แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ก็จะได้แสดงพระธรรมเทศนา เพื่อประกอบในการบำเพ็ญกุศลให้กับหลวงพ่อบุญธรรม สันตจิตโต พวกเราทั้งหลายมาที่นี่ก็ด้วยความระลึกนึกถึง ผูกพันกับหลวงพ่อบุญธรรม งานศพทุกงานตามประเพณีไทย หรือว่าตามประเพณีของเราชาวพุทธก็จะมีการบำเพ็ญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับ ด้วยการเลี้ยงพระ ถวายสังฆทาน ทอดผ้าบังสุกุล และอีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นจะต้องมีก็คือการแสดงธรรม
แสดงธรรมเพื่ออะไร แสดงธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา เข้าใจในธรรมะหรือความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ที่จริงความจริงหรือธรรมะที่จะได้ในงานศพ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากหลวงพ่อ หลวงตา หรือพระที่มาเป็นผู้แสดงธรรมที่เรียกว่าธรรมกถึก ธรรมะที่ดีกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้น ชัดเจนกว่านั้นมีอยู่แล้ว ก็จากผู้ที่ล่วงลับซึ่งตอนนี้ได้ทอดร่างอยู่ในหีบบนเมรุข้าง ๆ เรานี้ วันนี้คนที่แสดงธรรมที่ดีที่สุดไม่ใช่อาตมา แต่คือหลวงพ่อบุญธรรม ท่านกำลังแสดงธรรมในเราเห็นว่าชีวิตนี้ไม่เที่ยง ความตายเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ชีวิตนี้ไม่จีรัง ไม่ว่าใครสักวันหนึ่งก็ต้องตาย วันนี้ ที่จริงก็คือเมื่อสองวันก่อนก็เป็นวันที่ท่านได้จากไป แต่วันข้างหน้าก็ถึงคราวของเราทุกคน พูดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ถูกต้องทีเดียวนัก เพราะว่าอาจจะเป็นวันนี้ก็ได้ มางานศพตอนบ่าย ตอนเย็นก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุ หรือหัวใจวายตายไปก็ได้ เข้านอนหลับไปไม่ตื่นเลยก็ได้ ยังไม่ทันจะข้ามวัน ยังไม่ถึงวันพรุ่งนี้ก็อาจจะตายได้ เพราะนี่คือความจริง
ความจริงนี่แหละที่หลวงพ่อบุญธรรมกำลังแสดงให้เราดูในขณะนี้ ให้เปิดใจเจ้าของเด้อ เปิดใจยอมรับความจริงว่านี่คือสัจธรรม เป็นความจริงที่ชัดเจน ไม่ต้องมีตัวอย่าง หลักฐาน เหตุผลมาประกอบ อาตมาแสดงธรรมไปพูดเท่าไหร่ก็ไม่หนักแน่นเท่ากับหลวงพ่อบุญธรรมที่กำลังแสดงธรรมให้เราในขณะนี้ ถ้าหากว่าพวกเราเปิดใจรับความจริงอันนี้ แล้วก็พิจารณาต่อไปว่าไม่ใช่แค่หลวงพ่อบุญธรรมที่ตายไปแล้ว สักวันหนึ่งก็จะถึงวันของเรา และก่อนจะถึงวันของเรา อาจจะเป็นวันของคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ ลูก หลาน ผัว เมีย หรือครูบาอาจารย์ก็ได้ เมื่อระลึกเช่นนี้แล้วก็จะได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จะได้เร่งทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล การนึกถึงความตาย ถ้านึกดี ๆ มันทำให้เกิดความกระตือรือร้น ถ้านึกไม่เป็นก็จะเกิดความหดหู่ เศร้าหมอง เพราะคิดว่าอีกไม่นานอาจจะถึงวันของเราก็ได้ อีกไม่นานคนที่เรารักตายจากไปก็ได้ คิดแบบนี้ก็ทำให้ท้อแท้หดหู่ได้
