แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนเรา ถ้าปรารถนาความสุข ความเจริญ ความสงบเย็นในชีวิต จำเป็นมากที่จะต้องสร้างความรู้สึกตัว หรือว่าตัวรู้ ให้เกิดมีมากขึ้น พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า บุคคลเมื่อมีความรู้สึกตัว หากกุศลกรรมใดที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หากกุศลธรรมใดที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ความรู้สึกตัวนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เพื่อความตั้งมั่น ไม่อันตรธาน ไม่เสื่อมสูญ แห่งพระสัทธรรม พระสัทธรรมนั้นก็คือสัจธรรม หรือว่ากุศลธรรมที่งอกงามเจริญขึ้นในจิตในของคนเรา แต่ว่าการที่ความรู้สึกตัวจะเจริญงอกงามได้นั้น มันต้องสร้างขึ้น หรือว่าต้องเพิ่มพูนให้มากขึ้น เพราะว่าคนส่วนใหญ่นั้นความหลงมันครองใจ เหมือนกับถ้าเปรียบจิตใจก็เหมือนกับห้องที่มีความมืดสลัว หรือบางทีก็มืดสนิท แต่ถ้ามืดสนิทคงจะเรียกว่าเป็นคนบ้า หรือว่าคนคลุ้มคลั่งไปแล้ว คือไม่มีความรู้สึกตัวเหลือแม้แต่น้อยก็คงจะไม่มีสมปฤดี แต่คนส่วนใหญ่ ห้องของใจก็มีลักษณะสลัวๆ เหมือนกับว่ามีเทียนเล่มหรือสองเล่มปักอยู่กลางห้อง แล้วความมืดก็จะคอยมาครอบงำ ทำให้เทียนมันดับไปให้มากที่สุด
ได้พูดไปแล้วว่า อันตัวรู้กับตัวหลงมันขับเคี่ยวกัน ตัวหลงก็พยายามที่จะครองจิต ครองใจ และทำให้ตัวรู้มันหมดไปทีละนิด ฉะนั้นถ้าเราเห็นความสำคัญของการสร้างความรู้สึกตัว เห็นความจำเป็นของการเพิ่มพูนตัวรู้ให้มากขึ้นก็ต้องหาทางปัดเป่าตัวหลงให้หมดไป ที่จริงไม่ต้องทำอะไรกับตัวหลงเลย เพียงแค่เพิ่มตัวรู้ให้มากขึ้น ก็พอแล้ว เหมือนกับความมืดเราไม่ต้องไล่มันหรอก เพียงแต่เราเพิ่มความสว่างให้มากขึ้น ความมืดก็หายไปได้เอง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอย่างที่อาตมาบอกไว้แล้วว่าตัวหลง มันเป็นนักฉวยโอกาส มันฉลาดมาก จึงจำเป็นที่เราจะต้องรู้ธรรมชาติ รู้นิสัย รู้อุบายของตัวหลง ถ้าเราไม่รู้ธรรมชาติ ไม่รู้นิสัยเราก็จะโดนตัวหลงเล่นงาน ตัวรู้ที่สร้างขึ้นก็หดหายไป เพราะว่าปล่อยให้ตัวหลงเข้ามาครอบงำ ความเป็นนักฉวยโอกาสของตัวหลงเราก็คงจะเห็นแล้ว แม้แต่ตอนที่เรามาวัด ตั้งใจจะมาเพิ่มความรู้สึกตัว แต่ก็โดนความหลงมันเล่นงาน ขณะยกมือสร้างจังหวะเพื่อสร้างตัวรู้ให้มากขึ้น ก็ยังโดนตัวหลงเข้าไปเล่นงานครอบงำจิตใจ เดินจงกรมก็เหมือนกัน ฟังธรรมะบางทีใจก็ลอย ตัวหลงดึงจิตดึงใจไป
อุบายอย่างหนึ่งของตัวหลงก็คือว่า มันพยายามที่จะดึงจิตเราออกไปนอกตัว ที่เขาเรียกว่าส่งจิตออกนอก เพราะว่าการที่เราดึงจิตออกนอกตัวไปเมื่อไหร่ การที่เราจะหันกลับมามองตน แล้วก็เห็นหรือรู้ตัวว่า กำลังหลงอยู่มันก็เป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก อย่างที่บอกไปแล้วว่าตัวหลงมันคอยชักนำ เอาอกุศลธรรมขึ้นมา เข้ามาครอบงำใจ เช่นความโกรธ ความเศร้า มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กับใจ ครอบงำใจเมื่อไหร่ก็หลงลืมตัว ยิ่งลืมตัวมากขึ้นเท่าไหร่ หรือหลงมากขึ้นเท่าไหร่ อารมณ์เหล่านี้ก็เข้ามาครอบงำเรามากขึ้น
