แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ช่วงนี้พระก็เหลือน้อยลงนะ เป็นธรรมดาจากทอดกฐินเสร็จแล้ว พระหลายรูปก็แยกย้ายกันไป ที่สึกหาลาเพศก็ไม่น้อย ที่ไปธุดงค์ ไปจาริก หรือว่าไปทำกิจธุระชั่วครั้งชั่วคราวก็มีอยู่ ออกพรรษาจริงๆก็คือตอนที่ทอดกฐินเสร็จแล้วนะ ถ้ายังทอดกฐิน...ยังไม่ได้ทอดกฐินนะ ถึงแม้ออกพรรษาไปก็ยังไม่ได้ว่าออกพรรษาที่แท้จริงนะ ออกพรรษาแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อทอดกฐินเสร็จแล้ว แต่บรรยากาศตอนนี้นะมันก็ยังคล้ายๆกับอยู่ในช่วงเข้าพรรษาอยู่เลยนะ ดินฟ้าอากาศมันยังไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นฤดูหนาวหรือว่าฤดูแล้ง อันนี้ก็เป็นธรรมดาของธรรมชาติของภูมิอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน แต่ก็ยังไงก็ให้ทำหน้าที่ของเราเหมือนเคยนะ ก็คือการปฏิบัติการเจริญสติ การดูจิตดูใจของเรา รวมทั้งการรู้จักใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา คือทั้งที่เราเข้าไปเจอ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้เดินสายไปบรรยายในที่ต่างๆหลายที่ หลายจังหวัด ทั้งเพชรบุรี ลำปาง ลำพูน ไปเชียงใหม่ แล้วก็ระยอง จากระยองก็ต่อไปหาดใหญ่ แล้วก็เลยไปยังปีนังเลย ปีนังนี่มันอยู่ในประเทศมาเลเซียนะ แต่ว่าเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกทีเดียว จากหาดใหญ่ไปสะเดาก็ชั่วโมงนึง จากสะเดาซึ่งเป็นชายแดนก็ต่อไปปีนังอีกสองชั่วโมง พอๆกับกรุงเทพนะ ปากช่อง หรือกรุงเทพ-โคราช เป็นครั้งแรกที่ได้ไปถึงเกาะปีนังนะ ซึ่งสมัยก่อนคนไทยเรียกว่าเกาะหมาก ปีนังนี่ก็เรียกว่าน่าสนใจ เพราะว่าเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาก มีทั้งจีน มีทั้งแขก แขกนี่ก็ทั้งแขกฮินดู แขกมุสลิม เกาะนี่ก็ไม่ใหญ่นะ แล้วก็โดยเฉพาะช่วงที่เป็นเมืองโบราณ เมืองเก่าเนี่ย ที่เขาเรียกว่ายอร์ชทาวน์เนี่ย เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก วัดไทย วัดพม่า ก็อยู่ตรงข้ามกัน ศาลเจ้าของคนจีน ศาลเจ้าแม่กวนอิมก็อยู่ไม่ไกลนะจากวัดแขก วัดแขกก็คือเทวสถานของฮินดูนั่นแหละ แต่เราเรียกง่ายๆว่าวัดแขกนะ แต่ไม่ได้มีพระนะ ก็มีแต่พราหมณ์ทำพิธี ไม่ไกลนะ สองร้อยเมตรก็เป็นมัสยิด ถนนเดียวกันเนี่ยไม่ยาวเท่าไหร่นะก็มีทั้งศาลเจ้า มีทั้งวัดแขก มีทั้งมัสยิด แล้วก็ยังมีโบสถ์คริสต์ด้วย อยู่ใกล้กันมากทีเดียว แต่ว่าคนก็ ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนาก็อยู่ร่วมกันได้ อันนี้ก็เป็นความกลมกลืนที่น่าสนใจ แต่เดี๋ยวนี้ความกลมกลืนที่ว่ามันก็จะเริ่มร้าวฉานแล้วเพราะว่าความขัดแย้งกันในเรื่องศาสนา แต่ว่าที่ปีนังนี่ก็ยัง ดูแล้วก็มีความราบรื่นกลมกลืนนะ มันก็ทำให้ความแตกต่างมันกลายเป็นสีสันอย่างนึงนะ เหมือนกับ...เหมือนกับพวงมาลัยนะ พวงมาลัยจะสวยเนี่ยก็เพราะมันมีดอกไม้หลายสี แต่ว่าก็เชื่อมร้อยเข้าด้วยกัน แล้วก็กลายเป็นความงามที่เอาไว้ใช้บูชาพระได้
