แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีพิธีกรสารคดีรายการโทรทัศน์คนนึง ตัวเขาเองนี่เป็นนักเขียนที่มีชื่อพอสมควรชื่อนิ้วกลม พิธีกรสารคดีโทรทัศน์เขาก็ทำอยู่หลายเรื่องมีคราวนึงก็ไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปทำสารคดีเกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ได้ไปที่วัดเซน แล้วก็สัมภาษณ์เจ้าอาวาส มีคราวนึงเขาก็ถามเจ้าอาวาสว่าอะไรคือสิ่งที่กั้นขวางความจริง อะไรคือสิ่งที่กีดขวางไม่ให้เราเข้าถึงความจริง เจ้าอาวาสก็หลับตาคิดสักพัก แล้วก็พูดขึ้นมาว่าคุณช่วยตอบคำถามนี้หน่อยนะว่า อะไรคือลมหายใจ ลมหายใจคืออะไร นิ้วกลมก็ตอบว่าลมหายใจก็คือความปกติครับ เจ้าอาวาสท่านก็ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า บอกว่าไม่ใช่ ลมหายใจคืออันนี้ต่างหากแล้วท่านก็หายใจเข้าแล้วก็ปล่อยลมหายใจออกมา สิ่งที่ท่านทำเนี่ยไม่ใช่เพียงแค่ตอบแค่ว่าลมหายใจคืออะไรเท่านั้นนะ แต่เป็นการตอบคำถามของนิ้วกลมด้วย นิ้วกลมถามว่าอะไรคือสิ่งที่กั้นขวางความจริง ท่านเจ้าอาวาสท่านต้องการบอกว่า ความจริงเนี่ยเราจะรู้จักได้ก็ด้วยการสัมผัส อยู่ที่การสังเกต อย่างเช่นลมหายใจคืออะไร ก็ลองสังเกตดู ลมหายใจที่เข้าแล้วออกหรือลองสัมผัสดูนะ ท่านต้องการตอบเป็นนัยๆ ว่า สิ่งที่กีดขวางความเป็นจริงก็คือความคิด ความคิด ท่านถามว่าลมหายใจคืออะไร คำตอบของนิ้วกลมเป็นความคิดนะ ลมหายใจคือความปกติครับ นั่นยังไม่ใช่ลมหายใจนะ ลมหายใจทุกคนก็รู้ได้ เพียงแค่เราสังเกตหรือสัมผัส แต่ถ้าตอนนั้นใจเราคิดนู่นคิดนี่ แม้นมีลมหายใจหรือหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ก็คงไม่รู้ว่าลมหายใจคืออะไร หรือไม่สามารถจะรับรู้ลมหายใจได้ ถ้าใจลอยคิดนู่นคิดนี่ งั้นความจริงเนี่ยนะมันต้องเกิดจากสัมผัสด้วยตัวเอง สัมผัสด้วยใจ หรือจะรู้จักได้ด้วยการทำ
การที่เราจะรู้จักความรู้สึกตัวมันก็เหมือนกันนะ มันคิดเอาไม่ได้ต้องสัมผัส สัมผัสด้วยใจของเรา บางครั้งเราก็ไม่สามารถจะไปสัมผัสหรือรู้จักความรู้สึกตัวได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเราถูกความคิดมันลากพาไป ใจมันไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้วมันจะไปรู้สึกตัวได้อย่างไร แต่บ่อยครั้งที่อยากจะรู้สึกตัวแต่ก็ไม่ได้ใช้ใจสัมผัสนะแต่ว่าไปใช้ความคิดนะมากำกับอย่างเช่นเวลาเดินจงกรมหรือว่ายกมือสร้างจังหวะหรือว่าแม้แต่ตามลมหายใจ บางคนก็มีการบริกรรมไปด้วยนะ หายใจเข้าหายใจออก หรือว่านับหนึ่งสอง หรือว่าพุทโธ หรือเวลายกมือก็มีการพากย์นะว่ายก แตะหน้าอก เลื่อนมาที่หน้าอกหรือว่าผายออกมันมีคำพูดกำกับ ซึ่งทำให้เราเนี่ยทำให้ใจเนี่ยมันไม่สามารถจะสัมผัสรับรู้ความรู้สึกตัวได้ เหมือนกับว่าเราจะสัมผัสหรือว่าพิจารณาจะเป็นเพชรก็ดี จะเป็นไม้ก็ดี เราใส่ถุงมือนะ ใส่ถุงมือไปแตะมันก็ไม่สามารถจะรับรู้ถึงพื้นผิวของสิ่งที่เราสัมผัสได้ มันต้องใช้มือ มือเปล่าๆ ไปแตะเอา การทำความรู้สึกตัวมันเป็นอย่างนั้นหรือการที่เราจะรู้จักการรู้สึกตัวก็คือให้ใจไปสัมผัสไปรับรู้ ไปสัมผัสกับสภาวะความรู้สึกตัว วางความคิดนะวางความคิดลง จะเรียกว่าเห็นก็ได้นะเห็นสภาวะความรู้สึกตัว จากการที่ได้สัมผัสว่าพอเรารู้สึกตัวแล้วเออมันมีอาการอย่างไร มันรู้สึกตื่น รู้สึกโปร่งโล่ง รู้สึกเบา
ตอนนั้นเนี่ยไอ้ความหนักอกหนักใจหนักหัวมันก็หายไป หรือถึงยังมีอาการปวดอาการเมื่อยแต่ว่าพอเรามีความรู้สึกตัวแล้วเนี่ยนะมันก็จะมีอาการอีกแบบหนึ่ง มันเป็นภาวะที่เบากว่าตอนที่ไม่รู้สึกตัว เพราะตอนนั้นอาจจะหงุดหงิด อาจจะมีความไม่พอใจ มีความยินร้ายกับความปวดความเมื่อย ไม่พอใจมันกังวล แต่พอรู้สึกตัวปุ๊บนี่ไอ้ส่วนที่มันเป็นความยินร้าย ส่วนที่เป็นความวิตกก็หายไป ใจก็โล่ง ถึงแม้ว่ายังมีความปวดความเมื่อยแต่ว่ามันให้ความรู้สึกคนละแบบ อย่างการปฏิบัติการทำความรู้สึกตัวแบบที่หลวงพ่อเทียนทำเนี่ยท่านเรียกว่าให้ใจมันไปรับรู้ไปสัมผัสความรู้สึกตัวตรงๆ ความรู้เนื้อรู้ตัวตรงๆ ไม่ต้องมีความคิดมาพ่วงหรือมาเป็นสื่อ ไม่ต้องมีการพากย์ การพากย์ในหัวก็เป็นความคิดแบบหนึ่ง ไอ้การบริกรรมเขามีวัตถุประสงค์อีกแบบนึงบริกรรมเพื่อให้จิตมันมามันนิ่งอยู่กับที่มันไม่ไปไหน จึงใช้คำบริกรรมพุทโธบ้าง หนึ่งสองบ้าง แต่ว่าถ้าจะให้ใจมันไปรับรู้ลมหายใจจริงๆ มันต้องวาง วางทั้งหมด ไม่ต้องคิดอะไรให้ใจไปสัมผัส ก็จะรู้ว่าอ้อใจลมหายใจเป็นอย่างนี้มันเป็นการสัมผัสที่เต็มร้อย เหมือนกับเราสัมผัสไม้ด้วยมือเปล่า สัมผัสเสา สัมผัสผ้า สัมผัสไหมด้วยมือเปล่า มันต่างจากการสัมผัสโดยสวมถุงมือ ประมาณนั้น จะบริกรรมก็ได้แต่บริกรรมเพื่อให้จิตมันสงบนะแต่ไม่ใช่เพื่อให้เรารู้สึกตัวเต็มร้อย วัตถุประสงค์มันต่างกัน ในบางครั้งเราก็ต้องการความสงบ แต่ว่าการทำความรู้สึกตัวมันก็เป็นสิ่งที่เราควรจะทำ แล้วก็ควรจะทำด้วยความคล่องแคล่วด้วย
สมัยนี้ยากนะที่คนเราจะรับรู้อะไรต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ความคิด มันคิดไปทุกเรื่องทั้งๆ ที่บางอย่างมันไม่จำเป็นเลย เช่น ความอร่อยเนี่ยนะ ความอร่อย อาหารอร่อยหรือความไพเราะมันไม่ต้องใช้ความคิดนะ กินอาหารเราจะสัมผัสรสชาติไม่ต้องใช้ความคิด ทิ้งไปเลยเราจึงจะสัมผัสกับรสชาติได้ แต่พอสัมผัสเสร็จมันคิดต่อนะอร่อย คิดต่อไปแล้วเออเราจะไปหาสูตรนี้มาจากไหน