แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บทกรวดน้ำตอนเย็น ที่เราสาธยายกันทุกเย็น ข้อความตอนท้ายก็มีอยู่ว่า ขอหมู่มารอย่าได้ช่อง ด้วยเดชบุญทั้งสิบป้อง อย่าเปิดโอกาสแก่มารเถิด อันนี้มันเป็นความตั้งใจ แต่ว่าตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือทำด้วย แล้วจะไปขอร้องว่ามารอย่ามารบกวนหรือครอบงำ หรือว่ามาทะลุทะลวงจิตใจเรา อันนี้มันไม่ใช่วิสัยที่จะขอ เพราะว่ามารยังไงก็ไม่ยอมอยู่แล้ว มีแต่ว่าเราจะรู้จักปกป้องหรือว่าปิดช่องไม่ให้มารเข้ามา จะทำอย่างไรถึงจะปิดช่องไม่ให้มารเข้ามารบกวนรังควานจิตใจเราได้
ก็มีเรื่องเป็นนิทานที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนพระสาวก เป็นเรื่องของนกชนิดหนึ่งชื่อว่า นกมูลไถ นกมูลไถเป็นนกที่หากินตามรอยไถในนา นกมูลไถตัวหนึ่งมันไปหากินอยู่นอกถิ่นของมัน เป็นถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ก็เลยโดนเหยี่ยวจับ เหยี่ยวมันตัวใหญ่และกรงเล็บมันก็แข็งแรงมาก มันก็บินพานกมูลไถลอยขึ้นฟ้าไปเลย นกมูลไถมันก็รู้ว่ามันใกล้จะตายแล้ว ก็เลยพูดขึ้นมาว่าสมควรแล้วเราถูกเหยี่ยวจับ เพราะเราไปหากินนอกถิ่นของพ่อ เหยี่ยวมันได้ยินมันก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ถิ่นพ่ออยู่ไหน เพราะว่าเหยี่ยวมันเชื่อว่าแม้นกมูลไถจะไปหากินในถิ่นของพ่อก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นกรงเล็บของเหยี่ยวได้ เพราะเหยี่ยวมีความมั่นใจในฝีมือของตนเองมาก นกมูลไถตอบว่าถิ่นของพ่อก็อยู่ข้างล่าง ตรงที่มันเป็นนาที่มีรอยไถ เหยี่ยวพอรู้ก็เลยเอานกมูลไถไปปล่อยตรงนั้นแหละ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า แม้นกมูลไถหากินในถิ่นพ่อยังไงก็ไม่มีทางรอดจากกรงเล็บของเหยี่ยวแน่ คราวนี้พอปล่อย นกมูลไถลงไปตรงที่เป็นรอยไถ นกมูลไถก็พูดขึ้นมาทำนองท้าทายว่า มาเลย มาเลย มาจับฉันเลย ตอนนี้ฉันอยู่ในถิ่นพ่อแล้ว เหยี่ยวพอเจอนกมูลไถท้าก็เรียกว่าโกรธ รู้สึกว่าถูกท้าทาย ก็เลยโผมาด้วยความเร็วสูง เพื่อต้องพิสูจน์ว่าจะที่ไหนก็ตามแกไม่มีทางหนี แกเสร็จฉันแน่ ไม่รอดแน่ เหยี่ยวเวลาที่มันพุ่งโฉบตรงลงมา นกมูลไถเห็น พอได้จังหวะนกมูลไถก็หลบเข้าไปในรอบไถ เหยี่ยวก็ตั้งใจจะโฉบ พอเจออย่างนี้เข้า เบรกไม่ทัน ตัวมันก็เลยกระแทกพื้นตายเลย ตายเพราะว่าแพ้ทางของนกมูลไถ