อีกอย่างนึงที่น่าสนใจนะ ก็คิดว่าน่าจะเล่าให้ฟัง ก็คือว่า ที่นั่นเนี่ยเขามีย่านที่เป็นเมืองเก่าชื่อว่ายอร์ชทาวน์อย่างที่ได้พูดไปแล้ว มันเป็นมรดกโลกไปแล้วนะตอนนี้ อาคารบ้านเรือนก็ไม่ได้เก่ามากนะ ร้อย สองร้อยปี แต่ว่าเขาอนุรักษ์ไว้ได้เป็นอย่างดี หลายคนไปเห็นย่านนั้นก็นึกถึงภูเก็ต บางทีก็นึกถึงสงขลา สงขลานี่ก็มีย่านนึงเรียกว่าถนนนางงาม ก็จะมีตึกเก่า แล้วเขาเรียกว่าตีกเก่าแบบชิโนโปรตุกีส ซิโนโปรตุกีส ชิโนก็คือจีนนะ โปรตุกีสก็คือโปรตุเกส แต่จริงๆเนี่ยมัน...มันเป็นส่วนผสมของจีนกับส่วนผสมของฝรั่ง ซึ่งทำให้ตึกเนี่ยน่าสนใจ อาคารก็สวย ได้ไปดูพิพิธภัณฑ์เนี่ย รวมทั้งได้เห็นภาพเก่าๆของปีนังนะ เมื่อสองร้อยปีก่อน หรือว่าโดยเฉพาะร้อยปีที่แล้วเนี่ย มันก็ทำได้เห็นเลยนะว่าปีนังเนี่ยเมื่อร้อยหรือร้อยห้าสิบปีก่อนเนี่ยรุ่งเรืองมาก นะรุ่งเรืองมาก เพราะว่าเป็นศูนย์กลางของการค้าขายเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามันเป็นเกาะที่อยู่ตรงช่องแคบ ใกล้ๆกับช่องแคบมะละกา การคมนาคมสมัยก่อน การพาณิชย์สมัยก่อนเขาต้องใช้เรือ เรือจากยุโรปเนี่ย หรือจากอินเดียนี่จะมา จะไปจีนนี่ก็ต้องผ่านช่องแคบมะละกา ปีนังเนี่ย ซึ่งอยู่ตรงนั้นหน่ะใกล้ๆเนี่ยมันก็เลยเป็น...มีความสำคัญ เป็นจุดที่มีความสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์แล้วก็การค้า ถ้าเทียบกันก็เหมือนกับสิงคโปร์เวลานี้ ปีนังเมื่อสักร้อยหรือว่าร้อยห้าสิบปีก่อนเนี่ย ร้อยปีก่อนเนี่ยมันเป็นของอังกฤษนะ ไทยเนี่ยเคยมีอิทธิพลเหนือเกาะปีนัง จริงๆ เรียกว่าเกาะหมากนะ แต่ว่าสมัยรัชกาลที่ห้าก็...อังกฤษก็เข้ามาครอบครองแทน แล้วเขาก็เป็นมหาอำนาจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ยก็...การค้าขายก็ทำให้ปีนังนี่รุ่งเรือง รุ่งเรืองมาก ถนนเขากว้างมากเลยนะ กว้างกว่าถนนเจริญกรุงเสียอีกนะ ถนนกว้างๆอย่างนี้แสดงว่ามันมีความเจริญนะในทางการค้าขาย อาคารบ้านเรือนก็เต็มสองฟากถนน คนจีนก็ไปทำการค้าขายที่นั่นเยอะ แล้วก็ร่ำรวยมาก ร่ำรวยแบบที่เรียกว่านึกไม่ถึงเลยนะ เพราะว่าไปดูพิพิธภัณฑ์ของคนจีนที่มีอิทธิพลร่ำรวยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ก็เห็นเครื่องทองของเขา เครื่องทองที่ใช้ประดับประดาเรือนผมบ้าง หรือว่าเข็มขัดเป็นทอง เป็นทองทั้งเส้นเลยนะ แล้วก็กระเป๋าเงินเนี่ย กระเป๋าเงินนี่ก็ทองทั้งนั้น แล้วก็มีเยอะด้วย ก็ยังไม่เคยเห็นทองที่เอามาใช้เป็นเครื่องประดับที่มันอลังการขนาดนั้นนะ ยังไม่ต้องพูดถึงเครื่องเงินแล้วก็เพชร มันแสดงให้เห็นว่าปีนังสมัยก่อนนี่ร่ำรวยนะ แล้วก็ยิ่งใหญ่มาก
สมัยก่อนเนี่ยภูเก็ตเนี่ย ร้อยปีก่อนเนี่ยก็ยังเล็กๆอยู่ มณฑลภูเก็ตเนี่ยนะ เทศาภิบาลเนี่ย ข้าหลวงซึ่งเป็น...ดูแลภูเก็ตเนี่ยก็คือเจ้าพระยา...เอ่อ...พระยารัษฎานุประดิษฐ์เนี่ยอยากจะพัฒนาภูเก็ตก็ต้องไป...ไปเลียนแบบนะ เอาอย่างปีนังเนี่ยมาพัฒนาภูเก็ต รวมทั้งการทำเหมืองแร่นะ การปลูกยาง ปลูกยางเนี่ยนะมันก็เริ่มต้นที่ตรังล่ะนะ แล้วตอนหลังก็ขยายไปภูเก็ต ก็โดยฝืมือของพระยารัษฎานุประดิษฐ์ซึ่งก็เป็นคนจีนนะ คอซิมบี๊ เป็นต้นตระกูล ณ ระนอง ภูเก็ตเนี่ยเอาปีนังเป็นแบบอย่างนะ เพราะว่าปีนังนี่รุ่งเรืองมาก เพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาใครไปปีนังแล้วก็นึกถึงภูเก็ตนะเพราะว่าเราไปลอกเลียนแบบเขามา แต่ว่าทำได้ไม่ใหญ่เท่า ภูเก็ตนี่เป็น..