แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานก็ได้พูดไปแล้วว่า ร่างกายคนเรา ทั้งวันหรือว่าทั้งปีทั้งชาติก็มีอยู่แค่ 2 สภาวะ หรือว่า 2 modes ก็คือว่า ตื่น กับ หลับ ส่วนใจก็มี 2 สภาวะเช่นเดียวกันก็คือ รู้ กับ หลง
พูดถึงการตื่น การหลับ มันไม่ใช่ว่าร่างกายคนเราจะตื่นหรือจะหลับโดยอัตโนมัติ นักวิทยาศาสตร์เขาค้นพบว่ามันมีสาร 2 ตัวที่มาทำหน้าที่นี้ ก็คือทำให้สมองตื่น แล้วก็ทำให้สมองหลับ สารที่ทำให้สมองตื่นนี้เขาตั้งชื่อว่า orexin สารที่ทำให้สมองหลับ เขาเรียกว่า adenosine สองตัวนี้ไม่ใช่ว่ามันจะผลัดกันออกมา ร่างกายเราผลิตออกมาพร้อมๆกัน เพียงแต่ว่าบางช่วง orexin หรือสารที่ทำให้สมองตื่น มันก็จะเรียกว่าเด่นกว่าบางช่วง ซึ่งก็หมายถึงตอนกลางคืน สารที่เรียกว่า adenosine ที่ทำให้สมองหลับก็จะเด่น แล้วก็พบว่าสารสองตัวนี้ ในร่างกายคนเรามันก็จะเรียกว่า ขับเคี่ยวกันก็ได้ ขับเคี่ยวกันว่าใครจะมามีอิทธิพลต่อสมองหรือร่างกายของเรามากกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าตอนเช้า ตัวที่เด่นกว่าก็คือ orexin หรือว่า สารตื่น แต่พอเริ่มมาถึงหนึ่งทุ่มสองทุ่ม ตัวสารหลับ adenosine เขาก็ค่อยๆมีชัยชนะเหนือ orexin จนกระทั่งไปถึงเจ็ดโมงเช้า พอเจ็ดโมงเช้ามันก็ค่อยๆ ลดลง และตัวที่เด่นกว่ามาแทนที่ก็คือ orexin หรือสารตื่น ทั้งวัน หรือทั้งปีทั้งชาติ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ มันก็สู้กันไปสู้กันมาระหว่างสองตัวนี้แหละ แต่ว่ามันก็มีช่วงเวลาของมัน
ใจเราก็เหมือนกัน ตัวรู้กับตัวหลงมันก็ขับเคี่ยวกัน เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยเป็นเวล่ำเวลาเท่าไหร่ เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ส่วนใหญ่แล้วตัวหลงจะมีชัยชนะ มันจะเด่นกว่า มันจะมีอิทธิพลมากกว่าในจิตใจของเรา แต่ว่าเราสามารถที่จะเพิ่มกำลังให้กับตัวรู้ได้ด้วยการปฏิบัติ ถ้าเราหมั่นเจริญสติ หมั่นทำความรู้สึกตัว ตัวรู้มันก็จะค่อยๆ มีกำลังมากขึ้น แล้วก็ค่อยๆ มีกำลังในการต้านทานตัวหลง จากเดิมที่ตัวหลงมันครอบงำจิตของคนเราเกือบทั้งวัน แม้กระทั่งในยามตื่น ตัวรู้นี้มันก็จะค่อยๆ มีกำลัง สามารถที่จะผลักตัวหลงให้มันค่อยๆ ถอยห่างไปจากจิตใจของเรา คล้ายๆ กับว่าในใจของเรามันจะมืดมากกว่าสว่าง แต่ว่าถ้าเราหมั่นปฏิบัติ ความสว่างมันก็ค่อยเพิ่มพูดขึ้น จากเดิมก็เหมือนกับสว่างด้วยแสงเทียน แสงเทียนมันก็ริบหรี่ ก็สว่างเฉพาะบางจุดบางพื้นที่ การปฏิบัติของเราก็เปรียบเหมือนการเพิ่มความสว่างในห้องให้มันสว่าง แล้วก็ค่อยๆ ขับไล่ความมืดออกไป