แต่ถ้าคิดเป็นคิดถูก การระลึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันจะทำให้เราเกิดความกระตือรือร้น เร่งทำความดี แล้วก็ห่างไกลความชั่ว เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราทำความดีสร้างบุญสร้างกุศลเป็นนิจ ถึงเวลาตายก็จะตายอย่างสงบได้ ไม่ทุรนทุราย หรือถึงจะอยู่ห่างไกลจากความตายก็ไม่กลัวตาย คนที่ทำความดีมั่นใจในความดีนั้น จะกลัวตายน้อยลงหรือไม่กลัวตายเลยก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็คือผู้ที่บำเพ็ญบุญบารมีเพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังเป็นปุถุชนอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายยังเป็นปุถุชนอยู่ เช่น พระเวสสันดรซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ชาติสุดท้าย ก่อนที่จะได้บังเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และบำเพ็ญธรรมจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในสมัยที่ได้เกิดมาเป็นพระโพธิสัตว์ ในชาติหนึ่งพระโพธิสัตว์ได้กล่าวว่า เมื่อตั้งมั่นในธรรมย่อมไม่กลัวปรโลก อีกที่หนึ่งก็บอกว่า ข้าพเจ้าไม่เคยทำชั่วในที่ใดเลย จึงไม่กลัวความตายที่จะมาถึง
ธรรมดาคนเราไม่อยากนึกถึงความตาย นึกถึงความตายแล้วโดยเฉพาะความตายของเจ้าของ จะหวาดกลัว วิตก เสียววูบอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ถ้าเป็นความตายของคนอื่น ส่วนใหญ่อยากรู้อยากดู รู้ข่าวว่ามีอุบัติเหตุ มีรถชนตายกันที่ไหน หรือว่าอยู่ในหมู่บ้าน หรือว่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ทุกคนก็จะแห่กันไปดู ไปมุงดูรอบศพ ถ้าหากว่าเป็นศพของคนอื่นนี่ไปมุงดูกัน อยากดูนักเขาเรียกว่าไทยมุง แต่ถ้าเป็นความตายของตัวเจ้าของนี่ไม่อยากคิด ไม่อยากนึก นึกแล้วจะกลายเป็นแช่ง แต่ถ้าคนที่ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศลอยู่เป็นนิจจะไม่กลัวตาย เพราะรู้ว่าได้ใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่า และมั่นใจว่าตายแล้วจะไปดี ไปสุขคติ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเรามางานศพ แล้วนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าของ แล้วรู้ว่าชีวิตนี้ประมาทไม่ได้ ก็จะทำให้เร่งขวนขวายทำความดี นอกจากรักษาศีลให้ครบถ้วนทั้ง 5 ข้อแล้ว ก็อาจจะเห็นความสำคัญของการมาฟังธรรม เข้าวัด ปฏิบัติธรรมด้วย การเข้าวัดปฏิบัติธรรมไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้ามาได้ก็ดี