เรียกว่าเป็นลูกกะโล่ของปีนังก็ว่าได้ แต่ทุกวันนี้เนี่ยนะภูเก็ตเนี่ยเป็นที่รู้จักทั่วโลกมีชื่อเสียงยิ่งกว่าปีนัง ปีนังเคยรุ่งเรืองเมื่อร้อยปีก่อนเนี่ย แต่ว่าพอผ่านไปนะ ห้าสิบ หกสิบปีมันก็ง่อย ลดความสำคัญลง เพราะว่าการคมนาคมก็เปลี่ยนไป การพาณิชย์ที่มันเคยใช้เรือนะ ก็เปลี่ยนมาใช้เครื่องบิน ภูเก็ตก็อยู่ในสถานะที่ดีกว่า เดี๋ยวนี้เนี่ยภูเก็ตเจริญมากนะ คิดว่าร่ำรวยกว่าปีนังนะเยอะ ตึกรามบ้านช่องก็มีไม่น้อย แต่ว่าคนมาเที่ยวที่ภูเก็ตมากกว่า มันก็เห็นอนิจจังนะ อนิจจังของปีนังซึ่งเคยยิ่งใหญ่ แล้วก็ค่อยๆร่วงโรย พวกตระกูลต่างๆนะ พวกคนจีนที่เคยมีความมั่งคั่งนะ ตระกูลนั้น ตระกูลนี้เช่นตระกูลคูเนี่ย ไปดูศาลเจ้า ศาลบรรพบุรุษของตระกูลคู เมื่อร้อยปีก่อนนี่มันยิ่งใหญ่มากนะ เขาทำได้สลักเสลาสวยงามมาก ทำเป็นย่านที่มีอาคารต่างๆมากมาย เพราะว่าคนจีนสมัยก่อนก็อยู่กันเป็นตระกูล แต่ว่าตอนหลังก็ซบเซา อาคารบ้านเรือนก็ถูกปล่อยให้รกร้าง เพิ่งมาบูรณะกันเมื่อสิบ ยี่สิบปีนี้เอง แต่เขาบูรณะได้ดีมาก คือในแง่หนึ่งก็เห็นนะ เห็นถึงความร่วงโรยของยุคสมัย เมืองหรือว่าเกาะที่เคยร่ำรวยมั่งคั่งเนี่ย ตอนหลังก็กลายเป็นถูกปล่อยให้ร่วงโรยไป ภูเก็ตก็เจริญมาแทนที่ สิงคโปร์ก็เหมือนนะก็เจริญแทนที่ ปีนังก็กลายเป็นเกาะเล็กๆ แต่ว่าตอนนี้เนี่ยมันก็มีความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งนึงนะเพราะว่าระยะหลังคนก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่ภู...ที่ปีนังกันมากขึ้น เขาไปดูอะไรนะ ไปปีนังเนี่ย ถ้าจะไปเที่ยว เที่ยวทะเลก็เที่ยวไม่ได้นะ เพราะว่าทะเลที่ภูเก็ตสวยกว่าเยอะ กระบี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะเที่ยวหาความสนุกสนานก็สู้พัทยา ภูเก็ตไม่ได้นะ แค่หาดป่าตองนี่ก็กินขาดเลยนะ ปีนังนี่สู้ไม่ได้เลย แต่คนก็ไปปีนังเพราะว่าไปดูเมืองเก่านะ ซึ่งตอนนี้เป็นมรดกโลกชื่อว่ายอร์ชทาวน์ ไปเห็นเมืองเก่าย่านยอร์ชทาวน์แล้วเนี่ยก็อดทึ่งไม่ได้นะว่า เขารักษาของเก่าไว้ได้ มีอาคารเก่าๆสมัยร้อย สองร้อยปีเนี่ย ซึ่งคนก็ยังอาศัยนะ ทำการค้าขาย เป็นที่พักบ้าง เป็นร้านค้าบ้าง แล้วก็ที่ทำเป็นโรงแรม ทำเป็นเกสท์เฮ้าส์ก็มีไม่น้อย แล้วก็ฝรั่งคนต่างชาติก็ไปเที่ยวกันเยอะนะ ไปดูของเก่าเพื่อคล้ายๆว่าระลึกชาตินะ หรือว่ากลับไปรำลึกถึงบรรยากาศที่ชีวิตเนี่ยเป็นไปอย่างเนิบช้า
ไปเห็นการที่เขาอนุรักษ์อาคารเก่าๆไว้ได้เนี่ย มันก็ทำให้สะท้อนใจนะเพราะว่าภูเก็ตเนี่ยเมื่อสามสิบปีก่อนเนี่ย ก่อนที่อาตมาจะบวชเนี่ยก็เคยไปเยือนภูเก็ตนะ แล้วก็เห็นอาคารเก่าๆตามถนนต่างๆนี่มากมาย ไอ้ตอนนั้นนี่อาคารเก่าๆเนี่ยก็ยังน้อยกว่าปีนังนะ แต่ว่าทุกวันนี้เนี่ยมันน้อยยิ่งเข้าไปใหญ่นะเพราะว่ามีการทุบ มีการทำลาย เพราะว่าพอบ้านเมืองมันมีการเปลี่ยนแปลงมีการพัฒนาเนี่ย คนก็รู้สึกว่าอาคารเก่าๆเนี่ยมันไม่เข้าท่า มันใช้สอยได้น้อยนะ มันสู้ตึกสูงๆ ตึกระฟ้า ตึกสูงสิบ ยี่สิบชั้นไม่ได้นะ อาคารหลายแห่งก็ถูกทุบให้กลายเป็นศุนย์การค้า เป็นห้างสรรพสินค้านะ คนก็เชื่อว่าทำอย่างนี้เนี่ยมันจะทำให้เกิดรายได้ เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจมากกว่า ถ้ามีตึกเก่าๆนะ ก็จะรู้สึกว่ามันยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ถ้าไม่ทุบก็ปล่อยให้ทรุดโทรมจนกระทั่งไม่น่าอยู่ มันกลายเป็นถิ่นที่ไม่น่าเดินผ่านเท่าไหร่ อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นนะ ที่ภูเก็ตบ้างหรือว่าที่สงขลา แต่ว่าทางปีนังเนี่ยนะ ไอ้ตึกที่เคยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจน้อยเมื่อสามสิบ สี่สิบปีก่อน ตอนนี้เขาทำให้มันมีคุณค่าขึ้นมาในทางวัฒนธรรมนะ มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าอับอายต่อไป ของไทยเราเนี่ยถ้ามีตึกแบบนี้เรารู้สึกว่าน่าอายนะ เรารู้สึกว่ามันสู้ตึกห้าชั้น สิบชั้น สู้ศูนย์การค้าไม่ได้ ปีนังนี่เขาไม่มีการทุบตึกนะเพื่อสร้างศูนย์การค้านะ อย่างภูเก็ตนะ อย่างเมืองไทยเท่าไหร่นะ เพราะว่าเขาสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดมีขึ้นกับอดีตนะ อดีตที่มันเคยรุ่งเรืองแล้วตอนหลังก็ร่วงโรยเนี่ย เขาก็ทำให้มันมีความหมายขึ้นมาใหม่นะ กลายเป็นที่ กลายเป็นสิ่งที่น่าเชิด...น่าภาคภูมิใจนะ เป็นหน้าเป็นตาของเมือง แล้วเวลาไปเยือนปีนังนี่อดไม่ได้นะที่จะต้องไปเยือนย่านเมืองเก่าที่ตอนนี้เป็นมรดกโลก แล้วก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ มันยังมีชีวิตชีวาอยู่เลยนะ คนตอนเช้าเนี่ยก็ไปตลาดนะ บางคนก็ไปกินกาแฟ ไอ้ที่ไปตลาดก็เป็นตลาดอย่างเก่านะ ตลาดสด มีเขียงหมูอยู่ริมถนน บางทีก็ขายปลา ขายผัก ขายผลไม้ คนก็เดินอย่างช้าๆนะ ไม่เร่งรีบ รถก็ไม่ค่อยมี
อันนี้เป็นการทำให้อดีตเนี่ยมันกลับมามีความหมายใหม่ แต่ขณะที่หลายคนก็เสียดายนะว่าครั้งหนึ่งเนี่ย ภูเก็ตเนี่ยมันก็เคยมีสิ่งเหล่านี้ กระบี่เองก็เคยมี สงขลาก็เหมือนกัน แต่ว่าเดี๋ยวนี้หาได้น้อยลงละ เพราะว่าเราเป็นประเภทนิยมของใหม่นะ เราไม่เห็นคุณค่าของของเก่า ก็เลยเห็นว่าของเก่าเนี่ยมันไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่ แต่ที่จริงมันอยู่ที่ว่าเราจะเอามาใช้ให้มันคุณค่าอย่างไร อาคารเก่าๆที่เคยเป็นที่พักอาศัยของผู้คนเนี่ย พอทำให้เป็นโรงแรมนะ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ขึ้นมานะ โรงแรมเก่าๆ โรงแรมหลายแห่งเนี่ยก็อาศัยอาคารเก่าๆเนี่ยแหละ แต่ว่ามันกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากนะ มันไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอับอายที่ปล่อยให้ทรุดโทรมรกร้าง หรือว่าคอยแต่จะทุบทิ้ง อดีตเนี่ย สิ่งที่ผ่านไปแล้วเนี่ย ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์เนี่ย มันก็สามารถจะมีคุณค่าได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอดีตที่ร่ำรวย รุ่งเรืองนะ อดีตที่มันน่าหดหู่เนี่ยนะ มันก็...ถ้าเรารักษาเอาไว้ หรือทำให้มันมีคุณค่าขึ้นมาใหม่เนี่ย มันก็มีความหมายเหมือนกันนะ อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นเนี่ยนะ ใครที่ไปฮิโรชิมาเนี่ยก็ต้องไปแวะนะ อาคารที่มันเคยถูกระเบิดปรมาณูถล่มนะ ก็มีซากอาคารที่คนก็ไปดูกัน นักท่องเที่ยวก็ต้องไปดูนะ ไปถ่ายรูปอาคารนี้ ที่เป็นสิ่งตกค้างจากระเบิดปรมาณูเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ไอ้สิ่งเหล่านี้สำหรับบางคนเนี่ยมันทำให้ระลึกถึงผู้คนที่ล้มตายกันเป็นแสนนะ แต่ว่าในปัจจุบันเนี่ยเขาอนุรักษ์เอาไว้เนี่ยนะ เพื่อเตือนใจให้เราเห็นคุณค่าของสันติภาพ เพื่อให้เห็นโทษของระเบิดปรมาณู มันก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายในทางที่ดีขึ้นมาใหม่ หรือว่าค่ายนรกของนาซีเนี่ยที่กรุง...ที่โปแลนด์เนี่ย ชื่อว่าเอาชวิตซ์ก็ดีเนี่ยนะ เทรบลิงคาก็ดีเนี่ย พวกนี้เนี่ยนะมันก็...