เพียงแต่ว่าความมืด มันไม่ใช่ว่ามันจะอยู่เฉย ความมืดนี้จริงๆ แล้วซึ่งหมายถึงความหลง มันก็ไม่อยู่เฉย มันก็สู้ มันก็พยายามที่จะเอาชนะตัวรู้เหมือนกัน แล้วก็มันฉลาดด้วย มันฉลาดในการฉวยโอกาสเข้ามาครอบงำจิต เข้ามาบดบังตัวรู้ หรือว่าผลักไสตัวรู้ให้มันหดหายไป อันนี้ต่างจากแสงสว่างกับความมืด เพราะความมืดในห้องเหมือนกับเพียงแค่ตั้งรับ อยู่ที่ว่าสว่างมากหรือสว่างน้อย สว่างน้อยมันก็ครอบงำในห้องเยอะ แต่ถ้าสว่างมากมันก็ถอยร่น แต่ว่าตัวหลงมันทำมากกว่านั้น อย่างที่บอก มันฉลาดในการฉวยโอกาส มันฉวยโอกาสทุกอย่าง ทุกเวลา เพื่อที่มันจะครองจิตครองใจของเรา แม้แต่เวลาเรามาปฏิบัติเพื่อเพิ่มตัวรู้ให้มากขึ้น อุตส่าห์มาวัดเพื่อมาเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัว แต่สังเกตไหมแม้ขณะที่เรากำลังสร้างความรู้สึกตัว ความหลงมันยังฉวยโอกาสเข้ามาครอบงำจิตใจ ยกมือไป มันเป็นแค่กายยก แต่ว่าใจมันหลงแล้ว คือลอยคิดไปถึงอดีต ไหลไปอนาคต หรือไม่ก็จมอยู่ในอารมณ์ ยกมือแท้ๆ เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว แต่ใจมันหลงไปซะแล้ว เรามาทำวัตรเพื่อทำให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน เพื่อทำให้เกิดมีสติความรู้สึกตัว แต่สังเกตไหม ขณะที่ทำวัตร ปากก็ว่าไป แต่ใจลอยไม่รู้อยู่ไหน หลง เดินจงกรมก็เหมือนกัน เดินเพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว แต่เดินไปเดินไป หลงซะแล้ว กลายเป็นว่าการเดินจงกรมของเราเป็นการเปิดช่องให้ความหลงเข้ามาครอบงำจิต ไม่ต้องพูดถึงเวลาอื่น อาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ล้างจาน ปัดกวาดทำความสะอาด ความหลงนี้มันคอยเข้ามาจู่โจมเราทุกเมื่อ มันฉลาดมาก มันรู้จัก มันฉลาดในการฉวยโอกาส เวลาฟังธรรมเราฟังธรรมเพื่อให้ได้เกิดปัญญา แต่บ่อยครั้ง ความหลงก็ครองใจ หูนี้ฟัง แต่ว่าใจไปคิดถึงบ้าน คิดถึงงาน คิดถึงลูก หรือคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกต่อว่าด่าทอ จิตใจก็เลยขุ่นมัว ขัดเคือง หรือว่ากังวล อันนี้เรียกว่าหลงแล้ว มาวัดเพื่อจะได้เพิ่มตัวรู้แท้ๆ แต่ว่าโดนความหลงนี้มันเล่นงานเต็มเปาเลย
ความหลงนี้มันคอยจับจ้อง ที่จะฉวยโอกาสครอบงำจิตเราตลอดเวลา แล้วช่วงเวลาที่มันจะเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้นี้ ก็มีหลายโอกาสเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาเราไปจ้องมอง ไปเพ่งโทษคนอื่น หรืออยากจะอวดว่าฉันเป็นคนเก่ง ตรงนี้แหละเป็นโอกาสดีที่ความหลงมันจะเข้ามาเล่นงาน พวกเราอาจจะเคยได้ฟัง เรื่องราวของพระญี่ปุ่น 