หลวงพ่อคำเขียนท่านเคยบอกว่า คนดีนี่เขาอยู่ที่บ้านกัน คนที่มีปัญหา คนที่มีความทุกข์นั่นแหละถึงจะเข้าวัด หรือว่าจำเป็นต้องเข้าวัด แต่ถึงแม้จะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่การเข้าวัดก็จะช่วยเตือนใจให้ไม่ประมาท เพราะพระถ้าหากเป็นพระที่เข้าใจธรรมะ ก็จะสอนให้ญาติโยมตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ระลึกถึงความตายเป็นนิจ พยายามระลึกนึกถึงกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะว่าระลึกนึกถึงแล้วจะทำให้ไม่ประมาท ทำให้เร่งทำความดี คนเดี๋ยวนี้ประมาท เวลาถูกชวนให้เข้าวัดก็ไม่มา เวลามีคนชวนให้มาปฏิบัติธรรมก็ไม่มา ให้เหตุผลว่าอีกนานกว่าจะตาย เอาไว้แก่ก่อนค่อยมาวัด อันนี้เรียกว่าประมาท รู้ได้อย่างไรว่าจะได้แก่ตาย คนที่บอกว่าแก่แล้วจึงค่อยมาวัด บางคนก็ตายขณะที่ยังหนุ่มยังสาว เป็นมะเร็งตายบ้าง หัวใจวายตายบ้าง รถชนตายบ้าง ที่คิดว่าแก่แล้วจึงค่อยมาวัดนี่จึงเป็นคนที่เรียกว่าประมาท เพราะความตายเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ มีสุภาษิตทิเบตกล่าวว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อน คนส่วนใหญ่คิดว่ามีพรุ่งนี้ แล้วชาติหน้าก็จะมาทีหลัง แต่ว่าอย่างที่อาตมาได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ บางทีอาจจะไม่มีพรุ่งนี้ก็ได้ พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย
วันนี้ทั่วโลกจะมีคนประมาณ 150,000 คนที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขา พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้าเลย และเราก็ไม่รู้ว่าพวกเราในนี้ใครบางคนอาจจะอยู่ในจำนวน 150,000 คนที่ว่า ที่วันนี้เป็นวันสุดท้าย พ้นจากวันนี้ไปก็ชาติหน้า ประมาทไม่ได้เด้อเรื่องความตาย อย่าไปคิดว่าฉันยังหนุ่มยังสาว มีพยาบาลคนหนึ่งเล่าว่ากลับไปเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์ บ้านก็คงคล้าย ๆ กับบ้านท่ามะไฟหรือบนหลังเขานี่แหละ เป็นบ้านในชนบท อยู่บ้านได้สองวันน้องชายก็บอกจะไปขี่จักรยานยนต์ไปบ้านเพื่อน น้องชายขึ้นจักรยานยนต์แต่ไม่สวมหมวกกันน็อค พี่สาวเป็นพยาบาล เพราะฉะนั้นก็เห็นความสำคัญของการรักษาสุขภาพ รักษาร่างกาย พี่สาวก็บอกว่าให้สวมหมวกกันน็อคเสีย น้องชายบอกคนเราถ้าจะตาย ถ้าถึงวันตายมันก็ตาย ถ้าไม่ถึงวันมันก็ไม่ตายหรอก พูดอย่างนี้เพื่อเป็นข้ออ้างว่าไม่ต้องใส่หมวกกันน็อคก็ได้ เจ้าตัวก็คงคิดว่าฉันยังไม่ตายหรอก ขี่จักรยานยนต์ไปแค่นี้เอง เข้าไปในบ้าน แล้วก็เลยอ้างเป็นธรรมะว่าคนเราถ้าไม่ถึงคราวตายมันก็ไม่ตาย