หรือว่าทำไมรสชาติไม่เหมือนกับที่บ้านของเราหรือที่นั่นที่นี่อันนี้คิดไปแล้ว พออร่อยปุ๊บก็คิดต่อเลย พอคิดต่อปุ๊บเนี่ยไอ้การจะสัมผัสรับรู้รสชาติมันก็พร่องไปแล้ว อย่างที่บอกนะคนสมัยนี้เนี่ยใช้ความคิดมากเพราะฉะนั้นเวลาจะทำความเข้าใจกับอะไรก็ตามมันพยายามใช้ความคิดเป็นตัวนำ แม้แต่เวลาเจริญสติก็พยายามคิดว่าเอ๊ะนี่คือสติหรือเปล่าน้อ แม้กระทั่งเวลาให้วางความคิดก็อดคิดไม่ได้ว่าเอ๊ะนี่เรากำลังคิดอยู่หรือเปล่าหรือตอนนี้เราไม่ได้คิดแล้ว ใช้ความคิดอยู่ตลอดในการทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ พอมาปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นการสัมผัสรับรู้ด้วยใจบางทีก็อึดอัดแต่พอเราเริ่มที่จะสัมผัสมันโดยไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องสรุป ไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจ เข้าใจมีสองแบบ เข้าใจที่ความคิดกับเข้าใจด้วยความรู้สึก อย่างเวลาเราบอกว่าเออ เวลาคุยกับใครเนี่ยโดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์พยายามเข้าใจเขา หลายคนก็พยายามนึกว่าเข้าใจว่าเขาพูดอะไร เขากำลังบอกอะไร อันนั้นเป็นความเข้าใจด้วยความคิด เราสามารถจับประเด็นได้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ กำลังทุกข์เรื่องอะไร อันนั้นยังไม่พอต้องเข้าใจด้วยความรู้สึก คือเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร เขากำลังโกรธ เขากำลังโมโห เขากำลังวิตก ซึ่งตรงนี้บางครั้งมันเฉลย มันให้คำตอบที่ดีกว่าในการทำความเข้าใจคนที่อยู่ต่อหน้า
อันนี้เรียกว่าเข้าใจด้วยความรู้สึก ไม่ใช่เพียงแค่เข้าใจเพียงว่าเขาพูดอะไร เขาคิดอะไร เขากำลังบอกอะไรแต่กำลังเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร ตรงนี้เป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ทำได้ยากเพราะว่าใช้ความคิดมากเกินไป ถึงเวลาจะใช้อารมณ์นะ ถึงเวลาจะใช้ความรู้สึกก็กลายเป็นอารมณ์ซะ คือพอฟังเขาแล้วก็เกิดความเศร้า เศร้าแล้วก็เลยจมในความเศร้า กลายว่าไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้อย่างแท้จริงว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร เพราะใจเรามันเป๋ไปซะแล้วนะ ที่เขาบอกว่าคนสมัยนี้อยู่ด้วยความรู้สึกก็เป็นอย่างนี้คือปล่อยให้อารมณ์มันครอบงำ บางครั้งเราก็ไม่ได้ใช้เหตุใช้ผล ใช้ความคิดในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ใช้ความรู้สึกเช่น เวลากินอาหารก็เอาความรู้สึกคือชอบ ชอบก็กินทั้งที่มันเป็นโทษต่อร่างกายหรือว่าทั้งที่ร่างกายมันรับไม่ไหวเพราะว่าป่วย อย่างเช่นเบาหวาน เห็นของหวานของโปรดก็อยากกินอันนี้เรียกว่าใช้ความรู้สึก