4 รูป นัดกันว่าจะภาวนาร่วมกัน ไม่พูดไม่คุยกันเป็นเวลา 3 วัน เรียกว่าภาวนาแบบอุกฤษฏ์ พระญี่ปุ่นเวลานั่งสมาธิเขาก็จะนั่งใกล้ๆ กันเรียงเป็นแถว ช่วงกลางวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็สามารถจะนั่งได้โดยไม่ปริปากพูดคุยกันเลย พอตกค่ำ พอดึกๆ ได้ยินเสียง มีเสียงดังที่วิหาร วิหารของวัดนี้ก็มีของโบร่ำโบราณเยอะ ของมีค่าทั้งนั้น พอเสียงดัง เสียงประตู เสียงกุกกักๆ มันดังไปถึงศาลาที่ทั้ง 4 นั่งภาวนา
รูปหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ ท่าน ล็อกประตูดีหรือยัง แน่นหนาหรือเปล่า”
อีกรูปก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ท่านพูดทำไม ท่านไม่รู้หรือว่าเขาห้ามพูด”
รูปที่สามก็เลยพูดว่า “แล้วท่านพูดทำไมล่ะ”
เงียบสักพัก ก็มีเสียงจากรูปที่ 4 ว่า “พวกท่านนี่แย่หมดเลย พูดกันทุกคนเลย ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่พูด”
นี้คือหลงไหม คนแรกที่พูดก็หลง เพราะว่าจิตส่งออกนอก เอ๊ะ ประตูล็อกไม่แน่นหนาหรือเปล่า ความห่วงก็ทำให้หลุดปากพูดออกมา ถามรูปที่สองว่า ล็อกกุญแจแน่นไหม รูปที่สองนี้ก็สวนขึ้นมาทันที รูปที่สามก็ต่อว่าอีก 2 รูป แต่รูปที่ 4 นี้หนักกว่านั้น ต้องการอวดว่าฉันไม่พูดเลย ความต้องการอวดมันก็ทำให้เผลอไป เผลอคือลืมตัว ต้องการอวดว่าฉันไม่พูดเลยก็เลยพูดขึ้นมา นี้เรียกว่าความหลงมันฉวยโอกาส มันฉวยโอกาสตอนที่เราอยากจะคุยโม้ รวมทั้งฉวยโอกาสตอนที่เราไปเพ่งโทษคนอื่น เพราะว่าพอเพ่งโทษแล้วมันก็อยากจะพูดอยากจะต่อว่า แล้วบางทีสิ่งที่เราทำ มันแย่กว่าคนที่เราต่อว่าเสียอีก
มีผู้ชายคนหนึ่งไปดูหนัง เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยเข้าโรงหนังกันแล้ว แต่สมัยก่อนคนเขานิยมไปโรงหนัง ขณะที่กำลังดูหนัง ได้อารมณ์ที่ซาบซึ้งประทับใจ ปรากฏว่าหญิงชายสองคนข้างหลัง แถวหลัง นั่งพูดคุยกัน ท่าทางจะจีบกัน กระเง้ากระงอด ผู้ชายคนนี้นั่งอยู่ข้างหน้าก็รำคาญ เพราะว่าเสียงมันมารบกวนสมาธิของเขา ก็พยายามส่งสัญญาณด้วยการหันกลับไปมอง ไปสบตา แต่สองคนนั้นก็ไม่สนใจ ก็ยังพูดคุยกัน เขาก็มองหันกลับไปหลายครั้ง ก็ไม่ได้ผล เขาก็เริ่มหงุดหงิดแล้วก็รำคาญ แล้วก็ขุ่นมัวมากขึ้น สุดท้ายเขาก็หันไปต่อว่า ลุกขึ้นมาเลย แล้วก็พูดกับสองคนนั้นว่า“คุยอะไรกัน จะมาดูหนังหรือจะมาจีบกัน พูดเสียงดังเหลือเกิน ไม่เกรงใจกันเลย” ปรากฏว่าใครพูดดังกว่ากัน ใครรบกวนผู้คนมากกว่ากัน สองคนนั้นเขาแค่กระซิบเบาๆ แต่คนที่ลุกขึ้นมาต่อว่านี่พูดเสียงดัง ดังได้ยินกันทั้งโรงหนังเลย ไปว่าเขาว่าพูดเสียงดัง แต่ตัวเองกลับใช้เสียงดังยิ่งกว่าคนอื่นเขาอีก นี้เรียกว่าหลงเหมือนกัน หลงเพราะอะไร เพราะอยากจะไปต่อว่าเขา แต่แล้วสิ่งที่ตัวเองทำกลับหนักกว่าคนที่ตัวเองต่อว่าซะอีก มันมีคำสำนวนสมัยก่อน ก็มาจากหนังสือเรื่องอิเหนา ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง คนเราพอคิดแต่จะว่าเขา เราก็เป็นซะเอง เราเป็นเอง แล้วก็เป็นหนักกว่าด้วย
เรามักจะพบเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ คนเดี๋ยว เราเผลอตัวง่ายเราลืมตัวง่าย โดยเฉพาะเมื่อเราตั้งใจจะไปต่อว่าด่าทอคนอื่น หรือว่าอยากจะสั่งสอน โดยเฉพาะเวลาใครทำไม่ดี บางทีมันมีความคิด ไม่พอใจ มันมีความรู้สึกไม่พอใจ แล้วก็อยากจะไปสั่งสอน แต่ว่าผลสุดท้ายกลับทำสิ่งที่ย่ำแย่กว่าเขาเสียอีก พวกเราในที่นี้ก็คงเคยได้ยินหรือเคยดูคลิปวิดีโอที่มีพิธีกรคนหนึ่ง รถของเขาถูกชนท้าย รถราคาแพงซะด้วย รู้สึกจะยี่ห้อมินิคูเปอร์ ถูกชนท้าย แล้วมอเตอร์ไซด์ที่ชนท้ายทีแรกก็หนี แต่ซักพักก็ขับรถย้อนกลับมา เจ้าของรถมินิคูเปอร์ก็เลยไปลากคอคนขี่มอเตอร์ไซด์ ลากคอมาที่รถของตัว ไม่ใช่แค่ด่า แต่ว่าต่อยด้วย ระหว่างที่ต่อย หรือระหว่างที่ตบหน้า ก็พูดว่า “หนีทำไมๆ” พูดไปก็ต่อย แล้วก็ตบ ต่อหน้าผู้คนเป็นร้อย คนก็มามุงกันแน่น แล้วก็มีบางคนก็ถ่าย ถ่ายเป็นคลิปวิดีโอ คลิปวิดีโอนี้ต่อมาก็เผยแพร่ไปทั่วประเทศ คนก็รุมด่าเจ้าของรถคันนั้น ภายหลังก็ถูกเลิกสัญญา ถูกประณามหยามเหยียดไปทั่ว จนกระทั่งต้องหนีไปบวช
เรื่องนี้ถ้าเราดูดีๆ มันเห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนั้น เจ้าของรถ เขาลืมตัว ทำไมเขาลืมตัว เพราะเขาเห็นการกระทำที่ไม่ดีของเจ้าของมอเตอร์ไซด์ ตามเรื่องเขาว่าชื่อ บอย ชนแล้วหนีมันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจในสายตาของเขา เพราะฉะนั้นต้องสั่งสอน อย่าทำแบบนี้ ทีหลังอย่าทำแบบนี้ ดูเหมือนดี เจตนาดีต้องการสั่งสอน กำราบหรือปรามคนที่ไม่มีมารยาทหรือคนที่ทำผิด แต่ว่าสิ่งที่เจ้าของรถ ซึ่งชื่อว่า นอต สิ่งที่นอตทำ มันกลับเลวร้ายกว่าสิ่งที่บอยทำเสียอีก บอยก็แค่ขับรถชนท้าย มันก็ทำให้รถเสียหายบ้างนิดหน่อย มันก็ไม่ถึงกับเสียหาย แต่ว่าสีถลอก แล้วก็ไฟแตก แต่ว่าสิ่งที่นอตทำกับบอยมันแย่กว่าซะอีกเสีย เพราะว่าถึงกับทำร้ายร่างกาย อันนี้ก็เริ่มต้นจากการที่ต้องการสั่งสอน สั่งสอนคนที่ทำไม่ดี แต่กลับลงเอยว่าตัวเองกลับทำแย่กว่าเขาเสียอีก เพราะอะไร เพราะลืมตัว เพราะหลง