คำพูดนี้ดูสวย แต่ส่วนใหญ่คนที่พูดเอามาใช้เป็นข้ออ้าง จะได้ทำสิ่งที่ประมาท เช่น กินเหล้า หรือว่าไม่ใส่หมวกกันน็อค น้องชายก็ไม่ยอมใส่หมวกกันน็อค เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ตายหรอก อ้างธรรมะถึงคราวตายมันก็ตายเพื่อให้พี่สาวสบายใจ ปรากฏว่าขี่จักรยานยนต์ไปไม่ถึง 5 นาทีก็แหกโค้ง ชนเสาไฟฟ้าตายคาที่เลย ไม่ทัน 5 นาทีที่หลุดปากออกไปว่าคนเราถ้าไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตายหรอก หรือคนเราถ้าถึงคราวตายมันก็ตายไม่ว่าที่ไหน เพราะฉะนั้นเรื่องความตายอย่าประมาท แต่ก็อย่ากลัว อย่ากลัว เพราะว่าถ้าเรากลัวแล้วก็ทำให้ไม่เข้าใจ ไม่เตรียมตัว พอกลัวความตายแล้วก็ไม่อยากนึก ไม่อยากพูด พอไม่อยากนึกไม่อยากพูดบางทีไม่อยากฟังด้วย พระพูดเรื่องอนิจจัง พระพูดเรื่องความตายไม่อยากฟัง ก็เลยมีชีวิตเหมือนคนลืมตาย เดี๋ยวนี้มีคนอยู่แบบลืมตายเยอะ คือลืมไปว่าตัวเองต้องตาย ก็เลยอยู่อย่างประมาท ถึงเวลาจะตายหรือพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็ทำใจไม่ได้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต กลายเป็นว่าตายทั้งเป็น มีลมหายใจแต่อยู่เหมือนตาย อันนี้เกิดขึ้นกับคนที่มีชีวิตอยู่เหมือนคนลืมตาย ตอนที่สุขภาพดี ยังหนุ่ม ยังแน่น ยังสาว มีชีวิตเหมือนคนลืมตาย ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องตาย พอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือว่าพิการ ก็อยู่เหมือนตาย และถึงเวลาจะตายก็ตายแบบหลงตาย อันนี้เริ่มต้นมาจากเพราะกลัวตาย แล้วก็เลยไม่อยากนึก ไม่อยากคิด ไม่อยากพูดถึงความตาย ใครจะชวนเข้าวัด มาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมก็ไม่เอา ไม่อยากฟังพระเทศน์เรื่องความตาย อันนี้ต้องระวัง
หลวงพ่อพะยอมท่านเคยพูดว่า ให้เลือกเอาว่าจะเข้าวัดเองหรือจะให้คนหามเข้าวัด อยากเลือกแบบไหน อยากได้แบบไหน จะเข้าวัดเองหรือจะให้คนหามเข้าวัด จะสวดมนต์เองหรือจะให้พระสวดให้ จะพนมมือเองหรือจะให้สัปปะเหร่อจับมือพนมให้ คนส่วนใหญ่ทำแบบหลัง ไม่เดินเข้าวัดเองแต่ให้คนอื่นหามเข้าวัด ไม่สวดมนต์เองแต่ให้พระสวดให้ ไม่พนมมือเองแต่ให้สัปปะเหร่อพนมมือให้ อันนี้เรียกว่าโง่หรือฉลาด คนฉลาดนี่จะมาจะเข้าวัดเอง ไม่รอให้คนอื่นหามเข้าวัด จะสวดมนต์เองไม่รอให้พระสวดให้ จะพนมมือเองไม่รอให้สัปปะเหร่อจับมือพนม เมื่อมาฟังธรรม ระลึกถึง หรือได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องความตายก็จะได้เกิดความไม่ประมาท อย่างที่อาตมาได้ยกขึ้นมาเป็นนิกเขปบทก่อนที่จะเทศน์ก็คือว่า
วะยะธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
