญา จนสามารถเป็นอิสระกับความยึดติดถือมั่น แล้วก็พ้นจากความทุกข์ได ฉะนั้น ก็ให้เราหมั่นฝึก หมั่นดู ดูของจริงไปเรื่อยๆ โดยอาศัยสตินี้แหละเป็นเครื่องมือ และเมื่อเห็นของจริงไปเรื่อย ๆ ความจริงสักวันก็จะปรากฏแก่ใจ แล้วก็ยอมรับมันได้