แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราที่มาปฏิบัติที่วัดป่าสุคะโต มากันจากหลายทิศหลายทาง บางคนก็เพิ่งมา บางคนก็มาได้หลายวัน วัตถุประสงค์ในการมาก็อาจจะแตกต่างกัน แต่เชื่อว่าจำนวนมากมาก็เพราะปรารถนาความสงบ แต่เมื่อมาแล้ว มาปฏิบัติได้ 2–3 วันแล้ว บางคนอาจจะพบว่าสถานที่มันสงบก็จริง แต่ว่ายังไม่พบความสงบในจิตใจ เพราะว่าจิตใจถ้ามันว้าวุ่นครุ่นคิด ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจปฏิบัติ อันนี้ก็เป็นธรรมดา ถ้าหากว่าเรายังพบว่าใจยังไม่สงบเพียงพอก็ควรจะหาคำตอบให้ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร? แม้ใจไม่สงบ แต่รู้ว่ามันไม่สงบเพราะอะไร อันนี้ก็ถือว่าเป็นความรู้ที่สำคัญ จริงๆ แล้วเรามาที่นี่ก็เพื่อความรู้อันนี้ ความรู้เกี่ยวกับจิตใจของเรา ความรู้เกี่ยวกับอาการที่เกิดกับใจ ไม่ใช่รู้เพียงแค่อาการ แต่รู้ว่ามันมีสาเหตุจากอะไร ทั้งหมดนี้เป็นส่วนของการรู้จักตัวเอง ใจสงบแต่ว่าไม่รู้จักตัวเอง อันนี้ก็ถือว่าได้ประโยชน์น้อย
จริงๆ แล้วจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติที่นี่ เราไม่ได้มุ่งให้เกิดความสงบเป็นวัตถุประสงค์หลัก แต่ว่าเพื่อให้เราได้รู้จักตัวเอง เรารู้เรื่องอะไรต่ออะไรมาเยอะแยะแล้ว เรารู้จักโลก รู้ช่องทางทำมาหากิน เรารู้เกี่ยวกับเรื่องวิชาชีพซึ่งก็สัมพันธ์กับการรู้อะไรต่ออะไรมากมายที่อยู่นอกตัว อันนี้ก็สำคัญอยู่ แต่ว่าเท่านั้นไม่พอ นอกจากรู้ข้างนอกแล้วก็ต้องรู้ข้างใน
โดยเฉพาะการรู้เกี่ยวกับจิตใจของเรา ความสุขที่ใครๆ ปรารถนา วิชาความรู้หรือวิชาชีพ มันก็สามารถจะทำให้เราได้พบกับความสุข ความสะดวก ความสบายทางกายได้ เพราะว่าวิชาความรู้ก็เอาไปทำมาหากินได้ เอาไปดูแลตัวเองให้มีสุขภาพพลานามัยดี เอาไปใช้ในการทำมาหากิน มีเงิน มีทอง มีบ้าน มีรถยนต์ อาจจะรวมไปถึงทำให้มีคู่ครอง มีครอบครัวที่มั่นคง มีงานการที่มั่นคง แต่ว่ามันยังไม่ใช่หลักประกันแห่งความสุขที่แท้จริง มันทำได้อย่างมากคือความสุขกาย แต่ความสุขกายไม่ว่าจะมีมากมายเพียงใด มันก็ไม่เคยมีหมั่นคงหรือยั่งยืนเลย
ร่างกายของเราแม้ดูแลอย่างไร ในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย แม้ขณะนี้ยังไม่เจ็บไม่ป่วย แต่มันก็ชรา มันก็แก่ไปทุกวินาที สมบัติที่เรามีมันก็เสื่อมไปทุกวินาทีเหมือนกัน รถยนต์ บ้าน ความมั่นคง การงาน มันก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน พอวันดีคืนดีก็อาจจะตกงานก็ได้ และสมัยนี้ตกงานเร็วมากเลย ไม่ทันจะแก่ ไม่ทันจะเกษียณเลยก็ตกงานเสียแล้ว