ความต้องการสั่งสอน ไม่ใช่เฉพาะกรณีอย่างนี้เท่านั้น บางทีพ่อแม่ต้องการสั่งสอนลูก ครูต้องการสั่งสอนศิษย์ แต่ถ้าไม่ระวังตัว ความหลงมันจะเข้ามาครอบงำทันทีเลย แล้วพอครอบงำเสร็จก็ทำในสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง เกิดความเดือดร้อนตามมา เป็นข่าวทั่วไป อาจจะเริ่มต้นด้วยความปรารถนาดี หรือมีความดี หรือมีความปรารถนาดีเจืออยู่ อยากสั่งสอนการกระทำที่ไม่ดี แต่แม้กระทั่งเวลาตั้งใจจะทำดี แต่ถ้าไม่รู้ตัว ไม่ระวังตัว มันก็โดนความหลงเข้ามาครอบงำได้ ทั้งหมดนี้มันก็เพราะว่าไม่รู้จักหันมามองตน
คนเราถ้าหันมามองตน หมั่นสังเกตตน หมั่นดูใจตน มันยากที่ความหลงจะเข้ามาครอบงำใจ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ชอบส่งจิตออกนอก โดยเฉพาะเวลามีคนทำไม่ดี เวลามีคนทำไม่ถูก จิตมันจะพุ่งไปเลย มันมีความปรารถนาดี อาจจะปรารถนาดีต่อส่วนรวม หรือปรารถนาดีต่อคนคนนั้น เห็นเขาทำไม่ดีก็อยากจะให้เขาทำดี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ว่าทันทีที่จิตเราพุ่งออกไปที่คนคนนั้น แล้วลืมตัวหรือไม่สังเกตใจของตัวเอง ความโกรธความเกลียดมันจะครอบงำ มันจะเข้ามาเล่นงานจิตใจได้ แล้วตรงนั้นแหละที่จะทำให้ลืมตัว แล้วก็เรียกว่าหลง แล้วก็ทำให้สิ่งที่เกิดความเสียหายตามมา
ฉะนั้นถ้าเกิดเราไม่ต้องการจะให้ความหลงมันเข้ามาเล่นงานจิตใจจนเราเสียผู้เสียคน ต้องหมั่นกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลามีความไม่ถูกต้อง เวลามีความผิดพลาดเกิดขึ้นข้างหน้าเรา หรือว่ามีคนอื่นทำความผิดพลาดให้เราเห็น ก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก่อนที่จะพูดอะไรลงไป กลับมาดูใจซะก่อน คนเราถ้าหากว่ามองเห็นคนอื่นเป็นปัญหา ต้องระวังว่าเราอาจจะกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
คนที่สร้างปัญหากับผู้อื่น บ่อยครั้งเริ่มต้นจากการที่ไปมองว่าคนอื่นเป็นปัญหา ทำไม่ดีอย่างโน้นทำไม่ดีอย่างนี้ ทำไมพูดในเมื่อตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดกันระหว่างที่ทำสมาธิภาวนา ทำไมถึงคุยกันในโรงหนัง ไม่เกรงใจกันบ้าง ทำไมถึงขับรถชนแล้วหนี ตรงนี้แหละ พอความคิดตรงนี้เกิดขึ้น ความหลงมันเตรียมเข้ามาครอบงำจิต แล้วทำให้เรากลายเป็นปัญหาเสียเอง แต่บางครั้งเราก็เป็นปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับไปมองว่าเขาเป็นปัญหาเสียเอง
มีผู้ชายคนหนึ่งโทรศัพท์ไปหาหมอ เป็นหมอประจำบ้าน “หมอ ภรรยาผม สงสัยว่าจะหูตึง ผมพูดเรียกอะไรไปไม่รู้เรื่องเลย หมอมาหาที่บ้านหน่อย มาตรวจภรรยาผมหน่อย” หมอก็บอกว่ายังไม่ว่าง จันทร์หน้าพาภรรยาไปหาหมอที่คลินิกก็แล้วกัน ผู้ชายก็บอกว่า “มันช้าไป หมอมาที่บ้านวันนี้ไม่ได้หรือ” “ไม่ได้หรอก”หมอก็เลยบอก เช่นนั้นก็ปรึกษากันทางโทรศัพท์ก็แล้วกัน