อันนี้พระพุทธเจ้าเล่าเป็นนิทาน และตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายถ้าหากพวกเธอไปหากินนอกถิ่น ก็จะไม่พ้นอำนาจของมาร มารในที่นี้หมายถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าพอใจ และพระองค์ก็อธิบายว่า พระภิกษุควรจะหากินในถิ่นของพ่อ เช่นเดียวกับนกมูลไถ นกมูลไถถิ่นหากินของมันที่เป็นของพ่อคือรอยไถ ตามนา ตามทุ่งนา ส่วนพระ ถิ่นหากินของพ่อคืออะไร ก็คือสติปัฏฐาน 4 สติปัฏฐาน 4 คือการหมั่นพิจารณาตามรู้ ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม อันนี้แหละเป็นคำตอบว่าถ้าเราจะป้องกันไม่ให้มารเข้ามาครอบงำจิตใจเรา นอกจากใช้บุญทั้งสิบประการอย่างที่เราได้สวดสาธยายเมื่อสักครูแล้ว สิ่งสำคัญอันหนึ่งก็คือสติปัฏฐาน 4 ก็คือการเจริญสตินั้นแหละ เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เรามีสติแล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าพอใจก็ไม่สามารถจะครอบงำจิตได้ ถ้าครอบงำจิตได้เมื่อไหร่ก็หมายความว่าเราตกเป็นทาสของมัน ตกเป็นทาสของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คนทุกวันนี้ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นแหละ
คำว่ามารไม่ได้หมายถึงอสูร ไม่ได้หมายถึงสิ่งชั่วร้าย หรือสิ่งที่มีฤทธิ์มีอำนาจมาก หรือที่มีฤทธิ์มากอย่างที่เราเรียกว่าเทวบุตรมาร ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจ ที่เราเรียกว่ากามนั่นแหล่ะ กามนั้นถ้าเราเกี่ยวข้องกับมันถูก ก็คือว่ามีสติ ไม่ว่าจะดูทางตา ได้ยินทางหู หรือว่าได้ลิ้มทางปาก ถ้าหากว่าเรามีสติ เราก็ไม่อาจตกเป็นทาสของกามได้ หรือพูดอีกอย่างว่ามารไม่สามารถเข้ามาครอบงำจิตเราได้ กามไม่ใช่สิ่งเลวร้าย จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ว่าเราจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร ถ้าเรามีสติหรือว่ามีสติรักษาใจ ก็เรียกว่าเราเป็นอิสระ อิสระเหนือมัน อิสระในที่นี้แปลว่า เป็นใหญ่ หมายความว่าเป็นนายมัน คำว่าอิสระนี้ไม่ได้แปลว่าไม่เกี่ยวข้อง คนเราไม่ว่าจะเป็นปุถุชนหรือพระอริยบุคคลหรือพระอรหันต์ก็ต้องเกี่ยวข้องกับกาม อย่างที่บอกไว้แล้วว่ากามในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องของทางเพศอย่างเดียว มันหมายถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจ เช่น อาหารที่อร่อย โยมทำอาหารที่ประณีตหรือว่าถวายผ้าเนื้อดี แต่ถ้าเกิดว่าเราใช้เราเสพอย่างมีสติหรือว่า อย่างมีปัญญา อย่างเช่นก่อนฉันเราก็พิจารณา ที่นี่ทุกเช้าเราก็ต้องพิจารณาปฏิสังขาโย อันนี้ก็เพื่อเตือนใจให้มีสติในการเสพ ในการบริโภค ถ้าเรามีสติหรือมีปัญญาจากการพิจารณา เราก็เสพมันอย่างผู้เป็นนาย อันนี้เรียกว่าอิสระ อิสระแปลว่าเป็นใหญ่ จิตอิสระจากกามไม่ได้แปลว่าไม่เกี่ยวข้องกับกาม