เพราะว่าเทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก พนักงานธนาคารหลายตำแหน่งก็ต้องเรียกว่าเป็นอดีตไปแล้ว เพราะว่ามีเทคโนโลยีมาแทนที่ เดี๋ยวนี้การโอนเงินไม่ต้องใช้พนักงานธนาคารแล้ว ไม่ต้องไปธนาคารด้วยซ้ำ โอนเงินทางโทรศัพท์ ธนาคารหลายแห่งก็ยุบสาขา อันนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะพนักงานธนาคารหรอก อาชีพอื่นก็เหมือนกัน มันก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นความมั่นคงในอาชีพการงาน แม้ตอนนี้ดูเหมือนมั่นคง แต่ว่าอนาคตวันข้างหน้ามันก็อาจจะแปรเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้มันเป็นธรรมดา
แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักตัวเองดีพอ โดยเฉพาะรู้จักเข้าใจจิตใจของเรา ก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะอยู่กับความผันผวนแปรปรวนนั้นได้ เพราะว่าแม้ความสุขสบายจะลดลง หรือแม้แต่จะป่วยกาย แต่ว่าถ้าใจเรารักษาไว้ดี ก็ยังสุขใจได้ ความสะดวกสบายทางกายลดน้อยถอยลง ความเสื่อม ความชราทางร่างกายเกิดขึ้น แต่ว่าใจก็สามารถจะเป็นปกติ หรือสามารถจะเป็นสุขได้ ถ้าหากว่าเรารู้จักตัวเราเองดีพอ
ที่จริงอย่าว่าแต่ความแปรเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับสิ่งของนอกตัว ทรัพย์สมบัติ งานการ หรือครอบครัว แม้แต่ในเวลาที่เราพบประสบแต่สิ่งดีๆ เหตุการณ์ที่พึงปรารถนา เอาง่ายๆ เช่นไปเที่ยว แม้เราจะไปเที่ยว ไปดูหนัง ฟังเพลง เดินทางไปต่างประเทศ หรือประสบโชคลาภ อันนั้นมันอาจจะสุขกาย แต่สุขใจอาจจะไม่แน่ สมมุติว่าเราไปดูหนัง หรือว่าฟังเพลง ฟังคอนเสิร์ต ตั๋วก็ราคาแพง สามพัน ห้าพัน คนที่เล่นเขาก็เล่นสุดฝีมือ แต่ถ้าเกิดว่าใจเรามีความห่วง มีความกังวลเรื่องงาน ถามว่าเราเที่ยวสนุกไหม? สมมุติเราไปกินอาหารที่ราคาแพง มิชลิน ๓ ดาวซึ่งต้องถือว่าเยี่ยมมากทีเดียว บรรยากาศก็หรู แต่เราเพิ่งได้ข่าวว่าเพื่อนป่วยหนัก หรือว่าแม่ไม่สบาย จิตใจเราเกิดหม่นหมองขึ้นมา ถามว่า กินอร่อยไหม? อาหารอาจจะอร่อย แต่ว่าใจมันไม่ได้รู้สึกเป็นสุขด้วยเลย
เราไปเที่ยวต่างประเทศ ไปไกลถึงอเมริกา ไปไกลถึงยุโรป หรือไปญี่ปุ่น เราได้เจอทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่เกิดใจมันเกิดหงุดหงิด หงุดหงิดกับไกด์ที่หลอกเรา หรือหงุดหงิดกับคนที่เพิ่งทะเลาะเบาะแว้งกับคนที่มาแลกเงิน ไม่ว่าจะเจอวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแค่ไหน มันก็ไม่มีความสุขหรอก เพราะอะไร? เพราะใจ ใจมันไม่ได้ไปร่วมหรือไปเออออด้วย แม้ว่าสิ่งที่เห็นทางตา