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
“อยู่ในห้อง”
“อ้าวแล้วภรรยาอยู่ไหน”
“อยู่นอกห้อง”
“คุณเรียกชื่อภรรยาสิ”
เขาก็เรียกชื่อภรรยา สมศรีๆ
“หมอ เขาไม่ได้ยินเลย เงียบ” หมอก็เลยแนะนำว่า ให้พูดเสียงดังกว่านี้
“สมศรีๆ”
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หมอเลยแนะนำว่าคุณเดินออกไปนอกห้อง ไปหน้าประตูแล้วตะโกนเรียกสิ เขาก็ทำตาม “สมศรีๆ” ก็เงียบอีก
“ตอนนี้ภรรยาเห็นหรือยัง”
“เห็นแล้วนะ เขาอยู่ในห้องครัว กำลังยืนหันหลังอยู่ สงสัยจะกำลังหั่นผักอยู่”
“อ้าวเรียกดังๆ สิ”
ก็เรียกอีก “สมศรีๆ” ก็ยังเงียบ หมอเลยแนะนำว่าให้เดินไปที่หน้าครัว แล้วก็เรียก เขาก็เรียกอีก “สมศรีๆ” ภรรยาก็ยังนิ่ง ไม่ได้ยินเสียงเลย หมอเลยแนะนำว่าให้ไปที่ข้างหลังภรรยาแล้วก็จับตัว แตะแขน แล้วก็เรียก “สมศรีๆ” เขาก็ทำตาม ไปแตะ เดินไปที่ข้างหลังภรรยา ก็แตะตัวเบาๆ แล้วก็เรียก คราวนี้ได้ผลเลย ภรรยานี้หันหลังกลับมาเลย ท่าทางฉุนเฉียวแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“อะไรหรือ เธอเป็นอะไร ตะโกนเรียกชื่อฉันมาสิบครั้งแล้ว ทุกครั้งฉันก็บอกว่า มีอะไรหรือๆ เธอก็ยังเรียกฉันว่าสมศรีอยู่นั่นแหละ หูตึงหรือ เธอจะต้องไปหาหมอแล้ว”
ตกลงใครหูตึงกันแน่ สามีหรือภรรยา สามีหูตึง ภรรยาก็ขานรับแล้วแต่ไม่ได้ยิน ก็ไปคิดว่าภรรยาหูตึง นี้เพราะอะไร เพราะชอบไปมองคนอื่น ลืมมองตัวเอง คนหลายคนเป็นอย่างนี้ ไปมองว่าคนอื่นเป็นปัญหา แต่ที่จริงตัวเองเป็นปัญหา หรือมิฉะนั้นการกระทำของตัวเองนั่นแหละ เพราะความหลงนี้แหละ ก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาขึ้นมา
ให้เราตระหนักว่า เมื่อใดก็ตามที่เราส่งจิตออกนอก หรือไปเพ่งผู้อื่น ต้องระวัง แล้วทั้งหมดที่พูดขึ้นมา มันก็เป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ หรือมันเป็นปัญหาที่เราสร้างกับผู้อื่น แต่ถึงแม้ไม่มีคนอื่นมาเกี่ยวข้องเลย ถ้าเราปล่อยให้ความหลงเข้ามาครองใจเมื่อไหร่ เราเองนั่นแหละจะทุกข์ แค่อยู่เฉยๆ แล้วไปนึกถึง แทนที่จะทำความรู้สึกตัวกับการอาบน้ำ ถูฟัน ยกมือสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม ใจเราไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายในอดีต ทั้งที่คนอื่นทำกับเรา หรือที่เราทำกับคนที่เรารัก ความล้มเหลว ความสูญเสีย แค่นี้ก็ทุกข์แล้ว เวลามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเรา เกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเรา กับร่างกายของเรา หรือว่ากับหน้าตา