สังเกตไหมว่าเวลาเราโกรธใจเรามันไปอยู่ที่ไหน ใจมันก็จะพุ่งตรงไปที่บุคคล สิ่งของหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราโกรธ ที่ทำให้เราไม่พอใจ มันจะพุ่งไปเลยทันที หรือถ้าเป็นเรื่องในอดีต จิตมันก็จะพุ่งไปจมอยู่กับเรื่องในอดีต อันนี้เขาเรียกว่าจิตมันส่งออกนอก ความหลงมันรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เรากลับมามองตนเราก็จะเห็นมัน ที่มันกลัวที่สุดก็คือถูกเห็นหรือถูกรู้ เหมือนโจรหรือขโมยที่แอบเข้ามาในบ้าน มันกลัวเจ้าของบ้านเห็น เจ้าของบ้านไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่สบตามัน หรือเพียงแค่จ๊ะเอ๋มันเท่านั้น มันก็หนีไป มีคนที่ชอบแอบเข้ามาในวัด บางทีก็มาตีผึ้ง แต่ก่อนมีสัตว์ก็มาล่าสัตว์ มีไม้ก็มาตัดไม้ หรือว่ามาขโมยสมุนไพรซึ่งมีราคา เวลาพระออกไปตามหาเพราะได้ข่าวว่ามีคนแอบเข้ามา ทำสิ่งที่ว่าพวกนี้ บางทีพระไม่ต้องทำอะไรมาก บางทีแค่ไปเจอหน้าเท่านั้น เขาก็หนีไปเลย หนีไปทันที เพราะกลัว กลัวพระเห็น อารมณ์อกุศลรวมทั้งความหลงก็เหมือนกัน มันกลัว กลัวถูกรู้ถูกเห็น และมันพยายามทำให้ดึงจิตออกไปนอกตัวเพื่อไม่ให้จิตกลับมามอง เห็นว่าความหลงหรืออกุศลจิตมันครองใจ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้าหรือความอยาก พวกนี้เป็นอารมณ์อกุศลทั้งนั้น เวลาเราเศร้าก็เหมือนกัน จิตเราก็จะส่งออกไปข้างนอก ไปย้ำคิด ย้ำนึกถึงเหตุการณ์ที่มันผ่านไปแล้ว หรือคำพูดการกระทำของใครบางคนที่มันทำให้ตอกย้ำซ้ำเติมความเศร้า
อุบายอย่างที่สองของความหลงและอกุศลธรรม ก็คือว่าพยายามที่จะบังคับหรือบงการจิตใจเพื่อที่จะเพิ่มพูนกำลังวังชาให้กับมัน มันจะพยายามที่จะเพิ่มกำลังให้มากขึ้น เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่พยายามแพร่พันธุ์และก็พยายามที่จะอยู่รอดให้ได้ หากเรานึกถึงไวรัส เมื่อมันเข้ามาในร่างกาย อย่างแรกที่มันทำก็คือ การไปเขาไปฝังตัวอยู่ในเซลล์ของเรา แล้วมันก็จะบังคับหรือบงการให้เซลล์ผลิตไวรัสแบบเดียวกันกับมันให้มีมากขึ้นๆ จนกระทั่งอัดแน่นเต็มเซลล์ และเซลล์ระเบิดแตกออกไป แล้วมันก็จะกระจายไปตามเส้นเลือด แล้วก็เข้าไปในเซลล์ แล้วสั่งให้เซลล์สร้างตัวมันขึ้นมา มะเร็งก็เหมือนกัน เวลามะเร็งเข้าไปในร่างกายเรา ก็พยามยามจะแพร่กระจายให้มากขึ้น แล้วก็พยายามที่จะอยู่รอดให้ได้ แล้วก็จะอยู่ให้ได้ดีด้วย เส้นเลือดต่างๆ ที่เคยหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนที่ดีมันก็ดึงเอามาเพื่อเลี้ยงตัวมันให้ใหญ่ขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น มันเอาเส้นเลือดทั้งหลายมาเลี้ยงตัวมันเองหมดเลย