อันนี้ ต้องเข้าใจอิสระในทางพุทธศาสนา มันแปลว่าเป็นใหญ่ ก็คือเป็นนาย ถ้าไม่เกี่ยวข้องก็ต้องหมายความว่า อาจจะประพฤติตนเหมือนชีเปลือย ในอินเดียก็มีนักบวชลัทธิเชน ที่เขาไม่ใส่เสื้อเรียกว่านุ่งลมห่มฟ้าแล้วก็ไม่มีทรัพย์สมบัติใด ๆ เขาต้องการฝึก หรือต้องการแสดงว่า ปล่อยวางสิ่งทั้งปวงแล้ว ปล่อยวางในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีที่พัก ที่อาศัย ไม่มีเสื้อผ้า เพราะเขาต้องการพิสูจน์ว่าหรือต้องการบอกว่าเขาเป็นอิสระจากกาม ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่ว่าอิสระในพุทธศาสนานี้ไม่แปลว่าไม่เกี่ยวข้องอย่างที่บอกไว้แล้ว เกี่ยวข้องได้แต่ว่าเกี่ยวข้องอย่างผู้เป็นนาย ก็คือว่าไม่อยู่ในอำนาจของมัน ไม่ตกเป็นทาสของมัน พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ท่านก็เกี่ยวข้องกับกาม แต่ว่ากามทำอะไรท่าน ใช่เพราะว่าท่านไม่ได้มีความยึดติดถือมั่น ไม่ได้เพลิดเพลินยินดีในสิ่งเหล่านั้น เพราะถ้าเพลิดเพลินยินดีเมื่อไหร่ มันก็เข้ามาครอบงำจิตใจทันที และที่เพลิดเพลินยินดีได้เพราะว่าไม่มีสติ เรียกว่าจิตไม่ได้อยู่ ไม่ได้หากิน หรือไม่ได้อยู่ในถิ่นของพ่อ แต่ว่าไปอยู่ในถิ่นที่แปลกถิ่นก็ต้องเสร็จอยู่ในอำนาจของมารซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจ
คนเราถ้าหากว่าตกเป็นทาสของมัน แม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อมบริบูรณ์แต่ก็หาความสุขไม่ได้ ต้องเรียกว่าอยู่ร้อนนอนทุกข์ อย่างที่เขามีคำพูดว่ามีทองเท่าหนวดกุ้งสะดุ้งทั้งคืน อันนี้เพราะหวงแหน แต่ไม่ใช่เฉพาะมีทองเท่าหนวดกุ้ง ยิ่งมีทองเต็มบ้าน มีทรัพย์สินมากมาย ถ้าหากว่าตกเป็นทาสของมันก็ยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่เพราะว่ากลัวจะสูญ กลัวจะเสียมันไป กลัวคนแย่งชิง ดังนั้นถ้าเกิดกว่าเรามีสติเป็นเครื่องรักษาด้วยการเจริญสติอยู่เสมอ ก็มั่นใจได้เสมอว่าเราอยู่ในถิ่นของพ่อแล้ว ปลอดภัย จิตก็จะไม่มีช่องเปิดให้มารเข้ามาครอบงำได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่านอกจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจจะมาครอบงำเหนือจิตไม่ได้แล้ว อารมณ์อกุศลทั้งหลายก็เข้ามาเล่นงานจิตไม่ได้ ความโศกเศร้าเสียใจ ความโกรธ ความแค้น ความพยาบาท ความรู้สึกผิด