แต่เป็นความรู้สึกในเชิงสุขเวทนา ใช้สุขเวทนาเป็นตัวนำ ไอ้ส่วนความรู้สึกที่เราพูดกันมันเป็นอีกแบบนึงนะ พยายามวางความคิดให้ใจไปรับรู้สิ่งต่างๆ เวลาถามว่าเอ้อ เวลาบอกว่าทำความรู้สึกตัวนะก็อย่าเพิ่งไปคิดว่าความรู้สึกตัวคืออะไร พอคิดแบบนี้เข้ามันก็จะหาคำตอบด้วยการใช้ความคิด เข้าไปรับรู้เลย อย่างที่พระเซนท่านถามว่าลมหายใจคืออะไร พอไปตอบด้วยความคิดมันก็หลุด มันก็ไหล มันก็คลาดเคลื่อนออกจากความจริงหรือหนีห่างจากความจริง อันนี้เรียกว่าสิ่งกีดขวางความจริง อยาจะรู้ลมหายใจคืออะไรก็สัมผัสหรือสังเกตดู เวลาเราสัมผัสหรือสังเกตดูลมหายใจเราก็รู้ว่าลมหายใจคืออะไร โดยที่ไม่จำเป็นต้องตอบเป็นคำพูด คำตอบบางครั้งมันไม่จำเป็นต้องออกมาเป็นคำพูด มันเป็นประสบการณ์ เพราะบางทีมันก็ตอบยาก เช่น อร่อย รสชาติอาหาร คำว่าอร่อยเนี่ยมันก็กว้างนะเวลาเราไปกินอาหารชนิดนึงเนี่ยนะบางทีก็ตอบยากว่ารสชาติมันเป็นยังไง เราก็ตอบได้แค่ว่ารสชาติมันอร่อยมันหวาน มันเปรี้ยว
แต่ว่าความหวานความเปรี้ยวในความรู้สึกหรือประสบการณ์ของเรา คนอื่นถ้าไม่เคยได้สัมผัสความหวานความเปรี้ยวแบบนั้นมาก่อนมันก็ตอบยากนะ มันก็เป็นเพียงแต่รู้นัยๆ คำพูดของเรามันก็เป็นเพียงแค่นิ้วที่ชี้ไปยังดวงจันทร์ แต่มันไม่ใช่ดวงจันทร์นะ ข้อจำกัดของคำพูดซึ่งเกิดจากการเรียบเรียงด้วยความคิดเนี่ยนะ แม้จะพูดถึงประสบการณ์พูดถึงสภาวะไม่ต้องไกลตัวนะแค่ความอร่อยมันก็บอกมาได้ไม่หมดมันเป็นแต่ชี้ เป็นแต่นิ้วชี้เหมือนกับที่เรียกว่าชี้ไปยังดวงจันทร์ คำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนกับนิ้วชี้ชี้ ไปยังดวงจันทร์แต่ไม่ใช่ดวงจันทร์ คำพูดของเราที่พรรณนาความหวาน ความเปรี้ยวมันไม่สามารถทำให้เราสัมผัสความจริงได้หรือสัมผัสประสบการณ์นั้นได้ มันเป็นแต่ชี้เท่านั้นเอง บางครั้งความคิดมันก็มาในรูปเหตุผลนะ เหตุผลก็เป็นตัวกีดขวางความจริงเหมือนกัน บางทีก็ทำให้เขวนะ อย่างที่เคยเล่าผู้หญิงสองคนเดินข้ามสะพานลอยตรงแถววงเวียนใหญ่ตอนเช้าเดินไปถึงกลางสะพานลอย คนที่ชื่ออ้วนก็ชี้ให้เพื่อนดูว่าข้างหน้ามีธนบัตรอยู่สามใบเป็นแบงค์พัน เขาชี้ให้ดูแล้วเขาก็บอกว่ามันไม่ใช่ความจริงหรอก มันไม่ใช่ความจริง มันไม่ใช่แบงค์จริงหรอกเพราะถ้าเป็นแบงค์จริงคนก็หยิบไปแล้ว แต่เพื่อนอีกคนที่เดินมาด้วย ก็แทนที่จะหยุดก็เดินต่อแล้วไปหยิบเอาแบงค์สามพันนั้น ปรากฎว่ามันเป็นแบงค์จริง มันเป็นแบงค์จริง เขาก็เลยได้สามพันเปล่าๆ แต่เขาก็มีน้ำใจนะ เขาก็แบ่งให้เพื่อนที่ชื่ออ้วนไปพันห้า