อารมณ์อกุศลก็เหมือนกัน เวลามันครองใจเรามันก็พยายามที่จะสร้างตัวมันให้เติบใหญ่ มีกำลังมีอานุภาพมากขึ้นด้วยการบงการจิต ทำอย่างไร ก็สั่งให้จิตเราไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ช่วยทำให้เกิดความโกรธมากขึ้น เกิดความเศร้ามากขึ้น เวลาเราโกรธใครใจจะเข้าไปขุดคุ้ยเอาความไม่ดีของเขา ทั้งที่เคยทำกับเราหรือเคยที่ทำกับคนอื่น เพื่อเป็นการเติมเชื้อ เติมฟืน ให้กับความโกรธ ให้โกรธมากขึ้น เวลาเศร้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม มันก็จะไปขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ที่มันจะทำให้เศร้ามากขึ้น บางทีมันทำให้เราเกิดความรู้สึกสมเพศตัวเอง ทำไมฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายแบบนี้ ทำไมไม่มีใครเห็นคุณค่าของฉันเลย มันจะไปขุดเอาเรื่องต่างๆ ขึ้นมาตอกย้ำซ้ำเติมให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้น นี่เป็นอุบายของมันเลย
และวิธีหนึ่งก็คือ การพยายามสรรหาเหตุผลเพื่อมารองรับรับว่าทำไมฉันต้องโกรธ ทำไมฉันต้องเศร้า ตัวหลงก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีเหตุผล มันก็สรรหาเหตุผลมาเหมือนกัน ทำไมต้องโกรธ ทำไมต้องเศร้า ยิ่งเวลามันต้องการระบายความโกรธใส่ใคร มันก็จะหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำ เช่น เพื่อสั่งสอน คนแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องจัดการ ต้องด่ามัน ต้องต่อยมัน อย่างเช่นที่เราเห็นคลิปวีดิโอ คนที่ชื่อน้อตเขาก็ต่อยคนที่ชนท้ายรถเขา แล้วก็พูดทำไมต้องหนี ทำไมต้องหนี เหมือนกับต้องการหาเหตุผลมารองรับว่า ที่ฉันโกรธแก ที่ฉันต่อยแก เพราะแกเป็นคนที่ไม่มีมารยาท เป็นคนที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ ชนแล้วหนี ต้องจัดการ ต้องสั่งสอน สรรหาเหตุผลมารองรับความโกรธ สรรหาเหตุผลมารองรับความเศร้า บางทีร้องไห้คนรักตายจากก็ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย พยายามนึกถึงแต่เรื่องที่เศร้าๆ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไม่เศร้า ถ้าไม่ร้องไห้แสดงว่าเราไม่รักเขา มันก็มีเหตุผลมารองรับ หลายคนต้องพยายามบีบน้ำตาออกมา เพราะกลัวว่าจะแสดงว่าเราไม่รักเขา ถ้าเรารักเขาเราต้องร้องไห้ ต้องคิดถึงเขาบ่อยๆ ถ้าไม่คิดถึงเขาบ่อยๆ แสดงว่าเราไม่รักเขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือว่าผู้มีพระคุณ อันนี้เป็นอุบายของความหลงที่จะพยายามบงการจิตของเรา เพื่อทำให้มันเติบใหญ่และครองใจเรามากขึ้น มันจะได้อยู่ได้นานๆ