ที่มันเผาลนจิตบ้าง ที่มันบีบคั้นจิตบ้าง ที่มันกรีดแทงจิตบ้าง มันก็เข้ามาเล่นงานจิตไม่ได้ พวกเราก็รู้ถึงรสชาติของอารมณ์เหล่านี้ดีใช่ไหมว่า เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันทำให้จิตใจเราย่ำแย่อย่างไรบ้าง แล้วมันผลักดันหรือว่าบงการชีวิตเราให้ตกไปในทางที่เสื่อมที่ย่ำแย่อย่างไรบ้าง พอโกรธแล้วก็อาจจะต่อว่าด่าทอคนใกล้ตัว อาจจะต่อว่าผู้มีพระคุณ บุพการีที่ทำให้ต้องเสียใจ หรือว่าทำลายข้าวของ ของตัวเองบ้าง ของคนอื่นบ้าง เกิดศัตรูมากมาย หรือว่าถ้าเกิดปล่อยให้ความน้อยเนื้อต่ำใจเข้ามาครอบงำ มันก็อาจจะบงการให้เราทำร้ายตนเอง
คนที่ฆ่าตัวตายจำนวนมากก็เพราะอารมณ์อกุศลที่มาชักนำ คนเราแม้จะรักตัวเองแค่ไหน พออารมณ์เหล่านี้ครอบงำ มันล้วนแล้วแต่ทำร้ายตัวเองทั้งนั้น เราไม่อยากให้คนอื่นมาทำร้ายเรา ไม่อยากให้คนอื่นมาเบียดบังเรา แต่เราก็มักจะทำร้ายตัวเองเพราะปล่อยให้อารมณ์อกุศลเหล่านี้เข้ามาครอบงำ แต่ถ้าเรามีสติ สติจะเป็นเครื่องรักษาใจ เวลาอารมณ์เหล่านี้มันเข้ามาครอบงำจิต สติจะช่วยทำให้จิตรู้ทัน เพราะว่าสติเหมือนกับตาใน พอเรารู้ว่าพวกนี้กำลังเข้ามาแล้ว จิตก็จะถอยห่างออกจากอารมณ์นั้น แทนที่จะเป็นผู้โกรธผู้เศร้า ก็เห็นมัน เมื่อเห็นแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าพอเห็นแล้วมันก็เลือนหายไป อารมณ์พวกนี้มันฉวยโอกาสตอนที่เราเผลอ ก็คือลืมตัว ไม่มีสติ แต่พอมีสติเมื่อไหร่มันก็ฝ่อ มันก็แฟบ มันก็เลือนหายไป จิตใจก็เป็นปกติ ไม่ต้องรอให้ใครมาพูดดีกับเรา ไม่ต้องรอให้ใครมารู้ใจเรา
หลายคนอยากจะให้คนอื่นมารู้ใจฉัน อยากจะให้แฟนรู้ใจ อยากจะให้ลูกน้องรู้ใจ อยากจะให้ลูกรู้ใจ หรือบางที่อยากจะให้พ่อแม่รู้ใจ อยากจะให้เจ้านายรู้ใจด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้ใจตัวเอง มันจะมีความสุขได้อย่างไร เพราะว่าถ้าเราไม่รู้ใจตัวเอง กิเลสต่าง ๆเข้ามาครอบงำ แล้วก็หันเหบงการให้เรา ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่นบ้าง เบียดบังผู้อื่นบ้าง สตินอกจากจะช่วยปกป้องไม่ให้อารมณ์อกุศลเข้ามาครอบงำจิต มันยังช่วยขุด ช่วยรื้อ ช่วยถอน สิ่งที่มันเป็นขยะหมักหมมที่บั่นทอนจิตใจ ขณะที่มันป้องกันไม่ให้ของใหม่มาเล่นงานจิต มันก็ยังช่วยทำให้สิ่งที่เป็นของเก่าที่มันหมักหมมอยู่ในใจนี้ถูกรื้อถอนออกไปด้วย