ศักดิ์ศรีของเรา ตรงนั้นแหละเป็นโอกาสดีที่ความหลงมันจะเข้ามาจู่โจม เล่นงานเรา เหตุการณ์มันผ่านไปเป็นปีแล้ว บางทีสิบปีแล้ว แต่เพราะความหลงนี้แหละจะทำให้เราหวนกลับไปคิดถึงสิ่งนั้น เสร็จแล้วเราก็ทุกข์ ทุกข์กับเรื่องที่มันผ่านไปนานแสนนาน ทุกข์กับเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คือบางทีมันยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่มโนไปแล้ว
เราก็เป็นอย่างนี้บ่อย เวลารถติด ใจเราไปแล้ว นั่นก็เป็นโอกาสหนึ่ง เป็นเวลาอีกช่วงหนึ่งที่ความหลงมันฉวยโอกาสมาเล่นงานจิตใจเรา พอรถติดก็กังวลแล้ว เดี๋ยวจะไปส่งลูกช้า เดี๋ยวจะไปประชุมไม่ทัน เดี๋ยวจะผิดนัด เดี๋ยวความเสียหายจะตามมา ไปแล้ว คิดแล้ว ถ้าผิดนัดจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ถ้าไปประชุมไม่ทันจะมีความเสียหายตามมาอะไรมากมาย คิดไปแล้ว หรือว่าถ้าตกเครื่องบินจะเกิดอะไรขึ้น โอ้โห เดือดร้อนสารพัดเลย ไปแล้ว ยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่ว่าใจมันคิดไปแล้ว พอคิดแล้วเป็นอย่างไร เครียด หงุดหงิด กระวนกระวาย กระสับกระส่าย แต่นี่ยังเบา ยิ่งถ้ามันมีเหตุการณ์ที่หนักๆ กว่านั้น หรือว่ามีเรื่องที่แม้จะยังไม่เกิดขึ้นแต่ว่าเดิมพันมันสูง ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ เสียหายมากเลยในความรู้สึกของพ่อแม่ เครียดเลย เครียดเหมือนกับว่าลูกสอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะถึงวันสอบเลย ไปเสียแล้ว คนเรานี่ก็เลยทำร้ายตัวเองซ้ำเติมตัวเอง ปล่อยให้ความหลงเข้ามาครองใจ
คนป่วย ป่วยนิดป่วยหน่อยก็ทรุดเลย ร่างกายก็ทรุดเลย บางทีก็ปล่อยให้ความโกรธครอบงำจนเส้นเลือดในสมองแตก หรือว่าหลง ขณะที่กำลังขับรถ เกิดอุบัติเหตุ จนพิกลพิการ
ความหลงมันน่ากลัว ฉะนั้นอย่าพยายามเปิดช่องให้ความหลงมันเข้ามาเล่นงานจิตใจเรา ไม่ว่าเจออะไร หรือไม่ว่าทำอะไร อย่าลืมกลับมาดูใจตัวเอง ไม่ว่าจะทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยเช่นอาบน้ำ ถูฟัน หรือว่าทำสิ่งที่มันมีความเสี่ยงความอันตราย เช่น ขับรถ หรือว่าทำงานทำการซึ่งมันมีเดิมพันสูง มันมีอุปสรรคอย่างไรก็อย่าลืมกลับมาดูใจของเรา เวลาเจออะไรที่มันกระทบกระทั่ง มากระทบกับหน้าตา ศักดิ์ศรี คนรัก ของรัก หรือว่าเจอสิ่งที่ขัดใจ ไม่ถูกใจ อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษเขา อย่าเพิ่งไปจ้องเล่นงานเขา ให้กลับมาดูใจซะก่อน เพราะไม่เช่นนั้น เราก็อาจจะทำในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนหรือสร้างความหายนะให้กับตัวเองได้