ในเวลาเมื่อสักแปดสิบปีที่แล้ว เจ็ดสิบปีที่แล้ว มันก็เป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายของมนุษย์นะ นาซีนี่ก็เอาคนยิวเนี่ยไปกักกันแล้วก็สังหาร รวมแล้วก็หกล้านคนได้นะ เยอะมากทีเดียวนะ ฆ่าทุกวันด้วยการรมควันนะ รมควันแล้วก็เผา เฉพาะผมเนี่ยนะที่กร้อนก่อนที่จะเอาไปฆ่าเนี่ยก็หนักหลายตันทีเดียว เขากร้อนผมเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์นะ เอาไปทำเป็นเบาะ เอาไปทำอะไร เอาไปทำเป็นหมอนอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเขาก็อนุรักษ์ไว้นะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอดีตที่น่าหดหู่ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำให้มันชวนให้หดหู่เสมอไปนะ แต่เป็นเครื่องเตือนใจนะว่าครั้งหนึ่งเนี่ยมนุษย์เราเคยบ้าคลั่งนะ ถึงกะขั้นทำร้าย ประหัตประหารผู้คน ด้วยเหตุผลทางด้านเชื้อชาติ ทางด้านชาติพันธุ์ อันนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายใหม่ เป็นความหมายที่ดีนะ ก็คือให้เพื่อเราเนี่ยนะ ไม่ข่มเหงทำร้ายกัน เพียงเพราะว่าต่างเชื้อชาติ ต่างชาติพันธุ์ แล้วก็เป็นการส่งเสริมความรักกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ได้ อดีตที่เลวร้ายเนี่ยนะ หรืออดีตที่เคยรุ่งเรืองแล้วก็ร่วงโรยเนี่ย มันไม่เคยไร้ประโยชน์นะ ถ้าเรารู้จักเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เนี่ยมันก็จะมีคุณค่ามาก
เดี๋ยวนี้เนี่ยกำแพงเก่าๆเนี่ยซึ่งผู้คนเนี่ยรู้สึกว่ามันไม่มีคุณค่าต้องทุบทิ้งต้องทำลายนะ เพราะว่ามันไปขวางทางถนนมั่ง หลายแห่งหลายที่ก็พยายามฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นะ ที่ลำปาง เชียงใหม่นี่เขาก็พยายามรักษาอนุรักษ์อิฐแต่ละก้อนที่เคยเป็นกำแพงเอาไว้ ไอ้ที่เคยทำลายก็เอาก่อใหม่เพื่อให้รู้ว่าที่นี่เนี่ยเคยเป็นกำแพงเมือง ที่ปักกิ่งเนี่ยที่เคยทำลายกำแพงนะ รอบกรุงปักกิ่งในบางทิศเนี่ย เพราะว่าตอนนั้นต้องการพัฒนา ตอนนี้ผู้คนก็เสียดาย ไม่น่าทำลายเลยนะ เพราะว่าถ้ารักษาเอาไว้นี่ มันจะทำให้อดีตอันยิ่งใหญ่ของปักกิ่งเนี่ยมันเห็นเด่นชัดมากขึ้น อันนี้ก็คือเรื่องของการพยายามทำให้อดีตเนี่ย ที่มันเคยดูเป็นเรื่องล้าหลังนะ เป็นเรื่องเชยนะ หรือว่าเป็นเรื่องที่น่าหดหู่นะ ไม่น่าย้อนระลึกนึกถึงเนี่ย เขาก็พยายามรักษาแล้วก็พยายามฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นะ แต่นำเสนอในแง่มุมใหม่เพื่อทำให้คนเกิดความ....ได้ข้อคิดนะ หรือว่าเข้าใจอดีตความเป็นมาของแต่ละประเทศมากขึ้น อดีตของผู้คนก็เหมือนกันนะ มานึกดูเนี่ยหลายคนก็มีอดีตหรือประสบการณ์ที่เลวร้ายนะ อาจจะเป็นความเจ็บปวดสมัยที่ยังเป็นเด็ก อาจจะเป็นเพราะความยากจน ถูกพ่อแม่ปล่อยปละละเลย หรือว่าต้องปากกัดตีนถีบ อดีตเหล่านี้เนี่ย ถ้ารู้จักเอามาใช้นะ มันก็มีคุณค่านะ มีในอเมริกานี่มันมีนักดนตรีคนนึงนะ ชื่อว่าบรูซ สปริงส์ทีน อันนี้เป็นนักดนตรีที่เมื่อซักยี่สิบปีก่อนนี่มีชื่อมาก ทุกวันนี้เขาก็ยัง...เพลงของเขาก็ยังมีคนฟังนะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่แพร่หลายเหมือนกับนักดนตรีรุ่นใหม่ เพลงเขาเนี่ยมีชื่อนะ แล้วก็ถือว่าเป็นงานที่คลาสสิคมากเนี่ย แต่ถ้าดูเนื้อร้องของเขา ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของเขา อดีตสมัยวัยเด็ก วัยรุ่นที่เจ็บปวด พ่อแม่หย่าร้างกัน หรือว่าอยู่ท่ามกลางถิ่นที่มันเต็มไปด้วยความยากจน ต้องปากกัดตีนถีบนะ บางทีก็...พอเป็นวัยรุ่นก็อาจจะพลั้งเผลอเข้าหายาเสพติด หรือว่าอกหัก ไอ้สิ่งเหล่านี้เป็นอดีตที่มันไม่น่าเอามาชื่นชมนะ หรือว่าไม่น่าเอามาอวดโชว์กันนะ แต่ว่าพอเขาเอาอดีตเหล่านี้มาแต่งเป็นเพลงนะ มันกลายเป็นเพลงที่เป็นอมตะได้ มันกลายเป็นเพลงที่มีคุณค่าขึ้นมา ก็ทำให้เขากลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงได้ ทั้งๆที่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ตอนที่ยังวัยรุ่นเนี่ย อดีตเหล่านั้นมันทำให้เจ็บปวดมากนะ ขมขื่นมากนะ