มีผู้หญิงคนหนึ่งเธออายุประมาณสี่สิบกว่า ก็เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ทำธุรกิจ จะเรียกว่าเป็นผู้หญิงเก่งก็ได้ แต่ว่าเธอจะมีความรู้สึกเป็นลบ จะไม่ค่อยพอใจ มักจะมีปัญหากับคนที่มีคุณวุฒิสูงกว่าตัวเธอ คนที่มีอำนาจหรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชา เธอมักจะมีเรื่องขัดแย้งกับคนประเภทนี้มาก มีเรื่องโต้เถียงกันเป็นประจำ ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือว่าไม่ค่อยถูกชะตาราศีกับคนประเภทนี้ เธอก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราไม่ชอบ ทำไมเรารู้สึกเป็นลบกับคนเหล่านี้ เหมือนกับว่ามันศรศิลป์ไม่กินกัน หลังจากที่เธอได้เข้าคอร์สเกี่ยวกับการเรียนรู้ตัวเอง ซึ่งก็ใช้วิธีการเข้ามาดูใจของตัว มันก็เป็นทำนองปฏิบัติธรรมเล็ก ๆ เธอก็สังเกตว่า คนเหล่านี้มีบางอย่างที่คล้ายพ่อ เธอก็พบว่าที่เธอไม่ชอบคนประเภทนี้ ก็เพราะลึก ๆ แล้วเธอเกลียดพ่อ ตอนเด็ก ๆ นั้นเธออยู่กับยาย พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงก็ให้ไปอยู่กับยาย ยายก็รักเธอ ตามใจเธอ
แต่ตอนหลังพ่อมารับเธอไปอยู่ด้วยเพราะว่าเริ่มจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ แต่พ่อเป็นคนที่ดุ เป็นคนที่เจ้าระเบียบ ก็จะคอยบังคับเธอ พี่น้องคนอื่นไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าพี่น้องอยู่กับพ่อตั้งแต่เล็ก แต่เธอมาอยู่ทีหลัง ความที่คุ้นเคยกับยายที่ปล่อยให้เสรี แต่พอมาเจอกับพ่อที่บังคับกวดขัน เธอก็ไม่ชอบ บางทีก็เถียง บางทีก็ท้าทาย ก็ยิ่งโดนพ่อต่อว่า พอโตขึ้นก็เลยมีความเกลียดพ่อ เธอไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีปมนี้ แล้วเธอก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอไม่ชอบคนที่มีอำนาจเหนือเธอ หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชา แต่พอมาได้เห็นใจตัวเอง มารู้ใจตนเอง อ้อ นี่เป็นเพราะเรามีปมเกลียดพ่อ มันช่วยทำให้เธอมีความรู้สึกลบกับคนประเภทนี้น้อยลง และยิ่งพอเธอรู้ว่าเธอมีปมเกลียดพ่อ เธอก็พยายามคลี่คลายความรู้สึกนี้ด้วยการไปขอขมาพ่อ พ่อเสียชีวิตไปแล้วแต่เธอก็รู้สึกว่าต้องคลายปมนี้ให้ได้ การที่ได้ขอขมาพ่อแม้ว่าพ่อจะไม่อยู่แล้ว การที่ได้พูดถึงความในใจที่อยากจะขอโทษพ่อ ที่เคยเถียงพ่อ ที่เคยคิดไม่ดีกับพ่อ มันก็ช่วยคลี่คลายปมนี้ พอคลี่คลายปุ๊บ ความรู้สึกลบกับคนประเภทนี้มันก็หายไปแทบจะปลิดทิ้งเลย ก็สามารถที่จะพูดคุยกับคนเหล่านี้ได้เป็นปกติ