สิ่งที่ได้ลิ้มรส มันจะวิเศษอย่างไร แต่ถ้าใจเราไม่พร้อม เพราะว่ามีความวิตก มีความกังวล มีความห่วง หรือว่ามีความขุ่นเคือง อย่างมากก็แค่สุขกาย แต่ว่าใจไม่สุข อันนี้เรียกว่าความสุขใจมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับเรา หรือว่าเราได้เสพ ได้สัมผัสสิ่งที่ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เท่านั้น ส่วนประกอบที่สำคัญคือใจ
มันมีคำพูดที่เราอาจจะเคยได้ยิน แต่อาจจะไม่ได้คิดอะไรให้ลึกซึ้งเท่าไหร่ เช่นคำพูดที่ว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหมายความว่า จะทำอะไร ถ้าทำฝ่ายเดียวก็ไม่เกิดผล อันนี้บางทีเราก็เอามาใช้กับเวลาที่คนทะเลาะกัน คนทะเลาะกันเขาก็ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นสาเหตุ แต่ที่จริงแล้วจะไปโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ เพราะการที่ทะเลาะกันแสดงว่าทั้งสองฝ่ายไปร่วมมือร่วมวงด้วย ถ้าสมมุติว่าฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งเงียบ มันก็ไม่เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งถูกด่าก็จริง แต่ไม่ด่าตอบ มันจะเกิดการทะเลาะวิวาทไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าเมื่อมีการทะเลาะวิวาทก็แสดงว่าทั้งสองฝ่ายไปร่วมผสมโรงด้วย อันนี้เราก็ใช้สำนวนว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าฝ่ายหนึ่งด่า อีกฝ่ายหนึ่งเงียบ มันก็ไม่เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
แต่ที่จริงเราเอามาใช้กับสิ่งที่เรียกว่าสุขและทุกข์ก็ได้ โดยเฉพาะความสุขใจ ความทุกข์ใจ ความสุขใจจะเกิดขึ้นได้มันต้องอาศัยปัจจัย 2 อย่างประกอบกัน เหมือนกับเสียงดังจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีเสียง ต้องมีมือสองมือตบ ปัจจัยหนึ่งก็คือ ปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายนอกก็อาจจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง ที่น่าพึงพอใจ หรือว่าเหตุการณ์ที่พึงปรารถนา แต่ว่าถ้ามีตัวเดียวมันไม่สุขใจ ใจมันต้องมีอีกปัจจัยหนึ่ง คือปัจจัยภายใน ก็คือจิตใจของเรา หรืออารมณ์ของเรานั่นเอง ก็อย่างที่ยกตัวอย่างว่าเราไปฟังเพลง ดูหนัง กินอาหารที่อร่อย แต่ถ้าเกิดว่าใจเราไม่ร่วมมือด้วย เพราะใจพะวง ใจวิตก ความสุขใจก็ไม่เกิดขึ้น อันนี้เรียกว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง มันจะดังได้ก็เพราะตบมือด้วย ตบมือสองข้างก็คือ ปัจจัยภายนอกก็ดี ปัจจัยภายในก็เอื้อเฟื้อร่วมมือด้วย ฉะนั้นจริงๆ แล้วแม้กระทั่งการที่คนเราจะมีความสุขทางโลก จากการเสพ การสัมผัสสิ่งดีๆ อร่อยๆ หรือว่ามีโชคมีลาภก็ตาม จิตใจก็สำคัญ เราจะมองข้ามจิตใจไม่ได้