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตก็เหมือนกัน มันก็พยายามที่จะต้องอยู่รอดให้ได้ แล้วก็ต้องอยู่ได้ด้วยดีด้วย อารมณ์พวกนี้มันเหมือนกับสิ่งมีชีวิต มันก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวมันเติบใหญ่และแพร่พันธุ์ไปได้ไกลๆ มันจะสั่งให้เราทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้จมอยู่ในอารมณ์นั้น บางทีเราโกรธใคร เรากลัวว่าจะลืมโกรธเขา ต้องตอกย้ำ เช่นมีการสัก สักไว้ที่หน้าบ้าง ที่แขนบ้าง เขียนชื่อติดไว้ที่กระจกในห้องน้ำบ้าง เพื่อที่จะเตือนย้ำว่าไอ้นี่มันเลวต้องโกรธมันต่อไป เวลาเศร้าเราอยากฟังเพลงอะไร อยากฟังเพลงสนุกหรือเปล่า ไม่อยาก เราอยากฟังเพลงเศร้า เพื่ออะไร เพื่อให้เศร้าหนักขึ้นๆ อะไรมันสั่ง ความเศร้ามันสั่ง มันสั่งใจเราว่าให้เปิดแต่เพลงเศร้าๆ มันจะได้อยู่ครองจิตใจเราไปนานๆ นี่คืออุบายของมัน
และสุดท้ายมันก็จะบงการให้เราคอยปกปักษ์รักษามัน ไม่ให้มันอ่อนแรง เช่นสมมติว่าเวลาเราโกรธใครแล้วมีคนมาแนะนำเราว่า ให้อภัยเขาไปเถอะ ความโกรธเราจะสั่งให้เราเล่นงานคนที่แนะนำ เพราะว่าถ้าเราเชื่อตามคำแนะนำของเขา ความโกรธจะค่อยๆ สลายหายไป เพราะว่าถ้าเราให้อภัยความโกรธมันก็จืดจางลงไป
มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นห่วงแม่ แม่อายุ 70 กว่าแล้ว แม่เป็นคนที่นิสัยดี มีเมตตา แต่เวลาพูดหรือนึกถึงใครคนหนึ่ง จะโกรธมากเลยเหมือนกับเปลี่ยนนิสัยไปเลย ความโกรธเป็นสิ่งที่เปลี่ยนนิสัยคนได้ พอนึกถึงคนนี้ก็จะโกรธเพราะเนรคุณ อุตส่าห์ช่วยตั้งเยอะแยะ ลูกก็กลัวว่าสักวันแม่จะเส้นเลือดในสมองแตก กลัวว่าแม่จะไปอบายถ้าหากว่าแม่ตายตอนที่ยังมีความโกรธ มีพยาบาทคาใจ ก็พยายามแนะบอกแม่ว่า แม่ให้อภัยเขาไปเถอะ เรื่องก็นานมาแล้ว 20-30 ปีแล้ว แม่กลับโกรธลูก ราวกับว่าลูกพยายามจะแย่งชิงของรักของหวงไปจากแม่ ความโกรธถึงกับน่าหวงน่าแหนที่ไหน ถ้าลูกพยายามเอาที่ดิน เอาเพชร เอาพลอยไปจากแม่ก็น่าโกรธ แต่ลูกพยายามแนะนำเพื่อแม่จะได้หายโกรธ ไม่ถูกความโกรธครองใจ ความโกรธมันสั่งให้แม่ด่าลูกเลย ก็กลายเป็นว่าแม่กลายเป็นองครักษ์พิทักษ์ความโกรธไปแล้ว ทำทุกอย่างเพื่อให้ความโกรธมันครองใจอยู่ ความเศร้าก็เหมือนกัน เวลาเศร้า ถ้าเราเพียงแต่ออกไปเที่ยวบ้าง ไปเปลี่ยนที่ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างความเศร้าก็คลี่คลายลง แต่ความเศร้ามันจะสั่งเราว่าอย่าทำนะ อย่าทำ ให้นั่งเจ่าจุกต่อไป ให้นึกถึงเรื่องที่เศร้าต่อไป ความเศร้าก็จะครองใจเราได้นาน จะได้หลงต่อไป แล้วเวลามีใครมาชวนให้เราไปเที่ยว บางทีก็ไม่พอใจ
เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เธอชอบผู้ชายคนหนึ่งแต่ผู้ชายเขาไม่ได้มีใจให้เธอ จดหมายที่เธอได้รับมันเหมือนบอกเป็นนัยว่าก็แค่คบกันแบบเพื่อน เธออ่านจดหมายเสร็จเธอก็เศร้าซึมเสียใจ ก็พอดีมีเพื่อนกลุ่ม 4-5 คนมาหาเธอที่บ้าน แล้วก็กดกริ่งเรียกเธอชวนเธอไปเที่ยว พอได้ยินเสียงเพื่อนเรียก เธอก็นึกฉุนขึ้นมาในใจ นึกขึ้นมาในใจเลยว่า ทีจะสุขก็ไม่สมหวัง ทีจะทุกข์ก็มีคนมาขัดขวางอีก ความเศร้ามันบอกว่า แกต้องเศร้าต่อไป แกอย่าไปเที่ยว แกต้องเศร้าต่อไป แล้วเราก็เชื่อ เราก็ยอม กลายเป็นว่าเราหวงแหนความเศร้า เราหวงแหนความโกรธทั้งที่มันน่าหวงแหนที่ไหนความโกรธ ความเศร้า แต่เพราะเราหลง เราลืมตัว มันก็เลยบงการจิตใจเรา นี่เป็นอุบาย อุบายที่เรามักไม่ค่อยรู้ทันของความหลง
แล้วธรรมชาติของมันอีกอย่าง ก็คือดื้อด้านมาก เวลาโกรธ เวลาเศร้า ยิ่งเราพยายามกดข่มมันเท่าไหร่ มันกลับยิ่งมีกำลัง มันกลับยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ลองดูความโกรธ ความเศร้า หรืออารมณ์ใดก็ตาม ความอยากก็ได้ เวลาเราพยายามกดข่ม มันไม่ได้หายไปไหน มันกลับอยู่แล้วก็อยู่แบบยั่งยืนด้วย เหมือนกลับมีกำลังมากขึ้น หลายคนไม่ชอบที่มีความโกรธอยู่ในใจ ไม่ชอบที่มีความเศร้า แต่ก็มักจะใช้วิธีกดข่มมัน รวมทั้งนิสัยไม่ดีบางอย่าง เช่น ความเห็นแก่ตัว ความเจ้าอารมณ์จะกดข่มอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะว่ามันดื้อด้าน ที่พูดมาทั้งหมด ก็ดูเหมือนว่าอารมณ์พวกนี้มันไม่เบาทีเดียว มันร้ายกาจ มันฉลาดมาก แต่มันมีจุดอ่อน จุดอ่อนนี้ก็พูดไปตั้งแต่ต้นแล้ว คือมันกลัวการถูกรู้ถูกเห็น มันกลัวเรารู้ทัน เมื่อเรารู้ทันเมื่อไหร่ หรือเราเห็นมันเมื่อไหร่ มันล่าถอย มันวูบเลย
เมื่อ 2 วันก่อน ผู้หญิงคนหนึ่งมาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ตลอดสามวันนั้นจิตใจเขาก็รุ่มร้อนไปหมด เพราะว่าใจนึกถึงแต่อดีตสามีที่ทรยศหักหลัง แต่พอเธอได้สติขึ้นมาตอนที่กุมมือแล้วก็ปล่อยมือ เพราะว่ารู้สึกสบาย มันได้ฉุกคิดขึ้นมาทันที ทุกข์เพราะยึด พอปล่อยหรือวางเมื่อไหร่ก็สบาย ความรู้สึกนี้ ความคิดนี้พอเกิดขึ้นมา มันทำให้เธอได้สติรู้ตัวว่า เราไปแบกเอาเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว พอรู้ตัวว่าแบกหรือยึดเอาไว้ มันปล่อยเลย ความโกรธที่มีหายไปเลย สิ่งที่เธอทำยังไม่ได้กดข่ม เพียงแค่รู้ รู้ว่าเราเผลอไปแบก รู้ว่าเผลอไปโกรธเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพียงแค่รู้ทัน ความโกรธหายเลย เพราะว่าพอรู้ทันปุ๊บมันวาง ตอนที่ทุกข์เพราะมันไปยึดเอาไว้ พอรู้ว่ายึดทันทีเลยวาง วางแล้วเกิดอะไรขึ้น สบาย โล่ง ธรรมชาติของความโกรธ และอารมณ์เหล่านี้กลัวถูกรู้ถูกเห็น ขณะที่การกดข่มมันไม่ค่อยได้ผล
เคยมีคนถามหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงปู่มั่น ใครๆ ก็เชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ วันหนึ่งมีคนถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ ทำอย่างไรจะขจัดความโกรธให้ขาด" หลวงปู่บอก “ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทันมัน ถ้ารู้ทันมันก็ดับไปเอง” อันนี้เป็นความรู้พื้นฐานเลยของวิชาชีวิต แต่อย่างที่บอกว่า คนเราจะพยายามใช้วิธีการกดข่ม อย่าว่าแต่อารมณ์เลย แม้กระทั่งความคิดฟุ้งซ่าน กดข่มก็ไม่ได้ เคยมีการทดลองให้เอาอาสาสมัครมาให้นั่งอยู่ในห้องคนเดียว ผู้ทดลองบอกว่าคุณจะคิดอะไรก็ได้ อยู่ในห้องนี้ห้ามคิดอย่างเดียว ห้ามคิดถึงหมีขาว ถ้าคุณนึกถึงหมีขาวเมื่อไหร่ คุณกดกริ่งเลย ไม่ทันไรเสียงกริ่งดังไประงมเลย พอถูกสั่งว่าห้ามคิดถึงหมีขาว มันคิดเลย ถ้าไม่สั่งห้ามมันก็ไม่คิดแต่พอสั่งห้ามก็คิดเลย กดกริ่งกันใหญ่เลย ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
เคยมีการทดลองอีกอย่างหนึ่งโดยให้อาสาสมัครเหมือนกัน ลองนึกถึงสิ่งที่ไม่ชอบสิ่งที่มันรบกวนจิตใจมาสักเรื่องหนึ่งแล้วแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ก่อนนอนพยายามกดข่มความคิดนั้นหรือว่าพยายามบังคับจิตไม่ให้คิดเรื่องนั้น อีกกลุ่มหนึ่งตามสบาย ก่อนนอน พอนอนตื่นขึ้นมาก็ให้คนเขียนเกี่ยวกับความฝันของตัว ก็พบว่าคนที่ได้รับคำสั่งให้กดข่ม หรือห้ามความคิดเรื่องนั้นจะฝันถึงเรื่องเหล่านั้นมากกว่าคนที่ไม่ได้รับคำสั่งให้กดข่ม คือพอไปห้ามไม่ให้คิดถึง มันก็ไปโผล่ในความฝันทันที ก็ยังมีการพบอีกว่าในคนที่พยายามอดอาหารเพราะอ้วน น้ำหนักเยอะ ถ้ามีการสั่ง การห้ามว่าอย่าไปกินช็อคโกแลต คนกลุ่มนี้จะกินช็อคโกแลตมากเลย ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เพราะการไปกดข่มคือการให้กำลังมัน อันนี้คนไม่ค่อยรู้หรอก คนไม่ค่อยตระหนักว่าอันที่จริงแล้วเพียงแค่รู้ทันมันแค่นี้มันก็ดับไปเอง อย่าที่หลวงปู่ดุลย์ว่า แค่มีสติรู้ทันมันว่ากำลังโกรธอยู่
มีเพื่อนเล่าให้ฟัง ว่าลูกอายุ 5 ขวบ วันหนึ่งก็อารมณ์ดีไปเก็บดอกไม้มาให้ย่า ดอกไม้มี 2 สี สีเหลืองกับสีแดงเด็กก็แยกดอกไม้สีแดงใส่แจกันหนึ่ง สีเหลืองใส่อีกแจกันหนึ่งมาให้ย่า ย่าเห็นก็ดีใจ ขอบคุณ แต่พอหลานไม่อยู่ย่าก็เอาดอกไม้ 2 สีมาคละกัน เพราะย่าคิดว่าดอกไม้ 2 สีเอามาคละกันในแจกันมันสวยกว่า พอหลานมาเห็นก็ได้เรื่องเลย หลานโกรธมาก โกรธย่า ร้องไห้ เรียกร้องให้ย่ามาทำให้เหมือนเดิมแต่ย่าไม่อยู่ อยู่แต่แม่ เด็กก็ร้อง แม่ก็บอกลูกว่าเดี๋ยวย่ามาก็ค่อยบอกให้ย่าทำ เด็กไม่ยอม เด็กก็ร้อง แล้วแม่บอกว่าแม่จะทำเองก็ได้ แม่จะเปลี่ยนสลับกลับให้เป็นเหมือนเดิม เด็กก็ไม่ยอมอีก ทำยังไงเด็กก็ไม่ยอม แม่โกรธมากพูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ทีแรกเธอก็คิดจะว่าแล้วหรือจะต้องตีแต่ว่าเธอก็ได้ผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับเด็กมาอยู่พักใหญ่ก็รู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ พยายามพูดดีกับลูก ลูกโกรธย่าใช่ไหม ลูกโกรธย่าที่เอาดอกไม้ 2 สีมาปนกันใช่ไหม เด็กบอกใช่ แม่ถามต่อลูกโกรธแค่ไหน โกรธแค่นี้ แค่นี้หรือโกรธเท่านี้เลย เด็กบอกโกรธเท่านี้เลย โอ้โห โกรธเท่าฟ้า แม่แทนที่จะตกใจว่าลูกโกรธย่าเท่าฟ้า แม่คงอยากจะห้ามว่าอย่าโกรธย่า โกรธย่าไม่ดี เธอก็รับรู้ไว้แล้วเธอก็บอกว่า เดี๋ยวแม่จะไปบอกย่าให้ ว่าลูกโกรธย่าเท่าฟ้าเลย สักพักเด็กสงบเลย แล้วเด็กก็ไปวิ่งเล่น เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ความโกรธมันหายไปจากใจเด็ก เพราะอะไร เพราะสิ่งที่แม่ทำนี่ทำให้เด็กมีสติรู้ตัว แม่ทำตัวเหมือนกับเป็นกระจก เป็นกระจกให้ลูกได้เห็นความโกรธของตัว พอเด็กเห็นปุ๊บนี่ ก็รู้ตัวเลยว่าตัวเองโกรธ พอรู้ตัวว่าตัวเองโกรธมันก็หายเลย
มีผู้ชายคนหนึ่งได้ฟังเรื่องนี้ ก็ทำให้เกิดความสงสัยว่ามันจะแก้ปัญหาของลูกชายได้ไหม ลูกชายก็วัยใกล้ๆ กัน 4 ขวบ แต่มีปัญหาอีกแบบหนึ่ง คือเวลาจะอุ้มลูกนั่งเรือข้ามแม่น้ำจะต้องลงโป๊ะ พออุ้มลูกลงโป๊ะลูกจะร้องโวยวาย ตัวเกร็งบอกให้พ่อรีบขึ้นฝั่ง กลัวโป๊ะมากเลย พ่อก็อธิบายลูกมันไม่มีอะไรน่ากลัว พ่ออยู่กับลูกจับตัวลูกไว้แน่นเลย ไม่ต้องกลัวลูกปลอดภัยแน่ แต่เหตุผลไม่เคยทำให้ลูกหายกลัวเลย ที่จริงไม่ใช่กับเด็กอย่างเดียวผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ผู้ใหญ่ที่กลัวตุ๊กแกจะให้เหตุผลอย่างไรว่าตุ๊กแกไม่มีพิษไม่มีภัย ก็ไม่เคยหายกลัวเลย เพราะพูดอย่างไร ให้เหตุผลอย่างไรก็ไม่เคยหายกลัวเลย พอพ่อได้ฟังเรื่องนี้ พ่อก็บอกว่าเป็นไปได้ ลองดูสิ วันหนึ่งก็อุ้มลูกลงโป๊ะ ลูกก็เอาเลย ร้องกรี๊ด สั่นตัว ดิ้นให้ได้ ไม่อยู่บนโป๊ะ พ่อก็ไม่โกรธ แทนที่จะห้ามลูกว่าอย่ากลัว ก็ถามลูกเลยว่า ลูกกลัวใช่ไหม ไหนกลัวนี่มันเป็นอย่างไร หัวใจมันอย่างไร หัวใจมันเต้นเร็ว ลมหายใจมันเป็นอย่างไร เด็กอธิบายได้หมดเลย ลมหายใจมันถี่มันสั้น มันหายใจไม่ทั่วท้อง เนื้อตัวเป็นอย่างไร มันเกร็ง ใจเป็นอย่างไร มันกลัวมันหนัก สักพักเด็กก็นิ่งแล้วจู่ๆ เด็กก็ปล่อยมือจากตัวพ่อ ก็ลงมาวิ่งเล่นอยู่ในโป๊ะเลยหายกลัวทันทีเลย สิ่งที่พ่อทำคืออะไร ก็คือทำให้ลูกหันมาเห็นกายและใจ หันมารู้กายรู้ใจ แทนที่จะนึกเห็นแต่โป๊ะก็คือมาดูกายดูใจ วิธีการทำให้มีสติทีแรกมารู้กายก่อน ก็มารู้ความกลัว เห็นความโกรธ ความกลัวก็เหมือนกัน กลัวการถูกรู้ ถูกเห็น หรือการรู้ทัน รู้ทันด้วยสติ ความอยากก็เหมือนกัน
มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง อันนี้ก็สิบกว่าปีมาแล้ว วันหนึ่งลูกสาวอายุ 12 กลับมาบ้าน บอกแม่อยากได้ของเล่น อยากได้มากเลย อะไรที่ลูกอยากได้ ไมโครโฟน สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟน โทรศัพท์มือถือก็ยังแพร่หลายอยู่ในวงจำกัดและยังแพงอยู่ ไมโครโฟนนั้นดีตรงที่ว่า พอกดปุ่มแล้วมันร้องเพลง เหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังร้องเพลง สิบกว่าปีที่แล้วเด็กก็มีความสุขขอแค่นี้ ไม่เหมือนสมัยนี้ ไมโครโฟนแบบนี้เด็กขว้างทิ้งเลย ไม่ตื่นเต้นเลย แต่เมื่อสิบห้าปีก่อนเด็กอยากได้มากเลย แม่ก็ถามว่าเท่าไหร่ สี่ร้อย บ้านนี้เขาค่อนข้างประหยัดในการใช้เงินแม่ก็บอกสี่ร้อยมันแพงไป ลูกก็ยังอยากได้รบเร้าให้แม่ซื้อ ปกติถ้าแม่เจอแบบนี้ก็จะทำอยู่สองอย่างไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือ หนึ่งซื้อให้เลย สองไม่ซื้อให้ แต่ว่าแม่คนนี้มีจิตวิทยา เมื่อรู้ว่าลูกอยากได้มากก็บอกลูกว่าแม่จะซื้อให้แต่ต้องใช้เงินหนูนะ โดยมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งแม่จะหักเงินค่าขนมของหนู วันละครึ่งหนึ่งเก็บใส่กระปุกเอาไว้จนครบสี่ร้อย และข้อสองทุกวันก่อนหนูกลับบ้านให้หนูไปที่ร้านนั้นไปดูไมโครโฟนแล้วก็สังเกตดูใจด้วย ดูความอยากที่มันเกิดขึ้นในขณะที่เห็นไมโครโฟน ลูกก็รับปากแล้วก็ทำตามที่แม่ว่า คือทุกเย็นพอโรงเรียนเลิก เธอก็ไปที่ร้าน แล้วก็ไปดูไมโครโฟน แล้วก็ดูใจดูความอยาก ทำแบบนี้อยู่สามวัน วันที่สี่ก็มาบอกแม่ว่า ไม่เอาแล้วแม่ไมโครโฟน แม่ถามว่าเพราะอะไร เบื่อ ทำไมถึงเบื่อล่ะ ก็มันเห็นอยู่ทุกวันมันก็เบื่อแล้ว เอาเงินสี่ร้อยไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า ความอยากมันหายไปเลย อยากเพราะอะไร อยากเพราะมาดูความอยาก เด็กสังเกตความอยากของตัว ทำตามที่แม่แนะนำ มาดูความอยากเห็นความอยาก ความอยากอย่างที่บอกจุดอ่อนของมันก็คือมันกลัวถูกรู้ถูกเห็น พอเห็นมันบ่อยๆ มันก็ฝ่อลงไป เพราะฉะนั้นอันนี้คือธรรมชาติของมันที่เราจะควรรู้
ความหลงก็ดี รวมทั้งอารมณ์ที่เป็นลูกน้องของความหลง ความโกรธ ความกลัว ความอยาก ความเศร้าพวกนี้แม้ว่ามันจะมีอุบาย มีความฉลาดเป็นนักฉวยโอกาส แล้วก็มีอำนาจใจการบงการจิต รวมทั้งมีความดื้อด้านเหลือเกิน แต่จุดอ่อนมันมี มันกลัวสติ กลัวสติเข้าไปเห็นมัน มันกลัวถูกรู้ถูกเห็น เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่าความหลงเป็นปัญหา อารมณ์อกุศลเป็นปัญหาที่ทำให้เราไม่พบความสุขความสงบเย็น ต้องหมั่นสร้างตัวรู้หรือสติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่ลืมตัว แล้วจะทำให้เรามีเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับอารมณ์เหล่านี้ มันเป็นภูมิคุ้มกันจิตที่วิเศษมาก ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันที่คอยสู้กับเชื้อโรค ใจเราก็มีภูมิคุ้มจิตที่เรียกว่าสติ ซึ่งเราต้องสร้างทำให้มีมากขึ้น สติที่ไปเพิ่มตัวรู้ เพิ่มกำลังให้ตัวรู้ทำมีกำลังอานุภาพจนสามารถจะรับมือ และเล่นงานจุดอ่อนของอารมณ์พวกนี้ได้