อันนี้ก็อะไรทำให้คนที่ชื่ออ้วนเขาไม่สามารถจะมองเห็นความจริงได้ว่าไอ้แบงค์นั้นคือแบงค์จริง เหตุผล ซึ่งเหตุผลก็ฟังดูดีนะ ถ้ามันเป็นแบงค์จริงก็ต้องมีคนหยิบไปแล้วมันไม่โผล่ไม่มาอยู่ตอนนี้หรอก ฟังดูก็ ก็ดูมีเหตุผลนะ ที่จริงมันเป็นเหตุผลเลยแหละแต่ว่ามันทำให้อ้วนเขาไม่สามารถที่จะเห็นความจริงนะว่าไอ้แบงค์เนี่ยมันจริง ส่วนเพื่อนเขาไม่สนใจนะไม่สนใจเหตุผลต้องไปดูด้วยตา ต้องไปมองด้วยตา มองด้วยตาก็รู้ว่าเป็นแบงค์จริง ไอ้ความจริงเราจะรู้ได้ต้องสังเกตหรือว่าสัมผัส ไม่ใช่คิดเอาหรือใช้เหตุใช้ผลเป็นตัวนำ เหตุผลบางทีก็กีดขวางความจริง ท่านติช นัท ฮันห์ เคยเล่านะมีพ่อลูก ลูกก็ยังเล็ก เข้าใจว่าเมียตาย เมียตายก็เหลือแต่พ่อกับลูก ลูกก็อายุสักสองสามขวบ สี่ห้าขวบได้ ก็ไปทำไรอยู่ในชายป่า วันนึงพ่อก็ออกไปเข้าไปในเมือง ก็ให้ลูกเฝ้าอยู่ให้ลูกอยู่บ้านกลับมาเนี่ยหลายชั่วโมงต่อมาก็กลับมาถึง ปรากฎว่าบ้านถูกไฟไหม้ ส่วนพวกวัวพวกควายก็หายไปเขาก็ตกใจรีบวิ่งไปที่บ้านตอนนี้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วเรียกหาลูกก็ไม่เห็น ระหว่างที่ค้นซากปรักหักพังอยู่ก็ไปเห็นโครงกระดูกเห็นกะโหลกเขาก็ร้องไห้เพราะว่าได้พบศพลูกอยู่ท่ามกลางกองเถ้าถ่าน ร้องไห้เสียใจอยู่นานทีเดียวแล้วก็เก็บกระดูกของลูกเอาไว้ ตอนหลังเขาก็ย้ายหลายปีต่อมาเขาก็ย้าย ย้ายไปทำไร่ทำนาที่อื่นไกลทีเดียวข้ามเมืองไปเลย ผ่านไปหลายปีกลางคืนกลางดึกก็มีเสียงเคาะประตูเขาก็ถามว่าใคร คนที่อยู่หน้าประตูคนที่อยู่ข้างนอกก็บอกว่าพ่อๆ ผมไงแดง ผู้ชายคนนั้นก็พูดออกมาว่าแกไม่ใช่ลูกฉัน ลูกฉันตายไปนานแล้ว อย่ามาหลอกฉัน พ่อผมแดงจริงๆ พ่อเปิดประตู พ่อเปิดประตู แต่เขาก็ไม่ยอมเปิดเขาก็ยืนอยู่นั่นแหละว่าลูกเขาตายไปนานแล้วเขาเก็บกระดูกลูกด้วยมือเขาเอง ส่วนคนที่อยู่ข้างนอกก็พยายามอธิบาย พยายามบอกว่าเขาเป็นลูกชื่อแดง แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมเปิดประตู สุดท้ายชายที่อยู่นอกบ้านก็เสียใจแล้วก็เดินหายไป จริงๆ แล้วเนี่ยผู้ชายคนนั้นก็คือแดงคือลูกของคนที่อยู่ในบ้านจริงๆ
ตอนนั้นเนี่ยตอนที่เกิดเหตุมีฝูงโจรนั้นมาลักโขมยมากวาดต้อนเอาวัวควายแล้วก็เผาบ้านแล้วก็ตั้งใจจะลักเอาเด็กไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าไอ้โครงกระดูกไอ้ซากไอ้เถ้าถ่านเป็นอะไรเป็นใครนะ แต่มันไม่ใช่เป็นกระดูกของแดง แดงนี่ถูกโจรจับตัวไปแล้วก็เลี้ยงดูจนเป็นหนุ่มตอนหลังเขาก็หนีออกมาแล้วก็ตามหาพ่อ แล้วก็ตามเจอหาเจอว่าพ่อย้ายไปอยู่ที่ไหนแต่ว่าเมื่อไปถึงแล้วพ่อไม่เปิดประตูรับเพราะอะไร เพราะพ่อเนี่ยเชื่อว่าหรือคิดเอาว่าแดงตายไปแล้ว แดงตัวจริงมาอยู่หน้าบ้านแล้วเป็นแดงที่พ่อรักผูกพันแต่พ่อไม่ยอมเปิดประตูรับแดง เพราะอะไร เพราะคิดว่าแดงตายแล้ว แดงในที่นี้ก็เปรียบเหมือนความจริงนะ ความจริง ประตูนั้น