อันนี้ก็เรียกว่าเธอสามารถที่จะแก้ปัญหาจิตใจของตัวเองจากการที่มีสติ มารู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่ชอบคนประเภทนี้ อะไรที่ทำให้เราชอบขัดแย้งกับคนประเภทนี้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้และก็มักจะบอกว่า เป็นเพราะว่าชะตาไม่ถูกกัน ที่จริงมันมีสาเหตุ มันไม่ต้องรอถึงกรรมในอดีต บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะกรรมในอดีต เป็นเจ้ากรรมนายเวร ซึ่งก็มักจะหมายถึงการมีเรื่องระหองระแหงขัดแย้งกันในอดีตชาติ ที่จริงมันไม่เกี่ยว สาวไปจริง ๆ มันก็พบว่า อ้อ เป็นเพราะคนเหล่านี้คล้ายพ่อเรา และเมื่อเราเกลียดพ่อ เราก็เลยพลอยเกลียดคนเหล่านี้ด้วยโดยไม่รู้ตัว แต่เนื่องจากว่าเธอรู้จักมาดูใจ พอสาวหาสาเหตุของความรู้สึกลบกับคนประเภทนี้ก็ไปพบตัวการใหญ่ ๆ คือปมเกลียดพ่อ ซึ่งมันเป็นเสมือนกับสิ่งที่หมักหมม เป็นอารมณ์อกุศลที่มันหมักหมมซุกซ่อนอยู่ในใจ
ผู้คนส่วนใหญ่มีสิ่งหมักหมม เป็นอารมณ์อกุศลซุกซ่อนแบบนี้อยู่ไม่มากก็น้อย แต่ไม่รู้ และปมนี้แหล่ะที่มันคอยทำให้เรามีปัญหา มีพฤติกรรมแปลก ๆ ที่เราอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร บางคนเจอศาลพระภูมิเป็นไม่ได้เลย อยากจะเข้าไปทำร้าย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเกลียดศาลพระภูมิ ทำไมถึงโกรธศาลพระภูมิมากขนาดนั้น จนกระทั่งไปปรึกษาจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็ให้เล่าประวัติ ให้เล่าเรื่องราวชีวิตของเขา พอเล่าไปพอเขาพูดถึงพ่อ มันก็ทำให้เขาได้เห็นเลยว่า อ๋อ เพราะว่ามีเหตุการณ์หนึ่งที่เขาทะเลาะกับพ่อ และพ่อก็ว่าเขา แล้วเขาก็โกรธจัดเลย อาจจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อว่า แต่ก็ถูกด่าถูกว่า บางทีพ่ออาจจะถึงขั้นตบด้วยซ้ำ เขาก็โกรธมาก เขาก็อยากจะตบอยากต่อยพ่อด้วยความโกรธ ดีว่ายั้งมือไว้ได้ทัน แต่ความรู้สึกที่มันโกรธพ่อเกลียดพ่อในเวลานั้นมันเป็นความรู้สึกที่เขายอมรับไม่ได้ คนดีเขาไม่โกรธไม่เกลียดพ่อ ไม่ถึงขั้นคิดที่จะทำร้ายพ่อ เขาไม่ยอมรับความรู้สึกนี้ เขาก็พยายามกดเอาไว้ พยายามปฏิเสธความรู้สึกนี้ คนเราเวลาพอปฏิเสธอะไรก็ตามมันก็พยายามกดเอาไว้ ความโกรธ ความเกลียดที่ถูกกดนี้มันไม่ได้ไปไหน ไม่ใช่กดแล้ว ข่มแล้วมันจะหาย มันก็ซุกซ่อน มันอาจจะไม่โผล่มาในรูปของความโกรธเกลียดพ่อ มันอาจจะโผล่ไปในรูปของ ความเกลียดศาลพระภูมิแทน โกรธพ่อไม่ได้ก็โกรธศาลพระภูมิแทนก็แล้วกัน เพราะศาลพระภูมิมันเป็นตัวแทน หรือเป็นสัญลักษณ์คล้าย ๆ พ่อ คือมีอำนาจ เป็นที่เคารพนับถือ เป็นของสูง โกรธเกลียดพ่อไม่ได้ก็ไปโกรธเกลียดศาลพระภูมิแทน