แต่ถ้าเกิดว่าแม้สิ่งภายนอกอาจจะไม่ดี แต่ว่าถ้าใจยังดีอยู่ มันก็ยังพอจะมีความสุขได้ อย่างที่เขาพูดว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คับที่แต่ว่าใจเป็นอิสระ ใจคิดถึงแต่เรื่องในทางบวก ก็ยังพอจะมีความสุขได้ แต่ถึงแม้อยู่ในคฤหาสน์ เรียกว่ามีความโปร่งโล่ง แต่ว่าใจมันคับแคบ เพราะว่ามีความขุ่นมัว มีความกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็คงไม่มีความสุข ฉะนั้นการที่คนเราปรารถนาความสุขใจ อย่าคิดแต่เรื่องของการที่แสวงหาวัตถุสิ่งเสพหรือว่าสมบัติ หรือว่าแสวงหาโชคลาภอย่างเดียว ใจมันก็ต้องร่วมมือด้วย ใจไม่ร่วมมือด้วยเจออะไรก็ไม่มีความสุข
มีคนหนึ่งเขาเล่าว่า ตอนที่เป็นเด็ก คุณลุงคนหนึ่งแกเกิดถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 สมัยโน้นมันก็คงเป็นล้าน แกดีใจมากเลย แกก็ถือชูลอตเตอรี่แล้วก็เดินวิ่งไปที่ตลาดประกาศให้ใครรู้ว่า กูถูกลอตเตอรี่โว้ย แกลิงโลดดีใจมาก เรียกว่ากระโดดโลดเต้นเลย กระโดดโลดเต้นแบบที่เรียกว่ามีความสุขอย่างยิ่ง เสร็จแล้วจู่ๆ แกก็ฉีกลอตเตอรี่ใบนั้นเป็นชิ้นๆ เลย ฉีกเป็นชิ้นๆ เลย ตอนนั้นคงทำด้วยความลืมตัว พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แกตกใจเลย พยายามที่จะเอาไอ้กระดาษลอตเตอรี่ที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ นั้นมาต่อกัน แต่ต่ออย่างไรมันก็ไม่เป็นลอตเตอรี่แล้ว จากคนที่ดีใจกลายเป็นเสียใจไปเลย แล้วก็เสียใจจนกระทั่งเป็นบ้าไปเลย
ตอนที่แกได้ ตอนที่แกถูกลอตเตอรี่ ก็ถือว่าแกเจอโชค แต่ด้วยความที่ลืมตัว อารามดีใจจนลืมตัว คนเราพอลืมตัวแล้วมันทำอะไรก็ได้ ตอนนั้นแกอาจจะคิดว่า โอ๊ย กูรวยแล้วโว้ย ต่อไปนี้กูไม่เป็นหนี้ใครแล้ว ลาก่อนความทุกข์ ต่อไปนี้กูไม่จนแล้ว ต่อไปนี้กูไม่ทุกข์แล้ว ไปได้เลยความจน ไปได้เลยความทุกข์ พอคิดตรงนี้มันก็เผลอฉีกเลย เผลอฉีก ตอนนั้นทำด้วยความลืมตัวแล้วโชคมาถึงตัวแล้ว แต่ว่าใจมันไม่มีสติ พอใจไม่มีสติ โชคมันก็หลุดลอยไปเลย แล้วมันไม่ใช่แค่หลุดลอยเปล่าๆ ความทุกข์ก็เข้ามาเสียบแทนที่เลย พอแกรู้ว่าโชคหลุดลอยไปแล้ว แกก็เสียใจ เสียใจจนเป็นบ้าเลย รู้สึกว่าตัวเองสูญเสีย รู้สึกว่าตัวเองสูญเสีย ที่จริงยังไม่ได้เสียอะไรเลย ก็แค่เท่าทุน ใช่ไหม? ยังไม่ได้เสียอะไรไปเลย แต่แกคิดว่าแกเสีย แกคิดว่าแกเสียเงินเป็นล้าน พอคิดว่าเสียเงินเป็นล้าน เสียใจจนเป็นบ้าเลย อันนี้เรียกว่าคนเราได้โชค แต่ถ้าใจไม่พร้อม ก็เป็นบ้าได้