บ้านก็คือเหมือนกับใจนั่นแหละ ใจของพ่อไม่เปิดรับความจริงก็เพราะเชื่อว่าแดงหรือลูกของตัวตายไปแล้ว อันนี้ก็เป็นอุปมาที่ดีนะที่ชี้ให้เห็นที่บอกว่าบางครั้งความจริงก็มาถึงต่อหน้าต่อตาไม่ต้องไปหาที่ไหนมาเองเลยความจริงแต่ว่าใจไม่เปิดเพราะมันมีความคิดมีความเชื่ออันนึงสรุปเอาไว้แล้ว แล้วก็บังเอิญไม่ตรงไม่สอดคล้องกับความจริงที่มันปรากฎอยู่ข้างหน้า แล้วเราก็เลือกที่จะปฏิเสธความจริงเพราะเราไปยึดเอาความคิดหรือความเชื่อ ที่จริงเนี่ยมันไม่ใช่แค่ความจริงล้วนๆ ความจริงลอยๆ อย่างเดียวนะ สิ่งที่เรียกว่าโชค สิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จก็คล้ายๆ กันนะบางทีมันมาอยู่ข้างหน้าแล้วแต่ใจไม่รับเพราะมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งที่มันไม่สอดคล้องกัน สตีฟ จ็อบส์สมัยที่เขายังไม่ดังอายุแค่สิบเก้ายี่สิบเขามีเพื่อคู่หูคนนึงชื่อวอซเนียก วอซเนียกฉลาดเป็นอัจฉริยะก็ว่าได้ เขาเป็นคนคิดแผนผังคอมพิวเตอร์ซึ่งตอนหลังเราเรียกว่าแอปเปิ้ลนะเป็นพีซีรุ่นแรกๆ เลย แต่ก่อนคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องใหญ่เป็นเมนเฟรมหรืออย่างมากเล็กที่สุดก็แค่มินิคอมพิวเตอร์เป็นระดับกลางแต่ไม่ใช่พีซี วอซเนียกก็ตอนแรกที่เขาคิดวงจรได้ เขาก็นำไปเสนอขาย นำไปเสนอให้กับเจ้านายของเขาที่บริษัท ก็คือบริษัทฮิวเล็ทแพ็คการ์ด
ฮิวเล็ทแพ็คการ์ดตอนนั้นก็ทำคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่คู่แข่งไอบีเอ็ม ก็ไปนำเสนอเพื่อขายไอเดียแล้วก็คิดว่าถ้าบริษัทซื้อเขาคงได้ค่าลิขสิทธิ์อะไรทำนองนั้น แต่ซีอีโอก็ปฏิเสธบอกว่าใครกันเขาจะต้องการคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กๆ ใครเขาจะเอาไว้ใช้ในบ้าน คอมพิวเตอร์ต้องเป็นเครื่องใหญ่ ใช้คอมพิวเตอร์ในบ้านใครเขาจะซื้อกัน ปฏิเสธไปนะปรากฎว่าที่เหลือก็เป็นประวัติศาสตร์เพราะว่าพอเอาไปขายไม่ได้ก็ทำเองซะเลยเครื่องราคาก็ไม่แพงนะ ทีแรกเครื่องก็อาจจะใหญ่หน่อยแต่ข้อดีคือมันใช้เมาส์ มันเริ่มใช้เมาส์ แล้วก็การประมวลผลไม่ต้องใช้แผ่นกระดาษที่มันออกมาเป็นแถบยาวๆ เวลาคีย์ข้อมูลไม่ต้องใช้แผ่นไม่ต้องเจาะกระดาษ สมัยก่อนสี่สิบปีก่อนจะคีย์ข้อมูลต้องเจาะกระดาษ กระดาษก็เท่าฝ่ามือไม่รู้พวกเราเคยเห็นหรือเปล่า อาตมาเคยเห็นเจาะกระดาษเข้าไปแล้วก็เอากระดาษนั้นเสียบเข้าไปเครื่องก็จะเริ่มอ่าน วอซเนียกบอกว่าทำอย่างนั้นทำไมคีย์เลย คีย์เข้าไปเลยแล้วเวลาให้มันแสดงผลก็แสดงทางมอนิเตอร์ไม่ต้องปริ๊นท์ออกมาเป็นกระดาษอ่าน ดูทางจอเลย ใช้เมาส์ด้วย ไม่เอานะ ก็เลยเป็นที่มาของแอปเปิ้ล ทำเองเลยนะ ปรากฎว่ากลายเป็นคู่แข่งสำคัญของฮิวเล็ทแพ็คการ์ด