เมื่อเราทำความดี เข้าวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม จิตใจก็จะมีความแกล้วกล้าร่าเริง ไม่กลัวตาย เพราะรู้ว่าถ้าตายก็ไปดี แล้วถ้าทำความดีแล้วถึงเวลาตายก็จะตายแบบสงบได้ เพราะจิตใจมีปีติ เวลาจะตายก็นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำ คนเราเวลาจะตายนึกถึงความดีที่ได้ทำนี่ใจจะเป็นกุศล จะมีความสุข พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุญย่อมทำให้เกิดสุขในเวลาสิ้นชีวิต แปลว่าอะไร แปลว่าเวลาจะตายสามารถจะเป็นสุขได้ ไม่จำเป็นต้องทุกข์เสมอไป และเป็นสุขได้เพราะอะไร เป็นสุขได้เพราะนึกถึงบุญที่ได้ทำ
ฉะนั้นถ้าเราทำความดีวันนี้ ก็จะมีต้นทุนในวันหน้า ทำความดีวันนี้ก็มีความสุขวันนี้ แถมยังได้กำไร ยังมีดอกเบี้ยให้ในวันหน้าด้วยเพราะว่าถึงเวลาป่วย ถึงเวลาจะตายนึกถึงบุญที่ได้ทำ จิตใจก็มีความปีติปราโมทย์ ไม่ทุกข์ทรมาน แล้วก็มั่นใจว่าไปดีแน่ ไปสุขคติ แต่ถ้าทำชั่วแล้วนี่ ตอนทำก็มีความทุกข์ นอนก็ไม่หลับกลัวเขาจับได้ กลัวความจริงจะเปิดเผย กลัวเขาจะแก้แค้น กลัวตำรวจจะจับ ได้ไม่คุ้มเสียเลย เช่น ไปโกงเงิน โกงเงินมาเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน แต่ไม่คุ้มกับความทุกข์ที่ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ แถมอาจจะติดคุกติดตาราง ถูกเขาแก้แค้นก็ได้ เท่านั้นไม่พอ เวลาจะตายมันก็จะนึกถึงความชั่ว นึกถึงคนที่ตัวเองโกง นึกถึงคนที่ตัวเองทำผิด นึกถึงคนที่ตัวเองฆ่า เวลาจะตายก็ทำให้กระสับกระส่าย
มีพระรูปหนึ่งมาบวชตอนแก่ เวลาป่วยเวลาจะตายก็มีเพื่อนพระมาช่วยนำใจให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปรากฏว่านึกไปไม่ได้เลย นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้เลย เพราะเห็นแต่ภาพคนตาย เห็นแต่ภาพคนที่ตัวเองเคยฆ่า ตอนเป็นโยมเป็นฆราวาสเคยฆ่าคน ไม่รู้ว่าติดคุกด้วยหรือเปล่า แต่ว่ามาบวชพระแล้วผ้าเหลืองมันก็ไม่ได้คุ้ม เพราะตอนจะตายนึกถึงคนที่ตัวเองเคยฆ่ามาหลอกหลอน อันนี้เขาเรียกว่านิมิต เป็นกรรมนิมิต คนเราเวลาจะตายกรรมนิมิตมันจะปรากฏ ถ้าทำดีก็เป็นนิมิตดี ถ้าทำชั่วก็เป็นนิมิตชั่ว เช่น นึกถึงคนที่ตัวเองเคยฆ่าก็ทำให้หวาดกลัว ทุรนทุราย ก็เรียกว่าตายไม่สงบ และตายไปแล้วก็อาจจะไปนรกไปอบาย เพราะจิตสุดท้ายไม่เป็นกุศล
มีคนหนึ่งเลี้ยงไก่ชน และก็เล่นไก่ชนเป็นประจำที่กรุงเทพ ตรงบริเวณที่เขาเรียกว่าบ่อนไก่ บ่อนไก่แต่ก่อนมันเป็นบ่อนไก่จริง ๆ ทรมานไก่มากเพื่อจะได้เงินรางวัล ไก่ตายไปตัวแล้วตัวเล่า ถึงเวลาจะตายทุรนทุรายนึกถึงแต่ไก่ที่ตัวเองเคยทรมาน มิหนำซ้ำพอหมดสติไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็จะเอามือชนกัน อย่างนี้ เหมือนไก่ชน แล้วก็บอกเป๊กพ่อ เป๊กพ่อ ชนอยู่นั่นแหละเป็นชั่วโมงจนกระทั่งเลือดไหลก็ยังไม่เลิกชน กระดูกจะร้าวมันก็ไม่เลิก