หลายคนก็คิดว่าอยากขอให้เกิดโชคลาภแก่ตัวเรา แต่ถามว่าแล้วเราคิดจะทำใจของเราให้พร้อมหรือเปล่า ถ้าเราไม่ดูแลจิตใจของเราให้ดี โชคลาภที่เกิดขึ้นมันจะกลายเป็นทุกขลาภได้ นอกจากจะไม่รวย นอกจากจะไม่พ้นความจนแล้ว กลับเป็นบ้าอีก อันนี้เรียกว่าได้โชค แต่ว่าใจไม่พร้อม แล้วคนเราเป็นเพราะเรามองข้ามจิตใจ ไม่ว่าเราจะโชค หรือได้โชคเพียงใดมันก็ยังมีความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น
เพื่อนอาตมาคนหนึ่งเป็นนักเล่นหุ้น ตอนนี้ก็เรียกว่าเพลาลงไปแล้ว เมื่อสักสิบปีก่อนเขาก็ไปเจอคุณป้าคนหนึ่งที่ตลาดหุ้น คุยไปคุยมาคุณป้าก็บอกว่า เมื่อ 2-3 วันก่อนแกขายหุ้นไปล็อตใหญ่ล็อตหนึ่ง คุณป้าคนนี้ไปตลาดหุ้นทุกวัน แล้วก็อาชีพของแกคือ ซื้อถูก ขายแพง แกเก็งกำไรได้ แกก็ซื้อหุ้นไว้ตัวหนึ่ง แล้วก็เอาไปขาย พอราคาขึ้น แกก็ขาย หุ้นล็อตนั้นที่แกขายได้กำไร 10 ล้าน เพื่อนอาตมาก็เลยบอกว่า ขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณป้า คุณป้าก็ตอบมาว่า ยินดีอะไรกัน ถ้าฉันขายวันนี้ฉันได้กำไรแล้ว 20 ล้าน คุณป้าไม่ดีใจ ได้ 10 ล้านไม่ดีใจ เพราะอะไร? เพราะแกไม่ได้คิดว่าแกได้ 10 ล้าน แกคิดว่าแกเสีย 10 ล้าน
เรื่องยังไม่จบเท่านี้ วันรุ่งขึ้นแกก็หาย แกก็ไม่มาที่ตลาดหุ้น เพื่อนอาตมาก็เลยไปถามมาร์เก็ตติ้ง ว่าคุณป้าหายไปไหน ปกติแกมาทุกวัน มาร์เก็ตติ้งก็บอกว่า คุณป้าไม่สบายเข้าโรงพยาบาลแล้ว ทราบไหมว่าเข้าโรงพยาบาลเพราะอะไร? เข้าเพราะว่าได้แค่ 10 ล้าน โอ้ 10 ล้าน มันเยอะ แต่ก็อย่างที่บอก แกไม่ได้คิดว่าแกได้ 10 ล้าน แกคิดว่าแกเสีย 10 ล้าน ก็คงไม่ต่างจากลุงคนที่พูดเมื่อสักครู่นี้ พอลอตเตอรี่ของแกถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยฝีมือของแกเอง แกก็ใจหาย เสียใจ เพราะแกคิดว่าแกเสียเงิน สูญเสียเงินเป็นหลายล้านเลย แล้วแกก็ไม่ใช่แค่เครียดจนเข้าโรงพยาบาล แกบ้าไปเลย คนเราถ้าหากว่าแม้จะได้โชคได้ลาภ แต่ว่าวางใจไม่เป็น อันนี้ก็ไม่มีทางที่จะเป็นสุขได้ แถมจะเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก คือ ไม่ถูกเลยจะดีกว่า หรือว่าไม่ได้กำไรจากการขายหุ้นเลยอาจจะดีกว่าอีก ใจเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า การที่เรามาเรียนรู้เรื่องตัวเองนี้สำคัญมาก และการเรียนรู้เรื่องตัวเอง จะให้ดีก็ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติ การเรียนรู้ก็เรียนรู้ได้จากตำรา จากคำบรรยาย แต่เท่านั้นไม่พอก็ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วย แม้แต่วิชาทางโลกเราจะเรียนจากตำราก็ไม่ได้ เราต้องลงมือปฏิบัติ ไม่ว่าเราจะเรียนวิชาบัญชี สถาปัตย์ หรือว่าวิศวะ ยิ่งแพทย์ด้วยแล้วต้องปฏิบัติ การที่เราจะเรียนรู้เรื่องตัวเอง โดยเฉพาะเรียนรู้ถึงเรื่องจิตใจมันต้องผ่านการปฏิบัติ และที่เราปฏิบัติมา ไม่ว่ากี่วันก็แล้วแต่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจของเรา มันล้วนแล้วแต่เป็นความรู้ทั้งนั้นเลย ขอให้เราหมั่นสังเกต
การเรียนรู้เรื่องตัวเอง ไม่ได้อาศัยการคิดเอา อาศัยการปฏิบัติ และการปฏิบัติส่วนหนึ่งก็คือ การที่เราเฝ้าสังเกตจิตใจของเรา เฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจของเรา ไม่ว่าบวกหรือลบ การที่เราจะมีความรู้ได้ มันจะคิดเอาอย่างเดียวไม่พอ มันต้องเกิดจากการที่สังเกตด้วย
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้ได้อ่านบทความในหนังสือพิมพ์สารคดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักวิจัยลิงวอกบนภูเขา การวิจัยวิธีสำคัญก็คือการเฝ้าดูมัน เฝ้าดูมันตั้งแต่เช้า พอสว่างก็ต้องไปแล้ว มันนอนตรงไหน ก็คอยดูว่า ตื่นเช้าขึ้นมามันจะทำอะไร? แล้วเขาก็ตามมันไปเรื่อยๆ มันจะลงดินก็ตาม มันจะกระโดดอาศัยคาคบกิ่งไม้ไปไหนเป็นฝูง เขาก็จะตามไปเรื่อยๆ ตามไปตลอดทั้งวันจนกว่ามันจะหาที่นอนได้ ถึงจะหยุดตาม แล้วก็วันรุ่งขึ้นก็ตามใหม่ เรียกว่าแทบจะไม่มีเสาร์-อาทิตย์เลย และตราบใดที่มันยังวิ่ง ยังเล่น ยังเดินทาง เขาก็ต้องตาม บางทีไม่ได้กิน จนกว่ามันจะหยุดพัก หยุดพักตอนสายเขาถึงจะได้กินอาหาร หรือว่าหยุดพักตอนบ่ายถึงจะได้กิน แต่ถ้ามันเริ่มอพยพ หรือว่ามันเริ่มเดิน หรือว่าปีนป่ายต้นไม้ก็ต้องตามไปอีก เขาทำอย่างนี้เป็นปี ใช้สายตาสังเกต สังเกตพฤติกรรมของลิง ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ตาม และสังเกตลิง จนกระทั่งรู้ว่าลิงแต่ละตัวชื่อ หน้าตา เป็นอย่างไร สามารถจะระบุชื่อ สามารถจะตั้งชื่อให้ลิงแต่ละตัวได้ ให้เราดูภาพถ่าย ที่เขาถ่ายมา ลิงทุกตัวมันหน้าตาเหมือนกันหมดเลย แต่ว่านักวิจัยพวกนี้เขาบอกได้ว่า ลิงตัวนี้ ตัวผู้ตัวเมีย ชื่ออะไร เขาตั้งชื่อให้ การสังเกตของเขาตลอด เรียกว่าเช้าจรดค่ำ แล้วก็ทุกวัน มันทำให้เขามีความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของลิง
ใจเราก็เหมือนกัน เราจะรู้จักใจเราก็ต่อเมื่อเราสังเกตจิตใจของเรา ไม่ว่าในยามไหน เวลาไหน ไม่ว่าฟูหรือแฟบ ไม่ว่าดีใจ เสียใจ ไม่ว่าฟุ้งหรือสงบ บางคนไม่สามารถจะแยกแยะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจเราได้ โดยเฉพาะอารมณ์ฝ่ายลบ เช่น หงุดหงิด ขุ่นมัว โกรธ เศร้า อิจฉา พยาบาท เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้เยอะ คือไม่สามารถจะบอกอารมณ์ของตัวในขณะนั้นๆ ได้ว่า ตอนนี้รู้สึกยังไง มีอารมณ์อะไร ทั้งๆ ที่มันเกิดขึ้นกับใจเราอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าเราหมั่นสังเกต ผ่านการปฏิบัติ อย่างที่เรายกมือไป ขณะที่เรายกมือ ใจก็รู้ รู้ตัวว่ามือเคลื่อน แต่เดี๋ยวมันก็คิดไปโน่นคิดไปนี่ แล้วก็มีอารมณ์ตามมา เราก็สังเกต เราหมั่นสังเกตบ่อยๆ เราก็จะสามารถแยกแยะอารมณ์ได้ว่า มันมีอารมณ์อะไรบ้าง
คนไทยฉลาดในการแยกแยะอารมณ์มาก ตั้งแต่ ก-ฮ มันมีอารมณ์ชนิดต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ ก เช่น กลุ้มใจ โกรธ กลัว ไปจนถึง ฮ ฮึดฮัด เราจะมีคำที่ใช้เรียกอธิบายอาการต่างๆ ของอารมณ์หรือของใจอย่างละเอียดลออมาก ตั้งแต่ ก-ฮ เลยนะ แล้วแต่ละตัว บางทีก็มีหลายอารมณ์ เช่น ก ก็มีหลายอารมณ์ กลัว โกรธ กลุ้ม เกลียด แต่เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้แล้วว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไร หรือกำลังมีอารมณ์แบบไหน ถ้าถามก็จะตอบไม่ได้ จะตอบเป็นความคิดหมดเลย อันนี้เพราะเราไม่ค่อยได้สังเกตดูอารมณ์ของเรา ไม่ค่อยได้สังเกตดูใจของเรา
แต่ถ้าสังเกตดูใจของเรา มันไม่ใช่จะเป็นประโยชน์ในการแยกแยะอารมณ์ แต่มันจะทำให้เรารู้ว่า อ้อ อารมณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นจากอะไร แล้วเราจะเห็นต่อไปกระทั่งว่า ความสุขหรือความทุกข์ สุดท้ายอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งอื่น อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด สำเร็จได้ที่ใจ คำว่า ธรรมทั้งหลายก็รวมถึงความสุขและความทุกข์ด้วย คนเราสุขหรือทุกข์สำคัญ ตัวการหรือปัจจัยที่สำคัญก็คือ จิตใจ ฉะนั้นถ้าเราหมั่นสังเกตจิตใจของเราดีพอเราจะพบว่า ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น เป็นเพราะว่าใจเราปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำ ปล่อยให้ความโกรธ ปล่อยให้ความเกลียด และที่ความโกรธ ความเกลียด หรือความเศร้าเกิดขึ้นได้ เพราะว่ามันคิดไม่เป็นที่เป็นทาง ขณะที่ยกมือสร้างจังหวะ ขณะที่เดินจงกรม ขณะที่ฟังคำบรรยาย ใจมันคิดไปแล้ว และถ้าเกิดคิดในเรื่องที่เป็นอดีตที่เจ็บปวด ก็ทุกข์ ก็โกรธ ก็เศร้า หรือถ้าเผลอคิดไปถึงเรื่องงานการที่ยังค้างคาอยู่ก็เกิดความวิตกกังวล ไม่ว่าจะกินอาหารอร่อย ฟังเพลงเพราะ แต่ถ้าใจมันคิดไปอดีตบ้าง ไปอนาคตบ้าง มันไม่อยู่กับปัจจุบัน จะมีความสุขใจได้อย่างไร?