แต่คนเราเนี่ยถ้าหากว่าไม่ปฏิเสธอดีตนะ เรายอมรับว่าอดีตของเรามัน เคยเจ็บปวดมาก่อน แล้วก็ไม่เพียงแต่เท่านั้นนะ ยังรู้จักเอามาใช้นะ เอามาใช้ในการเป็นวัตถุดิบในการแต่งเพลงนะ มันก็ทำให้กลายเป็นงานที่มีคุณค่า แถมยังทำมาหากินได้ด้วย มีผู้หญิงคนนึง ผู้หญิงไทยนะ ตอนอายุ...ตอนมอสามได้มั้ง ก็เกิดไปชอบผู้ชาย แล้วก็เกิดท้องขึ้นมา พอท้องแล้วมีลูกเนี่ยนะ ก็ต้องออกจากโรงเรียนนะ พ่อแม่ก็ไม่พอใจ ไม่ส่งเสริม ไม่สนับสนุน ก็เรียกว่าต้องอยู่กันแบบปากกัดตีนถีบ ไม่มีเงินเนี่ยไป...มาเลี้ยงลูกนะ ก็พยายามไปทำงานรับจ้างเป็นพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารก็ได้เงินน้อยนะ ตอนหลังเนี่ยมีคนชวนไปทำงานที่พัทยา แล้วก็จับพลัดจับผลูนะกลายเป็นว่าต้องขายตัว ก็ได้เงินมาพอสมควรนะ ได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ เอามาจ่ายเป็นค่านม ค่าเลี้ยงลูกได้นะ เพราะว่าไม่มีความรู้อย่างอื่น ตอนหลังก็พลัดตกเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรมการค้า การบริการทางเพศ แล้วก็กลายเป็นโสเภณีเต็มขั้นเลย จากเด็กอายุสิบห้า สิบเจ็ดเนี่ยก็กลายเป็นโสเภณีอยู่ในแวดวงขายตัวเนี่ย สิบ ยี่สิบปีได้ ตอนหลังก็ไปขายตัวที่ประเทศญี่ปุ่นมั่ง ที่ฮ่องกงมั่ง สิงคโปร์บ้าง บางครั้งก็ถูกจับนะ ถูกส่งกลับมาเมืองไทย ก็ไม่เข็ด ตอนหลังก็ไปขายตัวจนถึงตะวันออกกลาง ถูกจับนะ ส่งกลับมาเมืองไทย ติดคุกในเมืองไทยด้วย ก็เลยว่ายี่สิบ...ยี่สิบกว่าปี จนอายุสี่สิบเนี่ย ชีวิตนี่มันเต็มไปด้วยความขมขิ่นนะ ก็รู้สึกว่าตัวเองเนี่ยไร้คุณค่า แต่ตอนหลังเขาก็เลิกนะ เลิกตอนที่อายุสี่สิบละ ก็อยู่ในวงการนี้มายี่สิบกว่าปี ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไงนะ ชีวิตที่ผ่านมามันก็เป็นชีวิตที่ขมขื่นมาก เรียกว่าชีวิตบัดซบนะ แต่ตอนหลังเนี่ยเธอก็เกิดความคิดขึ้นมา ได้ข่าวว่ามันมีการประกวดหนังสือสารคดี เธอก็ลองเอาประสบการณ์ของเธอนี่มาเขียนเป็นสารคดี เขียนผิดๆถูกๆนะ อาตมาเนี่ยเป็นกรรมการด้วย ปีนั้นเนี่ยเป็นกรรมการตัดสินสารคดี ทุกคนก็เห็นว่าถึงแม้เธอจะเขียนผิดๆถูกๆนะ แต่ว่างานเขียนของเธอนี่มันดีมากเลย ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยเรื่องราวคาวโลกีย์ เรื่องการติดยา เรื่องของการทรยศหักหลัง เรื่องของการขายเนื้อขายตัว แต่ว่ามันเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้นะ ก็เลยให้รางวัลนะ ชนะเลิศไป ปรากฎว่าเธอไม่นานก็กลายเป็นนักเขียนดังนะ
หนังสือเล่มนั้นของเธอก็พิมพ์ซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง ตอนหลังก็มีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ก็กลายเป็นนักเขียนมีชื่อ เธอก็เอา...ตอนหลังเธอก็เอาเรื่องที่เธอติดคุกมาเขียน ไอ้ติดคุกนี่มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลยนะ มันเจ็บปวดนะ แต่ว่าพอมาเขียนแล้วเนี่ย มันก็กลายเป็นผลงานที่คนติดตามอ่าน ล่าสุดก็ได้รางวัลอีกแล้วนะ ได้รางวัลอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้ก็เลยจากคนที่มีประสบการณ์ที่ควรจะ...