อันนี้ก็เรียกว่าบางทีโชคก็มาต่อหน้าแล้วแต่เราก็ปฏิเสธเพราะเราก็มีความคิดอย่างนึงที่มันไม่ตรงกับสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า หลายคนบอกไม่มีโชค ไม่มีโชค ที่จริงโชคมันมาแล้วแต่ไม่เห็นหรือไม่รับเอง ความสุขก็เหมือนกันนะ หลายคนบอกไม่มีความสุขแต่ที่จริงความสุขมันมาแล้วแต่เราปฏิเสธใจไม่รับ บางทีความสุขก็อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง อยู่รอบตัวเรานี่เอง ลมพัดมาเบาๆ เสียงนกร้อง นั่นมันเป็นความสุขที่ไม่ต้องไปหาที่ไหนแต่ว่าใจไม่รับ
อย่างที่เพื่อนคนนึงเนี่ยที่เขาเป็นคนขยันทำงานมากทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ วันนึงไส้เลื่อนต้องไปผ่า ผ่าเสร็จก็ต้องพักฟื้นโรงพยาบาลสองวันแล้วมาพักฟื้นที่บ้านอีกอาทิตย์นึง เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ทำงานทำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องนั่งหรือไม่ก็นอนพัก มีวันนึงระหว่างตอนที่พักฟื้นที่บ้านตอนบ่ายๆ ก็ไปนั่งอยู่ที่ระเบียง บ่ายแก่ๆ แล้ว สักพักก็ได้ยินเสียงนกร้อง ทีแรกก็ตัวนึงตอนหลังก็สองตัว ทีแรกก็นกเขาตอนหลังนกชนิดอื่นก็มากัน ร้องประสานเสียงเป็นเสียงที่ไพเราะมาก เขาฟังแล้วก็น้ำตารื้นมีความสุขมาก มีความสุข สักพักก็นึกขึ้นมาได้เอ๊ะไอ้เราอยู่บ้านนี้มาตั้งแต่ลูกยังเล็กสองสามขวบตอนนี้ลูกเรียกมหาวิทยาลัยแล้วทำไมเพิ่งได้ยินเสียงนกร้อง นกมันเพิ่งร้องหรือเปล่า ไม่ใช่ นกมันร้องมาทุกวัน นกมันร้องมานานแล้ว แต่ทำไมไม่ได้ยินก็เพราะว่าใจเนี่ยมันไม่ได้เปิดรับนะใจมันคิดโน่นคิดนี่ คิดสารพัด คิดเรื่องงานคิดเรื่องวางแผน มันก็เลยไม่สามารถจะว่างพอที่จะรับความสุขที่เกิดจากนกร้องได้ใจมันไม่เปิดรับเสียงร้องของนก ความสุขมันก็เลยไม่สามารถจะซึมหรือเข้าสู่ใจได้ บางทีไม่ใช่เฉพาะความคิดเท่านั้นที่กีดขวางความจริง ความคิดบางครั้งก็กีดขวางความสุขด้วย ความคิดในที่นี้บางครั้งก็ยังหมายถึงมุมมองด้วยนะ การที่ไปจดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่าง
อย่างซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่งตอนนี้ก็เป็นอดีตโค้ชทีมชาติไปแล้ว สมัยที่เขาเป็นนักฟุตบอลเมื่อยี่สิบปีก่อนเขาเป็นซุปเปอร์สตาร์เลย ตอนหลังก็ได้รับเชิญให้ไปแข่งบอลอาชีพที่เวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ ก็ประสบความสำเร็จมาก ทีมที่เขา สโมสรที่เขาเล่นได้แชมป์ทุกสโมสรเลย ตอนหลังสโมสรอังกฤษดิวิชั่น 1 สมัยนั้นยังเป็นดิวิชั่น 1 อยู่ ยังไม่มีพรีเมียร์ลีกก็มาซื้อตัวเขาไปก็เป็นข่าวใหญ่ในเมืองไทย คนไทยก็อยากเห็นนักฟุตบอลไทยได้แข่งลงสนามที่อังกฤษนะ ตอนนั้นคนไทยยังไม่มีใครมีปัญญาที่จะซื้อสโมสรอังกฤษอย่างเลสเตอร์ นี่ก็เป็นความฝันของซิโก้ที่จะได้ลงสนามที่ประเทศอังกฤษ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้ลงสนามซักทีเพราะเป็นตัวสำรองตลอดฤดูกาล เขากลุ้มมากเสียใจมาก ความฝันนี่มันไม่เป็นจริง บางวันก็ปวดหัว สุดท้ายก็ขอสิทธิ์หมดฤดูกาลก็กลับเมืองไทยเลิกแล้วไม่เอา รู้สึกว่าการไปอังกฤษครั้งนั้นมันล้มเหลว เสียเวลา ใครถามก็ไม่อยากจะพูด แต่ผ่านไปหลายปีแล้ว เวลามีคนถามเขาเรื่องไปอังกฤษครั้งนั้น เขากลับยิ้มแล้วบอกว่ามันไม่มีอะไรเลย มันไม่มีอะไร ผมมองไม่ออก มองไม่เป็นเอง แล้วเขาก็บอกว่าไปอังกฤษครั้งนั้นมันมีแต่ได้กับได้ ได้บ้าน ได้รถ ได้ภาษา ได้พัฒนาทักษะ ได้พัฒนาร่างกาย ได้พบคนหลากหลาย ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เดินทางท่องเที่ยวแล้วก็ได้สัมผัสลีกที่มีสีสันมากที่สุดในโลก เสียอย่างเดียวคือไม่ได้เล่น แต่ตอนนั้นเขาไม่เห็น ใจมันจมจ่อมอยู่กับเรื่องว่าฉันไม่ได้เล่นไม่ได้บรรลุความใฝ่ฝัน หลายสิ่งหลายอย่างดีๆ เกิดขึ้นกับเขาแต่เขามองไม่เห็น ใจไม่เปิดรับเหมือนกับมารออยู่หน้าบ้านแล้วใจไม่รับ ไม่เปิดประตูรับ พอผ่านไปหลายปีมานึกได้โอ้โฮที่เราไปครั้งนั้นได้มาเยอะแยะเลยนะ แต่ไม่เห็น มันไปเห็นแต่สิ่งที่ไม่ได้ ยังดีที่ได้มาเห็น ได้มารับรู้ แล้วก็ทำให้เปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับการไปอังกฤษครั้งนั้น
ที่พูดมาทั้งหมดก็จะชี้ให้เห็นว่าความคิดของเรามันมีประโยชน์หลายอย่างแต่มันก็สามารถเป็นสิ่งกีดขวางไม่ใช่แต่ความจริงเท่านั้น โชคหรือความสุขก็เหมือนกัน มันไม่ต้องไปรอไปหาความจริงก็ดี โชคก็ดี ความสุขก็ดี บ่อยครั้งมันมาอยู่ข้างหน้าเราแล้ว ที่จริงแม้กระทั่งความจริงขั้นสูงสุด อย่าว่าแต่ความรู้สึกตัวเลย แม้กระทั่งนิพพานนะมันก็ไม่ต้องไปหาที่ไหนอยู่ต่อหน้าเราแล้ว แต่ใจเราไม่เปิด เป็นจิตใจเราไม่เปิดเอง ท่านติช นัท ฮันห์ ท่านเปรียบว่าผู้ที่แสวงหานิพพานเหมือนกับปลาที่กำลังมองหาน้ำ ปลามันกำลังมองหาน้ำ มันก็อยู่กับน้ำอยู่แล้ว ทำไมมันต้องมองหาเพราะมันไม่รู้ว่ามันกำลังแหวกว่ายอยู่กลางน้ำหรือว่าอยู่ในน้ำ นิพพานมันอยู่ข้างหน้านี่เองนะแต่ไม่เห็นเพราะว่า ถ้าเป็นปลาก็เรียกว่ามันอยู่กับน้ำมาตั้งแต่เกิดนะ มันก็เลยไม่สังเกตไม่รับรู้ มันมีคำพูดว่านกไม่เห็นฟ้าปลาไม่เห็นน้ำแค่นี้ก็สอนใจคนเราได้ดี ที่ท่านติช นัท ฮันห์พูดน่าสนใจมากนะว่าคนที่แสวงหานิพพานก็เหมือนปลาที่มองหาน้ำ มันอยู่กับน้ำแต่มันไมเห็น ที่จริงไม่ต้องนิพพานนะ แม้กระทั่งโชค แม้กระทั่งความสุข เราก็อยู่กับความสุขเราก็อยู่กับโชคแต่เราไม่เห็น เช้านี้ก็พูดกันเท่านี้นะ กราบพระ