แล้วคนเราถ้าหากว่าเรารู้จักจิตใจดีพอและสามารถที่จะรักษาใจไว้ได้ แม้จะเจอความทุกข์เช่น เจ็บป่วย แต่ว่าใจก็ยังเป็นสุขได้ มีผู้หญิงคนหนึ่งพูดไว้น่าสนใจ เธอเป็นมะเร็ง และหลังจากที่ทุกข์กับมะเร็งมาเป็นปีๆ เธอพบความจริงอย่างหนึ่งว่า มะเร็งไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป ความทุกข์ใจต่างหากที่มันทำ มะเร็งไม่เคยทำอะไร ไม่เคยทำให้ ไม่เคยทำให้เราเป็นทุกข์เลย มะเร็งไม่เคยทำให้เราเป็นทุกข์ใจเลย มะเร็งมันเพียงแต่ทำให้เกิดความไม่สะดวกหรือว่าเกิดความทุกข์ทางกาย คนเราจะยิ้มหรือไม่ มันไม่ใช่เป็นเรื่องของอะไรเลย มันเป็นเรื่องของจิตใจ และเธอบอกว่ามะเร็งไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของคุณหายไป ความทุกข์ใจต่างหาก และที่ทุกข์ใจเพราะอะไร? ทุกข์ใจเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ ตอนที่เธอยอมรับความจริงไม่ได้ ว่าเป็นมะเร็ง ทุกข์มากเลย รอยยิ้มหดหายไปเลย
แต่พอเธอได้หันมาฝึกปฏิบัติอย่างที่พวกเราทำ ไม่ได้ทำแค่ 2-3 วัน แกก็ฝึกปฏิบัติเป็นปี จนกระทั่งพบว่า อ๋อ ไอ้ที่เราทุกข์ หรือความทุกข์ใจ มันก็เกิดขึ้นจากใจที่ไม่ยอมรับ เธอพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า ในขณะที่หลายคนคิดว่าความจริงนั้นโหดร้าย ความจริงนั้นโหดร้ายก็หมายความว่า ป่วยด้วยโรคร้ายบ้าง หรือว่าสูญเสียพลัดพรากจากคนรัก อกหักบ้าง อันนี้เรียกว่าเป็นความจริงที่โหดร้ายสำหรับบางคน ในขณะที่หลายคนคิดว่าความจริงนั้นโหดร้าย แต่การไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่โหดร้ายกว่า เพราะมันเหมือนคุกที่ขังใจเราเอาไว้ คนที่จะพูดแบบนี้ได้ ต้องเกิดจากการที่เขาเฝ้าดูจิตใจของเขาจนพบว่า อ้อ ตัวการที่ทำให้เราทุกข์ใจ มันไม่ใช่มะเร็ง แต่มันคือใจที่ไม่ยอมรับต่างหาก
ถ้าไม่มาสังเกตใจเรา หรือไม่รู้เรื่องตัวเอง มันไม่มีทางที่จะเห็นแบบนี้หรอก แต่พอเห็นปุ๊บ มะเร็งทำให้เขาทุกข์ใจไม่ได้แล้ว และที่จริงมะเร็งไม่เคยทำให้เขาทุกข์ใจเลย มะเร็งมีแต่ทำให้ทุกข์กาย เขาพบความจริงว่า เป็นเพราะใจที่วางไว้ผิด ใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ปฏิเสธผลักไสไม่ยอมรับความจริงต่างหาก ฉะนั้นการรู้จักตัวเองนั้นสำคัญ เพราะว่าจะเป็นกุญแจที่จะไขให้ใจเราพบกับอิสระ หรือว่าพบกับความสุขได้ แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาก็ตาม ฉะนั้นการรู้จักตัวเอง หรือการรู้จักใจของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่ปรารถนาความสุข และต่อไปความสงบก็จะมาเอง จะมาจากการที่ใจไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธ ไม่บ่น ไม่โวยวาย เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับเรา ความสงบมันมา มันเป็นผลพลอยได้เมื่อเรารู้จักตัวเอง เรารู้จักจิตใจของเรา และรักษาใจของเราให้ดี