เรียกว่าแอบๆซ่อนๆ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่พอเธอเอามาใช้ประโยชน์นะ เพื่อเป็นบทเรียน เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิตของคนเพื่อไม่ให้พลั้งพลาดเนี่ย มันก็กลายเป็นงานที่ดีขึ้นมาได้ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างนะว่าประสบการณ์ในอดีตของเราเนี่ย แม้มันจะเลวร้ายอย่างไรเนี่ย มันไม่เคยไร้ค่านะ มันมีประโยชน์อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร แต่ว่าคนส่วนใหญ่เนี่ย ไม่รู้จักใช้นะ ก็พยายามเก็บซ่อนอดีตที่เจ็บปวดเอาไว้ หรือว่าพยายามผลักไสมันออกไป นึกถึงทีไรก็รู้สึกขมขื่น แต่เป็นเพราะไม่รู้จักมองนะ ถ้ารู้จักมองเนี่ย มันจะได้ประโยชน์นะ จากประสบการณ์เหล่านี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเห็นประโยชน์ของมันว่า เออ...มันทำให้เราเข้มแข็งนะ ชีวิตวัยเด็กที่ลำบากยากจนเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายเลย มันทำให้เรากลายเป็นคนสู้ชีวิต ทำให้เรารู้จักพึ่งตนเอง ทำให้เรามีใจคอเด็ดเดี่ยว พึ่งพาตัวเองได้ คนเราเนี่ยพอมองเห็นตรงนี้นะ กลับจะรู้สึกภาคภูมิใจในอดีตที่ผ่านมา อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เล่าว่าเนี่ยตอนที่เคย...ตอนที่บวชพระแล้วก็ไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดียเนี่ย ทำปริญญา ทำปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกสิบปี รู้สึกขมขื่นมากนะกับชีวิตที่อินเดีย เพราะว่ามีปัญหากับชาวอินเดียหลายอย่าง
อาจารย์ประมวลบอกว่าเนี่ย บางครั้งก็ร้องไห้นะ ร้องไห้เนี่ยในระหว่างที่อยู่อินเดีย แล้วก็พอสึกเนี่ย จบดอกเตอร์แล้วก็สึกมาเป็นอาจารย์ที่เชียงใหม่ ก็คงไม่คิดจะกลับไปอินเดียอีกนะ แต่ว่าผ่านไปยี่สิบปีเนี่ย อาจารย์บอกว่าเนี่ยพอนึกถึงประสบการณ์ในอินเดียเนี่ย มันซาบซึ้งมากเลย รู้สึกซาบซึ้ง เพราะว่าไอ้ประสบการณ์ที่ยากลำบากในอินเดียเนี่ยมันส่งผลต่อความเป็นตัวท่านมากทีเดียว ได้เรียนรู้ได้พัฒนาตนจากประสบการณ์นั้น พอเปลี่ยนมุมมองนะ แทนที่จะรู้สึกขมขื่น แทนที่จะรู้สึกเจ็บปวดเนี่ย มันกลับรู้สึกซาบซึ้งแทน ประสบการณ์เดียวกันเนี่ยนะ ตอนที่เกิดเหตุใหม่ๆ เนี่ยรู้สึกแย่ รู้สึกเจ็บปวด แต่พอผ่านไปแล้วเปลี่ยนมุมมองเนี่ย กลับกลายเป็นความซาบซึ้งประทับใจ นึกถึงแล้วก็ น้ำตารื้นนะด้วยความซาบซึ้ง ตอนหลังอาจารย์ประมวลก็กลับไปประเทศอินเดียนะ แล้วก็กลับไประลึกถึงความหลัง กลับไปขอบคุณสิ่งต่างๆนะ ที่ทำให้เป็นตัวท่านทุกวันนี้ เรียกว่ากลับไปขอบคุณ แล้วก็ซาบซึ้งในทุกอย่างที่ไปอินเดีย อย่างที่เคยเล่าแล้วนะ ซิกโก้เนี่ยตอนที่เขาถูกซื้อตัวไปประเทศอังกฤษเนี่ย เขาก็ฝันว่าเขาจะได้ลงสนามในนามสโมสรอังกฤษนะ แต่ว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้ลงสนามเลย เป็นตัวสำรองตลอด นั่งอยู่ข้างสนาม ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก รู้สึกว่าการไปอังกฤษครั้งนั้นเนี่ยมันล้มเหลว ไม่อยากพูดถึง ใครมาถามก็ไม่อยากพูด แต่ว่าหลายปีผ่านไปพอมีคนถามเรื่องนี้นะกลับยิ้มนะ กลับยิ้มแล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรเลย ผมแค่มองไม่ออก มองไม่เห็น แล้วก็เล่าว่าไปอินเดีย...อ่าไปอังกฤษครั้งนั้นมีแต่ได้กับได้นะ ได้บ้าน ได้รถ ได้พัฒนาร่างกาย ได้ภาษา ได้รู้จักคนมากมาย ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ได้เดินทางท่องเที่ยว แล้วก็ได้รู้จักสัมผัสกับลีกฟุตบอลที่มีสีสันที่สุดในโลก เสียอย่างเดียวคือไม่ได้เล่น คือพอเปลี่ยนมุมมองนะ กลับรู้สึกซาบซึ้ง ประสบการณ์ที่อังกฤษ ว่า โอ มันให้อะไรเรามากมาย แต่ตอนนั้นเนี่ยมองไม่เห็น