ชนอยู่อย่างนั้นแหละจนตาย อันนี้เรียกว่าไม่คุ้มเลย ได้เงินจากการไปชนไก่ แต่เวลาพอจะตายไม่มีความสงบ แถมตายแล้วไปอบายด้วย ไปนรกสถานเดียว อันนี้เพราะทำชั่ว ความชั่วบางอย่างมันให้ผลช้า แต่ให้ผลช้านี่ไม่ใช่ดี ให้ผลเร็วอาจจะทำให้สำนึกตัว กลัวตัวกลับใจได้เร็ว อย่างองคุลีมาลกลับตัวกลับใจได้เร็วเลยรอดได้เป็นพระอรหันต์ การทำชั่วบางอย่างมันให้ผลช้า แต่พอมันให้ผลกลับตัวกลับใจไม่ทันแล้ว คือมันมาให้ผลมาแสดงตัวตอนจะตาย จะบวชพระแก้บนก็บวชไม่ได้ จะทำบุญล้างบาปก็ทำไม่ได้แล้ว จิตมันหลอน อย่างนี้ตายแล้วไปอบายสถานเดียว เพราะฉะนั้น ต้องทำความดี ละเว้นความชั่ว แล้วก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางด้วยเด้อ ทำดีละชั่วแล้วก็ยังทุกข์ได้ เพราะห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สมบัติ จะตายไปแล้วก็ยังห่วงทรัพย์สมบัติ
ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อโทณพราหมณ์ รวย แต่พอจะตายนึกห่วงทรัพย์สมบัติ พอตายไปนี่ปรากฏว่าไปเกิดในท้องหมา เกิดในท้องหมา พอออกมาจากท้องแม่ก็กลายเป็นลูกหมาคอยเฝ้าทรัพย์ ไม่คุ้มเลย หาทรัพย์มาด้วยความเหนื่อยยาก เสร็จแล้วพอจะตายกลายเป็นทาสของทรัพย์ ปล่อยวางไม่ได้ ตายแล้วยังต้องมาเฝ้าทรัพย์โดยเป็นหมาอยู่ในบ้าน อย่างนี้คุ้มไหม หามาด้วยความเหนื่อยยากเสร็จแล้วทรัพย์ก็ไม่ได้ทำให้ไปดี ไปสบาย ไปสวรรค์ ต้องมาเฝ้าทรัพย์เป็นหมา อย่างนี้เรียกว่าทุคติ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักปล่อยรู้จักวางเด้อ แต่ว่าไม่ใช่มาปล่อยเอาตอนจะตาย มันต้องปล่อยวางตั้งแต่ตอนนี้ ของหายเงินหาย มันหายไปแล้วก็ปล่อยวางเสีย ใครเขาด่าเราก็อย่าไปเก็บเอามาคิดให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะถ้าเกิดว่าโกรธแล้วตายไปตอนนั้นก็ไปนรก คนโกรธแล้วตายตอนที่โกรธนี่ไปนรก เพราะฉะนั้นใครด่าว่าเราปล่อยวางเสีย ถึงแม้ไม่ตายแต่ถ้าเก็บเอาไว้มันก็นอนไม่หลับ ความดันก็ขึ้น ป่วยง่าย อยู่ก็ทุกข์ ตายก็ไม่สงบ ต้องปล่อยตั้งแต่ตอนนี้ ไปทำผิดไปเบียดเบียนใครก็รู้จักไปขอขมาเขา ก่อนตายจะได้ไม่ทุรนทุราย
มีหัวหน้าพยาบาลคนหนึ่งเป็นมะเร็งปอด ตอนจะตายก็ไม่ยอมตาย สัญญาณชีพแย่หมดแล้ว ปอด หัวใจ ตับ ไตพังหมดแล้วแต่ตาเปิดไม่ยอมตาย จนกระทั่งรุ่นน้องเป็นพยาบาลมาถึง คนไข้ก็รวบรวมกำลังแล้วก็พูดว่าขอโทษที่เคยได้ทำไม่ดีกับเธอเอาไว้ เพราะตอนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นกิ๊กกับสามี แต่ตอนนี้เข้าใจความจริงแล้ว ขอโทษด้วย ฝ่ายพยาบาลรุ่นน้องก็บอกว่าไม่เป็นไรพี่ หนูเข้าใจพี่ หนูให้อภัยพี่ พอได้ยินแบบนี้คนไข้ก็สบายใจ ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้วก็เลยหลับตา แล้วก็ตายวันนั้นเลย นี่ดีที่มีโอกาสได้ขอโทษขอขมา แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็คงจะตายแบบทุรนทุราย ตายแล้วอาจจะไปอบายก็ได้