อันนี้คือปม ซึ่งบางคนก็ไม่รู้ไม่เข้าใจเพราะว่าไม่เคยกลับมาสอดส่องดูใจของตัว และมันก็ไม่กล้าที่จะดูด้วยเพราะมันมีการปฏิเสธ แต่ถ้าว่าคนเรามีสติลองมาสอดส่องดูใจของตัว มันก็ก็อาจจะพบปมแบบนี้แหละ ซึ่งถ้าหากว่าไม่คลี่ปมนี้ มันก็จะคอยชักนำให้ทำเราทำอะไรแปลก ๆ มีพฤติกรรมที่พิเรนทร์ ๆ เป็นต้น อย่างผู้หญิงคนที่ว่า พอเขามาดูจิตดูใจของตัว เขาก็เห็นว่าที่เขาไม่ชอบหน้าคนหลายคน เป็นเพราะคนเหล่านี้คล้ายพ่อเขา เพียงแค่รู้เท่านี้ก็มันช่วยได้เยอะแล้ว มันช่วยทำให้ความโกรธ ความเกลียดพ่อ มันมีอำนาจบ่งการจิตใจเขาน้อยลง แล้วยิ่งถ้าเขาสามารถที่จะปลดเปลื้องปมนี้ด้วยการขอขมาขออภัย มันจะเรียกว่าไถ่ถอนอารมณ์อกุศลที่เป็นพิษออกไปจากใจ ได้อย่างสิ้นเชิง
อันนี้ก็เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของสติ ที่มันช่วยทำให้เรามีความสุขและก็มีชีวิตที่ราบรื่นขึ้น มันไม่เพียงแต่จะป้องกันไม่ให้อารมณ์อกุศลใหม่ ๆ เข้ามาครอบงำจิต แต่ว่ามันยังช่วยทำให้อารมณ์ที่เป็นพิษ ที่มันสะสมอยู่ในใจได้รับการปลดเปลื้องชำระล้าง ร่างกายคนเรามันก็มีสารพิษอยู่เยอะที่เราต้องชำระหรือไถ่ถอนมันออกไป ซึ่งบางทีการอุจจาระ ปัสสาวะไม่พอ บางทีต้องใช้กระบวนการที่พิเศษเพิ่มเข้ามา เช่นดีท็อกซ์ ดีท็อกซ์นี้ก็เป็นการเร่งให้การขับสารพิษออกไปจากร่างกายทำได้ทั่วถึงมากขึ้น และก็ทำได้ละเอียดมากขึ้น แต่ว่าเราจะดีท็อกซ์ สารพิษให้มันออกจากร่างกายอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องดีท็อกซ์สารพิษที่อยู่ในจิตใจ หรือว่าอารมณ์ที่เป็นพิษ เช่น ความโกรธ ความเกลียด ไม่ใช่เฉพาะผู้มีพระคุณอย่างเดียวอาจะรวมถึงคนอื่นด้วย และสิ่งเหล่านี้มันจะทำได้มันจะต้องฉลาดในการกลับมาเห็นใจของตัวเอง ซึ่งสติจะมาทำหน้าที่นี้
เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้ชีวิตเรามีความสงบ มีความสุข มีความราบรื่น ต้องแน่ใจว่านอกจากจะไม่เปิดช่องให้อารมณ์อกุศลหรือมารเข้ามาครอบงำจิตแล้ว ก็จะต้องหาทางไถ่ถอนอารมณ์อกุศลที่มันฝังสะสม หมักหมมในจิตใจออกไปให้ได้ ไม่เช่นอย่างนั้นมันจะคอยป่วน ป่วนโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวว่ามันมีอะไรที่มันคอยป่วนอยู่ข้างใน แต่รู้ว่ามันไม่ใช่แน่ แต่ถ้าสงสัยแต่คลำหาไม่เจอ คลำไม่พบ มันก็จะคอยป่วนเราเรื่อยไปจนถึงตายก็ได้ เพราะอย่างนั้นความสามารถในการกลับมาดูใจของตัว แล้วก็สอบสวนหรือว่าสืบสวนจนกระทั่งเห็นปม หรือ อารมณ์อกุศลที่หมักหมม มันจำเป็นมากทีเดียว