อันนี้พูดมาทั้งหมดเพื่อจะชี้ว่าไอ้สิ่งที่มันเป็นอดีตเนี่ย แม้บางครั้งจะเป็นอดีตที่มันร่วงโรย หรือเป็นอดีตที่ขมขื่น เป็นอดีตที่น่าอับอาย ตราบใดที่เรายังทุกข์เมื่อยังระลึกถึงอันนั้นเนี่ย แสดงว่าเรายังมองไม่เป็นนะ ถ้าเรามองเป็นเนี่ยนะ เราจะเห็นคุณค่าของมัน หรือถ้าเราจะใช้มันให้เป็นเนี่ยนะ มันจะมีประโยชน์มาก ไม่ว่าจะเป็นตึกเก่าๆ มันก็กลายเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมือง ของประเทศได้ ประสบการณ์ที่เจ็บปวด ถ้ามองมันซะใหม่ ก็พบว่าโอ มันน่าภาคภูมิใจเหลือเกิน หรือว่าถ้ารู้จักเอามาใช้นะ มันก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าอย่างน้อยๆเนี่ยก็เอามาทำเงินได้นะ เอามาแต่งเป็นเพลงก็ได้เงิน เอามาแต่งเป็นนิยาย เป็นสารคดีก็ได้เงิน แต่มันได้มากกว่านั้นนะ มันได้ความภาคภูมิใจ แล้วก็ได้บทเรียนชีวิต เพราะฉะนั้นจริงๆพูดได้ว่าเนี่ย ประสบการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเนี่ย มันไม่เคยสูญเปล่าเลย มันไม่เคยไร้ค่าเลย มันมีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ประสบการณ์ในอดีตเท่านั้นนะ ประสบการณ์ในปัจจุบันด้วย ไม่ว่าเราอยู่ตรงไหน ที่ไหน อันนี้รวมถึงความเจ็บ ความป่วยนะ ความทุกข์ยากลำบาก ความล้มเหลว ความยากจน ความพลัดพรากสูญเสีย นี่ก็เป็นประสบการณ์ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับหลายคนหรือเคยเกิดขึ้นมาแล้ว นึกถึงทีไรก็เจ็บปวด แต่ว่านั่นเป็นเพราะว่าเรายังมองไม่เป็น เรายังไม่รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือถึงแม้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้ามองดูดีๆนะ มันก็มีประโยชน์ให้กับเราได้ อันนี้รวมถึงอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจเรานะ ความโกรธ ความหงุดหงิด นิวรณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ ไอ้พวกนี้อย่าไปผลักไสมันนะ อย่าไปกดข่ม อย่าไปรังเกียจมัน มันเป็นประสบการณ์ที่ถ้าเรารู้จักใช้ให้ดีก็มีประโยชน์ มันสอนธรรมได้ มันสอนธรรมให้กับเราได้ มันฝึกสติให้เรามีสติที่รวดเร็วฉับไวก็ได้นะ มันสามารถจะแสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เราเห็นก็ได้นะ หลายคนเวลาภาวนาเนี่ยนะ เวลามันมีความง่วงเหงาหาวนอน มีความหงุดหงิด มีความฟุ้งซ่าน ไม่ชอบ บอกว่าเป็นปัญหา อันนี้เพราะว่าเรายังมองมันไม่เป็น เรายังรู้จักใช้มันไม่ถูก นักภาวนาเนี่ยอย่างที่เคยบอกนะ หลวงพ่อคำเขียนท่านว่า ต้องเป็นรู้จักนักฉวยโอกาส รวมทั้งฉวยทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราให้เป็นประโยชน์ด้วย แต่ไม่ใช่ประโยชน์ในทางสนองกิเลส ไม่ใช่ประโยชน์เพื่อเอารัดเอาเปรียบใคร แต่ว่าเป็นประโยชน์ในทางที่ทำให้เรามีปัญญามากขึ้น มีสติมากขึ้น มีภูมิธรรมสูงขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นเนี่ยนะให้รู้จักมองนะ รู้จักใช้ มันเป็นของดีทั้งนั้นแหละนะ ถ้าหากว่าเรามองเป็น หรือว่ารู้จักใช้ให้ถูกต้อง เอ้าครั้งนี้พูดกันเท่านี้นะ กราบพระ