เพราะฉะนั้นนอกจากทำความดี ละเว้นความชั่วแล้ว ต้องรู้จักปล่อยรู้จักวางบ้าง ใครเขาทำอะไรให้เราเจ็บช้ำน้ำใจก็ปล่อยวาง ทำอะไรให้เขาเดือดร้อนก็ไปขอโทษขอขมาเขาเสีย ตรงนี้แหละที่จะช่วยทำให้ชีวิตเราอยู่ก็อยู่เป็นสุข ถึงเวลาจะตายก็ตายสงบ แต่จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีการเตือนใจอยู่เสมอ เพราะคนเรามีแนวโน้มจะชอบทำชั่ว ชอบผิดศีล หรือว่าชอบยึดชอบติด ไม่ปล่อยไม่วาง อะไรที่จะช่วยเตือนใจให้เราหมั่นทำความดีละเว้นความชั่วแล้วรู้จักปล่อยวาง ก็คือการระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ระลึกถึงคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่อาตมาได้กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด หรือท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท อันนี้เป็นคำกล่าวสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนจะเสด็จปรินิพพาน เป็นมรดกที่มอบให้กับชาวพุทธทั้งหลาย พูดสั้น ๆ ไม่ยาว แค่สองประโยค แต่มีความหมายลึกซึ้งมาก ถ้าเก็บเอามาคิดพิจารณาเตือนตนอยู่เสมอ จิตใจก็จะผ่องใสเพราะทำความดี ไม่มีความชั่วให้มาติดค้างใจ แล้วก็ปล่อยวาง การที่เราจะระลึกถึงความตายได้มางานศพก็ช่วยได้ มางานศพแล้วถึงแม้ไม่ได้ฟังธรรมของอาตมา แต่ว่าพินิจพิจารณาร่างของหลวงพ่อบุญธรรมที่นอนอยู่ข้างหน้าเรา นอนอยู่บนเชิงตะกอน บนจิตกาธาน มันก็สอนธรรมให้กับเราได้ และสอนได้ดี สอนได้ตรงได้ชัดกว่าคำเทศน์ของอาตมาเสียอีก
ก็พอสมควรแก่เวลา ขออนุโมทนาญาติโยมทุกท่านที่ได้มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล อุทิศให้แก่หลวงพ่อบุญธรรมผู้ที่ได้ล่วงลับจากไป ก็ขอให้อำนาจแห่งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญ อำนวยอวยผลให้ทุกท่านได้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ เพื่อเป็นพละปัจจัยในการทำความดีงามให้ถึงพร้อม ด้วยทาน ศีล ภาวนา เพื่อเป็นเครื่องรักษาใจให้มีความผ่องแผ้ว ไม่กลัวความตาย มั่นใจในชีวิตที่ได้บำเพ็ญ และหมั่นบำเพ็ญ หมั่นปฏิบัติธรรม เพื่อให้ได้พบกับความสุขความเจริญ ให้อยู่เย็นเป็นสุขปลอดภัยไกลทุกข์ ให้ได้บังเกิดปัญญา เข้าถึงความสุขเกษมศานต์ มีพระนิพพาน ตลอดจนให้อำนาจแห่งบุญกุศลที่ได้ทำนั้นจงอำนวยอวยผลให้หลวงพ่อบุญธรรมได้เสวยสุขสมบัติในสัมปรายภพตามควรแก่คติวิสัย และเป็นปัจจัยให้ได้พบพระพุทธศาสนา ตั้งมั่นในวิถีแห่งธรรมจนกระทั่งเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาลด้วยเทอญ